มิถุนายน 23, 2568

Pre-Order นิยายพิมพ์เล่ม "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว"

 


ฝากนิยายฉบับพิมพ์เล่มเรื่องแรกในชีวิตด้วยนะคะ สั่งซื้อได้ที่ ร้าน BooksCottage บน Shopee ค่ะ

เบื้องหลังการทำงานกับนิยายเรื่องนี้ได้มอบอะไรกับผู้เขียนอย่างมากมาย มีทั้งความสุขและความเหนื่อย เมื่อในที่สุด "ได้ทำ" ก็เลย "ทำได้" ไงล่ะคะ

++++++++++++++++++++

หนังสือใหม่

** ราคาปก ไม่รวมค่าจัดส่งตามนโยบาย shopee **

ขอไม่รับส่งแบบจัดเก็บเงินปลายทาง เพราะหากมีการตีคืน ดูแล้วจะซับซ้อนเกินกำลังจะจัดการได้ค่ะ


#รายละเอียดหนังสือ

-ปกอ่อน กระดาษอาร์ต 260 แกรม
-จำนวนคำ 100,000+ คำ จำนวนหน้า  382 หน้า
-ขนาด A5 / เคลือบด้าน 
-ที่คั่นลายหน้าปก
-ทุกเล่มซีลหุ้มพลาสติก
-พิมพ์จำนวนจำกัด เพราะทุนน้อยและทำนายยอดจองไม่ได้เลย5555 งานนี้ต้องวัดใจอย่างเดียว
-ทำเองเกือบทุกอย่าง นักเขียนมีร่างที่สองเป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์ :) 







มิถุนายน 12, 2568

"ได้ทำ" มาก่อน "ทำได้" เสมอ

 


ช่วงนี้ผู้เขียนก็ยังวุ่นอยู่กับการตรวจพิสูจน์อักษรนิยายที่รอจะพิมพ์เล่มอยู่เหมือนเดิมค่ะ  ทำอะไรอย่างอื่นก็ไม่ค่อยถนัด คอยแต่จะห่วงว่าเมื่อไหร่จะตรวจเสร็จ คือต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมาก ตัวหนังสือที่ปรับเล็กลงมาเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานของเล่มอื่นๆ หลังจากครั้งแรกทำตัวหนังสือค่อนข้างใหญ่ (แต่ก็ไม่รู้ตัว จนเห็นตอนพิมพ์ออกเป็นเล่ม555)

ผู้เขียนนึกภูมิใจเล็กๆว่าอย่างน้อยในปีนี้ 2568 ก็ได้ทำ mission ที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้นานแล้ว ว่าอยากจะมีหนังสือนิยายพิมพ์เล่มสักครั้ง

ตอนได้จับหนังสือตัวเอง ยังรู้สึกปลื้มไม่หายเลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่ต้องจดจำจริงๆ

คราวนี้เลยเกิดมีไฟฮึดสู้ขึ้นมา  อยู่ๆเกิดภาพในหัวสมองว่าฉันอยากมีงานหนังสือของตัวเองออกมาแบบว่าวางเต็มแผงเลย อะไรประมาณนั้นค่ะ คือตั้งใจว่าต้องเขียนให้สำเร็จเป็นเล่มๆอีกหลายเรื่องให้ได้

แล้วภาพในหัวสมองนี่ก็ส่งพลังให้กับผู้เขียนอย่างมาก จากตอนเขียนเรื่องแรก ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว นี่ค่อนข้างโหด คือ เขียนไปบ่นไป เขียนเสร็จเหนื่อยมาก จนแอบมีบางแวบที่คิดว่าจะหยุดลงแค่ตรงนี้ดีไหมเรา...คือ หนทางท่าทางจะอีกยาวไกล แล้วเราจะไปต่อไหวไหมเนี่ย ...เราจะอยู่ได้ไหม  ด้วยการเขียนนิยาย...

คืออ่านใน Social Media คนชอบมาพูดๆกันว่าเดี๋ยวนี้นักเขียนไม่ไส้แห้งเหมือนแต่ก่อนแล้วน่ะนะ พร้อมกับแปะรูปยอดเงินที่ได้  ใครเห็นก็คงตาลุก และเชื่อตาม

คงเหมือนกับหลายอาชีพ ที่หลายคนเห็นว่าคนอื่นทำแล้วรายได้ดี พากันอยากทำบ้าง ซึ่งเส้นทางของแต่ละคนมันก็แตกต่างกัน ทว่า...ตอนนี้มีแต่คนเขียนหนังสือสอนเขียนนิยายออกมาเยอะพอๆกับขายคอร์สสอนเขียนนิยายแหละค่าาา

บางคนน่าจะขายหนังสือวิธีการเขียนนิยายแล้วได้เงินมากกว่านิยายที่เขียนซะอีก

เรื่องพวกนี้เราไปแอบส่องได้ตามพวก E-Marketplace ต่างๆ บางเล่มยอดเขายเป็นพันเล่ม นับว่าเป็นยุครุ่งเรืองโดยแท้

เอาเป็นว่าสุดท้ายผู้เขียนก็ "ได้ทำ" ในสิ่งที่ตั้งใจก็แล้วกันนะคะ ส่วนคำว่า "ทำได้" นั้น ก็ต้องแล้วแต่จะมานั่งตีความ ว่าเป้าหมายคืออะไรกันแน่  หากเป็นเรื่องรายได้ละก็ คงยังห่างไกลจากที่อยากได้ และคิดเรื่องว่าเขียนแล้วเมื่อไหร่จะได้เงินเยอะๆ คิดว่าไม่เกินสามเรื่อง ถ้าเขียนแล้วยังไปไม่รอด...คงหยุดเขียนแน่

แต่สำหรับผู้เขียนคงยังไม่ใช่...

ก็ยังอยากจะเขียนเรื่องราว หรือ นิยาย ที่ส่งต่อพลังบวกให้กับผู้คน สำหรับเล่มแรกที่กำลังจะพิมพ์ออกมานั้น ก็ถือว่าให้คะแนนในเรื่องนี้เต็มสิบไม่หัก  ส่วนแง่อื่นๆ เช่น วิธีการเล่าเรื่อง หรือสำนวนการใช้ภาษา หรืออื่นๆ ขอให้เป็นรสนิยมส่วนตัวของผู้อ่านจะพิจารณาค่ะ หากไม่ชอบประการใดก็ขออภัย  จะขอพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ 

นวนิยายก็เป็นหนึ่งในงานศิลปะที่ต้องใช้ความพากเพียร และการรังสรรค์งานออกมาไม่ต่างไปจากงานวาดภาพ  กว่าจะทำได้ดี หรือเก่ง ก็ต้องใช้เวลาพัฒนางาน  แต่จะเพียงพอต่อการเลี้ยงชีวิตหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ชื่นชอบงานนะคะ  เพราะถ้าไม่มี...ก็คงจะอยู่ลำบากค่ะ

โลกนิยายถือเป็นโลกอีกใบของผู้เขียนละค่ะ  นอกจากงานวาดภาพที่บอกเสมอว่าชอบมากๆแล้ว เห็นจะมีงานเขียนอีกอย่างที่ไม่สามารถขาดไปจากชีวิตได้ ใครอยากรู้ว่าเจ้าของ blog นี้ทำอะไรอยู่บ้าง ก็เลือกอ่านได้ตาม Tab ที่จัดหมวดหมู่คร่าวๆเอาไว้ข้างบนนะคะ 


หากจะพอมีบุญเก่าอยู่บ้าง ก็หวังว่าจะประสบความสำเร็จในสักวัน วันไหนไม่รู้  หวังว่าคุณๆผู้ได้ติดตาม Blog นี้มา จะอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน  รอผู้เขียนมาเล่าประสบการณ์ระหว่างเส้นทางชีวิตให้ฟังกันวันละเล็กละน้อย ว่าสุดท้ายจะไปถึงฝั่งฝันไหม

ที่ผ่านมาทำ Blog  นี้มาก็ไม่ต่ำกว่า 10 ปี ใครที่ขยันย้อนไปอ่านทุกโพสต์จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ  คุณอาจจะได้เห็นภาพบางอย่าง และอาจรู้จักตัวตนของผู้เขียน เพราะสิบปีที่ผ่านมานั้นได้สะท้อนภาพบางส่วน ให้เห็น ว่าเส้นทางของผู้เขียนก็ไม่ได้เข้าสู่การเป็นนักเขียน หรือนักวาด มาตั้งแต่แรก เพียงแต่บอกว่าชอบทำมาตั้งแต่เด็ก และรู้สึกว่าอยากทำอยู่ตลอด

ในที่สุดพอได้ทำ อายุก็ล่วงเลยมาปูนนี้5555 แต่ว่าเราเป็นสายที่เวลาในชีวิตเหลือน้อย อยากทำอะไรต้องรีบทำ จะสำเร็จได้แค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง 

ตอนนี้คือ "ได้ทำ" มันมาก่อน "ทำได้" เสมอไปค่ะ

หวังว่าจะได้ข้อคิดกันนะคะ



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ




มิถุนายน 05, 2568

ฝันที่จับต้องได้ซะที



มาแล้วค่าาา

นิยายฉบับพิมพ์เล่มมาถึงมือผู้เขียนเรียบร้อย มือไม้สั่นเวลาได้จับผลงานตัวเอง นี่คือฝันที่จับต้องได้ค่ะ ไม่อยากจะพูดว่าฝันที่เป็นจริง เพราะว่าประโยคมันเชยยย

โรงพิมพ์นี้ดีงามมาก ทำงานเสร็จตรงเวลาเป๊ะ ผู้เขียนนึกว่าจะบวกวันหยุดเข้าไปทำให้ส่งหนังสือช้าออกไปอีก

ซีลพลาสติกมาให้เรียบร้อย ทำให้หนังสือนิยายหนาๆดูเลอค่ายิ่งขึ้นไปอีก แต่ว่า...จะมีใครอยากซื้อมั้ย

ผู้เขียนตั้งใจจะสั่งพิมพ์จำนวนน้อยๆค่ะ ตามประสานักเขียนตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้โด่งดัง ยังไม่มีแฟนคลับ ขืนสั่งพิมพ์มาเยอะมีหวังลำบาก  ใครอยากได้เอาไว้อ่านก็ขอให้รอไปอีกสักนิด เพราะว่าเล่มที่ผู้เขียนถ่ายรูปโชว์ให้ดูนี่เป็นเล่มที่จะใช้ในการตรวจคำผิดค่ะ 55555

แปลว่าจะเอามาขีดๆเขียนๆ คำที่โปรแกรมตัดตกคำหรือพยัญชนะลงไปอยู่อีกบรรทัด แล้วต้องกลับไปแก้ไขในโปรแกรมให้ถูกต้องอีกทีนึง 

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมคงจะเขียนโดยฝรั่ง ไม่ใช่คนไทย อีกอย่างระบบคำในภาษาไทยก็มีเอกลักษณ์เฉพาะ โปรแกรมมันเก่งด้านจัดหน้าให้สวยงาม ดึงช่องว่างเข้าๆออกๆ เพื่อให้ขอบด้านซ้ายและขวาของหน้าหนังสือตรงกันชนิดที่ว่าเอาไม้บรรทัดทาบเลย  

สรุปว่าต้องตรวจคำผิดรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่

นี่เป็นงานหนักอยู่พอตัวทีเดียว ทำไมไม่ไปจ้างเขาพิสูจน์อักษรล่ะ ตอบได้เลยว่าทำหนังสือเองทั้งหมดแบบนี้ย่อมต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด ค่าพิสูจน์อักษรนั้นไปสืบมาแล้วค่ะ เขาคิดกันหน้าละ 4-5 บาทเลย ลองคำนวณดูว่านิยายมีประมาณสี่ร้อยกว่าหน้าเกือบห้าร้อย ก็ต้องใช้เงินอีกหลักพันล่ะค่ะ



คิดดังนั้นแล้วก็พับแผนการจ้างพิสูจน์อักษรไปก่อนดีกว่า...5555

อะไรที่ไม่อยากจ่ายก็ต้องทำเอง ก็จะทำอย่างดีที่สุดนะคะ  ใครซื้อไปแล้วเจอคำผิดบ้างก็โปรดให้อภัย เพราะว่าอ่านงานตัวเองเผลอๆเป็นร้อยรอบหรือเปล่าก็ไม่รู้  ...คือไม่ได้นับค่ะ...



