ระยะหลังสังเกตว่าหนังสือแนวเยียวยาจิตใจ หรือ ฮีลใจ ออกมาวางบนท้องตลาดมากขึ้นอย่างไรพิกล ถ้าเคยย้อนไปเมื่อหลายปีมาแล้ว ก็มีช่วงหนึ่งที่หนังสือแนวธรรมมะ ก็เคยขึ้นมาขายดีสูงสุดในบางช่วงเวลาเหมือนกัน
อาการติดเทรนด์ หรือกระแสแรงนั้นก็มีอยู่ยาวนานเป็นปี และแล้วหนังสือธรรมมะก็ค่อยๆหายไปจากหน้าแผง กลายเป็นนิยายวาย และ หนังสือแนวพัฒนาตัวเองขึ้นมาแทนที่
ถ้าเป็นหมวดหมู fiction ละก็ นิยายวายมาได้ไกล แถมมีนิยายจีนแปล มีนิยายยูริอีกต่างหาก ส่วน non-fiction กลายเป็นแนวพัฒนาตัวเอง และแนวฮีลใจก็คิดว่าน่าจะเป็นหมวดย่อยลงมาอีกทีของแนวพัฒนาตัวเอง
เกิดอะไรกับคนยุคนี้กันแน่ แล้วผู้อ่านหนังสือแบบนี้เป็นคนช่วงวัยไหน น่าจะวัยทำงานมากที่สุด
ปัญหาเกี่ยวกับร่างกายเรียกว่า โรค ส่วนปัญหาทางใจนั้นก็มองไม่เห็นด้วยตา แต่เจ้าของปัญหาย่อมต้องทนอยู่กับมัน ไม่ต่างอะไรกับการเป็นโรคอะไรสักอย่าง
การเป็นโรคทางร่างกายคงพอวัดได้ จากกระบวนการทางวิทยาศาตร์ เช่น ดูผลเลือด ผล lab แต่ปัญหาทางใจนี่สิ วัดยากเนอะ คุณผู้อ่านว่าไหม
ส่วนมากหนังสือฮีลใจมักจะแปลมาจากหนังสือต่างประเทศ เห็นมากๆก็มีทั้งจากญี่ปุ่น เกาหลี หรือทางนักเขียนซีกตะวันตก
อ้าว...ไม่ค่อยเห็นมีนักเขียนไทย
หรือไปเขียนนิยายกันหมด เพราะกลัวขายไม่ได้ 5555
คนอ่านหนังสือฮีลใจน่าจะเป็นคนวัยทำงาน ดังที่ว่าไว้แล้วข้างบน ซึ่งก็น่าจะเป็น Gen Y-Z-Me แถวๆนี้แหละค่ะ เป็นกลุ่มที่เกิดมาก็มีอินเตอร์เนต มี social media มีโทรศัพท์มือถือ มีไอแพด
ความรวดเร็ว เทคโนโลยี ทำให้อะไรง่ายขึ้นและสบายขึ้นจนเราแทบไม่ต้องทำอะไรเยอะ ในการจะให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่าง
ตัวผู้เขียนเป็นมนุษย์เจน X ที่เป็นลูกครึ่งของสองยุค คืออนาลอค และดิจิทัล ก็ถือว่าได้สนุกสนานไปพร้อมๆกันทั้งสองแบบ เป็นเรื่องที่ถือว่าชีวิตทรงคุณค่าจริงๆ
นอกจากจะชีวิตจะสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกแบบเหงื่อเต็มเม็ด เพราะไปไหนมาไหนก็ยังไม่มีรถไฟฟ้า จะไปเรียนไปทำงาน ติดต่อกับเพื่อน ก็ล้วนเต็มไปด้วยต้องออกแรง เช่น ยืนรอรถเมล์ที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ ไม่มีพิกัดบอก GPS ของตำแหน่งรถเมล์ หรือจุดที่เรายืนอยู่ จะเรียนหนังสือให้เก่งก็ไม่มีไอแพด ต้องจดแล้วจดอีก (เลยจำแม่น) ไม่มียูทูป ถ้าฟังอาจารย์ไม่ทันก็เชิญเข้าห้องสมุด ที่ต้องไปรื้อบัตรคำเอาเอง และบัตรคำมันก็เยอะเป็นตู้ๆ แถมแบ่งตามตัวอักษร กับแบ่งหมวดคร่าวๆ ที่กว่าจะหาอะไรเจอก็....หัวหมุน
กระนั้นแล้วเมื่อมองย้อนไปก็เป็นชีวิตที่น่าสนุก เพราะเวลาไม่เคยถูกทิ้งไปเปล่าๆ ทุกนาทีของชีวิตต้องคิดเยอะ ทำเยอะ สงสัยเลยทำให้ไม่มีเวลาว่างพอจะนั่งเหม่อ
คนสมัยนี้ไม่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กัน เพราะมีเพื่อนในเกมส์ มีเพื่อนในสังคมออนไลน์ คุยกันทางแชทก็ได้ คนจำนวนมากก็เลยรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว ทั้งที่แค่เเปิดประตูเดินออกมา คุณก็พบคนจำนวนมากในโลกในนี้
ecosystem แบบนี้ทำให้มนุษย์เผลอคิดอะไรคนเดียว คิดวนเวียน หาทางออกไม่ถูก เกินคำว่าฟุ้งซ่านไปจนเป็นคำว่าเตลิด
ถึงบอกว่าเป็น generation แห่งความว้าเหว่ ต้องหาหนังสือดีๆมาอ่านฮีลใจกันยกใหญ่ ซึ่งเก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ ดีกว่าไปทำอย่างอื่นที่จะสร้างปัญหาตามมาให้ตัวเองอีกไม่รู้เท่าไหร่
เหตุเกิดเพราะว่างมากเกินไป สำเร็จรูปเกินไป ยังใช้ความเป็นมนุษย์ไม่คุ้ม เราต้องคลุกฝุ่นสิคะ ต้องตากฝนสิคะ ต้องเจ็บสิคะ ถึงได้รู้....พอน้ำตาไหล เราจะได้รู้ว่านี่คือธรรมชาติ คือความเป็นจริงของโลก
แล้วเราจะได้คิดหาทางออก แต่อ้าว...สมัยนี้แม้แต่จะแก้ปัญหา ยังไปถาม Ai ได้ซะอีก 55555
โอ๊ย...หัวจะปวดล่ะค่ะ
ปล่อยใจ ปล่อย joy มากเกินไป ไม่มีสมาธิ เพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรดี ทุกอย่างมันสำเร็จรูปไปหมด เช่นนั้นแล้วมันเลยเกิดความเคว้งในใจสิคะ คนเราถึงจำเป็นต้องมีงานอดิเรก ไม่งั้นจิตมันจะไปเรื่อย หาอะไรทำ ทำในสิ่งที่ชอบ แต่อย่าบอกนะ....ว่าชอบอยู่เฉยๆ
ไม่รู้จะขมวดบทจบยังไงดีล่ะค่ะ5555
งั้นก็ขอทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้ ด้วนๆอย่างนี้แหละ Bye ค่าาาา