กุมภาพันธ์ 19, 2568

นางร้ายในนิยาย

 



ช่วงนี้อากาศกลับมาร้อนซะแล้วค่ะ เป็นช่วงเวลาที่แสนจะทรมานจริงๆ สำหรับคนที่ต้องคิดเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมไปจนถึงค่าไฟ

มีเครื่องปรับอากาศแต่ก็ต้องเก็บเอาไว้เปิดตอนช่วงเย็นๆค่ะ เผื่อว่าจะประหยัดค่าไฟได้บ้าง อันนี้ก็ไม่รู้จะจริงไหม แต่น่าจะมีส่วนจริงอยู่หรอกค่ะ

พออากาศไม่เป็นใจ สมองก็ไม่ค่อยแล่น ใช้คำว่าต้องพยายามเข็นนิยายให้ออกได้สัปดาห์ละหนึ่งตอน 5555 ดูจากยอดวิวแล้วก็ฟื้นขึ้นมาหน่อยนึงค่ะ หลังจากกลับมา update ต่อ

ถึงแม้เขียนไปคนอ่านน้อยก็ต้องทำใจ ยังไงก็อยากเขียนอยู่ดี อ้าว...

กะว่าเรื่อง "เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ" จะให้เรื่องราวมันเผ็ดร้อนขึ้นมาอีกสักหน่อย เลยต้องมีนางร้ายสักหนึ่งคน เผื่อจะถูกใจบรรดานักอ่านบ้างนะคะ  เดี๋ยวจะว่าเรื่องเนิบนาบ  ไม่มีอะไรตื่นเต้น

"แสงสกาว" คือนางร้ายนี่แหละค่ะ  แต่ก็กะว่าร้ายพอประมาณ ร้ายแบบเด็กๆก็พอค่ะ  เดี๋ยวโครงเรื่องจะไปกันใหญ่ คือยาวเยอะไปกว่านี้ ที่เขียนมานี่ก็ผิดแผนเยอะอยู่  จะให้สั้นก็ดันกลับมายาวอีกแล้ว


        “ว่าไง ธุระที่สั่งให้ไปจัดการเรียบร้อยดีไหม”  
        เสียงใสแต่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางสวย  หญิงสาวหมุนตัวไปมาหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน อวดเรือนร่างงามให้คนที่นั่งยอบตัวอยู่ด้านล่างได้ชื่นชม
        “คุณหนูหุ่นดีจังเลยค่ะ  มีแต่ผู้ชายตาถั่วเท่านั้นแหละค่ะที่ไม่สนใจ”
        “ใช่ ผู้ชายทั้งโลกนี้จะตาถั่วกันหมดฉันก็ไม่สนหรอก  สนแค่พี่ณะคนเดียวเท่านั้น อย่ามัวแต่มาอวยฉันอยู่เลย ถามว่าเรียบร้อยหรือยัง  ถ้าหนนี้ยังไม่ตอบมาดีๆละก้อ...ได้เห็นดีกัน”
        เหมือนว่าวันนี้แสงสกาวอารมณ์ดีใช้ได้  หล่อนยังอดทนได้อยู่กับการรอคอยคำตอบจากบ่าวผู้ใกล้ชิด 
        “มีหรือจะไม่เรียบร้อยคะ  คุณแสงสั่งอะไรต้องได้สิคะ  จ่ายเงินล่วงหน้าให้มันไปแล้วค่ะ มันว่างานนี้ไม่ได้ยากอะไร คนมันร้อนเงินอยู่ค่ะคุณแสง”
        “เงินสดนะ  ย้ำแล้วว่าทำทุกอย่างเป็นเงินสด เดี๋ยวจะโดนแกะรอยย้อนหลังมาถึงได้”
        “ค่ะ  เงินสดตามที่คุณแสงกำชับ”
        “งั้นก็ดี  ฉันจะได้ไปสนใจเรื่องจะเลือกใส่ชุดไหนไปงานการกุศลของพี่ณะ  ต้องสวยกว่านังเมียเลขานั่นให้ได้  แล้วทุกคนจะได้เห็นว่าใครคู่ควรกับพี่ณะ”
        “ก็ต้องคุณแสงสิคะ  แหม...เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จะยอมให้พลาดไปได้ยังไง”  บ่าวใกล้ชิดไม่วายช่วยสอพลอ เมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวไม่ยอมปล่อยวางจากณทัต  ทั้งที่เขาก็เข้าพิธีแต่งงานกับคนอื่นไปตั้งหลายเดือนแล้ว แสงสกาวยังคงวนเวียนอยู่กับแผนการที่จะแย่งเขากลับมาให้จงได้