คือเห็นนักเขียนท่านอื่นเค้าเปิดให้ pre-order ผู้เขียนยังมิกล้าเลย น่ากลัวว่าจะไม่มีใครมาพรีออร์เดอร์กับเรา เพราะทำตัว introvert เกินไป สื่อโซเชียลก็ไม่ค่อยจะ post  เอาเป็นว่าต้องทำตัวให้คนเห็นมากกว่านี้ 

คาดหมายว่าจัดพิมพ์ครั้งที่ 1 จะเป็นการแจกฟรีค่ะ 5555 คือมีความมั่นใจมากว่างานของผู้เขียนมีความสร้างสรรค์และจรรโลงสังคม เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี เพราะไม่มีฉากหวาดเสียว หรือฉากที่ไม่เหมาะสำหรับเยาวชน อาจพบเห็นนิยายเล่มนี้ได้ตามห้องสมุดประชาชนนะคะ

ประมาณเดือนกรกฎาคม 2568 จะเริ่มวางขายบน Shoppee ค่ะ ฝากไปเยี่ยมชมร้านกันได้นะคะ ไม่ซื้อไม่ว่าค่ะ เพราะอย่างน้อยผู้เขียนก็ได้ยอดวิวร้าน ว่าฉันก็มีคนมาดูร้านหรอกน่าาาา  


เอาเป็นว่าขอตัวไปตรวจคำผิดต่อนะคะ ไหนจะต้องปั่นเรื่องที่ยังไม่จบอีก ขอบคุณที่ติดตามค่า

++





แปะ link ไว้ให้ เผื่อใครอยากอ่านนิยายออนไลน์ที่ยังเขียนไม่จบค่ะ

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 

-------------------------------------

หรือสนับสนุนนักเขียนได้ตรงนี้เลยค่ะ : สำหรับนิยายที่เขียนจบแล้ว 

ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book





พฤษภาคม 29, 2568

ชีวิตต้องคิดข้าม Shot

 


Post นี้อยากจะพูดเรื่องการมองข้าม shot หรือการมองชีวิตแบบล่วงหน้า

แม้ว่าจะออกมาจากการทำงานในฐานะมนุษย์ลูกจ้างมาได้หลายปี นับนิ้วก็ประมาณหกปีได้ล่ะค่ะ ก็ยอมรับว่าหลายสิ่งหลายอย่างยังติดอยู่ในความคิด ซึ่งก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับชีวิตอยู่มาก เอามาใช้กับชีวิตได้ค่ะ เช่น เรื่องการมองปัญหาแบบนักบริหาร เป็นต้น

ที่ติดอยู่ในความคิดเพราะในยามนั้นมีหน้าที่ที่ต้องคิดกลยุทธ์ระยะสั้นถึงระยะกลาง หรือ 3-5-8 ปี ให้กับงานด้านการดูแลพนักงาน หมายถึงว่าทำอย่างไรให้พนักงานอยู่ดีมีสุข ทำงานอย่างทุ่มเท และมีความภักดีต่อองค์กร สมัยก่อนชอบใช้คำว่า loyalty มายุคหลังๆเรียก employee engagement 

งานวางแผนจะมานั่งคิดแต่อะไรเฉพาะหน้านั้นคงไม่ได้ เพราะแบบคิดอะไรวันต่อวัน แก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ จบๆไปวันๆ หรือรอให้ปัญหาวิ่งเข้ามาแล้วก็แก้ แบบนั้นไม่ใช่งานของระดับวางแผน

คนทำงานบริหารต้องรู้จักมีจินตนาการซะบ้าง อ้าววววว

คือลองคิดไปข้างหน้า หรือ look ahead มองไปว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นี่นั่นโน่นขึ้นมา ซึ่งเป็นการใช้ความคิดเชิงคาดการณ์ แล้วจะเกิดปัญหา หรือเหตุการณ์ใดตามมาบ้าง แล้วเราจะมีวิธีรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร

นำสิ่งเหล่านั้นมาร่างเป็นแผน หรือโครงการ เพื่อเตรียมการรับมือสิคะ โดยเราไม่ได้ใช้การ "มโน" เอาเองเด็ดขาด

เพราะเราจะเอาจินตนาการไปแถลง หรือ present ต่อหน้าคณะผู้บริหาร มันก็คงจะตลกไปหน่อย

แต่ละคนที่บริษัทจ้างมานั่งประชุมเรื่องแผนงานของบริษัทนี่ก็ค่าตัวไม่ใช่น้อย แถมยังภูมิรู้+ภูมิหลังยังเต็มไปด้วยประสบการณ์อีกต่างหาก ขืนนำเสนออะไรที่ไม่มีข้อมูลมารองรับละก็ ...ถูกปัดตก ไม่ได้รับการอนุมัติงบประมาณแน่นอน

ใช่แล้วค่ะ "ข้อมูล" หรือ data จะต้องถูกนำมาช่วยวิเคราะห์ และ support idea ของเรา

แน่นอนว่าเหล่านี้เมื่อนำมาใช้กับชีวิตจริงหลังเกษียณ ก็ย่อมทำให้เราได้เห็นอะไรหลายอย่าง เป็นต้นว่า ข้อมูลต่างๆในชีวิต เช่น ข้อมูล สถิติด้านสุขภาพ ฯลฯ

ข้อมูลตัวเลขการใช้จ่ายของเรา โดยเฉพาะเรื่อง ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ อย่างเช่น  ค่าอินเตอร์เนต ค่าเช่าโปรแกรมลิขสิทธิ์ เช่น  Microsoft word หรือโปรแกรมต่างๆนานา นี่เราก็ต้องเป็นผู้จ่ายเงินเองนะคะ

หลายคนลืมไปว่าสิ่งเหล่านี้มีค่าใช้จ่าย ตอนทำงานบริษัทอย่านึกว่าใช้ฟรีทีเดียว บริษัทจ่ายให้เป็น license แบบเหมาๆ นี่ปีละหลายสิบล้าน (บริษัทที่ผู้เขียนทำงานมีพนักงานพันกว่าคน) หลายคนใช้แบบใช้ๆไปอย่างนั้น 

หรือ เรื่องการพัฒนาตัวเอง บริษัทหาคอร์สอบรมอะไรมาก็ไม่สนใจจะไปเรียน เหมือนเห็นว่าสิ่งที่บริษัทจัดให้เป็นของตายซะงั้น  อยากบอกว่าพอเกษียณออกมาแล้ว อยากรู้อะไรก็ต้องจ่ายเองทั้งหมดนะคะ  ถ้าทำตัวเป็นคน blank ละก็ ชีวิตจะลำบากค่ะ

ความรู้+ทักษะคืออาวุธ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ยิ่งโลกเดี๋ยวนี้อะไรใหม่ๆมาเร็วมาก ต้องปรับตัวเก่งๆ 

เอไอก็มา แถมมีหลายตัวซะด้วย ก็ต้องหัดใช้ให้เป็นนะคะ  สิ่งเหล่านี้มีไว้เป็นเครื่องมือช่วยให้มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรซ้ำๆซากๆ ถ้าใช้ให้เป็น ก็จะเป็นประโยชน์

ตัดภาพกลับมาค่ะ...

นอกจากค่าใช้จ่ายประเภทโปรแกรมต่างๆนานา ก็ยังต้องมีค่าความรู้ด้วย  ของฟรีมีในโลก หลายคนอาจจะบอก แต่ว่าของดี ของที่คัดมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องจ่ายค่ะ ไม่งั้นเราอาจต้องเสพข้อมูลจำนวนมาก มีทั้งข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และข้อมูลที่ใช้ไม่ได้

สุดท้ายทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดคือ เวลา

คนมักยอมจ่ายเพื่อซื้อเวลา ซื้อความสะดวก ดังนั้นของที่มีคนเสียเวลาไปคัดสรรมาไว้ให้ ก็ต้องจ่ายเงินซื้อค่ะ

ชีวิตคนเราถ้าวางแผนให้ดี มองอะไรไปข้างหน้าเสียหน่อย แต่อย่ามองไกลเกิน และยังต้องเผื่อใจไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงข้างหน้า เพราะไม่รู้อะไรจะเกิด ดูเอาสิคะ ประเทศไทยไม่เคยมีแผ่นดินไหว  ยังมีได้เลย !!!

