มิถุนายน 23, 2568

Pre-Order นิยายพิมพ์เล่ม "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว"


ฝากนิยายฉบับพิมพ์เล่มเรื่องแรกในชีวิตด้วยนะคะ สั่งซื้อได้ที่ ร้าน BooksCottage บน Shopee ค่ะ

เบื้องหลังการทำงานกับนิยายเรื่องนี้ได้มอบอะไรกับผู้เขียนอย่างมากมาย มีทั้งความสุขและความเหนื่อย เมื่อในที่สุด "ได้ทำ" ก็เลย "ทำได้" ไงล่ะคะ

++++++++++++++++++++

หนังสือใหม่

** ราคาปก ไม่รวมค่าจัดส่งตามนโยบาย shopee **

ขอไม่รับส่งแบบจัดเก็บเงินปลายทาง เพราะหากมีการตีคืน ดูแล้วจะซับซ้อนเกินกำลังจะจัดการได้ค่ะ


#รายละเอียดหนังสือ

-ปกอ่อน กระดาษอาร์ต 260 แกรม
-จำนวนคำ 100,000+ คำ จำนวนหน้า  382 หน้า
-ขนาด A5 / เคลือบด้าน 
-ที่คั่นลายหน้าปก
-ทุกเล่มซีลหุ้มพลาสติก
-พิมพ์จำนวนจำกัด เพราะทุนน้อยและทำนายยอดจองไม่ได้เลย5555 งานนี้ต้องวัดใจอย่างเดียว
-ทำเองเกือบทุกอย่าง นักเขียนมีร่างที่สองเป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์ :) 








มิถุนายน 12, 2568

"ได้ทำ" มาก่อน "ทำได้" เสมอ

 


ช่วงนี้ผู้เขียนก็ยังวุ่นอยู่กับการตรวจพิสูจน์อักษรนิยายที่รอจะพิมพ์เล่มอยู่เหมือนเดิมค่ะ  ทำอะไรอย่างอื่นก็ไม่ค่อยถนัด คอยแต่จะห่วงว่าเมื่อไหร่จะตรวจเสร็จ คือต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมาก ตัวหนังสือที่ปรับเล็กลงมาเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานของเล่มอื่นๆ หลังจากครั้งแรกทำตัวหนังสือค่อนข้างใหญ่ (แต่ก็ไม่รู้ตัว จนเห็นตอนพิมพ์ออกเป็นเล่ม555)

ผู้เขียนนึกภูมิใจเล็กๆว่าอย่างน้อยในปีนี้ 2568 ก็ได้ทำ mission ที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้นานแล้ว ว่าอยากจะมีหนังสือนิยายพิมพ์เล่มสักครั้ง

ตอนได้จับหนังสือตัวเอง ยังรู้สึกปลื้มไม่หายเลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่ต้องจดจำจริงๆ

คราวนี้เลยเกิดมีไฟฮึดสู้ขึ้นมา  อยู่ๆเกิดภาพในหัวสมองว่าฉันอยากมีงานหนังสือของตัวเองออกมาแบบว่าวางเต็มแผงเลย อะไรประมาณนั้นค่ะ คือตั้งใจว่าต้องเขียนให้สำเร็จเป็นเล่มๆอีกหลายเรื่องให้ได้

แล้วภาพในหัวสมองนี่ก็ส่งพลังให้กับผู้เขียนอย่างมาก จากตอนเขียนเรื่องแรก ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว นี่ค่อนข้างโหด คือ เขียนไปบ่นไป เขียนเสร็จเหนื่อยมาก จนแอบมีบางแวบที่คิดว่าจะหยุดลงแค่ตรงนี้ดีไหมเรา...คือ หนทางท่าทางจะอีกยาวไกล แล้วเราจะไปต่อไหวไหมเนี่ย ...เราจะอยู่ได้ไหม  ด้วยการเขียนนิยาย...

