แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Journal แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Journal แสดงบทความทั้งหมด

ตุลาคม 24, 2567

อะไรก็ได้...ถ้าคุณมีความสุขไปกับสิ่งนั้น



สังคมผู้สูงอายุในยุคนี้มาพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้ชีวิตของเราแตกต่างออกไปจากบริบทเดิมๆ

เราอาจได้รู้เห็นประสบการณ์การใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆกัน ก่อนหน้านั้น...ผู้เขียนมักจะนึกถึงประสบการณ์ในบ้านพักคนชรา ที่รัฐจัดหาเอาไว้ให้ส่วนหนึ่ง

ภาพข่าวและสื่อต่างๆในโลกใบนี้บอกให้รับรู้ว่า ชีวิตในบ้านคนชราไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก ทว่าก็ต้องแล้วแต่สภาพทางการเงินของแต่ละคนอยู่ดี

เดี๋ยวนี้สภากาชาดไทยก็ทำคอนโดสำหรับให้ผู้สูงอายุเช่า  เรียกได้ว่าภาครัฐก็มีทำอะไรแบบใหม่ๆอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ล้ำหน้าเท่าในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่เข้าสู่ภาวะสังคมอายุก่อนใคร

ถ้าเป็นในเมืองไทย คงไม่มีใครอยากไปใช้ชีวิตในบ้านพักคนชราอย่างโดดเดี่ยวกระมัง

แต่หากมันเลือกไม่ได้ล่ะ...ก็อาจจะยังดีกว่าเป็นคนเร่ร่อน

ผู้เขียนนึกถึงชีวิตตัวเองในวันข้างหน้าอยู่เหมือนกัน  ตอนช่วงที่ทำงานอยู่ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานและเก็บเงิน รู้ตัวอีกทีก็ออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่บ้าน  หากว่าหมดบุพการีไปอีก ก็นึกภาพตัวเองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร

อีกหน่อยอาจตายอยู่ที่บ้านไม่มีใครรู้  เหมือนข่าวที่พบบ่อยในประเทศญี่ปุ่น 55555

หรือในเมืองไทยก็มีข่าวทำนองนี้ออกมาบ้าง แต่ไม่ค่อยเป็นข่าวโด่งดังหรือน่าสนใจอะไรขนาดนั้น

ความตายเป็นเรื่องที่เราทำนายไม่ค่อยจะได้  เหมือนเวลาเราจะเกิด เราก็ไม่รู้ว่าจะไปเกิดในบริบทไหน จะเป็นลูกคุณหนูมั่งมี หรือเป็นคนชั้นกลางที่ต้องใช้ความพยายามมากมายกับชีวิต หรือจะไปเกิดเป็นคนที่มีโอกาสน้อย  ฯลฯ

ที่จริงชีวิตมันก็ได้ผ่านมาแล้วหลายสิ่งอย่าง  มองย้อนๆไปชีวิตแต่ละคนเหมือนหนังสือเล่มใหญ่  ทุกวันนี้มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ทั้งที่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าวันเวลาแสนสุขเช่นนี้จะเผาผลาญเอาทุนชีวิตเก่าๆของเราค่อยๆหมดไป

สัจธรรมก็คงแค่นี้ พอไม่มี ก็วิ่งหา พอได้มาก็กลัวมันหมด !!!

วันนี้เขียนเหมือนบ่น  หามีสาระอันใดไม่ ฮ่าาาาา

ที่จริงแล้วเป็นคนชอบวาดมากกว่าชอบเขียน  ก็เลยพยายามทำอะไรก็ได้ที่ได้วาดและได้เขียน แล้วพอจะมีรายได้เข้ามาด้วยน่าจะดี  ดีมาก ถึงดีที่สุดเลย หุ  หุ


😷

สัปดาห์นี้ผู้เขียนเหมือนจะเป็นไข้ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง นึกว่าหน้าหนาว แต่พอออกไปเดินตากแดดช่วงบ่ายๆเมื่อวันก่อนเท่านั้นแหละ  ตอนเย็นจับไข้เลยค่ะ 

ต้องพึ่งพาทั้งยาฝรั่งและสมุนไพรฟ้าทะลายโจร  นั่งทำงานนี่ร้อนทั้งไข้และอากาศก็ร้อนจนเหงื่อซึมๆค่ะ

แต่ก็เอาแต่นั่งเปล่าๆไม่ได้หรอกค่ะ  เขียนนิยายต่อไป...เอาให้จบอีกเรื่อง  

จบเรื่องนี้ค่อยว่ากันใหม่ค่ะ ว่าจะเขียนเรื่องใหม่ หรือจะเลิก...กกกก


วันนี้สวัสดีก่อนค่ะ บาย

 

ตุลาคม 17, 2567

ไต่เพื่อต่อ

 



ช่วงนี้อากาศเย็นลงตามลำดับค่ะ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีก็ว่าได้ ที่ชาวเมืองกรุงอย่างเราๆผ่านพ้นมหาภัยน้ำท่วมเหมือนปี 2554 กันไปอีกครั้ง

ว่าไปแล้วก็คงจะหลอนกันต่อไปอีกหลายปีค่ะ ไม่ว่าจะผ่านไปสักแค่ไหน ทุกครั้งที่เข้าฤดูน้ำหลาก-น้ำท่วม ก็จะเกิดอาการนี้เหมือนๆกัน

ปีนี้หนักทางแม่สาย เชียงราย เชียงใหม่ ที่เห็นในภาพข่าวแล้วก็เอาใจช่วยค่ะ น้ำลดแล้วแต่สภาพบ้านเรือนที่อัดแน่นไปด้วยโคลนนั้นมันบาดใจเกินจะรับค่ะ

