พฤษภาคม 01, 2568

ชวนฟังเพลงประกอบนิยาย [Original Soundtrack รู้ไหมเราคือคู่กัน]

 



ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว คือ นิยายที่ผู้เขียนปิดเล่มเขียนจบไปตั้งแต่ กันยายน ปี 2567 นี่เองค่ะ  ในตอนนั้นก็เหนื่อยมาก อยากจะหยุดพักไปยาวๆ แต่ก็คิดได้ว่าหายไปนานเดี๋ยวจะโดนอัลกอริทึ่มของ platform นิยายออนไลน์หักคะแนน แล้วแอบลดการมองเห็น โอ๊ย...อย่างกับว่าทำอะไรไม่ถูกใจระบบ. ก็จะต้องโดนลงโทษประมาณนั้น

สรุปว่ากลับมาเขียนเรื่องใหม่ต่อหลังจากพักไปแค่สามสี่เดือน ที่จริงไม่ได้พักเท่าไหร่ เพราะเดือนที่สามก็ต้องหาข้อมูลเตรียมเขียนเรื่องใหม่

ทว่าผู้เขียนยังรู้สึกอิ่มเอมใจกับตอนจบ และความแฮบปี้เอนดิ้งแบบที่ถูกใจคนเขียนมากๆ  คือถึงแม้ระหว่างเขียนจะต้องใช้ความพยายามมากมาย แต่พอทำสำเร็จตามตั้งใจ ก็มีความสุขล่ะค่ะ

อยากจะให้มีคนไปอ่านกันมากๆ แต่ก็มีประมาณหนึ่งละค่ะ ไม่ได้มากมายเท่านิยายจีนหรือนิยายวาย 

พอคิดถึงตัวละครในเรื่องก็เลยบันดาลใจให้เขียนเนื้อเพลงออกมาได้ 3-4 เพลงเลยแหละค่ะ  มีความบังเอิญอีกว่ามีโอกาสได้ทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่เก่งเรื่องดนตรี  ก็เลยทดลองเอาเนื้อเพลงไปใส่ทำนองและเสียงร้องค่ะ  

ปรากฎว่าถูกใจคนเขียนมากกก  (แบบว่ามันลงตัวทุกอย่าง)

ถึงแม้เสียงนักร้องนำจะออกเสียงภาษาไทยไม่ค่อยชัดในบางคำ  แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าออกมาดีมากค่ะ

ตอนนี้ยังรอทำคลิปวีดีโอประกอบเพลงอยู่อีก 3 เพลง ปล่อยเพลง Soulmate รู้ไหมเราคือคู่กัน ออกมาให้ลองฟังกันเป็นเพลงแรก

ขอให้มีความสุขกับเสียงเพลงนะคะ และอย่าลืมไปอ่านนิยายด้วย จะได้อินกับตัวละคร เพลงนี้ผู้เขียนแต่งให้ "อาโรม" พระเอกของเรื่องที่แสนจะ introvert 

รบกวนกด like ให้คนละครั้งก็ยังดีนะคะ  กด subscribe ยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ :)



https://youtu.be/MJ-t1XcHok8?si=kU-vrDY-mz5shF16


ขอบคุณที่ติดตามค่าาา





--------------------------------------

สนับสนุนนักเขียนได้ตรงนี้เลยค่ะ : 

ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book




หรือเลือกอ่านรายตอน บน Apps ค่ะ 












เมษายน 24, 2568

เหตุที่ต้องมีเพลงประกอบนิยายของตัวเอง

 


จริงๆแล้วถ้าใครได้เคยอ่านนิยายของผู้เขียน "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" จะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องดนตรีอยู่หลายประการเหมือนกันค่ะ

อันแรก พระเอกเป็นนักเปียโนระดับรางวัลเหรียญทอง แต่ด้วยทางบ้านอาชีพทหารมาตั้งแต่รุ่นปู่จนรุ่นพ่อ เขาจึงถูกหล่อหลอมให้เป็นทหารมากกว่าจะเป็นนักดนตรี เรื่องดนตรีกลายเป็นงานอดิเรก และสิ่งที่เขารัก ยิ่งไปกว่านั้น ดนตรีชักพาให้เขาพบรักกับ 'อริญญา' ซึ่งตอนหลังคบกันได้ไม่นานก็มีอันต้องแยกจากกันไป ทิ้งรอยแผลเอาไว้ในใจพระเอก