สำหรับ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" ที่จริงก็มีนางร้ายประจำเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ  ไม่ได้ร้ายอะไรมากกมาย เพราะต้องคุมโทนเรื่องให้เป็น feelgood 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะชำนาญกับการเขียนนิยายได้ซะทีค่ะ  คือการคิดรายละเอียดในแต่ละตอนนี่มันยาก ถึงยากมาก เพราะว่าไม่ใช่แค่มองมุมแคบว่าในตอนนั้นๆจะให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างไร แต่ต้องคิดถึงภาพรวมด้วยว่าใส่รายละเอียดแบบนี้ลงไปแล้วจะมีผลต่อตอนอื่นๆหรือไม่ เช่น ขัดแย้งกับภูมิหลังตัวละครที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นการรื้อแก้ใหม่จะทำได้ยากมาก เพราะมันจะผูกพันโยงกันให้วุ่นเหมือนปมเชือกเลยค่ะ

พอตั้งใจคิดแบบละเอียดๆมันเลยปวดหัวและเหนื่อยมาก ฮ่าาาา เลยเขียนได้ช้าาาาค่ะ

หวังว่าคนรออ่านจะเข้าใจนะคะ  เอ...แล้วนักเขียนคนอื่นเป็นเหมือนกันมั้ย

ยิ่งเรื่องหน้ากะว่าจะให้ท้าทายตัวเองกว่าเดิมด้วยการเป็นนิยายรักแฟนตาซี  โอ้โห...ปวดหัวหนักกว่านี้แน่นอน

เอาเป็นว่ารอติดตามกันต่อไปนะคะ



เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 





กุมภาพันธ์ 05, 2568

กลับมาเขียนต่อค่ะ นิยายของผู้เขียน

 



ในที่สุดก็ไปไหนไม่รอด  กลับมาเขียนนิยายต่อค่ะ หลังจากหยุดไปเดือนกว่าๆกระมัง...

ก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่ซับซ้อน คือรู้สึกว่าทำอะไรไม่เสร็จไม่ได้ 555 เริ่มแล้วต้องสู้ต่อให้สุดทาง แล้วก็มีความคันไม้คันมืออยากเขียน ก็คนมันชอบเขียน

ตอนนี้นักอ่านที่เคยตามอ่านหายไปหมดเลยค่ะ 555

หัวเราะอย่างเศร้าๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เป็นสิ่งที่เข้าใจดีค่ะ

เอารูปนางเอกยืนหน้าคฤหาสถ์ฟ้าเทียมดินมาแปะไว้ดู  จะได้มีอารมณ์ต่อเนื่อง ว่าเขียนถึงไหนแล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ  รอบนี้ทำโครงสร้างหรือทำ plot เอาไว้อย่างดี ไม่มีหลุด

ว่าแล้วจะแทรกเรื่องรักๆของรุ่นพ่อพระเอกก็แทรกไม่ถนัดค่ะ  เพราะไม่รู้จะแทรกตรงไหนดี  เรื่องก็ต้องเดินต่อ กะว่าเรื่องนี้จะเดินเรื่องให้เร็วกว่าเดิม  เรื่องก่อนหน้านี้เหมือนจะบรรยายเยอะ (แต่ชอบแบบนั้นนะ) 

เรื่องนี้พยายามเดินเรื่องกระชับขึ้น กลับทำให้ผู้เขียนค่อนข้างอึดอัดมาก 5555

เดี๋ยวก็รู้ ต้องตามอ่านกันต่อไปนะคะ  ตอนนี้น่าจะมาถึงหนึ่งในสามของเรื่อง มีเวลาให้เวิ่นเว้ออีกนานนนน+