ภาคกลางตอนล่างอย่างกรุงเทพแม้ปีนี้จะรอดกันไปอีกปี แต่ก็ประมาทไม่ได้นะคะ ของมันเคยเกิดแล้ว จะเกิดอีกเมื่อไหร่ก็ต้องหาลู่ทางรับมือไว้ก่อนค่ะ

สุดท้ายเราก็กลับมาบุกบั่นสร้างรายได้กันต่อค่ะ ราวกับว่าชีวิตนี้ต้องทำแบบนี้กันไปตลอดชีวิตหรือไง(วะ)

ที่ผ่านมาหลังเกษียณใหม่ๆผู้เขียนคิดเอาเองว่าตัวเองเหมือนจะได้ลิ้มรสการมีอิสระทางการเงินกับเค้าอยู่ช่วงหนึ่งค่ะ  เป็นชีวิตอิสระที่ดีเหลือหลาย ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ ทำได้ทั้งวันทั้งคืนไม่มีใครว่า

แต่พอเจอวิกฤตซัดเข้ามาทีละหนึ่งตู้ม สองตู้ม ก็ชักจะต้องกลับมาเหนื่อยหารายได้ชดเชยกับที่เสียไป(อีกแล้ว)

ขาเข้าไม่เท่าขาจ่ายเลยค่ะ อย่างที่บ่นให้ฟังบ่อยๆ

จึงได้แต่ปรับตัว ปรับใจไปเรื่อยๆค่ะ เพราะก็คงจะดีกว่าไปนั่งจ่อมจมกับความยาก ความไม่เป็นดังคิดใช่ป่าวคะ

หลังจากหมดแรง หมดใจกับการเขียนนิยายไปได้ประมาณครี่งเดือน ตอนนี้กลับมาเขียนต่อล่ะค่ะ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ คิดใหม่ว่าต่อไปนี้ฉันจะเขียนเท่าที่เขียนได้  ไม่ตกเป็นทาสของยอดวิวอีกต่อไปค่ะ

คือใครไม่ชอบ ไม่อยากอ่านก็ไม่ว่ากันนะคะ คือเขียนอย่างที่เป็นกระแสฮิตกันอยู่ไม่ได้อะค่า

ไปย้อนอ่านงานของตัวเองแล้วสรุปได้ว่าเป็นนิยายรักดราม่า ที่ออกไปทางแนวสมจริง ชีวิตจริง คนจริงๆ ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเขียนไปเขียนมาเป็นงั้นไปได้ไง ดังนั้นกลุ่มนักอ่านก็น่าจะเป็นผู้ใหญ่ตอนกลางถึงตอนปลายเลยล่ะค่ะ

ก็ไต่กันต่อไปค่ะ คิดว่าเมื่อไหร่ชำนาญการเขียนมากกว่านี้คงจะขยับไปแนวอื่นๆบ้างแล้วค่ะ แบบนี้ถึงเรียกว่าไต่เพื่อต่อยอดไงคะ  แต่ว่าสงสัยคงจะอีกนาน5555 เพราะสปีดการเขียนช้าเป็นเต่า  เรื่องนึงใช้เวลาเกือบปีกว่าจะเขียนจบ ฮ่าาา




ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ


เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 





สิงหาคม 29, 2567

Outcome กับ Income



วันนี้จะยกบทสนทนาระหว่างผู้เขียนกับเพื่อนมาให้อ่านกันค่ะ


เพื่อน : เป็นไงมั่งล่ะ (คงตั้งใจถามสารทุกข์สุขดิบเช่นเคย)

ผู้เขียน : ก็อย่างเดิมแหละ ทำไปเรื่อยๆ มีความสุข แต่ก็แอบเครียดว่ะ

เพื่อน : ยังไงวะ ตกลงสุขหรือทุกข์

ผู้เขียน : สุขมากกว่ามั้ง (ปลายเสียงชักไม่แน่ใจ 555)

เพื่อน : ชิลนักนะ  แบบนี้เค้าเรียกชิลๆเว้ย

ผู้เขียน : จริงเหรอ แล้วอนาคตจะดีมั้ย จะรอดมั้ยเนี่ย

เพื่อน :  บ่นทำไม  บอกแล้วให้กลับไปทำงานออฟฟิศ  เกษียณเร็วไปแล้วโว๊ย

ผู้เขียน :  ไม่เอาแล้ว สังขารไม่ไหว ตั้งแต่ออกจากงานมา ไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงพยาบาลเลย

เพื่อน : เออดีแล้ว  ยังไม่จนตรอกก็งี้แหละ ชิลๆไป

ผู้เขียน : (ตกลงเพื่อนมันกำลังหลอกด่าอยู่หรือเปล่าวะ 5555) ผลงานคือได้ความสบายใจเว้ย  รายได้ว่ากันอีกเรื่อง มันคนละเรื่องเลยว่ะ

เพื่อน : ไม่ต้องกังวล  เงินหมดก็เอาที่ดินไปขายเลย 5555


ตอนจบฟังแล้วยังไงพิกลเนอะ  แต่ก็นั่นแหละค่ะ เพื่อนก็หวังดีและเป็นห่วงมากกว่า  ตกลงตั้งแต่ออกจากงานมามีเพื่อนสนิทๆเท่านั้นที่โทรมาหาเรื่อยๆ  ส่วนผู้คนจำนวนมากที่เราเคยร่วมงานที่ทำงานนั้นก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยค่ะ