คิดไปข้างหน้า แต่อย่าเข้าขั้นวิตกกังวล (อันนี้บอกตัวเองเหมือนกันค่ะ5555)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเอาค่าใช้จ่ายที่ยังไม่เกิดมาเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนชีวิตด้วย อย่างที่ยกตัวอย่าง คือค่าใช้โปรแกรมนี่ผู้เขียนคำนวณไปล่วงหน้าหลายปี ว่าหากจะดำรงอยู่ด้วยการเขียนหนังสือ และอยากใช้โปรแกรมเวิร์ดอย่างเดิม จะต้องหาเงินมาจ่ายอีกเท่าไหร่ อันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น ชีวิตจริงผู้เขียนทำงานหลายอย่าง ต้องพึ่งพาซอฟท์แวร์หลายตัวเลยค่ะ

กับอีกสิ่งที่ผู้เขียนทำ คือ ไปหัดใช้โปรแกรมฟรี เช่น โปรแกรมเกี่ยวกับพิมพ์งาน ก็มีของ Google Doc เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะไม่มีเงินจ่ายในสิ่งเหล่านี้เข้าสักวันหรือเปล่า? อย่าให้ถึงวันนั้นเลย ! แต่ยังไงถ้าเกิดวันนั้นมาถึง ผู้เขียนก็ต้องสามารถไปใช้โปรแกรม Google Doc ได้ทันที 

ปีนี้ค่า License Microsoft Office 365 ขึ้นราคามาเกือบแตะปีละ 3,000 บาทแล้วละค่ะ  และบอกไม่ได้ว่าในอนาคตจะมีค่าใช้จ่ายอะไรที่ปรับราคาขึ้นอีกไหม

เมื่อชีวิตคิดข้าม shot ไปแล้ว เราก็จะต้องมาเขียนคล้ายๆ action plan ว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อเตรียมการรองรับ อย่างที่เขียนไปข้างบนเป็นตัวอย่าง ว่าต้องหัดใช้โปรแกรมฟรี เป็นต้นค่ะ

โลกนี้ยังสวยงามอยู่  แต่ก็อย่ามองโลกสวยจนเกินไป ไม่มีแผนสำรองอะไรรองรับชีวิตเลย


หวังว่าผู้อ่านได้อ่าน post นี้แล้วจะไปลองจินตนาการตามผู้เขียนนะคะ ว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดใดๆสักอย่างหนึ่ง เราได้เตรียมการอะไรเผื่อไว้บ้าง

ถ้ายังไม่มี...ก็ลองเขียนออกมาดูคร่าวๆนะคะ  อย่างน้อยซ้อมคิดไว้ก็ยังดีค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน เจอกัน post หน้าค่ะ





แปะ link ไว้ให้ เผื่อใครอยากอ่านนิยายออนไลน์ฝีมือผู้เขียนเองนะคะ :) ยังเขียนไม่จบค่ะ

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 

-------------------------------------

หรือสนับสนุนนักเขียน ด้วยการซื้อ Ebook นิยายได้ตรงนี้เลยค่ะ : 

ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book






พฤษภาคม 15, 2568

ชัยชนะไม่ได้ยั่งยืน

 


ที่จริง "ชัยชนะไม่ได้ยั่งยืน" เป็นชื่อตอนๆหนึ่งใน เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ ค่ะ

ในตอนนี้พระเอกไปเยี่ยมอาการป่วยของคุณเชิดยศ ซึ่งเป็นศัตรูเก่าของตระกูล แต่ทว่าเขาเองไม่ได้อินกับความแค้นเคืองที่สร้างสมกันมาในรุ่นพ่อ  เขาก็เลยไปเยี่ยมด้วยเหตุผลอื่น เช่น ถือว่าคุณเชิดยศเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในธุรกิจเดียวกัน กับอีกเป็นพ่อของแสงสกาว อดีตคนรัก

การได้เห็นภาพผู้ชายแก่ๆที่เคยประสบความสำเร็จ และรุ่งโรจน์ กลายเป็นคนป่วยอาการหนัก แม้แต่จะหายใจยังลำบาก แถมพูดจาเพ้อๆแปลกๆด้วยผลจากยาเข้าไปอีก

เหล่านี้เลยทำให้เขาเร่ิมจะคิด...

คิดว่ากว่าจะได้ความสำเร็จมา ก็ช่างยากลำบาก 

แต่สุดท้ายก็อาจถูกพรากไปเพราะความชรา ความเจ็บป่วย หรือความตาย...ในสักวัน

แล้วที่เขากำลังทำอยู่ทั้งหมดตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่าง คือ วิ่งไล่หาความสำเร็จในทางธุรกิจ 

ที่เคยชนะ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะได้ตลอดไป แล้วนี่ชีวิตจะตอบแทนเขาในแบบไหนกันเล่า?


ในความดรามา...ก็มีการแทรกเอาไว้ด้วยข้อคิดเล็กๆน้อยๆนะคะ  อิอิ นี่ละนิยายในแบบของผู้เขียน  


ส่วนความดราม่าของตัวละครก็ย่อมขาดไม่ได้  เดี๋ยวจะขาดอรรถรสชีวิต ได้แก่ มีการปะทะคารมบ้าง ระหว่างแสงสกาวกับนางเอกของเรา

ตอนนี้นางเอกยังอยู่ในห้วงอารมณ์สับสน กับสิ่งที่พระเอกและเธอได้มีร่วมกัน5555

เฮ้อ...เขียนยากไปอีกแบบนึงล่ะค่ะ แต่ก็ต้องสู้กันต่อไป


ตอนเขียนก็นึกย้อนไปถึงชีวิตผู้เขียนสมัยยังทำงานล่ะค่ะ  ช่วงที่รุ่งโรจน์ของตัวเองก็มีอยู่  สุดท้ายตอนนี้ก็ถือว่าปิดฉากชีวิตลูกจ้างถาวร ความสำเร็จรับรู้ได้จากการยอมรับของเพื่อนร่วมงาน  บริษัท อัตราเงินเดือน และความก้าวหน้าต่างๆ

แล้วมันก้อต้องจบค่ะ  หมายถึงมันต้องผ่านไปอะดิ...มันจะสำเร็จค้ำฟ้าอยู่ได้ไง  ชีวิตต้องเปลี่ยนผ่านสู่ Episode ใหม่ๆ สิคะ

พอพ้นจากอารมณ์ฉันสำเร็จละ ก็ต้องไปไต่ Challenge อันต่อๆไปอีก และสำหรับบัด now คือการฝ่าฟันชีวิตหลังเกษียณที่ไร้บำนาญ  ถ้าอยากจะได้บำนาญต้องหาเอง 55555

นึกๆแล้วคนมีบำนาญนี่ช่างสำราญเสียจริง ผู้เขียนทำงานบริษัทตั้งแต่เรียนยังไม่จบมหาวิทยาลัย (จบสามปีครึ่ง เลยแอบไปทำงานก่อน) 

ทั้งที่ทางบ้านก็เป็นข้าราชการกันหมด ใจกลับไม่เคยคิดไปทำงานราชการเลย อาจเป็นเพราะคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเองแน่  ทีนี้ชีวิตก็ไม่เคยเหลียวมองการทำงานราชการเลย รู้แต่ว่าเงินเดือนไม่เยอะเท่าเอกชน แต่สวัสดิการดี แถมมีบำนาญตอนแก่

ลองคิดดูว่าคนทั่วไปมักจะทำงานกันประมาณ 35 ปี กว่าจะเกษียณ ถ้าทำงานเอกชนเงินเดือนดี ก็เท่ากับว่าจะได้ใช้ชีวิตอู้ฟู่ตอนยังหนุ่มสาว ส่วนยามแก่ก็ตัวใครตัวมันนะคะ ใครวางแผนดี ก็มีสิทธิรอดตอนแก่ค่ะ ใครไม่รู้จักเก็บออมก็จะแย่ตอนเกษียณ

ส่วนคนทำงานราชการ...กลับกัน คือช่วงหนุ่มสาวรายได้ไม่เยอะ ก็ต้องกินอยู่ให้รอบคอบหน่อย ไหนจะถ้าเกิดมีครอบครัว ต้องเลี้ยงลูก ค่าใช้จ่ายอีกมากมาย เรียกได้ว่าอยู่ลำบากนิดนึง รอสบายตอนแก่ค่ะ (รอนานมาก ต้องอดทนถึกสุดๆค่ะ)

เอาเป็นว่าชีวิตมันมีทางออกเสมอล่ะค่ะ อย่าท้อก็แล้วกันนะคะ อ้าว...จบดื้อๆซะงั้น5555



แปะ link ไว้ให้ เผื่อใครอยากอ่านนิยายออนไลน์เรื่องนี้นะคะ :) ยังเขียนไม่จบค่ะ

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 

-------------------------------------

หรือสนับสนุนนักเขียนได้ตรงนี้เลยค่ะ : 

ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book





พฤษภาคม 08, 2568

อยากทำอะไร ก็จงรีบทำซะ !

 


ว่าแล้วผู้เขียนก็ได้ลองทำ podcast ซะทีค่ะ หลังจากอัดเสียงเอาไว้นานแล้ว ได้เวลาที่ทักษะการใช้โปรแกรมต่างๆนานาจะเข้าที่เข้าทาง ถึงได้เอามาตัดต่อเป็นคลิปเสียงได้สำเร็จ

มันไม่ใช่แค่การพูดใส่โทรศัพท์แล้วอัดออกมาเป็นเสียงแน่นอน เพราะว่าต้องคิดตั้งต้นใหม่ว่าจะทำเกี่ยวกับเรื่องอะไร แล้วเนื้อหาแบบนี้จะมีประโยชน์กับคนฟังมั้ย

ไหนจะต้องทำให้คลิปมันมีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆ มีดนตรีแทรกๆ อะไรทำนองนั้นล่ะค่ะ

ที่สำคัญ คือ จะสามารถแตกหน่อเป็นคลิปต่อๆไปได้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่ามีแค่ไม่กี่คลิป

อันหลังนี่เป็นเรื่องยากค่ะ  คอนเทนต์มากมายในโลกนี้เหมือนจะมีเยอะ แต่พอมาคิดลงมือทำจริงๆแล้ว ทำไมมักจะคิดไม่ออก ทำไปๆแล้วก็ตันขึ้นมา  

สรุปว่าสิ่งที่พอจะทำต่อไปได้อีกสักหน่อย คือเรื่องราวเกี่ยวกับการวาดรูปนี่ล่ะค่ะ อยากเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับการเดินทางส่วนตัว หมายถึงเส้นทางการเรียนรู้ของตัวเองมาเล่าให้ฟังแบบสบายๆ

สิ่งที่อยู่กับผู้เเขียนมาตลอดก็คือการวาดรูปนี่ล่ะ

หรือเรื่องเขียนหนังสือ-เขียนนิยาย นี่ก็อยากจะทำเป็น podcast ด้วยเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะไม่มีคนฟังน่ะสิคะ 55555

ตอนนี้ใครอยากฟังเสียงจริง ตัวจริง ของผู้เขียนก็ตามไปฟัง podcast กันได้นะคะ 

ถือว่าเป็นการเปิดฤกษ์ อยากทำอะไรก็ต้องรีบทำ ชีวิตมันเหลือน้อย 

ที่ว่าเหลือน้อยไม่ใช่ว่าจะรีบหายไปไหนหรอกนะคะ  กำลังจะบอกว่าไม่มีใครรู้วันข้างหน้า นี่เป็นสัจธรรม เช่นนั้นแล้วดันเกิดมาเป็นคนชอบสร้างสรรค์ ทำโน่นนี่เยอะแยะไปหมด  เลยต้องรีบทำ ก่อนสังขารจะค่อยๆโรยราไปกว่านี้

ไม่อยากเสียใจในภายหลัง  ว่ารู้งี้...