               ภัสรวินทร์รวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันเป็นสัญญาณว่ามื้อเย็นนี้สิ้นสุดลง อนงค์ยืนมองอยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ เพียงมองมาเฉยๆ แต่บ่าวผู้น้อยอีกคนอดจะะมีคำพูดที่แสดงความเห็นเล็กๆน้อยๆบ้างไม่ได้
               “กับข้าวไม่ถูกปากหรือเปล่าคะ ทานน้อยจังวันนี้”
               “อืมห์ ก็เปล่านะ วันนี้เอางานกลับมาทำต่อน่ะ ก็เลยอยากจะรีบขึ้นข้างบน”
               “คุณภัสนี่ขยันจังค่ะ หนูเห็นเอางานกลับมาบ้านตลอดเลย ถ้าเป็นหนูน่ะ ถึงบ้านคงไม่เอาด้วยแล้ว”
               “ขยันอะไรกัน อาจจะสนุกมากกว่า” นายผู้หญิงของบ้านยิ้มกับสาวใช้ด้วยความเป็นกันเอง “แล้วคุณวาคินกับคุณปู่...”
               “ทั้งสองท่านรับเรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” เสียงแม่บ้านใหญ่แทรกขึ้นมากลางอากาศ แม้                 น้ำเสียงจะออกแข็งๆอยู่บ้างแต่นั่นก็เป็นนิสัยที่ออกจะเจ้ายศเจ้าอย่างของอนงค์ รับรู้ได้ว่าเป็นคนรักษาวินัยในการทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี  ถึงได้รีบออกรับเมื่อถูกอ้างอิงถึง
               มาถึงป่านนี้แล้วภัสรวินทร์ก็ยังไม่กล้าเรียกวาคินว่า “คุณพ่อ”...
              ยังไม่ทันขาดคำ วาคินก็เดินออกมาพอดี  เขามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย หยุดมองดูวงสนทนาของคนในบ้านก่อนจะทัก  “ว่าไง...ไอ้ณะล่ะ ไปไหน หล่อนกินข้าวคนเดียวตามเคยสินะ”
             “คุณณะมีทานเลี้ยงกับคู่ค่าใหม่ค่ะคุณ...คุณวาคิน”
             “อ้อ...งั้นเหรอ” วาคินทำท่ารับรู้ “เธอคงชินกับการกินข้าวคนเดียวแล้วล่ะสิ บ้านนี้ก็เป็นแบบนี้ละ อยู่ด้วยกันเหมือนไม่ได้อยู่ ต่างคนต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ อิสระดีไหม หรือว่าหล่อนไม่เคยอยู่แบบนี้มาก่อน”
             หล่อนชักไม่แน่ใจว่านี่คือการชวนให้สนทนาด้วย หรือการพยายามระบายความในใจบางอย่างของวาคิน
            “ที่บ้านภัสก็ไม่ได้ทานข้าวร่วมโต๊ะพร้อมกันค่ะ คือภัสต้องทำงาน กับวี เอ่อ...น้องสาวก็ต้องไปเรียน”
            “จริงสิ...วันไหนสักวันควรต้องชวนแม่กับน้องเธอมาทานข้าวที่บ้านนี้กันบ้าง  เจอหน้ากันแวบเดียวตั้งแต่วันแต่ง จนฉันเกือบจะลืมไปแล้วว่าเธอมีน้องสาวอยู่อีกคน”



แปะบางส่วนมาให้อ่านกันเล่นๆค่ะ เผื่อบางคนจะอยากอ่านต่อ ไปตามอ่านได้นะคะ





เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 


มกราคม 26, 2568

การจากไปของฤดูหนาว และแด่เธอ

 


วันนี้อากาศเริ่มจะอุ่นๆขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสายแล้วค่ะ  เป็นสัญญาณว่าฤดูหนาวกำลังจะเดินจากไปแล้ว  และแน่นอน...มันย่อมเป็นเช่นนี้แหละ  ปลายเดือนมกราคม 2568 ก็กำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว  จนเพิ่งจะนึกได้ว่าเราเพิ่งฉลองปีใหม่กันไปไม่นานนี่เอง