มีปีที่แล้วนัดกินข้าวกัน ก็เป็นกลุ่มที่ early retire ออกมาพร้อมกัน กับน้องๆในทีมที่เคยทำงานด้วยกันค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมานะคะ (หน่วยงานที่ผู้เขียนเคยรับผิดชอบมีทีมทั้งหมด 8 คน)  จะมีอยู่สามสี่คนที่เหมือนยังนึกถึงเราอยู่  ก็จะมีทั้งเพียรส่งข้อความมาทักทายในวันปีใหม่ วันเกิด หลายคนยังส่งขนมมาให้ทานอีกด้วยค่ะ

นี่ก็เป็นสัจธรรมที่ต้องพบเจอค่ะ  เราอยู่ในฐานะที่ให้ประโยชน์อะไรกับใครไม่ได้แล้ว  คนที่ยังนึกถึงเราก็แสดงว่าไม่ได้หวังอะไรจากเรา  นึกถึงก็เพราะอย่างอื่นมากกว่า

หลายคนที่เจอก็มักจะถามว่าผู้เขียนทำอะไรอยู่

ผู้เขียนก็จะตอบกว้างๆ ว่าทำหลายอย่างไปหมด (จะถือเป็นรายได้ก็พูดไม่ได้เต็มปากค่ะ) ทุกอย่างที่ทำมันก็ออกดอกออกผลนิดๆหน่อยๆ บ่อยครั้งก็มีท้อ มีเศร้า เฉกเช่นปุถุชนค่ะ

ผลลัพธ์กับรายได้มันคนละเรื่องจริงๆ มีความสุขที่ได้วาดรูป  ได้เขียนหนังสือ ดูแลผู้มีพระคุณตามสมควร  ยังมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ค่ะ  ทุกวันนี้ไม่เคยไม่มีอะไรทำจริงๆ....สาบาน

...

ไม่อยากคิดให้ไกลค่ะ  ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน นี่มันก็ถือว่าบั้นปลายชีวิตล่ะ 

 เพี้ยง! เงินทองคือของมายา  ข้าวปลาสิของจริง !

ฮ่าาาาา หัวเราะปลอบใจตัวเอง


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  แล้วเจอกันใหม่ vlog หน้า :)


สิงหาคม 05, 2567

คิดถึงวันเก่าๆ (บางที)

 


ผู้เขียนเจอรูปเก่าๆสมัยที่ถ่ายเอาไว้เล่นๆ อยู่หลายรูปเลยค่ะ  รูปนี้ก็เป็นรูปหนึ่งที่อุตส่าห์เอากล้องถ่ายรูป เน้น กล้องถ่ายรูป ไม่ใช่ถ่ายด้วยมือถือนะคะ  ถ่ายภาพนี้ด้วยกล้องพกพาค่ะ

แล้วมันยังไง พกกล้องถ่ายรูปไว้ติดรถเล่นๆ ค่ะ สมัยนั้นมีกล้องถ่ายรูปหลายอันมาก  เลยเอามาแปะไว้ในรถสักอัน เผื่อหยิบใช้ง่ายๆ เพราะว่าอยากจะศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายภาพ  แต่ไม่มีเวลาออกไปไหนไกลๆค่ะ

เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ว่าการจะถ่ายภายสวยๆต้องออกไปเดินทางท่องเที่ยวให้ลำบาก  มาเข้าใจเอาตอนนี้เองแหละว่า  ของใกล้ๆตัวเอามาถ่ายให้ดูสวยก็ไม่ได้ลำบากเลย  ไม่ต้องเสียเงินออกไปนอกบ้านให้เสี่ยงนี่นั่นโน่นด้วย  นี่เป็นคำแก้ตัวของคนที่ไม่ชอบเที่ยว  และอีกทีก็คือไม่รู้จะไปไหนค่ะ5555

หัวใจคือความเข้าใจการทำงานของกล้อง  เลิกถ่ายโหมดอัตโนมัติให้ได้ก่อน  ฮ่าาา ตอนนี้ก็ทำเป็นแล้วล่ะค่ะ และไปได้ดีกับงานนี้พอสมควร

คิดถึงวันเก่าๆที่เราต้องนั่งบนรถที่ติดแน่นขนัดทุกๆเช้าวันทำงาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันจันทร์

รถติดบนทางด่วน  ขนาดว่าขับรถไปด้วย  ยังมีเวลายกกล้องมาเล็งได้ขนาดนั้นเลย แสดงว่ารถติดแน่นิ่งสนิทและนานขนาดไหน

รูปนี้ก็พยายามจัด composition ให้เห็นเส้นวิ่งทะแยงของถนน ขัดไปกับเส้นราวเหล็กของทางด่วนค่ะ  เห็นมั้ยล่ะ  รถติดก็ยังเห็นถึงความงดงามได้  ฮ่าาาา  แต่ ณ วันนั้นขอบอกว่าเซ็งสุด  ยิ่งหากวันไหนมีประชุมเช้ารออยู่ด้วยละก็  ยิ่งเครียดพาลเส้นเลือดขมับปูดเลยทีเดียว

จะไปทันมั้ยวะ

ข้าวก็ยังไม่ได้กิน  ฯลฯ  สารพัดค่ะ  แต่มันก็ได้พ้นไปจากชีวิตผู้เขียนหลายปีแล้ว...ชีวิตแบบนั้น

บางทีก็อดคิดถึงไม่ได้นะคะ  จะอย่างไรมันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต  คือความทรงจำ  การดิ้นรนเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน สุดท้ายมันก็สำเร็จละ  แล้วมันก็ต้องจบไปอีกหนึ่งช่วง  เหมือนซีรีย์จบตอน  แล้วขึ้นต้นบทใหม่...