คืออ่านใน Social Media คนชอบมาพูดๆกันว่าเดี๋ยวนี้นักเขียนไม่ไส้แห้งเหมือนแต่ก่อนแล้วน่ะนะ พร้อมกับแปะรูปยอดเงินที่ได้  ใครเห็นก็คงตาลุก และเชื่อตาม

คงเหมือนกับหลายอาชีพ ที่หลายคนเห็นว่าคนอื่นทำแล้วรายได้ดี พากันอยากทำบ้าง ซึ่งเส้นทางของแต่ละคนมันก็แตกต่างกัน ทว่า...ตอนนี้มีแต่คนเขียนหนังสือสอนเขียนนิยายออกมาเยอะพอๆกับขายคอร์สสอนเขียนนิยายแหละค่าาา

บางคนน่าจะขายหนังสือวิธีการเขียนนิยายแล้วได้เงินมากกว่านิยายที่เขียนซะอีก

เรื่องพวกนี้เราไปแอบส่องได้ตามพวก E-Marketplace ต่างๆ บางเล่มยอดเขายเป็นพันเล่ม นับว่าเป็นยุครุ่งเรืองโดยแท้

เอาเป็นว่าสุดท้ายผู้เขียนก็ "ได้ทำ" ในสิ่งที่ตั้งใจก็แล้วกันนะคะ ส่วนคำว่า "ทำได้" นั้น ก็ต้องแล้วแต่จะมานั่งตีความ ว่าเป้าหมายคืออะไรกันแน่  หากเป็นเรื่องรายได้ละก็ คงยังห่างไกลจากที่อยากได้ และคิดเรื่องว่าเขียนแล้วเมื่อไหร่จะได้เงินเยอะๆ คิดว่าไม่เกินสามเรื่อง ถ้าเขียนแล้วยังไปไม่รอด...คงหยุดเขียนแน่

แต่สำหรับผู้เขียนคงยังไม่ใช่...

ก็ยังอยากจะเขียนเรื่องราว หรือ นิยาย ที่ส่งต่อพลังบวกให้กับผู้คน สำหรับเล่มแรกที่กำลังจะพิมพ์ออกมานั้น ก็ถือว่าให้คะแนนในเรื่องนี้เต็มสิบไม่หัก  ส่วนแง่อื่นๆ เช่น วิธีการเล่าเรื่อง หรือสำนวนการใช้ภาษา หรืออื่นๆ ขอให้เป็นรสนิยมส่วนตัวของผู้อ่านจะพิจารณาค่ะ หากไม่ชอบประการใดก็ขออภัย  จะขอพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ 

นวนิยายก็เป็นหนึ่งในงานศิลปะที่ต้องใช้ความพากเพียร และการรังสรรค์งานออกมาไม่ต่างไปจากงานวาดภาพ  กว่าจะทำได้ดี หรือเก่ง ก็ต้องใช้เวลาพัฒนางาน  แต่จะเพียงพอต่อการเลี้ยงชีวิตหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ชื่นชอบงานนะคะ  เพราะถ้าไม่มี...ก็คงจะอยู่ลำบากค่ะ

โลกนิยายถือเป็นโลกอีกใบของผู้เขียนละค่ะ  นอกจากงานวาดภาพที่บอกเสมอว่าชอบมากๆแล้ว เห็นจะมีงานเขียนอีกอย่างที่ไม่สามารถขาดไปจากชีวิตได้ ใครอยากรู้ว่าเจ้าของ blog นี้ทำอะไรอยู่บ้าง ก็เลือกอ่านได้ตาม Tab ที่จัดหมวดหมู่คร่าวๆเอาไว้ข้างบนนะคะ 


หากจะพอมีบุญเก่าอยู่บ้าง ก็หวังว่าจะประสบความสำเร็จในสักวัน วันไหนไม่รู้  หวังว่าคุณๆผู้ได้ติดตาม Blog นี้มา จะอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน  รอผู้เขียนมาเล่าประสบการณ์ระหว่างเส้นทางชีวิตให้ฟังกันวันละเล็กละน้อย ว่าสุดท้ายจะไปถึงฝั่งฝันไหม

