มีนาคม 28, 2568

โกลาหลในวันปฐพีพิโรธ

 


 เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.25 น. เชื่อว่าตอนนี้ยังอยู่ในใจของทุกๆคน และเชื่อว่าคงเป็นเรื่องที่ต้องจดจำไปอีกนาน

ในวันนั้นผู้เขียนเพิ่งจะทานข้าวเสร็จ กำลังนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เช่นปกติ ลืมบอกว่าห้องทำงานของผู้เขียนอยู่ชั้นล่าง และเป็นส่วนที่ต่อเติมจากเดิมเป็นที่จอดรถ บนศีรษะเป็นระเบียง ที่คุณพ่อคุณแม่ใช้เป็นที่ทานอาหารบ้าง นั่งพักบ้าง เป็นระเบียงที่ไม่ได้มีการตอกเสาเข็ม 

เหมือนกับอีกหลายคนที่อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าเวียนหัว และเวียนมากขึ้นจนแทบจะอาเจียร 

ส่วนตัวผู้เขียนเป็นพวกที่ปวดศีรษะไมเกรนเป็นประจำ แล้วระดับอาการที่เคยเป็นหนักสุดๆก็เคยปวดถึงขั้นอาเจียนเลยค่ะ

คิดว่าตัวเองกำลังเป็นไมเกรนแบบเฉียบพลัน เลยหยิบยาดมมาสูด 

แต่ทำไมเก้าอี้ทำงานมันเริ่มไหลไปมาเอง ทั้งที่ก็ยังนั่งอยู่เฉยๆ...

พอหย่อนเท้าแตะพื้นห้อง ก็ปรากฎว่าพื้นมันเหมือนเอียงไปมาได้ด้วยว่ะ งง...เอียงหนักเลย เห็นท่าจะไม่ดี แสดงว่าอาจจะใกล้เป็นลม !!

จังหวะนั้นแหงนขึ้นมองเพดานพอดีค่ะ เห็นว่าโคมไฟแบบห้อยในห้องมันแกว่งโยกแบบสวิงไปมาอย่างรุนแรง และไม่เคยเห็นว่ามันแกว่งได้ขนาดนี้

ไม่ใช่แล้ว !! แผ่นดินไหวเหรอ !! จะเป็นไปได้ยังไง

ผู้เขียนพยายามทรงตัวลุกขึ้นยืน เฮ้ย... นึกถึงแมวที่เลี้ยงไว้... แต่นึกถึงบิดามารดาที่อยู่ชั้นบน ว่าป่านนี้จะได้รับอันตรายหรือเปล่า ดังนั้นวิ่งออกประตูขึ้นไปชั้นบนทันทีค่ะ  ไม่ได้หยิบอะไรติดมือไปทั้งสิ้น ในหัวมีภาพว่าอาจจะมีอะไรหล่นตูมตามใส่หัวหรือไม่ระหว่างที่วิ่งไป

ไม่มีอะไรในบ้านที่หล่นหรือว่าตู้เอียงลงมาทับผู้เขียนหรอกค่ะ ปลอดภัยดี

คุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนนอนกำลังเล่นอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านชั้นบน (เพิ่งจะสร้างใหม่ค่ะ) 

"แม่! แผ่นดินไหว"

"ถึงว่าสิ ทำไมพวงมะม่วงมันถึงแกว่งไปแกว่งมา ทั้งที่ไม่มีลมพัดซักกะนิด"  แม่พูดหน้าตาเฉย ดูไม่ได้ตกใจเท่าผู้เขียนหรอกค่ะ แล้วชี้มือไปยังต้นมะม่วงข้างบ้าน ลูกมะม่วงกำลังดกเป็นพวงห้อยลงมา

เหลือบไปเห็นคุณพ่อนอนเอนหลังบนเตียงผ้าใบสบายใจเฉิบ แบบว่าไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเตียงผ้าใบมันก็โยกเองอยู่เป็นปกติ  คิดว่าไม่ได้มีอะไรแปลก

"พื้นมันแกว่งไปมาด้วย" แม่บอก

สรุปว่าทั้งสองคนปลอดภัยดี แถมไม่ตื่นตกใจซะอีก  สักพักเสียงน้องสะใภ้กับหลานก็ดังขึ้นมาจากข้างล่าง ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย

สองนางวิ่งออกมานอกตัวบ้าน ทำหน้างงๆ บ่นว่าทำไมเวียนหัว แล้วพื้นโยก

หลานสาว Gen Z ไถมือถือไปมาแล้วบอกว่า ในทวิตเตอร์เค้าบอกแผ่นดินไหว !

.......