อันที่สอง  อริญญาที่เป็นแฟนเก่าพระเอก ก็เป็นนักเปียโนสาวพรสวรรค์ เธอมีเป้าหมายแรงกล้าจะเป็นนักเปียโนหญิงเดี่ยวระดับสากล ดังนั้นจึงสอบชิงทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีโดยเฉพาะ แล้วก็ขอเลิกรากับพระเอกไงล่ะคะ

อันที่สาม  ในนิยายกล่าวถึงเพลง น้ำเซาะทราย ซึ่งเพลงนี้มีอยู่จริง เป็นเพลงที่ไพเราะมากเลยค่ะ  ทั้งเนื้อร้องและทำนอง รวมทั้งดนตรีประกอบ การกล่าวถึงเนื้อเพลงโดยนำมาเป็นส่วนหนึ่งของนิยายอยู่หลายตอน ทำให้ผู้เขียนเกิดความไม่มั่นใจในภายหลังที่เขียนนิยายจบไปแล้ว  ว่าจะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์หรือเปล่านะ ถึงแม้จะมีการอ้างอิง ให้เครดิตกับผู้สร้างสรรค์เพลงนี้อย่างชัดเจนใน footnote แล้วก็ตาม

ต่อมานิยายกำลังจะพิมพ์เป็นเล่ม พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง ผู้เขียนยิ่งกังวลมากขึ้น เพราะมันชักจะออกแนวนำไปใช้เชิงพาณิชย์ซะแล้วสิ  ขนาดภาพปกนิยาย ผู้เขียนยังสู้งบด้วยการไปจ้างนักวาดมาวาดปกไม่ไหว  แล้วนี่หากมีปัญหาเกี่ยวกับเนื้อเพลงขึ้นมาคงจะรับความเสียหายไม่ไหวแน่

ก็เลยแต่งเพลงซะเลย...55555

ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่มีปัญญาประดิษฐ์ทึ่มาช่วยแต่งทำนองและใส่ดนตรีพอดีค่ะ

เนื้อร้องนั้นเป็นฝีมือผู้เขียน จะเรียกว่าเป็นลิขสิทธิ์โดยสมบูรณ์ทั้งเพลงของผู้เขียน ก็ไม่น่าจะได้ค่ะ  ต้องแยกระหว่างลิขสิทธิ์ที่ตัวเนื้อร้อง  ลิขสิทธิ์ทำนอง และลิขสิทธิ์การเรียบเรียงเสียงดนตรีด้วยนะคะ

พอมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าเนื้อร้องเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน  นำมาอ้างถึงในนิยายของตัวเองก็ไม่ผิดแน่นอนค่ะ

ทำอย่างนี้แล้วก็สบายใจ  นิยายฉบับพิมพ์เล่ม กับฉบับ E-Book ก็ได้แก้ไขเป็นเนื้อเพลง "Soulmate รู้ไหมเราคือคู่กัน" เรียบร้อยแล้ว  

ผู้เขียนแต่งเนื้อร้องเอาไว้ทั้งหมด 3 เพลง สำหรับนิยายเรื่องนี้  ชวนให้ติดตามฟังกันนะคะ ตอนนี้ปล่อยให้ฟังกันแล้วบน Youtube ค่ะ สำหรับเพลงแรก

ใครฟังแล้วชอบ หรืออยากให้กำลังใจกันบ้าง ก็ช่วยกด like ให้คนละนิด หรือช่วย Subscribe ให้ช่องด้วยยิ่งดีใหญ่ค่ะ  ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึง 1,000 Subscribe ซะที ....เฮ้อ





https://youtu.be/MJ-t1XcHok8?si=kU-vrDY-mz5shF16


ขอบคุณที่ติดตามค่าาา



--------------------------------------

สนับสนุนนักเขียนได้ตรงนี้เลยค่ะ : 


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book




หรือเลือกอ่านรายตอน บน Apps ค่ะ 



เมษายน 03, 2568

เสพเพื่อสร้าง

 



เมษาปีนี้ร้อนน้อยกว่าปีที่แล้วนิดนึงค่ะ แต่ยังไงก็ร้อนมากอยู่ดี จนบางคืนนอนไม่ค่อยจะหลับ ทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศก็แล้ว มันอบอ้าวจนคิดว่าเครื่องปรับอากาศใช้มานานมันจะเสียหรือเปล่า ใจหายว่าต้องเสียเงินอีกไหมหนอเรา...