ชีวิตถึงได้ค่อนข้างจะสนุกในทุกวัน  ได้ทำอะไรใหม่ๆตลอด ที่จริงคือจะได้ไม่เอาใจไปนึกถึงแต่ปัญหาไงคะ  ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา  ก็มีเรื่องแย่ๆในชีวิตเหมือนกับคนทั่วไปนั่นละค่ะ  เรื่องใหญ่ก็เห็นจะเป็นเรื่องทำมาหากิน  เพราะว่าช่างยากเย็น ใช้จ่ายมากกว่าหาได้ ทั้งที่ก็ประหยัดจนตัวลีบไปหมดแล้วเนี่ย5555

ฝากขอบคุณนักอ่านประมาณ 2 ท่าน ที่คอยสนับสนุนจ่ายเหรียญให้  เพื่ออ่านนิยายรายตอนล่วงหน้า  แม้ว่าเงินที่ได้จะไม่มากมาย แต่กำลังใจนั้นท่วมท้นนนน

และผู้เขียนก็ปลื้มใจมาก ที่มีคนยอมจ่ายเงินเพื่อจะอ่านนิยายเรื่องนี้ :)



เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ


อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 





ส่วนใครอยากฟังเสียงของผู้เขียนก็ตามไปฟังกันได้ตามด้านล่างค่าาาาาา


แล้วเจอกันใหม่ใน post หน้าค่ะ





พฤษภาคม 01, 2568

ชวนฟังเพลงประกอบนิยาย [Original Soundtrack รู้ไหมเราคือคู่กัน]

 



ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว คือ นิยายที่ผู้เขียนปิดเล่มเขียนจบไปตั้งแต่ กันยายน ปี 2567 นี่เองค่ะ  ในตอนนั้นก็เหนื่อยมาก อยากจะหยุดพักไปยาวๆ แต่ก็คิดได้ว่าหายไปนานเดี๋ยวจะโดนอัลกอริทึ่มของ platform นิยายออนไลน์หักคะแนน แล้วแอบลดการมองเห็น โอ๊ย...อย่างกับว่าทำอะไรไม่ถูกใจระบบ. ก็จะต้องโดนลงโทษประมาณนั้น

สรุปว่ากลับมาเขียนเรื่องใหม่ต่อหลังจากพักไปแค่สามสี่เดือน ที่จริงไม่ได้พักเท่าไหร่ เพราะเดือนที่สามก็ต้องหาข้อมูลเตรียมเขียนเรื่องใหม่

ทว่าผู้เขียนยังรู้สึกอิ่มเอมใจกับตอนจบ และความแฮบปี้เอนดิ้งแบบที่ถูกใจคนเขียนมากๆ  คือถึงแม้ระหว่างเขียนจะต้องใช้ความพยายามมากมาย แต่พอทำสำเร็จตามตั้งใจ ก็มีความสุขล่ะค่ะ

อยากจะให้มีคนไปอ่านกันมากๆ แต่ก็มีประมาณหนึ่งละค่ะ ไม่ได้มากมายเท่านิยายจีนหรือนิยายวาย 

พอคิดถึงตัวละครในเรื่องก็เลยบันดาลใจให้เขียนเนื้อเพลงออกมาได้ 3-4 เพลงเลยแหละค่ะ  มีความบังเอิญอีกว่ามีโอกาสได้ทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่เก่งเรื่องดนตรี  ก็เลยทดลองเอาเนื้อเพลงไปใส่ทำนองและเสียงร้องค่ะ  

ปรากฎว่าถูกใจคนเขียนมากกก  (แบบว่ามันลงตัวทุกอย่าง)

ถึงแม้เสียงนักร้องนำจะออกเสียงภาษาไทยไม่ค่อยชัดในบางคำ  แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าออกมาดีมากค่ะ

ตอนนี้ยังรอทำคลิปวีดีโอประกอบเพลงอยู่อีก 3 เพลง ปล่อยเพลง Soulmate รู้ไหมเราคือคู่กัน ออกมาให้ลองฟังกันเป็นเพลงแรก

ขอให้มีความสุขกับเสียงเพลงนะคะ และอย่าลืมไปอ่านนิยายด้วย จะได้อินกับตัวละคร เพลงนี้ผู้เขียนแต่งให้ "อาโรม" พระเอกของเรื่องที่แสนจะ introvert 

รบกวนกด like ให้คนละครั้งก็ยังดีนะคะ  กด subscribe ยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ :)



https://youtu.be/MJ-t1XcHok8?si=kU-vrDY-mz5shF16


ขอบคุณที่ติดตามค่าาา





--------------------------------------

สนับสนุนนักเขียนได้ตรงนี้เลยค่ะ : 

ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book




หรือเลือกอ่านรายตอน บน Apps ค่ะ 












เมษายน 24, 2568

เหตุที่ต้องมีเพลงประกอบนิยายของตัวเอง

 


จริงๆแล้วถ้าใครได้เคยอ่านนิยายของผู้เขียน "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" จะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องดนตรีอยู่หลายประการเหมือนกันค่ะ

อันแรก พระเอกเป็นนักเปียโนระดับรางวัลเหรียญทอง แต่ด้วยทางบ้านอาชีพทหารมาตั้งแต่รุ่นปู่จนรุ่นพ่อ เขาจึงถูกหล่อหลอมให้เป็นทหารมากกว่าจะเป็นนักดนตรี เรื่องดนตรีกลายเป็นงานอดิเรก และสิ่งที่เขารัก ยิ่งไปกว่านั้น ดนตรีชักพาให้เขาพบรักกับ 'อริญญา' ซึ่งตอนหลังคบกันได้ไม่นานก็มีอันต้องแยกจากกันไป ทิ้งรอยแผลเอาไว้ในใจพระเอก

อันที่สอง  อริญญาที่เป็นแฟนเก่าพระเอก ก็เป็นนักเปียโนสาวพรสวรรค์ เธอมีเป้าหมายแรงกล้าจะเป็นนักเปียโนหญิงเดี่ยวระดับสากล ดังนั้นจึงสอบชิงทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีโดยเฉพาะ แล้วก็ขอเลิกรากับพระเอกไงล่ะคะ

อันที่สาม  ในนิยายกล่าวถึงเพลง น้ำเซาะทราย ซึ่งเพลงนี้มีอยู่จริง เป็นเพลงที่ไพเราะมากเลยค่ะ  ทั้งเนื้อร้องและทำนอง รวมทั้งดนตรีประกอบ การกล่าวถึงเนื้อเพลงโดยนำมาเป็นส่วนหนึ่งของนิยายอยู่หลายตอน ทำให้ผู้เขียนเกิดความไม่มั่นใจในภายหลังที่เขียนนิยายจบไปแล้ว  ว่าจะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์หรือเปล่านะ ถึงแม้จะมีการอ้างอิง ให้เครดิตกับผู้สร้างสรรค์เพลงนี้อย่างชัดเจนใน footnote แล้วก็ตาม

ต่อมานิยายกำลังจะพิมพ์เป็นเล่ม พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง ผู้เขียนยิ่งกังวลมากขึ้น เพราะมันชักจะออกแนวนำไปใช้เชิงพาณิชย์ซะแล้วสิ  ขนาดภาพปกนิยาย ผู้เขียนยังสู้งบด้วยการไปจ้างนักวาดมาวาดปกไม่ไหว  แล้วนี่หากมีปัญหาเกี่ยวกับเนื้อเพลงขึ้นมาคงจะรับความเสียหายไม่ไหวแน่

ก็เลยแต่งเพลงซะเลย...55555

ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่มีปัญญาประดิษฐ์ทึ่มาช่วยแต่งทำนองและใส่ดนตรีพอดีค่ะ

เนื้อร้องนั้นเป็นฝีมือผู้เขียน จะเรียกว่าเป็นลิขสิทธิ์โดยสมบูรณ์ทั้งเพลงของผู้เขียน ก็ไม่น่าจะได้ค่ะ  ต้องแยกระหว่างลิขสิทธิ์ที่ตัวเนื้อร้อง  ลิขสิทธิ์ทำนอง และลิขสิทธิ์การเรียบเรียงเสียงดนตรีด้วยนะคะ

พอมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าเนื้อร้องเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน  นำมาอ้างถึงในนิยายของตัวเองก็ไม่ผิดแน่นอนค่ะ

ทำอย่างนี้แล้วก็สบายใจ  นิยายฉบับพิมพ์เล่ม กับฉบับ E-Book ก็ได้แก้ไขเป็นเนื้อเพลง "Soulmate รู้ไหมเราคือคู่กัน" เรียบร้อยแล้ว  

ผู้เขียนแต่งเนื้อร้องเอาไว้ทั้งหมด 3 เพลง สำหรับนิยายเรื่องนี้  ชวนให้ติดตามฟังกันนะคะ ตอนนี้ปล่อยให้ฟังกันแล้วบน Youtube ค่ะ สำหรับเพลงแรก

ใครฟังแล้วชอบ หรืออยากให้กำลังใจกันบ้าง ก็ช่วยกด like ให้คนละนิด หรือช่วย Subscribe ให้ช่องด้วยยิ่งดีใหญ่ค่ะ  ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึง 1,000 Subscribe ซะที ....เฮ้อ





https://youtu.be/MJ-t1XcHok8?si=kU-vrDY-mz5shF16


ขอบคุณที่ติดตามค่าาา



--------------------------------------

สนับสนุนนักเขียนได้ตรงนี้เลยค่ะ : 


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book




หรือเลือกอ่านรายตอน บน Apps ค่ะ 



เมษายน 03, 2568

เสพเพื่อสร้าง

 



เมษาปีนี้ร้อนน้อยกว่าปีที่แล้วนิดนึงค่ะ แต่ยังไงก็ร้อนมากอยู่ดี จนบางคืนนอนไม่ค่อยจะหลับ ทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศก็แล้ว มันอบอ้าวจนคิดว่าเครื่องปรับอากาศใช้มานานมันจะเสียหรือเปล่า ใจหายว่าต้องเสียเงินอีกไหมหนอเรา...

มาวันสองวันก่อนที่ฝนเริ่มตก อ้าว แอร์กลับมาเย็นเหมือนเดิม แสดงว่านี่เกิดจากอากาศร้อนจริงๆ ค่อยยังชั่วหน่อยน่ะสิคะ กลัวต้องซื้อแอร์ตัวใหม่

เรื่องการใช้จ่ายซื้อของอะไรชิ้นใหญ่ๆนี่ผู้เขียนต้องระมัดระวัง  แต่ว่าพอเป็นของชิ้นเล็ก กลับไม่ทันระวังซะอย่างนั้น อ้าว... ก็ของมันต้องใช้ แถมของชอบ

ก็คือพวกหนังสือนั่นหละค่ะ  ของมันต้องใช้ประกอบเป็น reference ในการเขียน  

ถึงแม้ว่าจะมี google มีทั้ง Ai มีอะไรเยอะแยะไปหมดให้ใช้  สุดท้ายแล้วหนังสือก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดี  เพราะว่าตอนนี้รู้สึกสายตาของผู้เขียนจะแย่ลง  อาจเป็นช่วงนี้ดูพวกข่าวทางทีวีหนักมาก ที่บอกว่าแย่คือปวดตา สังเกตว่ามองอะไรที่เคลื่อนไหวนานๆจะปวดหัว  ยิ่งดูมือถือยิ่งเป็นหนัก ไถจอ scroll  ขึ้นๆลงๆนี่ปวดมากเลยค่ะ

พักหลังชักจะมีอาการอย่างนี้แทนอาการปวดหัวไมเกรน  ก็ไม่รู้ว่าที่จริงมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่  คือสังเกตตัวเองว่าช่วงไหนดูพวกภาพเคลื่อนไหวมากๆ จะเป็นค่ะ