หลังจากผ่านไป 20 นาที ผู้เขียนเห็นว่าเหตุการณ์ในบ้านทุกอย่างปกติ จึงกลับลงมาที่ห้องทำงาน ในใจคิดว่าป่านนี้ห้องฉันถล่มไปแล้วหรือยัง  เพราะว่าเป็นห้องที่อยู่ใต้ระเบียงที่ไม่มีเสาเข็ม

โชคดีที่ทุกอย่างปกติค่ะ

น้องแมวที่บ้านเดินออกมาจากซอกอย่างงงๆ นางก็ไม่ได้ออกอาการตระหนกอะไรมาก แต่ก็ดูออกว่าเมื่อกี้มันต้องมีอะไรไม่ปกติ

ผู้เขียนเปิดทีวีค้างเอาไว้ด้วยค่ะ  สภาพคือเป็นจอพักเบรคที่ยังเปิดค้างเอาไว้ คือมีการออกอากาศอยู่ แต่ไม่มีภาพเคลื่อนไหว มีแต่ภาพนิ่งเป็นโลโก้สถานี  แน่ล่ะสิ ...ต้องมีอะไรไม่ปกติ แสดงว่าแผ่นดินไหวเป็นบริเวณกว้าง แต่ในตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าได้รับแรงสั่นสะเทือนกันหลายจังหวัด

ผู้เขียนหยิบมือถือมาไล่เรียงดูเหตุการณ์ในสื่อโซเชียลมีเดีย ก็ต้องตกใจไปกับภาพที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็น !!!

ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลออกมาสู่ถนน  น้ำในสระว่ายน้ำบนคอนโดที่ทะลักล้นออกมา และ...ภาพตึกระหว่างการก่อสร้างถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา

โชคดีของประเทศไทยที่ (นอกเหนือไปจากตึกที่กำลังสร้าง) ไม่มีใครหนีออกมาจนทับกันตาย...แบบว่าตระหนกสุดขีดแล้วคนกระจุกกันตรงทางออก  จนเป็นลมหมดสติแล้วถูกคนข้างหลังเหยียบเอาน่ะค่ะ

แค่ตึกถล่มทับคนงานก็เจ็บปวดจะแย่อยู่แล้ว...

ในวันนั้นก็มีแต่ข่าวแผ่นดินไหวแหละค่ะ แน่นอนว่า...มันไม่เคยเกิดขึ้นแบบหนักหน่วงอย่างนี้มาก่อนในชีวิต

ทุกคนพูดเหมือนกันว่า...ชีวิตนี้เกิดมาเพิ่งเคยเจอ

สงสารคนทำงานจำนวนมาก ต้องเดินกันไกลเพื่อกลับบ้าน เพราะรถไฟฟ้าประกาศหยุดวิ่ง ห้างร้านพากันปิดทำการ แน่นอนว่ารถต้องติดกันอยู่บนถนน อย่าหวังพึ่งเลย...พวกรถรับจ้าง มีแต่จะหารถไม่ได้ หรือไม่ก็ถูกโก่งราคา กับอีกทีคือขึ้นไปนั่ง ก็ไปไหนไม่ได้ เพราะรถมันติด

มีเพื่อนโทรมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าถึงบ้านสามทุ่ม...เดินเท้าจากที่ทำงานตั้งหลายกิโล โห...

เป็นวันมหาวิปโยคจริงๆค่ะ

....

ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ  สาธุ


มีนาคม 05, 2568

ประสบการณ์ใหม่กับการเขียนฉากบู๊


 

ตั้งแต่เขียนหนังสือมาก็เพิ่งจะได้เขียนฉากต่อสู้หรือฉากบู๊ก็ตอนนี้แหละค่ะ

เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ อันว่านิยายที่เขียนมาทุกเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องดราม่าความรักล้วนๆค่ะ ก็ไม่เคยมีว่าจะสอดแทรกอะไรเกี่ยวกับการต่อสู้หรือชกต่อย  คือไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย เพราะว่าไม่ถนัดเรื่องทำนองนี้ เวลาคิดพล๊อตก็เลยผ่านเลยเรื่องชกต่อยไปตลอด

บางทีนึกๆอยากให้มีฉากโหดๆในนิยายยังไม่กล้าเลยค่ะ เพราะว่ากลัวเขียนไปแล้วมันจะลอยๆ หมายถึงว่าดูไม่สมจริง ทั้งที่จริงๆแล้วในชีวิตจริงของผู้เขียนจะเสพย์พวกหนังแอคชั่น หนังผี กับหนังลึกลับเป็นส่วนใหญ่ 

คือหนังสไตล์ที่กล่าวไปข้างต้นมันทำให้ตื่นเต้นตลอด น่าสนุกกว่าหนังรักๆเยอะเลย  ฮ่าาาาา...อ้าว แต่ตัวเองดันมาเขียนนิยายรัก

คืองี้ค่ะ นิยายรักมันดูเขียนได้ง่ายกว่าสำหรับผู้เขียน อีกอย่างพวกหนังแอคชั่นนี้ มันสนุกถ้าเราเสพย์ในรูปแบบของหนัง หรือภาพเคลื่อนไหว มากกว่าจะอ่านเป็นตัวหนังสือ

ส่วนความยากของนิยายรัก ก็ยากตรงที่ กว่าจะให้คนที่ไม่เคยรักกัน มารักกันได้  ไหนจะต้องให้คนอ่านมีอารมณ์ร่ววมไปกับตัวละคร ต้องสร้างเหตุการณ์ต่างๆนานา หมดไปครึ่งเรื่องแล้วค่อยรักกันได้ บางเรื่อง(ของนักเขียนท่านอื่น) รักกันก็ตอนจบพอดีก็มี