ที่ผ่านมาทำ Blog  นี้มาก็ไม่ต่ำกว่า 10 ปี ใครที่ขยันย้อนไปอ่านทุกโพสต์จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ  คุณอาจจะได้เห็นภาพบางอย่าง และอาจรู้จักตัวตนของผู้เขียน เพราะสิบปีที่ผ่านมานั้นได้สะท้อนภาพบางส่วน ให้เห็น ว่าเส้นทางของผู้เขียนก็ไม่ได้เข้าสู่การเป็นนักเขียน หรือนักวาด มาตั้งแต่แรก เพียงแต่บอกว่าชอบทำมาตั้งแต่เด็ก และรู้สึกว่าอยากทำอยู่ตลอด

ในที่สุดพอได้ทำ อายุก็ล่วงเลยมาปูนนี้5555 แต่ว่าเราเป็นสายที่เวลาในชีวิตเหลือน้อย อยากทำอะไรต้องรีบทำ จะสำเร็จได้แค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง 

ตอนนี้คือ "ได้ทำ" มันมาก่อน "ทำได้" เสมอไปค่ะ

หวังว่าจะได้ข้อคิดกันนะคะ



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ




มิถุนายน 05, 2568

ฝันที่จับต้องได้ซะที



มาแล้วค่าาา

นิยายฉบับพิมพ์เล่มมาถึงมือผู้เขียนเรียบร้อย มือไม้สั่นเวลาได้จับผลงานตัวเอง นี่คือฝันที่จับต้องได้ค่ะ ไม่อยากจะพูดว่าฝันที่เป็นจริง เพราะว่าประโยคมันเชยยย

โรงพิมพ์นี้ดีงามมาก ทำงานเสร็จตรงเวลาเป๊ะ ผู้เขียนนึกว่าจะบวกวันหยุดเข้าไปทำให้ส่งหนังสือช้าออกไปอีก

ซีลพลาสติกมาให้เรียบร้อย ทำให้หนังสือนิยายหนาๆดูเลอค่ายิ่งขึ้นไปอีก แต่ว่า...จะมีใครอยากซื้อมั้ย

ผู้เขียนตั้งใจจะสั่งพิมพ์จำนวนน้อยๆค่ะ ตามประสานักเขียนตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้โด่งดัง ยังไม่มีแฟนคลับ ขืนสั่งพิมพ์มาเยอะมีหวังลำบาก  ใครอยากได้เอาไว้อ่านก็ขอให้รอไปอีกสักนิด เพราะว่าเล่มที่ผู้เขียนถ่ายรูปโชว์ให้ดูนี่เป็นเล่มที่จะใช้ในการตรวจคำผิดค่ะ 55555

แปลว่าจะเอามาขีดๆเขียนๆ คำที่โปรแกรมตัดตกคำหรือพยัญชนะลงไปอยู่อีกบรรทัด แล้วต้องกลับไปแก้ไขในโปรแกรมให้ถูกต้องอีกทีนึง 

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมคงจะเขียนโดยฝรั่ง ไม่ใช่คนไทย อีกอย่างระบบคำในภาษาไทยก็มีเอกลักษณ์เฉพาะ โปรแกรมมันเก่งด้านจัดหน้าให้สวยงาม ดึงช่องว่างเข้าๆออกๆ เพื่อให้ขอบด้านซ้ายและขวาของหน้าหนังสือตรงกันชนิดที่ว่าเอาไม้บรรทัดทาบเลย  

สรุปว่าต้องตรวจคำผิดรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่

นี่เป็นงานหนักอยู่พอตัวทีเดียว ทำไมไม่ไปจ้างเขาพิสูจน์อักษรล่ะ ตอบได้เลยว่าทำหนังสือเองทั้งหมดแบบนี้ย่อมต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด ค่าพิสูจน์อักษรนั้นไปสืบมาแล้วค่ะ เขาคิดกันหน้าละ 4-5 บาทเลย ลองคำนวณดูว่านิยายมีประมาณสี่ร้อยกว่าหน้าเกือบห้าร้อย ก็ต้องใช้เงินอีกหลักพันล่ะค่ะ



คิดดังนั้นแล้วก็พับแผนการจ้างพิสูจน์อักษรไปก่อนดีกว่า...5555

อะไรที่ไม่อยากจ่ายก็ต้องทำเอง ก็จะทำอย่างดีที่สุดนะคะ  ใครซื้อไปแล้วเจอคำผิดบ้างก็โปรดให้อภัย เพราะว่าอ่านงานตัวเองเผลอๆเป็นร้อยรอบหรือเปล่าก็ไม่รู้  ...คือไม่ได้นับค่ะ...