กลายเป็นว่าก็เลยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้แค่ช่วงสั้นๆ เพราะต้องถนอมสังขารเอาไว้หน่อยนะคะ  ทำเอาลงมือพิมพ์อะไรนานๆไม่ค่อยจะได้ นิยายก็ไม่ได้อัพต่อ...งานของผู้เขียนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ต้องอยู่กับจอมอนิเตอร์ หรือจอทีวี จอมือถือ

ทีนี้การอ่านหนังสือเนี่ยเป็นหนทางที่ถนอมสายตาได้ดีที่สุด  มันเหมือนการถอยกลับไปสู่โลกเก่า ยุค 80 คือ ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มีอินเตอร์เนต  55555

เป็นโลกที่แสนสงบ เพราะเราไม่สามารถจะเสพอะไรพร้อมกันหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน

ไม่เหมือนตอนนี้...คือ พิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์ พร้อมกันการดูข่าวบนทีวี  วาดรูปบนไอแพด หูก็ฟังเพลง ฯลฯ

ตอนอายุยังไม่มากเราจะไม่รู้สึกอะไร  มีแต่ความมันส์ในการเก็บเกี่ยวข่าวสาร และเรื่องราวที่เราสนใจ พอมาตอนนี้ไม่อยากจะบอกว่าอายุเท่าไหร่  ก็ยังจะมีจริตแบบเดิมค่ะ  ทว่า...สังขารเร่ิมไม่ไหวแล้ว

ยังอยากเขียนนิยายอีกหลายเรื่อง555 ทั้งนิยายผี  นิยายลึกลับ นิยายจีน +วาดรูป abstract วาดอะไรๆต่อมิอะไร ฯลฯ มีอะไรน่าสนุกอีกมาก

ผู้เขียนยังคงมีฝันอยากมีห้องสมุดส่วนตัว ไว้เก็บหนังสือที่เคยซื้อเอาไว้ มันเป็นของมีค่ามากมายสำหรับคนชอบอ่านหนังสือค่ะ 

ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้เขียน ฝันก็ยังเป็นฝันต่อไป

การอ่านหนังสือเล่มช่วยทำให้ผู้เขียนมีวัตถุดิบในการสร้างสรรค์งานอีกมากมาย เป็นมิตรต่อสุขภาพ แต่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับกระเป๋าเงิน 5555 แถมซื้อมาไม่มีที่จะเก็บแล้วค่าาาา  บางส่วนต้องกองเอาไว้ เพราะชั้นหนังสือไม่มีที่วาง

หวังว่าสักวันผู้เขียนจะเดินทางไปถึงเป้าหมาย ตอนนี้มันยังอีกไกล ระหว่างนี้ก็ต้องอดทนไปก่อน รอวันที่จะลุกขึ้นยืนได้อย่างแข็งแรง  ถึงวันนี้คงต้องขอบคุณหนังสือที่เป็นตัวช่วยสำคัญ  


กว่าจะถึงวันข้างหน้าคงจำเป็นต้องซื้อหนังสือมาอ่านต่อไปอยู่ดี...อ้าว แล้วจะบ่นทำไม 5555

จบตรงนี้ก่อนล่ะค่าาา



มีนาคม 28, 2568

โกลาหลในวันปฐพีพิโรธ

 


 เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.25 น. เชื่อว่าตอนนี้ยังอยู่ในใจของทุกๆคน และเชื่อว่าคงเป็นเรื่องที่ต้องจดจำไปอีกนาน

ในวันนั้นผู้เขียนเพิ่งจะทานข้าวเสร็จ กำลังนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เช่นปกติ ลืมบอกว่าห้องทำงานของผู้เขียนอยู่ชั้นล่าง และเป็นส่วนที่ต่อเติมจากเดิมเป็นที่จอดรถ บนศีรษะเป็นระเบียง ที่คุณพ่อคุณแม่ใช้เป็นที่ทานอาหารบ้าง นั่งพักบ้าง เป็นระเบียงที่ไม่ได้มีการตอกเสาเข็ม 

เหมือนกับอีกหลายคนที่อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าเวียนหัว และเวียนมากขึ้นจนแทบจะอาเจียร 

ส่วนตัวผู้เขียนเป็นพวกที่ปวดศีรษะไมเกรนเป็นประจำ แล้วระดับอาการที่เคยเป็นหนักสุดๆก็เคยปวดถึงขั้นอาเจียนเลยค่ะ

คิดว่าตัวเองกำลังเป็นไมเกรนแบบเฉียบพลัน เลยหยิบยาดมมาสูด 

แต่ทำไมเก้าอี้ทำงานมันเริ่มไหลไปมาเอง ทั้งที่ก็ยังนั่งอยู่เฉยๆ...

พอหย่อนเท้าแตะพื้นห้อง ก็ปรากฎว่าพื้นมันเหมือนเอียงไปมาได้ด้วยว่ะ งง...เอียงหนักเลย เห็นท่าจะไม่ดี แสดงว่าอาจจะใกล้เป็นลม !!

จังหวะนั้นแหงนขึ้นมองเพดานพอดีค่ะ เห็นว่าโคมไฟแบบห้อยในห้องมันแกว่งโยกแบบสวิงไปมาอย่างรุนแรง และไม่เคยเห็นว่ามันแกว่งได้ขนาดนี้

ไม่ใช่แล้ว !! แผ่นดินไหวเหรอ !! จะเป็นไปได้ยังไง

ผู้เขียนพยายามทรงตัวลุกขึ้นยืน เฮ้ย... นึกถึงแมวที่เลี้ยงไว้... แต่นึกถึงบิดามารดาที่อยู่ชั้นบน ว่าป่านนี้จะได้รับอันตรายหรือเปล่า ดังนั้นวิ่งออกประตูขึ้นไปชั้นบนทันทีค่ะ  ไม่ได้หยิบอะไรติดมือไปทั้งสิ้น ในหัวมีภาพว่าอาจจะมีอะไรหล่นตูมตามใส่หัวหรือไม่ระหว่างที่วิ่งไป

ไม่มีอะไรในบ้านที่หล่นหรือว่าตู้เอียงลงมาทับผู้เขียนหรอกค่ะ ปลอดภัยดี

คุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนนอนกำลังเล่นอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านชั้นบน (เพิ่งจะสร้างใหม่ค่ะ) 

"แม่! แผ่นดินไหว"

"ถึงว่าสิ ทำไมพวงมะม่วงมันถึงแกว่งไปแกว่งมา ทั้งที่ไม่มีลมพัดซักกะนิด"  แม่พูดหน้าตาเฉย ดูไม่ได้ตกใจเท่าผู้เขียนหรอกค่ะ แล้วชี้มือไปยังต้นมะม่วงข้างบ้าน ลูกมะม่วงกำลังดกเป็นพวงห้อยลงมา

เหลือบไปเห็นคุณพ่อนอนเอนหลังบนเตียงผ้าใบสบายใจเฉิบ แบบว่าไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเตียงผ้าใบมันก็โยกเองอยู่เป็นปกติ  คิดว่าไม่ได้มีอะไรแปลก

"พื้นมันแกว่งไปมาด้วย" แม่บอก

สรุปว่าทั้งสองคนปลอดภัยดี แถมไม่ตื่นตกใจซะอีก  สักพักเสียงน้องสะใภ้กับหลานก็ดังขึ้นมาจากข้างล่าง ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย

สองนางวิ่งออกมานอกตัวบ้าน ทำหน้างงๆ บ่นว่าทำไมเวียนหัว แล้วพื้นโยก

หลานสาว Gen Z ไถมือถือไปมาแล้วบอกว่า ในทวิตเตอร์เค้าบอกแผ่นดินไหว !

.......

หลังจากผ่านไป 20 นาที ผู้เขียนเห็นว่าเหตุการณ์ในบ้านทุกอย่างปกติ จึงกลับลงมาที่ห้องทำงาน ในใจคิดว่าป่านนี้ห้องฉันถล่มไปแล้วหรือยัง  เพราะว่าเป็นห้องที่อยู่ใต้ระเบียงที่ไม่มีเสาเข็ม

โชคดีที่ทุกอย่างปกติค่ะ

น้องแมวที่บ้านเดินออกมาจากซอกอย่างงงๆ นางก็ไม่ได้ออกอาการตระหนกอะไรมาก แต่ก็ดูออกว่าเมื่อกี้มันต้องมีอะไรไม่ปกติ

ผู้เขียนเปิดทีวีค้างเอาไว้ด้วยค่ะ  สภาพคือเป็นจอพักเบรคที่ยังเปิดค้างเอาไว้ คือมีการออกอากาศอยู่ แต่ไม่มีภาพเคลื่อนไหว มีแต่ภาพนิ่งเป็นโลโก้สถานี  แน่ล่ะสิ ...ต้องมีอะไรไม่ปกติ แสดงว่าแผ่นดินไหวเป็นบริเวณกว้าง แต่ในตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าได้รับแรงสั่นสะเทือนกันหลายจังหวัด

ผู้เขียนหยิบมือถือมาไล่เรียงดูเหตุการณ์ในสื่อโซเชียลมีเดีย ก็ต้องตกใจไปกับภาพที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็น !!!

ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลออกมาสู่ถนน  น้ำในสระว่ายน้ำบนคอนโดที่ทะลักล้นออกมา และ...ภาพตึกระหว่างการก่อสร้างถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา

โชคดีของประเทศไทยที่ (นอกเหนือไปจากตึกที่กำลังสร้าง) ไม่มีใครหนีออกมาจนทับกันตาย...แบบว่าตระหนกสุดขีดแล้วคนกระจุกกันตรงทางออก  จนเป็นลมหมดสติแล้วถูกคนข้างหลังเหยียบเอาน่ะค่ะ

แค่ตึกถล่มทับคนงานก็เจ็บปวดจะแย่อยู่แล้ว...

ในวันนั้นก็มีแต่ข่าวแผ่นดินไหวแหละค่ะ แน่นอนว่า...มันไม่เคยเกิดขึ้นแบบหนักหน่วงอย่างนี้มาก่อนในชีวิต

ทุกคนพูดเหมือนกันว่า...ชีวิตนี้เกิดมาเพิ่งเคยเจอ

สงสารคนทำงานจำนวนมาก ต้องเดินกันไกลเพื่อกลับบ้าน เพราะรถไฟฟ้าประกาศหยุดวิ่ง ห้างร้านพากันปิดทำการ แน่นอนว่ารถต้องติดกันอยู่บนถนน อย่าหวังพึ่งเลย...พวกรถรับจ้าง มีแต่จะหารถไม่ได้ หรือไม่ก็ถูกโก่งราคา กับอีกทีคือขึ้นไปนั่ง ก็ไปไหนไม่ได้ เพราะรถมันติด

มีเพื่อนโทรมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าถึงบ้านสามทุ่ม...เดินเท้าจากที่ทำงานตั้งหลายกิโล โห...

เป็นวันมหาวิปโยคจริงๆค่ะ

....

ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ  สาธุ


มีนาคม 05, 2568

ประสบการณ์ใหม่กับการเขียนฉากบู๊


 

ตั้งแต่เขียนหนังสือมาก็เพิ่งจะได้เขียนฉากต่อสู้หรือฉากบู๊ก็ตอนนี้แหละค่ะ

เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ อันว่านิยายที่เขียนมาทุกเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องดราม่าความรักล้วนๆค่ะ ก็ไม่เคยมีว่าจะสอดแทรกอะไรเกี่ยวกับการต่อสู้หรือชกต่อย  คือไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย เพราะว่าไม่ถนัดเรื่องทำนองนี้ เวลาคิดพล๊อตก็เลยผ่านเลยเรื่องชกต่อยไปตลอด

บางทีนึกๆอยากให้มีฉากโหดๆในนิยายยังไม่กล้าเลยค่ะ เพราะว่ากลัวเขียนไปแล้วมันจะลอยๆ หมายถึงว่าดูไม่สมจริง ทั้งที่จริงๆแล้วในชีวิตจริงของผู้เขียนจะเสพย์พวกหนังแอคชั่น หนังผี กับหนังลึกลับเป็นส่วนใหญ่ 

คือหนังสไตล์ที่กล่าวไปข้างต้นมันทำให้ตื่นเต้นตลอด น่าสนุกกว่าหนังรักๆเยอะเลย  ฮ่าาาาา...อ้าว แต่ตัวเองดันมาเขียนนิยายรัก

คืองี้ค่ะ นิยายรักมันดูเขียนได้ง่ายกว่าสำหรับผู้เขียน อีกอย่างพวกหนังแอคชั่นนี้ มันสนุกถ้าเราเสพย์ในรูปแบบของหนัง หรือภาพเคลื่อนไหว มากกว่าจะอ่านเป็นตัวหนังสือ

ส่วนความยากของนิยายรัก ก็ยากตรงที่ กว่าจะให้คนที่ไม่เคยรักกัน มารักกันได้  ไหนจะต้องให้คนอ่านมีอารมณ์ร่ววมไปกับตัวละคร ต้องสร้างเหตุการณ์ต่างๆนานา หมดไปครึ่งเรื่องแล้วค่อยรักกันได้ บางเรื่อง(ของนักเขียนท่านอื่น) รักกันก็ตอนจบพอดีก็มี

ฮ่าาาา

ใน เธอคือพันธนาการรักขอสลักไว้แนบใจ นิยายของผู้เขียนนั่นแหละ ดันมีเหตุการณ์บังคับบู๊  ไม่งั้นอย่างหนึ่งคือ เดี๋ยวเรื่องจะจืดชืด กับ ไม่เคยเขียนก็ต้องลองเขียนดูสักครั้ง 5555

คิดหาทางออกอยู่นานว่า ไม่มีฉากบู๊เรื่องจะเดินยังไง ก็ปรากฎว่าถ้ามีน่ะมันจะดีกว่า 

ตอนเขียนนี่ขอยอมรับเลยว่าสนุกมาก เหมือนกำลังนั่งอยู่ข้างทางพร้อมกับนางเอกและพระเอกเลยค่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่ามันมันส์อย่างนี้น่ะ  เออ...พอได้ทำอะไรใหม่ๆ เราก็ได้ค้นพบสิ่งใหม่ไปพร้อมกันเนอะ

ที่จริงเราก็เขียนได้นี่หว่า...

ฉากที่ว่านี้เป็นตอนที่พระเอกโดนปล้นรถระหว่างทางค่ะ  มีการชกต่อยกับโจรเล็กน้อย พอหอมปากหอมคอ เพราะต่อยกันนานกว่านี้คนเขียนไปไม่เป็น5555

ทีแรกว่าจะโทรไปถามเพื่อนผู้ชายว่าอารมณ์เวลาต่อยกันเป็นไงเหรอเธอ แต่ก็ไม่ได้โทรหรอกนะคะ

เขียนเอาเองพอได้อยู่นะ ใช้จินตนาการเล็กน้อย ตามประสานักขายฝัน

เลยมาส่งต่อความประทับใจของตัวเองให้กับผู้ติดตาม blog ได้รับรู้ค่ะ...

เหมือนตัวเองได้ก้าวข้ามความท้าทายเล็กๆน้อยๆ ไปได้อีก step 

การทำในสิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้ มันให้พลังกับตัวเราแบบนี้นี่เอง  

พอออกจาก comfort zone ได้เราก็มีกำลังใจล่ะค่ะ  

อย่างไรก็ชวนไปอ่านกัน  และอย่าลืมช่วยกันติดตาม กดหัวใจ กดเข้าชั้น จะขอบพระคุณมากค่ะ


แล้วพบกัน post หน้านะคะ



เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 



กุมภาพันธ์ 26, 2568

ไปทำบุญในวันว่าง

 


Post นี้ออกจะแหวกจาก post ที่ชอบเขียน  เพราะอยากจะเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อโสธรค่ะ  อาจจะเป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่จะเล่าเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง  ด้วยว่าไม่ค่อยจะได้ออกไปไหนค่ะ เขียนว่าไปทำบุญในวันว่างนั้นที่จริงก็ไม่ได้ว่างหรอกค่ะ  ทว่ามีความตั้งใจว่าจะต้องไปในสักวัน ก็เลยปักหมุดตัวเองว่าวันนี้ล่ะค่ะ

ตั้งแต่เข้าสู่โหมดเกษียณก็แทบไม่ได้เดินทางไปไหนไกลๆเลยค่ะ  ต่างจังหวัดก็ไม่ได้ไป ไม่ได้เที่ยวใดๆทั้งสิ้น  เห็นหลายคนเค้าไปเที่ยวกัน ประมาณว่าเที่ยวให้เครียด เที่ยวให้หายแค้น ที่ช่วงสมัยทำงานอาจจะไม่มีโอกาสไป  ก็นึกอิจฉาเค้าเหมือนกัน ทำไมเราไม่ได้ไปไหน เพราะเราต้องทำงานของเราให้สำเร็จ  ไปตอนนี้คงไม่มีความสุขนัก 

ผู้เขียนเป็นคนไปไหนลำบาก หมายถึงชอบขับรถหลงทาง ฮ่าาาา เลยทำให้ไม่อยากจะไปไหน เพื่อนส่วนใหญ่เค้าก็ยังทำงานทำการกันอยู่ จะไปรบกวนให้ใครลางานมาเป็นเพื่อนเราไปโน่นนี่คงจะไม่ดี

วันนี้ต้องทำใจกล้ามากที่จะต้องไปวัดหลวงพ่อเพียงลำพัง  ศึกษาเส้นทางคร่าวๆจาก youtube ก่อนจะทบทวนเส้นทางใน Google Map ก่อนว่าประมาณไหน  พร้อมกับบอกทางบ้านเสียหน่อยว่าไปไหน หากเกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนตามถูก5555

โชคดีที่จากบ้านผู้เขียนไปวัดหลวงพ่อโสธรไม่ได้ยากเย็นอะไรค่ะ  อาจจะมีรถติดเล็กน้อยช่วงห้าแยกมีนบุรี  จากนั้นไปก็ขับไปตรงๆประมาณสามสิบกิโล  ขับรถสบายเลยค่ะ ทำให้รู้ว่ารถเรายังดีอยู่นะเนี่ย  ถึงแม้ไม่ค่อยจะได้ขับไปไหนไกล  เสียงเครื่องยนตร์ยังเบา และเครื่องปรับอากาศยังทำงานได้ดี  ขนาดว่าอายุรถคือ 12 ปี ทีนี้พอออกจากงานแทบไม่ได้ขับไปไหนมากนัก  รถเลยจอดไว้ส่วนมากค่ะ และนี่เป็นสมบัติชิ้นเดียวของผู้เขียน5555

ถึงทางแยกเข้าจังหวัดฉะเชิงเทราก็ดูป้ายเอาค่ะ  พอเข้าตัวจังหวัดแค่ประมาณห้าร้อยเมตรก็ถึงแยกเลี้ยวขวาทางเข้าวัด  ถนนใหญ่โตมาก  สองข้างทางมีร้านค้ามากมาย แถมมีห้างบิ๊กซีอีกต่างหาก

ทางเข้าจนถึงวัดน่าจะประมาณเกือบสองกิโล  ขับสบายๆค่ะ รถโล่ง เพราะผู้เขียนมาตอนบ่าย กะเวลาเดินทางแล้วน่าจะทันก่อนร้านขายไข่ต้มปิด5555




ไหนๆมาแล้วก็ต้องถวายไข่ต้มค่ะ  ออกแนวมาแก้บนนั่นแหละ  สำหรับที่วัดนี้ดูจะเป็นวัดยอดนิยมตลอดกาลสำหรับการมาบนบานให้สมหวัง  ผู้เขียนเคยมาช่วงเสาร์อาทิตย์(ก่อนโควิทระบาด) ตกใจกับหมู่มหาชนที่มาแก้บนจนแน่นวัด แถมควันธูปควันเทียนก็คละคลุ้งไปหมด หายใจแสบจมูกเลยค่ะ  ต้องเบียดเสียดผู้คนแบบไหล่ชนไหล่ กว่าจะเข้าไปจุดธูปจุดเทียน หรือปิดทององค์หลวงพ่อได้

หลังโควิทระบาดมาคงมีการปรับกระบวนการแก้บน  มีการจัดระเบียบใหม่  งดการจุดธูปจุดเทียน และแยกโซนการวางของแก้บนออกมาด้านนอก ทำให้ชีวิตสาธุชนอย่างผู้เขียนง่ายขึ้นเยอะคะ่

ผู้เขียนคุยกับคนส่งไข่ต้ม  เขาเล่าให้ฟังว่ามีคนต่างชาติและคนไทยสั่งไข่ต้มมาแก้บนกันแบบรายเดือนก็มีค่ะ  แสดงว่าคงสมหวังดังตั้งใจตามสิ่งที่ขอพรเอาไว้  ฟังแล้วก็น่าตื่นเต้น

แถมใครมาแก้บนด้วยตัวเองไม่ได้สามารถโทรสั่งแล้วทางร้านจะดีลกับเจ้าหน้าที่ทางวัดจัดการเรื่องนำของแก้บนมาจัดวาง และทำพิธีสวด พร้อมพิธีลาของแก้บนให้ด้วยอีกต่างหาก  เสร็จแล้วจะบริจาคไข่ต้มให้กับทางวัดไปส่งต่อก็ทำได้

ผู้เขียนก็ดำเนินการตามพิธีการที่คนส่งไข่แนะนำ ตั้งแต่ปอกไข่ต้มวางไว้ 3 ฟอง เปิดขวดน้ำเปล่าและขวดน้ำปลา  กล่าวคาถาตามโพยที่แถมมาพร้อมสรรพ แล้วเข้าไปไหว้ด้านในอุโบสถ ก่อนจะออกมาทำพิธีลาของไหว้  แล้วบริจาคไข่ให้ทางวัด