ฮ่าาาา

ใน เธอคือพันธนาการรักขอสลักไว้แนบใจ นิยายของผู้เขียนนั่นแหละ ดันมีเหตุการณ์บังคับบู๊  ไม่งั้นอย่างหนึ่งคือ เดี๋ยวเรื่องจะจืดชืด กับ ไม่เคยเขียนก็ต้องลองเขียนดูสักครั้ง 5555

คิดหาทางออกอยู่นานว่า ไม่มีฉากบู๊เรื่องจะเดินยังไง ก็ปรากฎว่าถ้ามีน่ะมันจะดีกว่า 

ตอนเขียนนี่ขอยอมรับเลยว่าสนุกมาก เหมือนกำลังนั่งอยู่ข้างทางพร้อมกับนางเอกและพระเอกเลยค่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่ามันมันส์อย่างนี้น่ะ  เออ...พอได้ทำอะไรใหม่ๆ เราก็ได้ค้นพบสิ่งใหม่ไปพร้อมกันเนอะ

ที่จริงเราก็เขียนได้นี่หว่า...

ฉากที่ว่านี้เป็นตอนที่พระเอกโดนปล้นรถระหว่างทางค่ะ  มีการชกต่อยกับโจรเล็กน้อย พอหอมปากหอมคอ เพราะต่อยกันนานกว่านี้คนเขียนไปไม่เป็น5555

ทีแรกว่าจะโทรไปถามเพื่อนผู้ชายว่าอารมณ์เวลาต่อยกันเป็นไงเหรอเธอ แต่ก็ไม่ได้โทรหรอกนะคะ

เขียนเอาเองพอได้อยู่นะ ใช้จินตนาการเล็กน้อย ตามประสานักขายฝัน

เลยมาส่งต่อความประทับใจของตัวเองให้กับผู้ติดตาม blog ได้รับรู้ค่ะ...

เหมือนตัวเองได้ก้าวข้ามความท้าทายเล็กๆน้อยๆ ไปได้อีก step 

การทำในสิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้ มันให้พลังกับตัวเราแบบนี้นี่เอง  

พอออกจาก comfort zone ได้เราก็มีกำลังใจล่ะค่ะ  

อย่างไรก็ชวนไปอ่านกัน  และอย่าลืมช่วยกันติดตาม กดหัวใจ กดเข้าชั้น จะขอบพระคุณมากค่ะ


แล้วพบกัน post หน้านะคะ



เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 



กุมภาพันธ์ 26, 2568

ไปทำบุญในวันว่าง

 


Post นี้ออกจะแหวกจาก post ที่ชอบเขียน  เพราะอยากจะเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อโสธรค่ะ  อาจจะเป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่จะเล่าเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง  ด้วยว่าไม่ค่อยจะได้ออกไปไหนค่ะ เขียนว่าไปทำบุญในวันว่างนั้นที่จริงก็ไม่ได้ว่างหรอกค่ะ  ทว่ามีความตั้งใจว่าจะต้องไปในสักวัน ก็เลยปักหมุดตัวเองว่าวันนี้ล่ะค่ะ

ตั้งแต่เข้าสู่โหมดเกษียณก็แทบไม่ได้เดินทางไปไหนไกลๆเลยค่ะ  ต่างจังหวัดก็ไม่ได้ไป ไม่ได้เที่ยวใดๆทั้งสิ้น  เห็นหลายคนเค้าไปเที่ยวกัน ประมาณว่าเที่ยวให้เครียด เที่ยวให้หายแค้น ที่ช่วงสมัยทำงานอาจจะไม่มีโอกาสไป  ก็นึกอิจฉาเค้าเหมือนกัน ทำไมเราไม่ได้ไปไหน เพราะเราต้องทำงานของเราให้สำเร็จ  ไปตอนนี้คงไม่มีความสุขนัก 

ผู้เขียนเป็นคนไปไหนลำบาก หมายถึงชอบขับรถหลงทาง ฮ่าาาา เลยทำให้ไม่อยากจะไปไหน เพื่อนส่วนใหญ่เค้าก็ยังทำงานทำการกันอยู่ จะไปรบกวนให้ใครลางานมาเป็นเพื่อนเราไปโน่นนี่คงจะไม่ดี

วันนี้ต้องทำใจกล้ามากที่จะต้องไปวัดหลวงพ่อเพียงลำพัง  ศึกษาเส้นทางคร่าวๆจาก youtube ก่อนจะทบทวนเส้นทางใน Google Map ก่อนว่าประมาณไหน  พร้อมกับบอกทางบ้านเสียหน่อยว่าไปไหน หากเกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนตามถูก5555

โชคดีที่จากบ้านผู้เขียนไปวัดหลวงพ่อโสธรไม่ได้ยากเย็นอะไรค่ะ  อาจจะมีรถติดเล็กน้อยช่วงห้าแยกมีนบุรี  จากนั้นไปก็ขับไปตรงๆประมาณสามสิบกิโล  ขับรถสบายเลยค่ะ ทำให้รู้ว่ารถเรายังดีอยู่นะเนี่ย  ถึงแม้ไม่ค่อยจะได้ขับไปไหนไกล  เสียงเครื่องยนตร์ยังเบา และเครื่องปรับอากาศยังทำงานได้ดี  ขนาดว่าอายุรถคือ 12 ปี ทีนี้พอออกจากงานแทบไม่ได้ขับไปไหนมากนัก  รถเลยจอดไว้ส่วนมากค่ะ และนี่เป็นสมบัติชิ้นเดียวของผู้เขียน5555

