หลายคนคงเคยได้ยิน คำบ่น คำอุทาน ทำนองว่า...รู้งี้...(ไม่...ดีกว่า) หรือ รู้งี้...(ทำไปแล้ว)
ใช่ค่ะ คำว่า รู้งี้ เรามักจะใช้เวลาเสียดายโอกาส หรือ รู้สึกว่ากำลังพลาดอะไรบางอย่างไป เป็นคำที่ออกแนว negative มากกว่าจะบอกเล่าอารมณ์เชิงบวก
ผู้เขียนกำลังนั่งนึกถึงประสบการณ์ช่วงก่อร่างสร้างตัวรอบสองของตัวเอง หมายถึงช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิต จากคนมีเงินเดือนประจำ เป็นคนที่ไม่มีเงินเดือน หรือไม่มีรายได้ประจำอีกต่อไป
หลายปีที่ผ่านมานั้นก็รู้สึกว่าเป็นช่วงยากลำบากของชีวิตเลยละค่ะ
ตอนนี้ก็เข้าสู่ภาวะ "เข้าที่" อาจจะหมายถึง "ชินชา" ก็ว่าได้5555 ไม่ได้หมายความว่าเรื่องรายได้มันจะดีขึ้นมาเหมือนตอนมีงานประจำหรอกค่ะ อันนั้นเหมือนฝันที่ผ่านพ้นไป คราใดที่ได้ย้อนคิด ก็มีทั้งความภูมิใจ และสร้างความเชื่อมั่นเล็กๆให้กับตนเองว่า...
ฉันเคยก้าวจากความไม่มีอะไร นอกจากความสามารถและความรู้ที่มี ไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิมได้ครั้งหนึ่ง
แม้ว่าจะกลับไปเกือบจุดเริ่มต้น คือ หมดอาชีพ ต้องเริ่มอาชีพใหม่ ฉันก็น่าจะสามารถต่อสู้ เพื่อลุกชึ้นยืนได้อีกครั้ง
แม้ว่าจะบอกใคร หรือบอกตัวเองไม่ได้ ว่าต้องใช้เวลากี่เดือน-กี่ปี
ช่วงทำงานเป็นเจ้าหน้าตัวเล็กๆคนหนึ่งขององค์กร จวบจนก้าวหน้าเติบโต ที่จริงก็ใช้เวลาเป็นสิบปีอยู่นะคะ ได้สั่งสมประสบการณ์ทั้งในเรื่องเนื้องานและการบริหารทีม ได้ดูแลน้องๆที่ร่วมงานกันมา เรียกได้ว่าก็ครบสูตรละค่ะ ทำมาหมดแล้ว
นี่เรากำลังจะกระโดด Jump Up ภายในเวลาไม่กี่ปี แล้วคิดว่าจะสำเร็จง่ายๆงั้นหรือ สงสัยจะยากน่ะสิคะ
แม้ว่าหากใช้เวลาเท่าเดิม สงสัยผู้เขียนอาจจะอายุ 70 ปี 5555 ซึ่งแก่เกินไป หรือไม่ก็อาจไม่ได้อยู่ในโลกแล้วหรือเปล่า
สุดท้ายก็มาคิดว่า อ้อ ที่ฉันคิดว่าต้องสำเร็จให้ได้เร็วๆ เพราะอาจจะกดดันตัวเองมากเกินไป เพราะใช้อายุที่เพิ่มมากขึ้นมาเป็นตัวเกณฑ์นั่นเอง
ผู้เขียนไม่ได้แค่เปลี่ยนอาชีพ จากมนุษย์ออฟฟิศ แต่ยังเปลี่ยนโลกทั้งใบของตัวเอง เพราะโลกการทำงานในองค์กรก็มีสิ่งแวดล้อมและบริบทความเติบโต ที่ต่างไปจากโลกของ Freelance โดยสิ้นเชิงสิคะ
เขียนนิยาย...ไม่ต้องเจอผู้คน ไม่มีเพื่อนร่วมงาน ไม่มีหัวหน้า ไม่มีกรอบการทำงาน นั่นอาจจะทำให้ต้องแสวงหาทิศทางเองทั้งหมด แม้แต่เป้าหมายที่เราอยากจะไป ต้องเขียนแผนที่ด้วยตนเอง ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหน ! และทะเล หรือน่านน้ำที่เราอยู่ คลื่นลม เป็นอย่างไร !
รู้งี้... คือรู้ว่าหลายอย่างทำพลาดไป
แต่พอได้ "เรียนรู้" ว่าเราพลาดตรงไหน ก็เลยได้มีโอกาสปรับปรุงไงคะ แก้เกมส์ใหม่ นี่ละ คือ learning curve ที่ยากจะซื้อหาได้
ล้ม แล้วลุกขึ้นใหม่ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เพราะมันคือรสชาติชีวิต
ปี 2569 กำลังจะมา แล้วปี 2568 ก็กำลังจะโบกมือลา คงมีแต่จะต้องมองไปข้างหน้าละค่ะ เก็บทุกอย่างที่ผ่านไปเป็นบทเรียน...
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น