คือเห็นนักเขียนท่านอื่นเค้าเปิดให้ pre-order ผู้เขียนยังมิกล้าเลย น่ากลัวว่าจะไม่มีใครมาพรีออร์เดอร์กับเรา เพราะทำตัว introvert เกินไป สื่อโซเชียลก็ไม่ค่อยจะ post  เอาเป็นว่าต้องทำตัวให้คนเห็นมากกว่านี้ 

คาดหมายว่าจัดพิมพ์ครั้งที่ 1 จะเป็นการแจกฟรีค่ะ 5555 คือมีความมั่นใจมากว่างานของผู้เขียนมีความสร้างสรรค์และจรรโลงสังคม เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี เพราะไม่มีฉากหวาดเสียว หรือฉากที่ไม่เหมาะสำหรับเยาวชน อาจพบเห็นนิยายเล่มนี้ได้ตามห้องสมุดประชาชนนะคะ

ประมาณเดือนกรกฎาคม 2568 จะเริ่มวางขายบน Shoppee ค่ะ ฝากไปเยี่ยมชมร้านกันได้นะคะ ไม่ซื้อไม่ว่าค่ะ เพราะอย่างน้อยผู้เขียนก็ได้ยอดวิวร้าน ว่าฉันก็มีคนมาดูร้านหรอกน่าาาา  


เอาเป็นว่าขอตัวไปตรวจคำผิดต่อนะคะ ไหนจะต้องปั่นเรื่องที่ยังไม่จบอีก ขอบคุณที่ติดตามค่า

++





แปะ link ไว้ให้ เผื่อใครอยากอ่านนิยายออนไลน์ที่ยังเขียนไม่จบค่ะ

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 

-------------------------------------

หรือสนับสนุนนักเขียนได้ตรงนี้เลยค่ะ : สำหรับนิยายที่เขียนจบแล้ว 

ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book





พฤษภาคม 29, 2568

ชีวิตต้องคิดข้าม Shot

 


Post นี้อยากจะพูดเรื่องการมองข้าม shot หรือการมองชีวิตแบบล่วงหน้า

แม้ว่าจะออกมาจากการทำงานในฐานะมนุษย์ลูกจ้างมาได้หลายปี นับนิ้วก็ประมาณหกปีได้ล่ะค่ะ ก็ยอมรับว่าหลายสิ่งหลายอย่างยังติดอยู่ในความคิด ซึ่งก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับชีวิตอยู่มาก เอามาใช้กับชีวิตได้ค่ะ เช่น เรื่องการมองปัญหาแบบนักบริหาร เป็นต้น

ที่ติดอยู่ในความคิดเพราะในยามนั้นมีหน้าที่ที่ต้องคิดกลยุทธ์ระยะสั้นถึงระยะกลาง หรือ 3-5-8 ปี ให้กับงานด้านการดูแลพนักงาน หมายถึงว่าทำอย่างไรให้พนักงานอยู่ดีมีสุข ทำงานอย่างทุ่มเท และมีความภักดีต่อองค์กร สมัยก่อนชอบใช้คำว่า loyalty มายุคหลังๆเรียก employee engagement 

งานวางแผนจะมานั่งคิดแต่อะไรเฉพาะหน้านั้นคงไม่ได้ เพราะแบบคิดอะไรวันต่อวัน แก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ จบๆไปวันๆ หรือรอให้ปัญหาวิ่งเข้ามาแล้วก็แก้ แบบนั้นไม่ใช่งานของระดับวางแผน