ถึงทางแยกเข้าจังหวัดฉะเชิงเทราก็ดูป้ายเอาค่ะ  พอเข้าตัวจังหวัดแค่ประมาณห้าร้อยเมตรก็ถึงแยกเลี้ยวขวาทางเข้าวัด  ถนนใหญ่โตมาก  สองข้างทางมีร้านค้ามากมาย แถมมีห้างบิ๊กซีอีกต่างหาก

ทางเข้าจนถึงวัดน่าจะประมาณเกือบสองกิโล  ขับสบายๆค่ะ รถโล่ง เพราะผู้เขียนมาตอนบ่าย กะเวลาเดินทางแล้วน่าจะทันก่อนร้านขายไข่ต้มปิด5555




ไหนๆมาแล้วก็ต้องถวายไข่ต้มค่ะ  ออกแนวมาแก้บนนั่นแหละ  สำหรับที่วัดนี้ดูจะเป็นวัดยอดนิยมตลอดกาลสำหรับการมาบนบานให้สมหวัง  ผู้เขียนเคยมาช่วงเสาร์อาทิตย์(ก่อนโควิทระบาด) ตกใจกับหมู่มหาชนที่มาแก้บนจนแน่นวัด แถมควันธูปควันเทียนก็คละคลุ้งไปหมด หายใจแสบจมูกเลยค่ะ  ต้องเบียดเสียดผู้คนแบบไหล่ชนไหล่ กว่าจะเข้าไปจุดธูปจุดเทียน หรือปิดทององค์หลวงพ่อได้

หลังโควิทระบาดมาคงมีการปรับกระบวนการแก้บน  มีการจัดระเบียบใหม่  งดการจุดธูปจุดเทียน และแยกโซนการวางของแก้บนออกมาด้านนอก ทำให้ชีวิตสาธุชนอย่างผู้เขียนง่ายขึ้นเยอะคะ่

ผู้เขียนคุยกับคนส่งไข่ต้ม  เขาเล่าให้ฟังว่ามีคนต่างชาติและคนไทยสั่งไข่ต้มมาแก้บนกันแบบรายเดือนก็มีค่ะ  แสดงว่าคงสมหวังดังตั้งใจตามสิ่งที่ขอพรเอาไว้  ฟังแล้วก็น่าตื่นเต้น

แถมใครมาแก้บนด้วยตัวเองไม่ได้สามารถโทรสั่งแล้วทางร้านจะดีลกับเจ้าหน้าที่ทางวัดจัดการเรื่องนำของแก้บนมาจัดวาง และทำพิธีสวด พร้อมพิธีลาของแก้บนให้ด้วยอีกต่างหาก  เสร็จแล้วจะบริจาคไข่ต้มให้กับทางวัดไปส่งต่อก็ทำได้

ผู้เขียนก็ดำเนินการตามพิธีการที่คนส่งไข่แนะนำ ตั้งแต่ปอกไข่ต้มวางไว้ 3 ฟอง เปิดขวดน้ำเปล่าและขวดน้ำปลา  กล่าวคาถาตามโพยที่แถมมาพร้อมสรรพ แล้วเข้าไปไหว้ด้านในอุโบสถ ก่อนจะออกมาทำพิธีลาของไหว้  แล้วบริจาคไข่ให้ทางวัด




แวะไปเสี่ยงเซียมซีมาด้วย  แต่ก็ได้ใบที่ทำให้ใจห่อเหี่ยวค่ะ เลยต้องฝากใบเซียมซีไว้กับถังขยะในวัด  เหมือนมีคนเคยบอกว่าเอากลับมาด้วยเดี๋ยวจะโชคไม่ดี

พอดูนาฬิกาแล้วคิดว่าจะรีบเดินทางกลับดีกว่า กลัวว่ารถจะติดตอนเข้ากรุงเทพค่ะ  ไม่ได้แวะดูของตลาดหน้าวัดเลย  อยากจะซื้อพวกของแห้งมาฝากทางบ้านเสียหน่อย  ก็ทำได้แค่ไปบริจาคซื้อกระเบื้องมุงหลังคาให้กับทางวัดค่ะ

ที่จอดรถทางวัดกว้างขวางมาก และมีหลายจุดด้วยคะ่  ทว่าลานเปิดโล่งริมแม่น้ำที่ผู้เขียนไปจอดก็แดดร้อนเหลือหลายค่ะ  ร้อนจนอยากรีบกลับมากกว่าจะอยากไปชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำ  เสียดายเหมือนกันค่ะ อุตส่าห์เตรียมกล้องมากะว่าจะหัดทำ  vlog แบบ video ไว้ลง youtube ก็เลยไม่ได้ถ่ายเลย

การเดินทางกลับก็ราบรื่นดีค่ะ  มีนิดหน่อยที่อยากจะแวะซื้อน้ำปั่นในปั๊มข้างทางก็ดันขับเลยทางเข้าซะอีก 555  