มาวันสองวันก่อนที่ฝนเริ่มตก อ้าว แอร์กลับมาเย็นเหมือนเดิม แสดงว่านี่เกิดจากอากาศร้อนจริงๆ ค่อยยังชั่วหน่อยน่ะสิคะ กลัวต้องซื้อแอร์ตัวใหม่

เรื่องการใช้จ่ายซื้อของอะไรชิ้นใหญ่ๆนี่ผู้เขียนต้องระมัดระวัง  แต่ว่าพอเป็นของชิ้นเล็ก กลับไม่ทันระวังซะอย่างนั้น อ้าว... ก็ของมันต้องใช้ แถมของชอบ

ก็คือพวกหนังสือนั่นหละค่ะ  ของมันต้องใช้ประกอบเป็น reference ในการเขียน  

ถึงแม้ว่าจะมี google มีทั้ง Ai มีอะไรเยอะแยะไปหมดให้ใช้  สุดท้ายแล้วหนังสือก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดี  เพราะว่าตอนนี้รู้สึกสายตาของผู้เขียนจะแย่ลง  อาจเป็นช่วงนี้ดูพวกข่าวทางทีวีหนักมาก ที่บอกว่าแย่คือปวดตา สังเกตว่ามองอะไรที่เคลื่อนไหวนานๆจะปวดหัว  ยิ่งดูมือถือยิ่งเป็นหนัก ไถจอ scroll  ขึ้นๆลงๆนี่ปวดมากเลยค่ะ

พักหลังชักจะมีอาการอย่างนี้แทนอาการปวดหัวไมเกรน  ก็ไม่รู้ว่าที่จริงมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่  คือสังเกตตัวเองว่าช่วงไหนดูพวกภาพเคลื่อนไหวมากๆ จะเป็นค่ะ

กลายเป็นว่าก็เลยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้แค่ช่วงสั้นๆ เพราะต้องถนอมสังขารเอาไว้หน่อยนะคะ  ทำเอาลงมือพิมพ์อะไรนานๆไม่ค่อยจะได้ นิยายก็ไม่ได้อัพต่อ...งานของผู้เขียนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ต้องอยู่กับจอมอนิเตอร์ หรือจอทีวี จอมือถือ

ทีนี้การอ่านหนังสือเนี่ยเป็นหนทางที่ถนอมสายตาได้ดีที่สุด  มันเหมือนการถอยกลับไปสู่โลกเก่า ยุค 80 คือ ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มีอินเตอร์เนต  55555

เป็นโลกที่แสนสงบ เพราะเราไม่สามารถจะเสพอะไรพร้อมกันหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน

ไม่เหมือนตอนนี้...คือ พิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์ พร้อมกันการดูข่าวบนทีวี  วาดรูปบนไอแพด หูก็ฟังเพลง ฯลฯ

ตอนอายุยังไม่มากเราจะไม่รู้สึกอะไร  มีแต่ความมันส์ในการเก็บเกี่ยวข่าวสาร และเรื่องราวที่เราสนใจ พอมาตอนนี้ไม่อยากจะบอกว่าอายุเท่าไหร่  ก็ยังจะมีจริตแบบเดิมค่ะ  ทว่า...สังขารเร่ิมไม่ไหวแล้ว

ยังอยากเขียนนิยายอีกหลายเรื่อง555 ทั้งนิยายผี  นิยายลึกลับ นิยายจีน +วาดรูป abstract วาดอะไรๆต่อมิอะไร ฯลฯ มีอะไรน่าสนุกอีกมาก

ผู้เขียนยังคงมีฝันอยากมีห้องสมุดส่วนตัว ไว้เก็บหนังสือที่เคยซื้อเอาไว้ มันเป็นของมีค่ามากมายสำหรับคนชอบอ่านหนังสือค่ะ 

ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้เขียน ฝันก็ยังเป็นฝันต่อไป

การอ่านหนังสือเล่มช่วยทำให้ผู้เขียนมีวัตถุดิบในการสร้างสรรค์งานอีกมากมาย เป็นมิตรต่อสุขภาพ แต่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับกระเป๋าเงิน 5555 แถมซื้อมาไม่มีที่จะเก็บแล้วค่าาาา  บางส่วนต้องกองเอาไว้ เพราะชั้นหนังสือไม่มีที่วาง