สัปดาห์หน้าจะเข้าเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความรักจะมา อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นวันสงกรานต์ ซ้ำไปซ้ำมาอีกรอบหนึ่ง แล้วชีวิตเราเหลือเวลาอีกเท่าไหร่...ไม่รู้เหมือนกัน

วันนี้ได้ข่าวเศร้าอีกว่าแม่สามสีหญิงแกร่งจากไปดาวแมวอีกตัวแล้ว

เพิ่งจะได้คุยเล่นเมื่อวานนี้ ได้ให้อาหารเม็ดน้องไป น้องกินอย่างเอร็ดอร่อย...ชื่นใจคนให้  ลูบหัวลูบตัวน้องได้เพราะคุ้นเคยกันแม้ไม่ได้เป็นแมวเลี้ยง น้องเป็นแมวข้างบ้านที่เค้าให้ที่อยู่แต่ก็ไม่ได้ให้อาหารเป็นประจำ

น้องจากไป ตัวแข็งนอนอยู่หน้าพุ่มไม้ บนหน้ามีรอยโดนกัด ยังมีเลือดให้เห็นอยู่ คุณพ่อของผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ตอนพบน้องเมื่อเช้านี้เองค่ะ น่าจะโดนงูพิษกัด เห็นตัวแข็ง แล้วกำลังจะถูกเงามืดในโพรงหญ้าพยายามจะลากน้องเข้าไป  คุณพ่อเลยดึงร่างน้องออกมาแล้วนำไปฝังแล้วค่ะ

ผู้เขียนก็เศร้าเลย...แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงมาเอง แต่ก็เห็นกันบ่อยๆ และให้ข้าวน้องกิน เพราะน้องมาร้องขอข้าวกิน ซึ่งน้องไม่ได้มาหาทุกวัน แม่สามสีเค้าเป็นสาวรักอิสระ  เอาตัวรอดเก่ง เพราะว่าต้องหากินเองมาตลอด อยู่มาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่ง  นางเป็นแมวเพศเมียตัวเดียวในบริเวณนี้ค่ะ  คลอดลูกไปหลายครอกแล้ว 

อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าแม่สามสีเคยพาซัมเมอร์มาเลี้ยงที่ระเบียง ช่วงนั้นก็เลยได้เลี้ยงแม่สามสีกับซัมเมอร์อยู่หลายเดือนค่ะ  นางก็เลยเชื่องกับผู้เขียน

ล่าสุดนางคลอดลูกมาอีก ข้างบ้านเค้าบอกเลี้ยงไม่ไหว เพราะเป็นคนแก่อายุเก้าสิบกว่าๆแล้ว บอกฝากให้ผู้เขียนเลี้ยงให้หน่อย อ้าว...

มาสูตรเดิมค่ะ คือพอลูกอายุได้สักสามเดือนแม่สามสีแกจะทิ้งลูก คือกัดลูกตัวเองประมาณนั้น  พอผู้เขียนเอามาช่วยเลี้ยงแม่สามสีก็ไม่มายุ่งค่ะ  แค่นั่งมองๆจากข้างบ้าน

แม่สามสีเดินไปไหนเหมือนถูกรังเกียจค่ะ เพราะว่าเป็นตัวเมีย  มีแต่คนกลัวว่าจะมาคลอดลูก สร้างภาระให้ ...ก็น่าสงสารนะคะ...ผู้เขียนสงสารแม่สามสี  นางเป็นแมวที่ไม่ได้อยู่ติดบ้าน ออกไปหากินเอง ความเสี่ยงต่างๆมีมากมาย  นางก็ใช้ชีวิตตามธรรมชาติแมว มีแฟน แล้วก็มีลูก วนๆไปค่ะ

หวังว่านางกลับไปอยู่ดาวแมวแล้วชีวิตจะดีกว่า  ผู้เขียนคิดถึงนางจังค่ะ  นั่งดูรูปเก่าๆตอนสมัยนางมาอยู่ที่บ้าน  ส่วนเจ้าสองตัวลูกครอกสุดท้ายของแม่สามสีก็อยู่กับผู้เขียนค่ะ  ดูซึมๆลงไปไม่รู้ว่าเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้น

ส่วนศรีส้มเค้าเป็นแฟนของแม่สามสี  เมื่อเช้าก็ไปเดินดมๆอยู่แถวร่างไร้วิญญาญของแม่สามสี  คงจะรับรู้แล้วว่าแม่สามสีไปแล้ว  ก็จากศรีส้มไปอีกแล้ว...ส้มเอ๊ย  เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา....