ทุกอย่างก็เอวังด้วยประการละฉะนี้ค่ะ










กุมภาพันธ์ 19, 2568

นางร้ายในนิยาย

 



ช่วงนี้อากาศกลับมาร้อนซะแล้วค่ะ เป็นช่วงเวลาที่แสนจะทรมานจริงๆ สำหรับคนที่ต้องคิดเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมไปจนถึงค่าไฟ

มีเครื่องปรับอากาศแต่ก็ต้องเก็บเอาไว้เปิดตอนช่วงเย็นๆค่ะ เผื่อว่าจะประหยัดค่าไฟได้บ้าง อันนี้ก็ไม่รู้จะจริงไหม แต่น่าจะมีส่วนจริงอยู่หรอกค่ะ

พออากาศไม่เป็นใจ สมองก็ไม่ค่อยแล่น ใช้คำว่าต้องพยายามเข็นนิยายให้ออกได้สัปดาห์ละหนึ่งตอน 5555 ดูจากยอดวิวแล้วก็ฟื้นขึ้นมาหน่อยนึงค่ะ หลังจากกลับมา update ต่อ

ถึงแม้เขียนไปคนอ่านน้อยก็ต้องทำใจ ยังไงก็อยากเขียนอยู่ดี อ้าว...

กะว่าเรื่อง "เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ" จะให้เรื่องราวมันเผ็ดร้อนขึ้นมาอีกสักหน่อย เลยต้องมีนางร้ายสักหนึ่งคน เผื่อจะถูกใจบรรดานักอ่านบ้างนะคะ  เดี๋ยวจะว่าเรื่องเนิบนาบ  ไม่มีอะไรตื่นเต้น

"แสงสกาว" คือนางร้ายนี่แหละค่ะ  แต่ก็กะว่าร้ายพอประมาณ ร้ายแบบเด็กๆก็พอค่ะ  เดี๋ยวโครงเรื่องจะไปกันใหญ่ คือยาวเยอะไปกว่านี้ ที่เขียนมานี่ก็ผิดแผนเยอะอยู่  จะให้สั้นก็ดันกลับมายาวอีกแล้ว


        “ว่าไง ธุระที่สั่งให้ไปจัดการเรียบร้อยดีไหม”  
        เสียงใสแต่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางสวย  หญิงสาวหมุนตัวไปมาหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน อวดเรือนร่างงามให้คนที่นั่งยอบตัวอยู่ด้านล่างได้ชื่นชม
        “คุณหนูหุ่นดีจังเลยค่ะ  มีแต่ผู้ชายตาถั่วเท่านั้นแหละค่ะที่ไม่สนใจ”
        “ใช่ ผู้ชายทั้งโลกนี้จะตาถั่วกันหมดฉันก็ไม่สนหรอก  สนแค่พี่ณะคนเดียวเท่านั้น อย่ามัวแต่มาอวยฉันอยู่เลย ถามว่าเรียบร้อยหรือยัง  ถ้าหนนี้ยังไม่ตอบมาดีๆละก้อ...ได้เห็นดีกัน”
        เหมือนว่าวันนี้แสงสกาวอารมณ์ดีใช้ได้  หล่อนยังอดทนได้อยู่กับการรอคอยคำตอบจากบ่าวผู้ใกล้ชิด 
        “มีหรือจะไม่เรียบร้อยคะ  คุณแสงสั่งอะไรต้องได้สิคะ  จ่ายเงินล่วงหน้าให้มันไปแล้วค่ะ มันว่างานนี้ไม่ได้ยากอะไร คนมันร้อนเงินอยู่ค่ะคุณแสง”
        “เงินสดนะ  ย้ำแล้วว่าทำทุกอย่างเป็นเงินสด เดี๋ยวจะโดนแกะรอยย้อนหลังมาถึงได้”
        “ค่ะ  เงินสดตามที่คุณแสงกำชับ”
        “งั้นก็ดี  ฉันจะได้ไปสนใจเรื่องจะเลือกใส่ชุดไหนไปงานการกุศลของพี่ณะ  ต้องสวยกว่านังเมียเลขานั่นให้ได้  แล้วทุกคนจะได้เห็นว่าใครคู่ควรกับพี่ณะ”
        “ก็ต้องคุณแสงสิคะ  แหม...เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จะยอมให้พลาดไปได้ยังไง”  บ่าวใกล้ชิดไม่วายช่วยสอพลอ เมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวไม่ยอมปล่อยวางจากณทัต  ทั้งที่เขาก็เข้าพิธีแต่งงานกับคนอื่นไปตั้งหลายเดือนแล้ว แสงสกาวยังคงวนเวียนอยู่กับแผนการที่จะแย่งเขากลับมาให้จงได้


สำหรับ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" ที่จริงก็มีนางร้ายประจำเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ  ไม่ได้ร้ายอะไรมากกมาย เพราะต้องคุมโทนเรื่องให้เป็น feelgood 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะชำนาญกับการเขียนนิยายได้ซะทีค่ะ  คือการคิดรายละเอียดในแต่ละตอนนี่มันยาก ถึงยากมาก เพราะว่าไม่ใช่แค่มองมุมแคบว่าในตอนนั้นๆจะให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างไร แต่ต้องคิดถึงภาพรวมด้วยว่าใส่รายละเอียดแบบนี้ลงไปแล้วจะมีผลต่อตอนอื่นๆหรือไม่ เช่น ขัดแย้งกับภูมิหลังตัวละครที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นการรื้อแก้ใหม่จะทำได้ยากมาก เพราะมันจะผูกพันโยงกันให้วุ่นเหมือนปมเชือกเลยค่ะ