บทใหม่แต่เรื่องเดิม...คือ...หาเงิน(อีกแล้วค่ะ)555

ตกลงเกิดมาเพื่อหาเงินกันหรือไง  มวลมนุษยชาติเค้าก็ต้องหากันแบบนี้แหละ หาใช่เธอคนเดียว  จะมาบ่นไปไยเล่า  ใช้สำนวนหนังจีนหน่อย  

ว่าแล้วจะลองเขียนนิยายจีนให้ได้สักเรื่องค่ะ  เผื่อจะได้เกิดดดด....ที่จริงคือสนองความอยากเขียนของตัวเองอีกละ   

บ่นแล้วก็ต้องสู้ต่อไปค่ะ

ฝากติดตามผลงานนะคะ  ถ้ายังไม่ตายเสียก่อนก็ต้องสู้กันให้ตายกันไปข้างนึงละ ...สู้โว๊ย

มิถุนายน 05, 2567

ถึงจะบ่นว่าเหนื่อย แต่ก็ยังจะต้องทำต่อไป

 


วันนี้นิยายเรื่องแรกที่ใส่พลังเข้าไปแบบเต็มพิกัด ก้าวเข้าสู่การเผยตัวออนไลน์บนแพลตฟอร์ม top 5 ของประเทศไทย และใกล้เขียนถึงบทสุดท้ายเข้าไปทุกที... เกือบจะจบเรื่องแล้วจ้า

แหมเกริ่นนำเสียสวยหรูยิ่งใหญ่ขนาดนี้  top 5 ที่ว่าก็หนีไม่พ้น เด็กดีดอทคอม กับ รี้ดอะไรท์ นั่นแหละค่ะ

อย่าถามว่าผ่านไปเกือบสิบเดือน ยอดวิว ยอดรายได้เป็นไง

😓ก็อย่าไปเอาอะไรมากกับเรื่องแรก  ชาวบ้านเค้าเขียนกันมาก่อนเราเป็นสิบๆเรื่องก็ไม่ได้โด่งดังในชั่วข้ามคืน  อันนี้ก็ปลอบใจตัวเองตามเคยค่ะ

นิยายรักชายหญิงพล็อตเรื่องแบบ everyday life บางคนเรียก slice of a life คือไปเรื่อยๆสายชิล จะไปสู้นิยายรักผู้ใหญ่ 18+ หรือนิยายจีนโบราณ  มันเป็นไปไม่ได้

ทุกวันนี้ผู้เขียนทำหลายอย่างมาก หากใครติดตามอ่าน blog มาตลอดจะทราบค่ะ  5555

เหนื่อยก็ต้องหยุดค่ะ  วัยนี้มันไม่ใช่วัยสร้างฐานะ  เลยมาไกลมากแล้ว  ฝืนสังขารแล้วเกิดต้องเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลขึ้นมามันจะยุ่งและเดือดร้อนคนอื่นค่ะ

อนิจจา...รายได้จากงานสร้างสรรค์ทั้งปวง (ไม่เกี่ยวกับที่เรียนจบและทำงานมาเลยสักนิด) เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย  และเมื่อเทียบกับรายได้สุดท้ายก่อน early retire มันคือ 1:10:100 (รายได้:ค่าใช้จ่าย:รายได้ในอดีต)

ข่าวดีก็มีค่ะ

คือผลประกอบการช่วง 2-3 ปีแรก อัตราส่วนเป็นดังนี้  1:100:1,000  

ผ่านมา 6 ปี ดังนั้นอัตราการเติบโตของรายได้คือ 10 เท่า ใช้เวลาถึง 6 ปี อยากจะเขียนตัวโตๆๆๆๆๆๆ

ตัวอย่างเช่น ช่วง 2-3 ปีแรก มีรายได้ประมาณเดือนละ 10 บาท แต่ตอนนี้ได้ประมาณเฉลี่ยเดือนละ 100 บาท

ดูน่าดีใจใช่ป่าวคะ  ...ก็นั่นหละ ผู้เขียนพยายามจะมองแค่จุดนี้ คือจุดที่เราสบายใจ ไม่งั้นจะท้อมาก เพราะกว่าจะได้มาต้องทำหลายอย่างเลยค่ะ  ทั้งนี้ผู้เขียนมองเรื่องการสร้างกระแสรายได้ หรือ income stream ที่ต้องมีรายได้จากหลายทิศทางค่ะ  กระจายความเสี่ยง กระจายเจ๊งด้วยค่ะ ก็เหนื่อยหน่อย แต่เชื่อว่าจะมั่นคงค่ะ

อย่างที่เห็นว่าเป้าหมายคือรายได้ที่ควร cover ค่าใช้จ่าย ยังไม่เป็นไปตามเป้า ห่างไกลมากถึง 10 เท่า  ความฝันที่อยากจะกลับไปมีเงินเหลือเก็บออมบ้างก็ไม่ได้เลย

ไม่ต้องไปดูตัวหลังสุดคือ รายได้ในอดีต... คือ เหนื่อยค่ะ  อยากกลับไปมีชีวิตชิลๆ ได้กินได้เที่ยว ได้ shopping บ้างคงจะไม่ได้อยู่ดี  ยังไงก็ต้องผ่านด่านที่ว่าทำให้มีเงินเหลือออมจะดีกว่า  เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่ค่ะ ยังไงต้องแบ่งออมไว้ก่อนปลอดภัยที่สุด