วันนี้บรรยากาศเงียบจริงๆค่ะ  มันเศร้า 

ไว้วันหลังจะเล่าความรักของศรีส้มกับแม่สามสีให้ฟังนะคะ  เฮ้อ...

ความคิดถึงนี่มันเป็นความทุกข์อย่างนึง


แม่สามสีเอ๊ย หมดเวรหมดกรรมแล้วนะลูก...ไปดีนะ


ลาก่อน...แล้ววันหนึ่งเราอาจได้พบกัน


มกราคม 08, 2568

คืนวันเดิม ใน พ.ศ. ใหม่

 



เปิดปี 2568 มาเรียบร้อย ความรู้สึกมันก็เหมือนวันคืนเดินผ่านไปด้วยจังหวะเดิมๆ  ตื่นนอน  เตรียมอาหาร ทำงาน เก็บล้างข้าวของ ทำงาน เก็บล้างอีก ทำงานอีก...

หลายคนชอบคิดว่าวัยเกษียณน่าจะว่าง มีเวลาเยอะ ที่จริงก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ลองนั่งสังเกตตัวเองพบว่าเวลาหมดไปกับการจัดการภาระส่วนตัวค่อนข้างเยอะ เช่น พวกการเตรียมอาหาร การจัดเก็บล้าง การทำความสะอาดต่างๆ ทำให้ไม่ได้นั่งทำงานได้เยอะเท่าตอนทำงานบริษัท

แต่ละวันมันต้องมีการคิดว่าจะทานอะไร  นี่ขนาดว่าไม่ได้ทำอาหารทานเอง อาศัยสั่งอาหารบ้าง ซื้อสำเร็จรูปบ้าง ก็ยังต้องใช้เวลาไปกับการเตรียม การเก็บล้างอยู่ดีนะคะ พวกงานซักล้างนี่ก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน  ตอนยังทำงานบริษัทไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เพราะสามารถไปจ้างซักรีดได้ ด้วยมีรายได้สม่ำเสมอมาหล่อเลี้ยง 

ตั้งแต่ไม่ได้มีรายได้555 เอ๊ย เรียกว่ารายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ก็แปลว่าอะไรที่เคยจ้างก็ต้องหันมาทำเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายค่ะ

กลายเป็นว่าเวลาที่จะนำมาสร้างเงินก็ต้องลดน้อยลงไป  ด้วยเวลามีก้อนยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าเเดิม 

คิดดูแล้วว่าคงต้องหาวิธีในการสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างรายได้ต่อไป คงไม่ยอมจะให้ชีวิตค่อนข้างจะต้องอยู่แบบเจียมตัวอย่างนี้ตลอด

ชีวิตหลังเกษียณที่ยังต้องทำงานหารายได้อยู่  ที่จริงมันก็เหมือนเควสอะไรซักอย่าง ที่เราต้องเอาชนะมันให้ได้ค่ะ เควสหรือ mission อันนี้ท้าทายความสามารถของตัวเราเอง ไม่ได้ต่างอะไรกับเมื่อตอนเราเริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นเรานั่งคิดอยู่ตลอดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงดี  ไม่มีใครบอกแนวทางเท่าไหร่  หรือบอกเราก็ไม่เชื่อ5555 เพราะรู้ว่าสูตรสำเร็จของแต่ละคนย่อมแตกต่างไปตามยุคสมัยและสภาพแวดล้อม

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผู้เขียนยึดมั่นมาตลอดชีวิต  มันก็เป็นคำพูดบ้านๆง่ายๆ นะคะ 

ทุกวันนี้ก็ยังทำต่อไปค่ะ 

ชีวิต phase สุดท้ายล่ะค่ะ คือแก่ชราอย่างมั่นคง มีความสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต

เฮ้อ...รู้สึกว่าวันนี้เขียนไม่ค่อยจะออก 5555

จบก่อนดีกว่า