พอตั้งใจคิดแบบละเอียดๆมันเลยปวดหัวและเหนื่อยมาก ฮ่าาาา เลยเขียนได้ช้าาาาค่ะ

หวังว่าคนรออ่านจะเข้าใจนะคะ  เอ...แล้วนักเขียนคนอื่นเป็นเหมือนกันมั้ย

ยิ่งเรื่องหน้ากะว่าจะให้ท้าทายตัวเองกว่าเดิมด้วยการเป็นนิยายรักแฟนตาซี  โอ้โห...ปวดหัวหนักกว่านี้แน่นอน

เอาเป็นว่ารอติดตามกันต่อไปนะคะ



เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 





กุมภาพันธ์ 05, 2568

กลับมาเขียนต่อค่ะ นิยายของผู้เขียน

 



ในที่สุดก็ไปไหนไม่รอด  กลับมาเขียนนิยายต่อค่ะ หลังจากหยุดไปเดือนกว่าๆกระมัง...

ก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่ซับซ้อน คือรู้สึกว่าทำอะไรไม่เสร็จไม่ได้ 555 เริ่มแล้วต้องสู้ต่อให้สุดทาง แล้วก็มีความคันไม้คันมืออยากเขียน ก็คนมันชอบเขียน

ตอนนี้นักอ่านที่เคยตามอ่านหายไปหมดเลยค่ะ 555

หัวเราะอย่างเศร้าๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เป็นสิ่งที่เข้าใจดีค่ะ

เอารูปนางเอกยืนหน้าคฤหาสถ์ฟ้าเทียมดินมาแปะไว้ดู  จะได้มีอารมณ์ต่อเนื่อง ว่าเขียนถึงไหนแล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ  รอบนี้ทำโครงสร้างหรือทำ plot เอาไว้อย่างดี ไม่มีหลุด

ว่าแล้วจะแทรกเรื่องรักๆของรุ่นพ่อพระเอกก็แทรกไม่ถนัดค่ะ  เพราะไม่รู้จะแทรกตรงไหนดี  เรื่องก็ต้องเดินต่อ กะว่าเรื่องนี้จะเดินเรื่องให้เร็วกว่าเดิม  เรื่องก่อนหน้านี้เหมือนจะบรรยายเยอะ (แต่ชอบแบบนั้นนะ) 

เรื่องนี้พยายามเดินเรื่องกระชับขึ้น กลับทำให้ผู้เขียนค่อนข้างอึดอัดมาก 5555

เดี๋ยวก็รู้ ต้องตามอ่านกันต่อไปนะคะ  ตอนนี้น่าจะมาถึงหนึ่งในสามของเรื่อง มีเวลาให้เวิ่นเว้ออีกนานนนน+




               ภัสรวินทร์รวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันเป็นสัญญาณว่ามื้อเย็นนี้สิ้นสุดลง อนงค์ยืนมองอยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ เพียงมองมาเฉยๆ แต่บ่าวผู้น้อยอีกคนอดจะะมีคำพูดที่แสดงความเห็นเล็กๆน้อยๆบ้างไม่ได้
               “กับข้าวไม่ถูกปากหรือเปล่าคะ ทานน้อยจังวันนี้”
               “อืมห์ ก็เปล่านะ วันนี้เอางานกลับมาทำต่อน่ะ ก็เลยอยากจะรีบขึ้นข้างบน”
               “คุณภัสนี่ขยันจังค่ะ หนูเห็นเอางานกลับมาบ้านตลอดเลย ถ้าเป็นหนูน่ะ ถึงบ้านคงไม่เอาด้วยแล้ว”
               “ขยันอะไรกัน อาจจะสนุกมากกว่า” นายผู้หญิงของบ้านยิ้มกับสาวใช้ด้วยความเป็นกันเอง “แล้วคุณวาคินกับคุณปู่...”
               “ทั้งสองท่านรับเรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” เสียงแม่บ้านใหญ่แทรกขึ้นมากลางอากาศ แม้                 น้ำเสียงจะออกแข็งๆอยู่บ้างแต่นั่นก็เป็นนิสัยที่ออกจะเจ้ายศเจ้าอย่างของอนงค์ รับรู้ได้ว่าเป็นคนรักษาวินัยในการทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี  ถึงได้รีบออกรับเมื่อถูกอ้างอิงถึง
               มาถึงป่านนี้แล้วภัสรวินทร์ก็ยังไม่กล้าเรียกวาคินว่า “คุณพ่อ”...
              ยังไม่ทันขาดคำ วาคินก็เดินออกมาพอดี  เขามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย หยุดมองดูวงสนทนาของคนในบ้านก่อนจะทัก  “ว่าไง...ไอ้ณะล่ะ ไปไหน หล่อนกินข้าวคนเดียวตามเคยสินะ”
             “คุณณะมีทานเลี้ยงกับคู่ค่าใหม่ค่ะคุณ...คุณวาคิน”
             “อ้อ...งั้นเหรอ” วาคินทำท่ารับรู้ “เธอคงชินกับการกินข้าวคนเดียวแล้วล่ะสิ บ้านนี้ก็เป็นแบบนี้ละ อยู่ด้วยกันเหมือนไม่ได้อยู่ ต่างคนต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ อิสระดีไหม หรือว่าหล่อนไม่เคยอยู่แบบนี้มาก่อน”
             หล่อนชักไม่แน่ใจว่านี่คือการชวนให้สนทนาด้วย หรือการพยายามระบายความในใจบางอย่างของวาคิน
            “ที่บ้านภัสก็ไม่ได้ทานข้าวร่วมโต๊ะพร้อมกันค่ะ คือภัสต้องทำงาน กับวี เอ่อ...น้องสาวก็ต้องไปเรียน”
            “จริงสิ...วันไหนสักวันควรต้องชวนแม่กับน้องเธอมาทานข้าวที่บ้านนี้กันบ้าง  เจอหน้ากันแวบเดียวตั้งแต่วันแต่ง จนฉันเกือบจะลืมไปแล้วว่าเธอมีน้องสาวอยู่อีกคน”