หวังว่าสักวันผู้เขียนจะเดินทางไปถึงเป้าหมาย ตอนนี้มันยังอีกไกล ระหว่างนี้ก็ต้องอดทนไปก่อน รอวันที่จะลุกขึ้นยืนได้อย่างแข็งแรง  ถึงวันนี้คงต้องขอบคุณหนังสือที่เป็นตัวช่วยสำคัญ  


กว่าจะถึงวันข้างหน้าคงจำเป็นต้องซื้อหนังสือมาอ่านต่อไปอยู่ดี...อ้าว แล้วจะบ่นทำไม 5555

จบตรงนี้ก่อนล่ะค่าาา



มีนาคม 28, 2568

โกลาหลในวันปฐพีพิโรธ

 


 เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.25 น. เชื่อว่าตอนนี้ยังอยู่ในใจของทุกๆคน และเชื่อว่าคงเป็นเรื่องที่ต้องจดจำไปอีกนาน

ในวันนั้นผู้เขียนเพิ่งจะทานข้าวเสร็จ กำลังนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เช่นปกติ ลืมบอกว่าห้องทำงานของผู้เขียนอยู่ชั้นล่าง และเป็นส่วนที่ต่อเติมจากเดิมเป็นที่จอดรถ บนศีรษะเป็นระเบียง ที่คุณพ่อคุณแม่ใช้เป็นที่ทานอาหารบ้าง นั่งพักบ้าง เป็นระเบียงที่ไม่ได้มีการตอกเสาเข็ม 

เหมือนกับอีกหลายคนที่อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าเวียนหัว และเวียนมากขึ้นจนแทบจะอาเจียร 

ส่วนตัวผู้เขียนเป็นพวกที่ปวดศีรษะไมเกรนเป็นประจำ แล้วระดับอาการที่เคยเป็นหนักสุดๆก็เคยปวดถึงขั้นอาเจียนเลยค่ะ

คิดว่าตัวเองกำลังเป็นไมเกรนแบบเฉียบพลัน เลยหยิบยาดมมาสูด 

แต่ทำไมเก้าอี้ทำงานมันเริ่มไหลไปมาเอง ทั้งที่ก็ยังนั่งอยู่เฉยๆ...

พอหย่อนเท้าแตะพื้นห้อง ก็ปรากฎว่าพื้นมันเหมือนเอียงไปมาได้ด้วยว่ะ งง...เอียงหนักเลย เห็นท่าจะไม่ดี แสดงว่าอาจจะใกล้เป็นลม !!

จังหวะนั้นแหงนขึ้นมองเพดานพอดีค่ะ เห็นว่าโคมไฟแบบห้อยในห้องมันแกว่งโยกแบบสวิงไปมาอย่างรุนแรง และไม่เคยเห็นว่ามันแกว่งได้ขนาดนี้

ไม่ใช่แล้ว !! แผ่นดินไหวเหรอ !! จะเป็นไปได้ยังไง

ผู้เขียนพยายามทรงตัวลุกขึ้นยืน เฮ้ย... นึกถึงแมวที่เลี้ยงไว้... แต่นึกถึงบิดามารดาที่อยู่ชั้นบน ว่าป่านนี้จะได้รับอันตรายหรือเปล่า ดังนั้นวิ่งออกประตูขึ้นไปชั้นบนทันทีค่ะ  ไม่ได้หยิบอะไรติดมือไปทั้งสิ้น ในหัวมีภาพว่าอาจจะมีอะไรหล่นตูมตามใส่หัวหรือไม่ระหว่างที่วิ่งไป

ไม่มีอะไรในบ้านที่หล่นหรือว่าตู้เอียงลงมาทับผู้เขียนหรอกค่ะ ปลอดภัยดี

คุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนนอนกำลังเล่นอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านชั้นบน (เพิ่งจะสร้างใหม่ค่ะ) 

"แม่! แผ่นดินไหว"

"ถึงว่าสิ ทำไมพวงมะม่วงมันถึงแกว่งไปแกว่งมา ทั้งที่ไม่มีลมพัดซักกะนิด"  แม่พูดหน้าตาเฉย ดูไม่ได้ตกใจเท่าผู้เขียนหรอกค่ะ แล้วชี้มือไปยังต้นมะม่วงข้างบ้าน ลูกมะม่วงกำลังดกเป็นพวงห้อยลงมา