บ่นเรื่องผลประกอบการให้ฟังเสียยาวยืด  หวังว่าคุณผู้อ่านจะได้ไอเดียกับการจัดการชีวิตวัยเกษียณไปบ้างนะคะ  5555 สาธุค่ะทุกคน

ว่าแล้วก็ต้องไม่ลืมขายของ อ้าว...ฮ่าาาาา


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272


เขียนมาใกล้จบล่ะค่ะ  ทะยอยปิดปมต่างๆที่สร้างเอาไว้ แฮบปี้เอนดิ้งกันทุกคู่  แต่จะอย่างไรต้องไปติดตามอ่านกันนะคะ  ระหว่างนี้ขอแจ้งว่าจะมีการรวบรวมเป็น ebook แน่นอน  ส่วนจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มนั้นตัวผู้เขียนจะทำไว้อ่านเป็นที่ระลึก  คาดว่าจะสั่งพิมพ์เล่มมาไม่เยอะ ลองขายดูค่ะ5555 ดังนั้นพิมพ์จำนวนน้อย คงไม่ได้กำรี้กำไรอะไรมากมาย  ขายไม่หมด-เหลือก็บริจาคทำบุญให้ห้องสมุดประชาชนหรือไม่ก็ห้องสมุดพร้อมปัญญาสำหรับผู้ต้องขังค่ะ  รับรองว่าอ่านแล้วไม่มีพิษ ไม่มีภัย สายโลกสวยยย

เรื่องใหม่ถัดไปก็มีโครงเรื่องรออยู่เหมือนกันค่ะ ทว่า...ยังมีหลายจุดที่ไม่ลงตัว  คิดไม่ออก  แก้ไม่ตก  ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้เขียนเรื่องใหม่ในช่วงไหน 

ถึงจะบ่นว่าเหนื่อย และไม่ได้อะไรเท่าไหร่  แต่ก็ยังจะต้องทำต่อไปค่ะ 

เพราะน่าจะอยากทำ...นั่นแหละค่ะ ข้อสรุป



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ




มีนาคม 06, 2567

ทุกความสำเร็จ มักมีเรื่องเล่า

 




ช่วงนี้หันมาจริงจังกับการวาดรูปมากขึ้นค่ะ  คือความที่ตัวเองทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน  ทำให้เกลี่ยเวลาไปทำทุกสิ่งอย่างไม่ค่อยทั่วถึง  ทำทุกอย่างสลับไปสลับมาในหนึ่งวันเลยค่ะ

ทว่าทำอย่างนั้นแล้วมันเยี่ยม!

เพราะอะไรน่ะหรือคะ  

คือกลายเป็นว่าทำให้หัวสมองได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แถมได้ยังกระจายความเสี่ยงในเรื่องทักษะความสามารถอีกด้วย  ยุคนี้จะมานั่งทำอะไรอย่างเดียวหรือทีละอย่าง เห็นจะไม่รอดดดด  มันต้อง Agile ปรับตัวให้ไวเข้าไว้  

ทีนี้การจะปรับตัวให้ไวได้ต้องมีฐานมากพอจะโฉบไปตรงนั้นตรงนี้ได้ค่ะ  ถ้าไม่มีพื้นความรู้ หรือฐานที่ว่าสักนิดสักหน่อย  มันก็ไปต่อกับชาวบ้านเค้าไม่ได้

ดังนั้นความเข้าใจในงานวาด  งานระบายสี  มันบูรณาการร่วมกัน  ถ้ามัวไปทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เนี่ย  ไปส่งผลต่องานอื่นอย่างไรบ้าง  เหมือนเรามีฐานค่ะ  จะไปต่องาน digital หรือ ระบายมือ ก็ทำได้หมด เปลี่ยนแค่เครื่องมือเท่านั้น

ทว่าการใช้เครื่องมือ หรือใช้โปรแกรมก็ต้องฝึกฝนอีกแหละค่ะ

เมื่อได้เข้าใจว่าทุกอย่างส่งผลต่อกัน  หรือสัมพันธ์กันอย่างไร  จุดไหน...พัฒนาการจะเกิดเองค่ะ

รู้สึกพอใจผลงานมากขึ้นมาอีกนิดค่ะ  แม้ว่าจะยังวาดไม่เสร็จร้อยเปอร์เซนต์ ก็พร้อมอวด55555 ดูรวมๆแล้วน่าจะผ่านอยู่นะคะ  รายละเอียดอื่นยังต้องฝึกกันต่อค่ะ เช่น  รอยยับบนเสื้อ  การลงสีดวงตา  ใบหู  กับลงแสงเงารวมๆยังต้องปรับอีก

อยากจะฝึกฝีมือเอาไว้วาดปกนิยายของตัวเองค่ะ

เพราะค่าจ้างวาดโหดมาก งานสวยๆนี่ราคาประมาณหกพันกว่าบาทขึ้นไปเลยทีเดียว  ลองคิดดูว่านักเขียนหน้าใหม่ ไก่กาอาราเร่ อย่างดิฉันเนี่ยยยย  ขืนไปจ้างวาดก็ทุนหายกำไรหดแน่

เพราะคาดเดาไม่ได้เลยค่ะ  ว่าเมื่อรวมเล่มขายแล้วจะมีนักอ่านสนับสนุนขนาดไหน

เอาไว้นิยายใกล้ออกเล่มเป็น ebook เมื่อไหร่จะมาอ้อนนักอ่านแถวๆนี้อีกทีนะคะ  อิอิอิ

ส่วนการพิมพ์เป็นเล่มนั้นมีแน่นอน เพราะต้องการเก็บไว้เป็นทีระลึกสำหรับตัวเอง 55555  ขึ้นอยู่กับนักอ่านว่าจะตอบรับ ebook ดีไหม  จะได้พิมพ์เล่มเผื่อไว้สักเล็กน้อย 