แปะบางส่วนมาให้อ่านกันเล่นๆค่ะ เผื่อบางคนจะอยากอ่านต่อ ไปตามอ่านได้นะคะ





เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 


มกราคม 26, 2568

การจากไปของฤดูหนาว และแด่เธอ

 


วันนี้อากาศเริ่มจะอุ่นๆขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสายแล้วค่ะ  เป็นสัญญาณว่าฤดูหนาวกำลังจะเดินจากไปแล้ว  และแน่นอน...มันย่อมเป็นเช่นนี้แหละ  ปลายเดือนมกราคม 2568 ก็กำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว  จนเพิ่งจะนึกได้ว่าเราเพิ่งฉลองปีใหม่กันไปไม่นานนี่เอง

สัปดาห์หน้าจะเข้าเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความรักจะมา อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นวันสงกรานต์ ซ้ำไปซ้ำมาอีกรอบหนึ่ง แล้วชีวิตเราเหลือเวลาอีกเท่าไหร่...ไม่รู้เหมือนกัน

วันนี้ได้ข่าวเศร้าอีกว่าแม่สามสีหญิงแกร่งจากไปดาวแมวอีกตัวแล้ว

เพิ่งจะได้คุยเล่นเมื่อวานนี้ ได้ให้อาหารเม็ดน้องไป น้องกินอย่างเอร็ดอร่อย...ชื่นใจคนให้  ลูบหัวลูบตัวน้องได้เพราะคุ้นเคยกันแม้ไม่ได้เป็นแมวเลี้ยง น้องเป็นแมวข้างบ้านที่เค้าให้ที่อยู่แต่ก็ไม่ได้ให้อาหารเป็นประจำ

น้องจากไป ตัวแข็งนอนอยู่หน้าพุ่มไม้ บนหน้ามีรอยโดนกัด ยังมีเลือดให้เห็นอยู่ คุณพ่อของผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ตอนพบน้องเมื่อเช้านี้เองค่ะ น่าจะโดนงูพิษกัด เห็นตัวแข็ง แล้วกำลังจะถูกเงามืดในโพรงหญ้าพยายามจะลากน้องเข้าไป  คุณพ่อเลยดึงร่างน้องออกมาแล้วนำไปฝังแล้วค่ะ

ผู้เขียนก็เศร้าเลย...แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงมาเอง แต่ก็เห็นกันบ่อยๆ และให้ข้าวน้องกิน เพราะน้องมาร้องขอข้าวกิน ซึ่งน้องไม่ได้มาหาทุกวัน แม่สามสีเค้าเป็นสาวรักอิสระ  เอาตัวรอดเก่ง เพราะว่าต้องหากินเองมาตลอด อยู่มาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่ง  นางเป็นแมวเพศเมียตัวเดียวในบริเวณนี้ค่ะ  คลอดลูกไปหลายครอกแล้ว 

อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าแม่สามสีเคยพาซัมเมอร์มาเลี้ยงที่ระเบียง ช่วงนั้นก็เลยได้เลี้ยงแม่สามสีกับซัมเมอร์อยู่หลายเดือนค่ะ  นางก็เลยเชื่องกับผู้เขียน

ล่าสุดนางคลอดลูกมาอีก ข้างบ้านเค้าบอกเลี้ยงไม่ไหว เพราะเป็นคนแก่อายุเก้าสิบกว่าๆแล้ว บอกฝากให้ผู้เขียนเลี้ยงให้หน่อย อ้าว...