คนทำงานบริหารต้องรู้จักมีจินตนาการซะบ้าง อ้าววววว

คือลองคิดไปข้างหน้า หรือ look ahead มองไปว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นี่นั่นโน่นขึ้นมา ซึ่งเป็นการใช้ความคิดเชิงคาดการณ์ แล้วจะเกิดปัญหา หรือเหตุการณ์ใดตามมาบ้าง แล้วเราจะมีวิธีรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร

นำสิ่งเหล่านั้นมาร่างเป็นแผน หรือโครงการ เพื่อเตรียมการรับมือสิคะ โดยเราไม่ได้ใช้การ "มโน" เอาเองเด็ดขาด

เพราะเราจะเอาจินตนาการไปแถลง หรือ present ต่อหน้าคณะผู้บริหาร มันก็คงจะตลกไปหน่อย

แต่ละคนที่บริษัทจ้างมานั่งประชุมเรื่องแผนงานของบริษัทนี่ก็ค่าตัวไม่ใช่น้อย แถมยังภูมิรู้+ภูมิหลังยังเต็มไปด้วยประสบการณ์อีกต่างหาก ขืนนำเสนออะไรที่ไม่มีข้อมูลมารองรับละก็ ...ถูกปัดตก ไม่ได้รับการอนุมัติงบประมาณแน่นอน

ใช่แล้วค่ะ "ข้อมูล" หรือ data จะต้องถูกนำมาช่วยวิเคราะห์ และ support idea ของเรา

แน่นอนว่าเหล่านี้เมื่อนำมาใช้กับชีวิตจริงหลังเกษียณ ก็ย่อมทำให้เราได้เห็นอะไรหลายอย่าง เป็นต้นว่า ข้อมูลต่างๆในชีวิต เช่น ข้อมูล สถิติด้านสุขภาพ ฯลฯ

ข้อมูลตัวเลขการใช้จ่ายของเรา โดยเฉพาะเรื่อง ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ อย่างเช่น  ค่าอินเตอร์เนต ค่าเช่าโปรแกรมลิขสิทธิ์ เช่น  Microsoft word หรือโปรแกรมต่างๆนานา นี่เราก็ต้องเป็นผู้จ่ายเงินเองนะคะ

หลายคนลืมไปว่าสิ่งเหล่านี้มีค่าใช้จ่าย ตอนทำงานบริษัทอย่านึกว่าใช้ฟรีทีเดียว บริษัทจ่ายให้เป็น license แบบเหมาๆ นี่ปีละหลายสิบล้าน (บริษัทที่ผู้เขียนทำงานมีพนักงานพันกว่าคน) หลายคนใช้แบบใช้ๆไปอย่างนั้น 

หรือ เรื่องการพัฒนาตัวเอง บริษัทหาคอร์สอบรมอะไรมาก็ไม่สนใจจะไปเรียน เหมือนเห็นว่าสิ่งที่บริษัทจัดให้เป็นของตายซะงั้น  อยากบอกว่าพอเกษียณออกมาแล้ว อยากรู้อะไรก็ต้องจ่ายเองทั้งหมดนะคะ  ถ้าทำตัวเป็นคน blank ละก็ ชีวิตจะลำบากค่ะ

ความรู้+ทักษะคืออาวุธ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ยิ่งโลกเดี๋ยวนี้อะไรใหม่ๆมาเร็วมาก ต้องปรับตัวเก่งๆ 

เอไอก็มา แถมมีหลายตัวซะด้วย ก็ต้องหัดใช้ให้เป็นนะคะ  สิ่งเหล่านี้มีไว้เป็นเครื่องมือช่วยให้มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรซ้ำๆซากๆ ถ้าใช้ให้เป็น ก็จะเป็นประโยชน์

ตัดภาพกลับมาค่ะ...