ว่าไปแล้วอย่าลืมตามไปอ่านกันนะคะ  พีคคคคคแล้ว  ตอนที่ 60 กว่าแล้วค่ะ


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272


เขียนต่อไป  ยังเขียนอยู่ค่าาา




ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  ไว้พบกันใหม่ vlog หน้าค่ะ





กุมภาพันธ์ 07, 2567

ศิลปกรรมแห่งความน่ากลัว : Art of Horror

 




ขออวดภาพวาดด้วยสีอะคริลิคฝีมือตัวเองกันสักหน่อยนะคะ

ใครอยากสนับสนุนนักวาดวัยเกษียณคนนี้ติดต่อทักมาได้ อิอิ  ได้ไอเดียว่าขายเป็น Art Print ก็น่าจะพอไหวอยู่นะคะ (ตามไปเปย์ได้ใน Shopee ค่ะ เปิดร้านรอไว้ปล่อยของแล้วค่ะ 5555)

ตัวผู้เขียนเองก็สั่งทำเป็นภาพพิมพ์บนผืนผ้าใบไว้ติดข้างฝาห้องแบบหนุกๆ ค่ะ  คือติดแทนรูปภาพสีน้ำอันเก่าที่วาดเอง(อีกเหมือนกัน) ซึ่งติดไว้นานจนชักจะชินตาเกินไปแล้ว  ขอเปลี่ยนอารมณ์หน่อย5555

คือชอบคู่สีในภาพมากค่ะ  ชอบสีเขียวอมฟ้าแบบนี้ พอจับคู่กับโทนชมพูละก็ สวยดี

ทว่าเนื้อหาของภาพออกจะดูไม่โรแมนติก ออกแนวน่ากลัว ผสมหลอนนิดๆ  

มานั่งนึกดูก็สงสัยตัวเองว่ามีรสนิยมจริงๆแล้วชอบงานหลอนๆแบบนี้เหรอ😓

น่าคิดค่ะ...คือว่าชอบดูหนังผี หนัง thriller มากกว่าหนังรัก  หนังสอบสวนก็ดูบ้างนะคะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ คือดูแล้วต้องคิดเยอะ  ปวดหัวค่ะ  เอาสมองมาใช้ทำงานดีกว่า

ทุกวันนี้เพิ่งค้นพบว่าการเป็นนักเขียนนี่ใช้ความคิดเป็นอย่างมาก  คือ ต้องคิดทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แถมจินตนาการว่าตัวละครจะพูดอย่างไร และมีอารมณ์แบบไหน

แล้วมาเป็นนักเขียนเอาตอนอายุมากแล้วนี่...เหนื่อยค่ะ  สุขภาพจะไม่ไหวเอาล่ะ 

คือพอใช้สมองเยอะ  ก็ออกอาการปวดหัว และอ่อนเพลียมาก เวลาคิดไม่ออกแต่มันต้องเขียนแล้วอะค่ะ  เพราะตั้งใจว่าจะ upload ตอนใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละสองตอน

บางช่วงยอดอ่านขึ้นสูง มีคนมากดหัวใจให้ ก็รู้สึกฮึดๆๆๆ  จะเขียนให้ได้สามตอนต่อสัปดาห์

ปรากฏว่า...แทบจะป่วย 

ตกลงว่าชีวิตนี้จะเขียนนิยายได้กี่เรื่อง

เดี๋ยวต้องไปพักร่าง พักใจด้วยการกลับไปวาดรูปดีกว่าค่ะ  มันคือการปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง  ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อนักอ่าน5555  และ....การเลี้ยงชีวิต


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ




#Art of Horror  #ศิลปกรรมแห่งความน่ากลัว



มกราคม 24, 2567

นับหนึ่งแล้วกว่าจะไปต่อได้ถึงสิบ

 


เส้นทางที่เดินอยู่นั้นช่างแสนยาวไกล  อาจจะเป็นเพราะหักโหมมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น  เพราะว่าตัวเองนั้นอายุมิใช่น้อย

การเกษียณนั้นผ่านมานานหลายปี จนไม่อยากจะนึกถึงแล้วค่ะ อยากจะมองไปข้างหน้าเท่านั้น

แต่ดูแล้วว่าพลังแห่งความวิริยะอุตสาหะทำให้ผู้เขียนสุขภาพแย่ลง

จากช่วงแรกๆทำงานวันละ 15 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้ต้องลดเหลือวันละ 12 ชั่วโมง ไม่งั้นลากสังขารไม่ไหว

ทั้งนอนไม่หลับด้วยอาการตามวัย  ทำให้เวลาที่อยากนอนก็นอนไม่หลับ พอนอนคิดงานไปด้วย ตื่นมาก็สมองตื้อ เวียนหัวไปทั้งวัน

บางช่วงแอบมีจิตตก  รู้สึกว่าพยายามแค่ไหนก็เหมือนคลานเป็นเต่า...ไม่ได้ตามเป้าหมายซะที

แต่ว่าถ้าไม่เริ่ม...ก็ยิ่งไปต่อ 3,4,5...ได้ยาก

อันนี้เรื่องจริงค่ะ...มัวแต่รอทำอย่างหนึ่งให้เก่ง แล้วไม่เริ่มหัดทำอย่างอื่นไปด้วยพร้อมๆกัน  ต่อไปถ้าเกิด trend เคลื่อนมา เราก็ต้องวิ่งตาม trend แบบกระหืดกระหอบ เพราะว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ+ทำไม่เป็น+ไม่มีทักษะ