มาสูตรเดิมค่ะ คือพอลูกอายุได้สักสามเดือนแม่สามสีแกจะทิ้งลูก คือกัดลูกตัวเองประมาณนั้น  พอผู้เขียนเอามาช่วยเลี้ยงแม่สามสีก็ไม่มายุ่งค่ะ  แค่นั่งมองๆจากข้างบ้าน

แม่สามสีเดินไปไหนเหมือนถูกรังเกียจค่ะ เพราะว่าเป็นตัวเมีย  มีแต่คนกลัวว่าจะมาคลอดลูก สร้างภาระให้ ...ก็น่าสงสารนะคะ...ผู้เขียนสงสารแม่สามสี  นางเป็นแมวที่ไม่ได้อยู่ติดบ้าน ออกไปหากินเอง ความเสี่ยงต่างๆมีมากมาย  นางก็ใช้ชีวิตตามธรรมชาติแมว มีแฟน แล้วก็มีลูก วนๆไปค่ะ

หวังว่านางกลับไปอยู่ดาวแมวแล้วชีวิตจะดีกว่า  ผู้เขียนคิดถึงนางจังค่ะ  นั่งดูรูปเก่าๆตอนสมัยนางมาอยู่ที่บ้าน  ส่วนเจ้าสองตัวลูกครอกสุดท้ายของแม่สามสีก็อยู่กับผู้เขียนค่ะ  ดูซึมๆลงไปไม่รู้ว่าเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้น

ส่วนศรีส้มเค้าเป็นแฟนของแม่สามสี  เมื่อเช้าก็ไปเดินดมๆอยู่แถวร่างไร้วิญญาญของแม่สามสี  คงจะรับรู้แล้วว่าแม่สามสีไปแล้ว  ก็จากศรีส้มไปอีกแล้ว...ส้มเอ๊ย  เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา....

วันนี้บรรยากาศเงียบจริงๆค่ะ  มันเศร้า 

ไว้วันหลังจะเล่าความรักของศรีส้มกับแม่สามสีให้ฟังนะคะ  เฮ้อ...

ความคิดถึงนี่มันเป็นความทุกข์อย่างนึง


แม่สามสีเอ๊ย หมดเวรหมดกรรมแล้วนะลูก...ไปดีนะ


ลาก่อน...แล้ววันหนึ่งเราอาจได้พบกัน


มกราคม 08, 2568

คืนวันเดิม ใน พ.ศ. ใหม่

 



เปิดปี 2568 มาเรียบร้อย ความรู้สึกมันก็เหมือนวันคืนเดินผ่านไปด้วยจังหวะเดิมๆ  ตื่นนอน  เตรียมอาหาร ทำงาน เก็บล้างข้าวของ ทำงาน เก็บล้างอีก ทำงานอีก...

หลายคนชอบคิดว่าวัยเกษียณน่าจะว่าง มีเวลาเยอะ ที่จริงก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ลองนั่งสังเกตตัวเองพบว่าเวลาหมดไปกับการจัดการภาระส่วนตัวค่อนข้างเยอะ เช่น พวกการเตรียมอาหาร การจัดเก็บล้าง การทำความสะอาดต่างๆ ทำให้ไม่ได้นั่งทำงานได้เยอะเท่าตอนทำงานบริษัท

แต่ละวันมันต้องมีการคิดว่าจะทานอะไร  นี่ขนาดว่าไม่ได้ทำอาหารทานเอง อาศัยสั่งอาหารบ้าง ซื้อสำเร็จรูปบ้าง ก็ยังต้องใช้เวลาไปกับการเตรียม การเก็บล้างอยู่ดีนะคะ พวกงานซักล้างนี่ก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน  ตอนยังทำงานบริษัทไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เพราะสามารถไปจ้างซักรีดได้ ด้วยมีรายได้สม่ำเสมอมาหล่อเลี้ยง 

ตั้งแต่ไม่ได้มีรายได้555 เอ๊ย เรียกว่ารายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ก็แปลว่าอะไรที่เคยจ้างก็ต้องหันมาทำเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายค่ะ

กลายเป็นว่าเวลาที่จะนำมาสร้างเงินก็ต้องลดน้อยลงไป  ด้วยเวลามีก้อนยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าเเดิม 

คิดดูแล้วว่าคงต้องหาวิธีในการสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างรายได้ต่อไป คงไม่ยอมจะให้ชีวิตค่อนข้างจะต้องอยู่แบบเจียมตัวอย่างนี้ตลอด

ชีวิตหลังเกษียณที่ยังต้องทำงานหารายได้อยู่  ที่จริงมันก็เหมือนเควสอะไรซักอย่าง ที่เราต้องเอาชนะมันให้ได้ค่ะ เควสหรือ mission อันนี้ท้าทายความสามารถของตัวเราเอง ไม่ได้ต่างอะไรกับเมื่อตอนเราเริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นเรานั่งคิดอยู่ตลอดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงดี  ไม่มีใครบอกแนวทางเท่าไหร่  หรือบอกเราก็ไม่เชื่อ5555 เพราะรู้ว่าสูตรสำเร็จของแต่ละคนย่อมแตกต่างไปตามยุคสมัยและสภาพแวดล้อม

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผู้เขียนยึดมั่นมาตลอดชีวิต  มันก็เป็นคำพูดบ้านๆง่ายๆ นะคะ 

ทุกวันนี้ก็ยังทำต่อไปค่ะ 

ชีวิต phase สุดท้ายล่ะค่ะ คือแก่ชราอย่างมั่นคง มีความสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต

เฮ้อ...รู้สึกว่าวันนี้เขียนไม่ค่อยจะออก 5555

จบก่อนดีกว่า