แวะไปเสี่ยงเซียมซีมาด้วย  แต่ก็ได้ใบที่ทำให้ใจห่อเหี่ยวค่ะ เลยต้องฝากใบเซียมซีไว้กับถังขยะในวัด  เหมือนมีคนเคยบอกว่าเอากลับมาด้วยเดี๋ยวจะโชคไม่ดี

พอดูนาฬิกาแล้วคิดว่าจะรีบเดินทางกลับดีกว่า กลัวว่ารถจะติดตอนเข้ากรุงเทพค่ะ  ไม่ได้แวะดูของตลาดหน้าวัดเลย  อยากจะซื้อพวกของแห้งมาฝากทางบ้านเสียหน่อย  ก็ทำได้แค่ไปบริจาคซื้อกระเบื้องมุงหลังคาให้กับทางวัดค่ะ

ที่จอดรถทางวัดกว้างขวางมาก และมีหลายจุดด้วยคะ่  ทว่าลานเปิดโล่งริมแม่น้ำที่ผู้เขียนไปจอดก็แดดร้อนเหลือหลายค่ะ  ร้อนจนอยากรีบกลับมากกว่าจะอยากไปชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำ  เสียดายเหมือนกันค่ะ อุตส่าห์เตรียมกล้องมากะว่าจะหัดทำ  vlog แบบ video ไว้ลง youtube ก็เลยไม่ได้ถ่ายเลย

การเดินทางกลับก็ราบรื่นดีค่ะ  มีนิดหน่อยที่อยากจะแวะซื้อน้ำปั่นในปั๊มข้างทางก็ดันขับเลยทางเข้าซะอีก 555  

ทุกอย่างก็เอวังด้วยประการละฉะนี้ค่ะ










กุมภาพันธ์ 19, 2568

นางร้ายในนิยาย

 



ช่วงนี้อากาศกลับมาร้อนซะแล้วค่ะ เป็นช่วงเวลาที่แสนจะทรมานจริงๆ สำหรับคนที่ต้องคิดเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมไปจนถึงค่าไฟ

มีเครื่องปรับอากาศแต่ก็ต้องเก็บเอาไว้เปิดตอนช่วงเย็นๆค่ะ เผื่อว่าจะประหยัดค่าไฟได้บ้าง อันนี้ก็ไม่รู้จะจริงไหม แต่น่าจะมีส่วนจริงอยู่หรอกค่ะ

พออากาศไม่เป็นใจ สมองก็ไม่ค่อยแล่น ใช้คำว่าต้องพยายามเข็นนิยายให้ออกได้สัปดาห์ละหนึ่งตอน 5555 ดูจากยอดวิวแล้วก็ฟื้นขึ้นมาหน่อยนึงค่ะ หลังจากกลับมา update ต่อ

ถึงแม้เขียนไปคนอ่านน้อยก็ต้องทำใจ ยังไงก็อยากเขียนอยู่ดี อ้าว...

กะว่าเรื่อง "เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ" จะให้เรื่องราวมันเผ็ดร้อนขึ้นมาอีกสักหน่อย เลยต้องมีนางร้ายสักหนึ่งคน เผื่อจะถูกใจบรรดานักอ่านบ้างนะคะ  เดี๋ยวจะว่าเรื่องเนิบนาบ  ไม่มีอะไรตื่นเต้น

"แสงสกาว" คือนางร้ายนี่แหละค่ะ  แต่ก็กะว่าร้ายพอประมาณ ร้ายแบบเด็กๆก็พอค่ะ  เดี๋ยวโครงเรื่องจะไปกันใหญ่ คือยาวเยอะไปกว่านี้ ที่เขียนมานี่ก็ผิดแผนเยอะอยู่  จะให้สั้นก็ดันกลับมายาวอีกแล้ว


        “ว่าไง ธุระที่สั่งให้ไปจัดการเรียบร้อยดีไหม”  
        เสียงใสแต่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางสวย  หญิงสาวหมุนตัวไปมาหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน อวดเรือนร่างงามให้คนที่นั่งยอบตัวอยู่ด้านล่างได้ชื่นชม
        “คุณหนูหุ่นดีจังเลยค่ะ  มีแต่ผู้ชายตาถั่วเท่านั้นแหละค่ะที่ไม่สนใจ”
        “ใช่ ผู้ชายทั้งโลกนี้จะตาถั่วกันหมดฉันก็ไม่สนหรอก  สนแค่พี่ณะคนเดียวเท่านั้น อย่ามัวแต่มาอวยฉันอยู่เลย ถามว่าเรียบร้อยหรือยัง  ถ้าหนนี้ยังไม่ตอบมาดีๆละก้อ...ได้เห็นดีกัน”
        เหมือนว่าวันนี้แสงสกาวอารมณ์ดีใช้ได้  หล่อนยังอดทนได้อยู่กับการรอคอยคำตอบจากบ่าวผู้ใกล้ชิด 
        “มีหรือจะไม่เรียบร้อยคะ  คุณแสงสั่งอะไรต้องได้สิคะ  จ่ายเงินล่วงหน้าให้มันไปแล้วค่ะ มันว่างานนี้ไม่ได้ยากอะไร คนมันร้อนเงินอยู่ค่ะคุณแสง”
        “เงินสดนะ  ย้ำแล้วว่าทำทุกอย่างเป็นเงินสด เดี๋ยวจะโดนแกะรอยย้อนหลังมาถึงได้”
        “ค่ะ  เงินสดตามที่คุณแสงกำชับ”
        “งั้นก็ดี  ฉันจะได้ไปสนใจเรื่องจะเลือกใส่ชุดไหนไปงานการกุศลของพี่ณะ  ต้องสวยกว่านังเมียเลขานั่นให้ได้  แล้วทุกคนจะได้เห็นว่าใครคู่ควรกับพี่ณะ”
        “ก็ต้องคุณแสงสิคะ  แหม...เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จะยอมให้พลาดไปได้ยังไง”  บ่าวใกล้ชิดไม่วายช่วยสอพลอ เมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวไม่ยอมปล่อยวางจากณทัต  ทั้งที่เขาก็เข้าพิธีแต่งงานกับคนอื่นไปตั้งหลายเดือนแล้ว แสงสกาวยังคงวนเวียนอยู่กับแผนการที่จะแย่งเขากลับมาให้จงได้


สำหรับ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" ที่จริงก็มีนางร้ายประจำเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ  ไม่ได้ร้ายอะไรมากกมาย เพราะต้องคุมโทนเรื่องให้เป็น feelgood 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะชำนาญกับการเขียนนิยายได้ซะทีค่ะ  คือการคิดรายละเอียดในแต่ละตอนนี่มันยาก ถึงยากมาก เพราะว่าไม่ใช่แค่มองมุมแคบว่าในตอนนั้นๆจะให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างไร แต่ต้องคิดถึงภาพรวมด้วยว่าใส่รายละเอียดแบบนี้ลงไปแล้วจะมีผลต่อตอนอื่นๆหรือไม่ เช่น ขัดแย้งกับภูมิหลังตัวละครที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นการรื้อแก้ใหม่จะทำได้ยากมาก เพราะมันจะผูกพันโยงกันให้วุ่นเหมือนปมเชือกเลยค่ะ

พอตั้งใจคิดแบบละเอียดๆมันเลยปวดหัวและเหนื่อยมาก ฮ่าาาา เลยเขียนได้ช้าาาาค่ะ

หวังว่าคนรออ่านจะเข้าใจนะคะ  เอ...แล้วนักเขียนคนอื่นเป็นเหมือนกันมั้ย

ยิ่งเรื่องหน้ากะว่าจะให้ท้าทายตัวเองกว่าเดิมด้วยการเป็นนิยายรักแฟนตาซี  โอ้โห...ปวดหัวหนักกว่านี้แน่นอน

เอาเป็นว่ารอติดตามกันต่อไปนะคะ



เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 





กุมภาพันธ์ 05, 2568

กลับมาเขียนต่อค่ะ นิยายของผู้เขียน

 



ในที่สุดก็ไปไหนไม่รอด  กลับมาเขียนนิยายต่อค่ะ หลังจากหยุดไปเดือนกว่าๆกระมัง...

ก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่ซับซ้อน คือรู้สึกว่าทำอะไรไม่เสร็จไม่ได้ 555 เริ่มแล้วต้องสู้ต่อให้สุดทาง แล้วก็มีความคันไม้คันมืออยากเขียน ก็คนมันชอบเขียน

ตอนนี้นักอ่านที่เคยตามอ่านหายไปหมดเลยค่ะ 555

หัวเราะอย่างเศร้าๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เป็นสิ่งที่เข้าใจดีค่ะ

เอารูปนางเอกยืนหน้าคฤหาสถ์ฟ้าเทียมดินมาแปะไว้ดู  จะได้มีอารมณ์ต่อเนื่อง ว่าเขียนถึงไหนแล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ  รอบนี้ทำโครงสร้างหรือทำ plot เอาไว้อย่างดี ไม่มีหลุด

ว่าแล้วจะแทรกเรื่องรักๆของรุ่นพ่อพระเอกก็แทรกไม่ถนัดค่ะ  เพราะไม่รู้จะแทรกตรงไหนดี  เรื่องก็ต้องเดินต่อ กะว่าเรื่องนี้จะเดินเรื่องให้เร็วกว่าเดิม  เรื่องก่อนหน้านี้เหมือนจะบรรยายเยอะ (แต่ชอบแบบนั้นนะ) 

เรื่องนี้พยายามเดินเรื่องกระชับขึ้น กลับทำให้ผู้เขียนค่อนข้างอึดอัดมาก 5555

เดี๋ยวก็รู้ ต้องตามอ่านกันต่อไปนะคะ  ตอนนี้น่าจะมาถึงหนึ่งในสามของเรื่อง มีเวลาให้เวิ่นเว้ออีกนานนนน+