เหลือบไปเห็นคุณพ่อนอนเอนหลังบนเตียงผ้าใบสบายใจเฉิบ แบบว่าไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเตียงผ้าใบมันก็โยกเองอยู่เป็นปกติ  คิดว่าไม่ได้มีอะไรแปลก

"พื้นมันแกว่งไปมาด้วย" แม่บอก

สรุปว่าทั้งสองคนปลอดภัยดี แถมไม่ตื่นตกใจซะอีก  สักพักเสียงน้องสะใภ้กับหลานก็ดังขึ้นมาจากข้างล่าง ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย

สองนางวิ่งออกมานอกตัวบ้าน ทำหน้างงๆ บ่นว่าทำไมเวียนหัว แล้วพื้นโยก

หลานสาว Gen Z ไถมือถือไปมาแล้วบอกว่า ในทวิตเตอร์เค้าบอกแผ่นดินไหว !

.......

หลังจากผ่านไป 20 นาที ผู้เขียนเห็นว่าเหตุการณ์ในบ้านทุกอย่างปกติ จึงกลับลงมาที่ห้องทำงาน ในใจคิดว่าป่านนี้ห้องฉันถล่มไปแล้วหรือยัง  เพราะว่าเป็นห้องที่อยู่ใต้ระเบียงที่ไม่มีเสาเข็ม

โชคดีที่ทุกอย่างปกติค่ะ

น้องแมวที่บ้านเดินออกมาจากซอกอย่างงงๆ นางก็ไม่ได้ออกอาการตระหนกอะไรมาก แต่ก็ดูออกว่าเมื่อกี้มันต้องมีอะไรไม่ปกติ

ผู้เขียนเปิดทีวีค้างเอาไว้ด้วยค่ะ  สภาพคือเป็นจอพักเบรคที่ยังเปิดค้างเอาไว้ คือมีการออกอากาศอยู่ แต่ไม่มีภาพเคลื่อนไหว มีแต่ภาพนิ่งเป็นโลโก้สถานี  แน่ล่ะสิ ...ต้องมีอะไรไม่ปกติ แสดงว่าแผ่นดินไหวเป็นบริเวณกว้าง แต่ในตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าได้รับแรงสั่นสะเทือนกันหลายจังหวัด

ผู้เขียนหยิบมือถือมาไล่เรียงดูเหตุการณ์ในสื่อโซเชียลมีเดีย ก็ต้องตกใจไปกับภาพที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็น !!!

ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลออกมาสู่ถนน  น้ำในสระว่ายน้ำบนคอนโดที่ทะลักล้นออกมา และ...ภาพตึกระหว่างการก่อสร้างถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา

โชคดีของประเทศไทยที่ (นอกเหนือไปจากตึกที่กำลังสร้าง) ไม่มีใครหนีออกมาจนทับกันตาย...แบบว่าตระหนกสุดขีดแล้วคนกระจุกกันตรงทางออก  จนเป็นลมหมดสติแล้วถูกคนข้างหลังเหยียบเอาน่ะค่ะ

แค่ตึกถล่มทับคนงานก็เจ็บปวดจะแย่อยู่แล้ว...

ในวันนั้นก็มีแต่ข่าวแผ่นดินไหวแหละค่ะ แน่นอนว่า...มันไม่เคยเกิดขึ้นแบบหนักหน่วงอย่างนี้มาก่อนในชีวิต

ทุกคนพูดเหมือนกันว่า...ชีวิตนี้เกิดมาเพิ่งเคยเจอ

สงสารคนทำงานจำนวนมาก ต้องเดินกันไกลเพื่อกลับบ้าน เพราะรถไฟฟ้าประกาศหยุดวิ่ง ห้างร้านพากันปิดทำการ แน่นอนว่ารถต้องติดกันอยู่บนถนน อย่าหวังพึ่งเลย...พวกรถรับจ้าง มีแต่จะหารถไม่ได้ หรือไม่ก็ถูกโก่งราคา กับอีกทีคือขึ้นไปนั่ง ก็ไปไหนไม่ได้ เพราะรถมันติด

มีเพื่อนโทรมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าถึงบ้านสามทุ่ม...เดินเท้าจากที่ทำงานตั้งหลายกิโล โห...

เป็นวันมหาวิปโยคจริงๆค่ะ

....

ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ  สาธุ