นอกจากค่าใช้จ่ายประเภทโปรแกรมต่างๆนานา ก็ยังต้องมีค่าความรู้ด้วย  ของฟรีมีในโลก หลายคนอาจจะบอก แต่ว่าของดี ของที่คัดมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องจ่ายค่ะ ไม่งั้นเราอาจต้องเสพข้อมูลจำนวนมาก มีทั้งข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และข้อมูลที่ใช้ไม่ได้

สุดท้ายทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดคือ เวลา

คนมักยอมจ่ายเพื่อซื้อเวลา ซื้อความสะดวก ดังนั้นของที่มีคนเสียเวลาไปคัดสรรมาไว้ให้ ก็ต้องจ่ายเงินซื้อค่ะ

ชีวิตคนเราถ้าวางแผนให้ดี มองอะไรไปข้างหน้าเสียหน่อย แต่อย่ามองไกลเกิน และยังต้องเผื่อใจไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงข้างหน้า เพราะไม่รู้อะไรจะเกิด ดูเอาสิคะ ประเทศไทยไม่เคยมีแผ่นดินไหว  ยังมีได้เลย !!!

คิดไปข้างหน้า แต่อย่าเข้าขั้นวิตกกังวล (อันนี้บอกตัวเองเหมือนกันค่ะ5555)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเอาค่าใช้จ่ายที่ยังไม่เกิดมาเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนชีวิตด้วย อย่างที่ยกตัวอย่าง คือค่าใช้โปรแกรมนี่ผู้เขียนคำนวณไปล่วงหน้าหลายปี ว่าหากจะดำรงอยู่ด้วยการเขียนหนังสือ และอยากใช้โปรแกรมเวิร์ดอย่างเดิม จะต้องหาเงินมาจ่ายอีกเท่าไหร่ อันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น ชีวิตจริงผู้เขียนทำงานหลายอย่าง ต้องพึ่งพาซอฟท์แวร์หลายตัวเลยค่ะ

กับอีกสิ่งที่ผู้เขียนทำ คือ ไปหัดใช้โปรแกรมฟรี เช่น โปรแกรมเกี่ยวกับพิมพ์งาน ก็มีของ Google Doc เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะไม่มีเงินจ่ายในสิ่งเหล่านี้เข้าสักวันหรือเปล่า? อย่าให้ถึงวันนั้นเลย ! แต่ยังไงถ้าเกิดวันนั้นมาถึง ผู้เขียนก็ต้องสามารถไปใช้โปรแกรม Google Doc ได้ทันที 

ปีนี้ค่า License Microsoft Office 365 ขึ้นราคามาเกือบแตะปีละ 3,000 บาทแล้วละค่ะ  และบอกไม่ได้ว่าในอนาคตจะมีค่าใช้จ่ายอะไรที่ปรับราคาขึ้นอีกไหม

เมื่อชีวิตคิดข้าม shot ไปแล้ว เราก็จะต้องมาเขียนคล้ายๆ action plan ว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อเตรียมการรองรับ อย่างที่เขียนไปข้างบนเป็นตัวอย่าง ว่าต้องหัดใช้โปรแกรมฟรี เป็นต้นค่ะ

โลกนี้ยังสวยงามอยู่  แต่ก็อย่ามองโลกสวยจนเกินไป ไม่มีแผนสำรองอะไรรองรับชีวิตเลย


หวังว่าผู้อ่านได้อ่าน post นี้แล้วจะไปลองจินตนาการตามผู้เขียนนะคะ ว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดใดๆสักอย่างหนึ่ง เราได้เตรียมการอะไรเผื่อไว้บ้าง

ถ้ายังไม่มี...ก็ลองเขียนออกมาดูคร่าวๆนะคะ  อย่างน้อยซ้อมคิดไว้ก็ยังดีค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน เจอกัน post หน้าค่ะ





แปะ link ไว้ให้ เผื่อใครอยากอ่านนิยายออนไลน์ฝีมือผู้เขียนเองนะคะ :) ยังเขียนไม่จบค่ะ

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 

-------------------------------------

หรือสนับสนุนนักเขียน ด้วยการซื้อ Ebook นิยายได้ตรงนี้เลยค่ะ : 

ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book