               ภัสรวินทร์รวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันเป็นสัญญาณว่ามื้อเย็นนี้สิ้นสุดลง อนงค์ยืนมองอยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ เพียงมองมาเฉยๆ แต่บ่าวผู้น้อยอีกคนอดจะะมีคำพูดที่แสดงความเห็นเล็กๆน้อยๆบ้างไม่ได้
               “กับข้าวไม่ถูกปากหรือเปล่าคะ ทานน้อยจังวันนี้”
               “อืมห์ ก็เปล่านะ วันนี้เอางานกลับมาทำต่อน่ะ ก็เลยอยากจะรีบขึ้นข้างบน”
               “คุณภัสนี่ขยันจังค่ะ หนูเห็นเอางานกลับมาบ้านตลอดเลย ถ้าเป็นหนูน่ะ ถึงบ้านคงไม่เอาด้วยแล้ว”
               “ขยันอะไรกัน อาจจะสนุกมากกว่า” นายผู้หญิงของบ้านยิ้มกับสาวใช้ด้วยความเป็นกันเอง “แล้วคุณวาคินกับคุณปู่...”
               “ทั้งสองท่านรับเรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” เสียงแม่บ้านใหญ่แทรกขึ้นมากลางอากาศ แม้                 น้ำเสียงจะออกแข็งๆอยู่บ้างแต่นั่นก็เป็นนิสัยที่ออกจะเจ้ายศเจ้าอย่างของอนงค์ รับรู้ได้ว่าเป็นคนรักษาวินัยในการทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี  ถึงได้รีบออกรับเมื่อถูกอ้างอิงถึง
               มาถึงป่านนี้แล้วภัสรวินทร์ก็ยังไม่กล้าเรียกวาคินว่า “คุณพ่อ”...
              ยังไม่ทันขาดคำ วาคินก็เดินออกมาพอดี  เขามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย หยุดมองดูวงสนทนาของคนในบ้านก่อนจะทัก  “ว่าไง...ไอ้ณะล่ะ ไปไหน หล่อนกินข้าวคนเดียวตามเคยสินะ”
             “คุณณะมีทานเลี้ยงกับคู่ค่าใหม่ค่ะคุณ...คุณวาคิน”
             “อ้อ...งั้นเหรอ” วาคินทำท่ารับรู้ “เธอคงชินกับการกินข้าวคนเดียวแล้วล่ะสิ บ้านนี้ก็เป็นแบบนี้ละ อยู่ด้วยกันเหมือนไม่ได้อยู่ ต่างคนต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ อิสระดีไหม หรือว่าหล่อนไม่เคยอยู่แบบนี้มาก่อน”
             หล่อนชักไม่แน่ใจว่านี่คือการชวนให้สนทนาด้วย หรือการพยายามระบายความในใจบางอย่างของวาคิน
            “ที่บ้านภัสก็ไม่ได้ทานข้าวร่วมโต๊ะพร้อมกันค่ะ คือภัสต้องทำงาน กับวี เอ่อ...น้องสาวก็ต้องไปเรียน”
            “จริงสิ...วันไหนสักวันควรต้องชวนแม่กับน้องเธอมาทานข้าวที่บ้านนี้กันบ้าง  เจอหน้ากันแวบเดียวตั้งแต่วันแต่ง จนฉันเกือบจะลืมไปแล้วว่าเธอมีน้องสาวอยู่อีกคน”



แปะบางส่วนมาให้อ่านกันเล่นๆค่ะ เผื่อบางคนจะอยากอ่านต่อ ไปตามอ่านได้นะคะ





เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 


มกราคม 26, 2568

การจากไปของฤดูหนาว และแด่เธอ

 


วันนี้อากาศเริ่มจะอุ่นๆขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสายแล้วค่ะ  เป็นสัญญาณว่าฤดูหนาวกำลังจะเดินจากไปแล้ว  และแน่นอน...มันย่อมเป็นเช่นนี้แหละ  ปลายเดือนมกราคม 2568 ก็กำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว  จนเพิ่งจะนึกได้ว่าเราเพิ่งฉลองปีใหม่กันไปไม่นานนี่เอง

สัปดาห์หน้าจะเข้าเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความรักจะมา อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นวันสงกรานต์ ซ้ำไปซ้ำมาอีกรอบหนึ่ง แล้วชีวิตเราเหลือเวลาอีกเท่าไหร่...ไม่รู้เหมือนกัน

วันนี้ได้ข่าวเศร้าอีกว่าแม่สามสีหญิงแกร่งจากไปดาวแมวอีกตัวแล้ว

เพิ่งจะได้คุยเล่นเมื่อวานนี้ ได้ให้อาหารเม็ดน้องไป น้องกินอย่างเอร็ดอร่อย...ชื่นใจคนให้  ลูบหัวลูบตัวน้องได้เพราะคุ้นเคยกันแม้ไม่ได้เป็นแมวเลี้ยง น้องเป็นแมวข้างบ้านที่เค้าให้ที่อยู่แต่ก็ไม่ได้ให้อาหารเป็นประจำ

น้องจากไป ตัวแข็งนอนอยู่หน้าพุ่มไม้ บนหน้ามีรอยโดนกัด ยังมีเลือดให้เห็นอยู่ คุณพ่อของผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ตอนพบน้องเมื่อเช้านี้เองค่ะ น่าจะโดนงูพิษกัด เห็นตัวแข็ง แล้วกำลังจะถูกเงามืดในโพรงหญ้าพยายามจะลากน้องเข้าไป  คุณพ่อเลยดึงร่างน้องออกมาแล้วนำไปฝังแล้วค่ะ

ผู้เขียนก็เศร้าเลย...แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงมาเอง แต่ก็เห็นกันบ่อยๆ และให้ข้าวน้องกิน เพราะน้องมาร้องขอข้าวกิน ซึ่งน้องไม่ได้มาหาทุกวัน แม่สามสีเค้าเป็นสาวรักอิสระ  เอาตัวรอดเก่ง เพราะว่าต้องหากินเองมาตลอด อยู่มาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่ง  นางเป็นแมวเพศเมียตัวเดียวในบริเวณนี้ค่ะ  คลอดลูกไปหลายครอกแล้ว 

อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าแม่สามสีเคยพาซัมเมอร์มาเลี้ยงที่ระเบียง ช่วงนั้นก็เลยได้เลี้ยงแม่สามสีกับซัมเมอร์อยู่หลายเดือนค่ะ  นางก็เลยเชื่องกับผู้เขียน

ล่าสุดนางคลอดลูกมาอีก ข้างบ้านเค้าบอกเลี้ยงไม่ไหว เพราะเป็นคนแก่อายุเก้าสิบกว่าๆแล้ว บอกฝากให้ผู้เขียนเลี้ยงให้หน่อย อ้าว...

มาสูตรเดิมค่ะ คือพอลูกอายุได้สักสามเดือนแม่สามสีแกจะทิ้งลูก คือกัดลูกตัวเองประมาณนั้น  พอผู้เขียนเอามาช่วยเลี้ยงแม่สามสีก็ไม่มายุ่งค่ะ  แค่นั่งมองๆจากข้างบ้าน

แม่สามสีเดินไปไหนเหมือนถูกรังเกียจค่ะ เพราะว่าเป็นตัวเมีย  มีแต่คนกลัวว่าจะมาคลอดลูก สร้างภาระให้ ...ก็น่าสงสารนะคะ...ผู้เขียนสงสารแม่สามสี  นางเป็นแมวที่ไม่ได้อยู่ติดบ้าน ออกไปหากินเอง ความเสี่ยงต่างๆมีมากมาย  นางก็ใช้ชีวิตตามธรรมชาติแมว มีแฟน แล้วก็มีลูก วนๆไปค่ะ

หวังว่านางกลับไปอยู่ดาวแมวแล้วชีวิตจะดีกว่า  ผู้เขียนคิดถึงนางจังค่ะ  นั่งดูรูปเก่าๆตอนสมัยนางมาอยู่ที่บ้าน  ส่วนเจ้าสองตัวลูกครอกสุดท้ายของแม่สามสีก็อยู่กับผู้เขียนค่ะ  ดูซึมๆลงไปไม่รู้ว่าเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้น

ส่วนศรีส้มเค้าเป็นแฟนของแม่สามสี  เมื่อเช้าก็ไปเดินดมๆอยู่แถวร่างไร้วิญญาญของแม่สามสี  คงจะรับรู้แล้วว่าแม่สามสีไปแล้ว  ก็จากศรีส้มไปอีกแล้ว...ส้มเอ๊ย  เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา....

วันนี้บรรยากาศเงียบจริงๆค่ะ  มันเศร้า 

ไว้วันหลังจะเล่าความรักของศรีส้มกับแม่สามสีให้ฟังนะคะ  เฮ้อ...

ความคิดถึงนี่มันเป็นความทุกข์อย่างนึง


แม่สามสีเอ๊ย หมดเวรหมดกรรมแล้วนะลูก...ไปดีนะ


ลาก่อน...แล้ววันหนึ่งเราอาจได้พบกัน


มกราคม 08, 2568

คืนวันเดิม ใน พ.ศ. ใหม่

 



เปิดปี 2568 มาเรียบร้อย ความรู้สึกมันก็เหมือนวันคืนเดินผ่านไปด้วยจังหวะเดิมๆ  ตื่นนอน  เตรียมอาหาร ทำงาน เก็บล้างข้าวของ ทำงาน เก็บล้างอีก ทำงานอีก...

หลายคนชอบคิดว่าวัยเกษียณน่าจะว่าง มีเวลาเยอะ ที่จริงก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ลองนั่งสังเกตตัวเองพบว่าเวลาหมดไปกับการจัดการภาระส่วนตัวค่อนข้างเยอะ เช่น พวกการเตรียมอาหาร การจัดเก็บล้าง การทำความสะอาดต่างๆ ทำให้ไม่ได้นั่งทำงานได้เยอะเท่าตอนทำงานบริษัท

แต่ละวันมันต้องมีการคิดว่าจะทานอะไร  นี่ขนาดว่าไม่ได้ทำอาหารทานเอง อาศัยสั่งอาหารบ้าง ซื้อสำเร็จรูปบ้าง ก็ยังต้องใช้เวลาไปกับการเตรียม การเก็บล้างอยู่ดีนะคะ พวกงานซักล้างนี่ก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน  ตอนยังทำงานบริษัทไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เพราะสามารถไปจ้างซักรีดได้ ด้วยมีรายได้สม่ำเสมอมาหล่อเลี้ยง 

ตั้งแต่ไม่ได้มีรายได้555 เอ๊ย เรียกว่ารายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ก็แปลว่าอะไรที่เคยจ้างก็ต้องหันมาทำเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายค่ะ

กลายเป็นว่าเวลาที่จะนำมาสร้างเงินก็ต้องลดน้อยลงไป  ด้วยเวลามีก้อนยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าเเดิม 

คิดดูแล้วว่าคงต้องหาวิธีในการสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างรายได้ต่อไป คงไม่ยอมจะให้ชีวิตค่อนข้างจะต้องอยู่แบบเจียมตัวอย่างนี้ตลอด

ชีวิตหลังเกษียณที่ยังต้องทำงานหารายได้อยู่  ที่จริงมันก็เหมือนเควสอะไรซักอย่าง ที่เราต้องเอาชนะมันให้ได้ค่ะ เควสหรือ mission อันนี้ท้าทายความสามารถของตัวเราเอง ไม่ได้ต่างอะไรกับเมื่อตอนเราเริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นเรานั่งคิดอยู่ตลอดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงดี  ไม่มีใครบอกแนวทางเท่าไหร่  หรือบอกเราก็ไม่เชื่อ5555 เพราะรู้ว่าสูตรสำเร็จของแต่ละคนย่อมแตกต่างไปตามยุคสมัยและสภาพแวดล้อม

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผู้เขียนยึดมั่นมาตลอดชีวิต  มันก็เป็นคำพูดบ้านๆง่ายๆ นะคะ 

ทุกวันนี้ก็ยังทำต่อไปค่ะ 

ชีวิต phase สุดท้ายล่ะค่ะ คือแก่ชราอย่างมั่นคง มีความสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต

เฮ้อ...รู้สึกว่าวันนี้เขียนไม่ค่อยจะออก 5555

จบก่อนดีกว่า