เหมือนตอนนี้เทรนด์นิยายวาย กับนิยายจีน มาแรงมาก  แต่เราไม่ get และ no idea มากๆกับนิยายแนวนี้

เราโตมากับนิยายรัก นิยายสะท้อนสังคม อะไรเทือกนี้แหละค่ะ  ก็แน่ล่ะ...สมัยก่อนไม่มีเรื่องเสรีทางเพศ หรือเรื่อง LGBTQ

ส่วนนิยายจีนนี่ที่จริงอยากเขียน  แต่ต้องสะสมข้อมูลอีกสักพักค่ะ  พักใหญ่...สงสัยป่านนั้นตลาดเลิกสนใจไปเรียบร้อย 55555

นั่นเป็นตัวอย่างของ trend ที่มีผลมากต่อการสร้างรายได้ค่ะ  แต่ถ้าไม่แคร์เรื่องรายได้ก็จะมีความสุขในการเขียนมากขึ้นนะคะ


อยากมีความสุข แต่ก็แคร์เรื่องรายได้ค่ะ 5555


ถือซะว่าตอนนี้ได้นับ หนึ่ง แล้วนะคะ  .... ก็คงจะต้องคลานกันต่อไปอีกค่ะ  แค่ไหนแค่นั้น รู้สึกว่าชีวิตอาจไม่ได้ยืนยาว  ไม่รู้ว่าวันไหนจะหมดเวลา  เราก็ใช้ชีวิตมาเกินครึ่งแล้วนี่


ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตนะคะ.










มกราคม 10, 2567

ปรัชญาลุงแสง

 



ตอนที่ 33 นี่ผู้เขียนไปเขียนที่โรงพยาบาลขณะที่กำลังเฝ้าคุณแม่ไปด้วยค่ะ 

คุณแม่ผู้เขียนพอดีต้องไปผ่าตัด ประสาผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวนั่นหละ  ผู้เขียนนอนกับคุณแม่ที่โรงพยาบาลก็เลยพยายามหาเวลามาเขียนนิยายในช่วงคนป่วยหลับบ้าง ทานอาหารบ้าง  คือตั้งแต่เข้าปี 2567 มา ผู้เขียน upload นิยายได้แค่สัปดาห์ละครั้ง

แน่นอนว่ายอด view ค่อยๆร่วง 5555 ใจหายเลย แต่ไม่รู้จะทำไง

คือต้องเฝ้าคุณแม่ กับเทียวพาไปโรงพยาบาลหลายรอบ กว่าจะเข้าสู่กระบวนการผ่าตัด แล้วจนผ่าเสร็จก็ยังต้องมีกระบวนการพาไปให้คุณหมอดูแผล นี่  นั่น โน่น จิปาถะ ไหนในช่วงแรกต้องดูแลใกล้ชิดหน่อย  ท่านจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เต็มที่อีกต่างหาก

โชคดีที่ยอดเก็บเข้าชั้นยังปกติ คือมีนักอ่านบางท่านเอาออก 1 ราย  แต่ก็มีท่านใหม่เก็บเข้าชั้นเพิ่มเข้ามาแทนที่  ถือเป็นนักอ่านที่ผู้เขียนต้องทนุถนอมไว้ให้ได้ค่ะ

ยอดเก็บเข้าชั้นเพียงแค่ตัวเลข 2 หลัก และเพิ่มขึ้นทีละนิดตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา

นี่ก็เข้าเดือนที่ 5 ล่ะค่ะ  แต่อย่าไปเทียบกับนักเขียนท่านอื่นเด็ดขาดดดดด 

เพราะสู้เค้าไม่ได้  5555555

คิดว่าจะสู้เพื่อเขียนให้จบแน่นอนค่ะ

แต่หลังจากนั้นขอคิดอีกที  เพราะ...โหดมาก กว่าจะเขียนให้จบ  ก้อนึกไม่ออกเลยว่าท่านนักเขียนท่านอื่นๆเค้ามีวิธีการกันอย่างไร

บางคนเขียนได้หลายเล่มพร้อมกันในเวลาเดียวกัน

เฮ้อ...ขอถอนหายใจหนึ่งที  555


บางส่วนจากบทที่ 33


           ชายชราผู้เคยเป็นทหารเก่า ท่าทางทะมัดทะแมง ฉะฉานทั้งในคำพูดและกริยา เผยสีหน้าเหมือนกับเข้าใจบางอย่างแจ่มชัดมากขึ้น แม้ว่าเขาเพียงเห็นกชชรีย์ในระยะไกล และไม่มีโอกาสได้พูดคุยอะไรเกินกว่าคำทักทายหรือคำตอบรับสั้นๆ แต่ที่เขาเห็นชัดมากกว่าคือความเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าของบ้านหนุ่มรูปงามคนนี้

           “ชวนเธอมาเที่ยวบ้านบ่อยๆ สิครับ เวลาเธอมา…” เขากลืนเสียงตัวเองลงคอไปเฉยๆ อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อหรือไม่ แต่ประสาที่เป็นคนตรงไปตรงมา และมักถูกติงจากภรรยาว่าเป็นคนพูดขวานผ่าซากอยู่แล้ว เขาจึงสะดุดคิดก่อนพูดต่อ “เวลาเธอมาบ้านดูสดชื่นดีครับ”

            เขาปรับคำพูดแทบไม่ทัน ที่จริงในใจเขาอยากจะพูดว่า ‘เวลาเธอมา คุณโรมดูสดชื่นดีครับ’

           “งั้นเหรอครับ”

            โรมรันยิ้มน้อยๆ  พลางทอดสายตา พร้อมกับถอนใจราวกับหัวใจกำลังแบกรับของหนัก  คล้ายมีบางสิ่งจุกแน่นจนไม่รู้ว่าจะพูดออกไปอย่างไรดี

            ชายหนุ่มไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจุดยืนของตัวเอง และสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ท้ายที่สุดก็กลับมาไร้ซึ่งคำตอบ

            “ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืดยาวอะไรหรอกครับ คิดอยากทำอะไร...ต้องรีบทำ”

               ลุงแสงเผยลอยๆ ถึงประโยคปรัชญาชีวิตที่โรมรันมักอ่านพบเกลื่อนไปในหนังสือ ซึ่งสิ่งที่แกพูดมันเป็นคนละเรื่องกับที่เอ่ยถามถึงกชชรีย์เมื่อครู่นี้  โรมรันมีแววสนเท่ห์ในความหมายที่แฝงในประโยค ไม่แน่ใจถึงสิ่งที่ชายสูงวัยต้องการจะบอก กระนั้นแล้ว หลังแกพูดจบ ก็ขอตัวไปเดินตรวจตรารอบบ้านต่อแบบดื้อๆเสียอย่างนั้น



ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272






มกราคม 03, 2567

ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้

 



ใครที่เพิ่งเข้ามาอ่าน blog อาจจะไม่รู้ว่าภาพประกอบใน blog นี้มันอาจจะดูตื่นตาตื่นใจไปหน่อย ทั้งนี้ก็เป็นไปตามหัวเรื่องแต่ละอันที่จะเขียนแหละค่ะ  มาวันนี้อยากเล่าเรื่องการขี่หลังเสือของผู้เขียน จึงได้ทำรูปนี้มาประกอบ

ท่านใดได้ไปตามดูใน facebook instagram youtube ก็อาจมีการขัดใจบ้าง เพราะผู้เขียนไม่ได้ update อะไรใหม่ๆลงไปเลย คือว่าตอนนี้ยังนึกไม่ออก ไปไม่ถูก ว่าจะจัดการเนื้อหาอย่างไรดี  เรียกว่ายังไม่ "ตกผลึก" ก็ว่าได้ค่ะ

เอาเป็นว่า main หลักมาตามอ่านที่นี่ไปก่อนนะคะ

เข้าเรื่องว่าทำไมจะมาบ่นเรื่องขี่หลังเสือ

คำพูดนี้ผู้เขียนชอบใช้เวลาเล่าให้คนอื่นฟังเรื่องตอนสมัยก้าวจากตำแหน่ง officer เป็น Manager  ค่ะ ว่าเวลาได้เลื่อนตำแหน่งเนี่ยมันแสนจะภูมิใจเนอะ แต่พอผ่านไปได้สักระยะ คือจาก Manager ก็เลื่อนต่อไปเรื่อยเป็นโน่น นั่น นี่ ในสายบริหาร ตาม  career path ของสาย Management แหละค่ะ  คราวนี้ความรับผิดชอบมันมากขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง 5555 ควบหลาย function ทำเกือบทุกอย่าง ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน และไม่ถนัดก็ต้องทำ 

ไหนจะต้องดูแลน้องๆในทีมอีกหลายคน ปัญหาของงานกลายเป็นปัญหาชีวิตอย่างแยกไม่ออกละนั่น

แม้จะเหนื่อย แต่ดูเหมือนผลงานจะออกมาดี  ก็เลยเจริญรุ่งเรืองดีแบบไปไหนไม่รอด คือ กลัวไปทำอย่างอื่นแล้วคงจะไม่รุ่งเท่าอันนี้แล้ว

บางทีมันเหนื่อยมากจนอยากขอคืนตำแหน่ง 5555

ขอเป็นเจ้าหน้าที่เหมือนเดิมได้ป่าว  สบายใจกว่า เงินเดือนน้อยลงมานิดนึงก็ได้

เรื่องขอลดตำแหน่งตัวเองไม่มีบริษัทไหนเค้าอนุมัติให้ผ่านหรอกค่ะ  ผู้เขียนจึงต้องสู้ต่อไป

อาการนี้ไม่ต่างอะไรกับขี่หลังเสือ  ขึ้นแล้วลงไม่ได้

บนหลังเสือนั้นมันน่ากลัว  มาทำงานเหมือนมาออกรบ  แก้ปัญหาโน่นนี่ทุกวันไป  ไม่รู้ใครเป็นใคร บางคนหน้าเนื้อใจเสือ ปากหวาน ก้นเปรี้ยว แต่ทั้งรู้ก็ต้องทำเหมือนไม่มีอะไร

เรื่องทำให้ปากไม่ตรงกับใจนี่หละ ทำให้เครียด เพราะต้องคอยพลิกไปพลิกมา แต่ถ้าพูดตรงไปคงโดนเทล่ะค่ะ  หมายถึงสังคมรับความจริงไม่ได้หรอก เลยต้องทำตัวกลางๆเข้าไว้

ที่พูดไปนั่นก็บ่นเรื่องสมัยทำงานอีกละ

คราวนี้มารู้สึกว่าตัวเองขี่หลังเสืออีกก็ตอนมาเขียนนิยายแบบจริงจังนี่ละค่ะ

เริ่มจะมีแฟนคลับกับเค้าบ้าง  ช่วยมาเปย์จ่ายตังค์ให้ผู้เขียนเพราะจะเปิดอ่านรายตอน  ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อผู้อ่านเลยค่ะ แม้ว่าจะเป็นรายได้ที่ไม่ได้มากอะไร  ทว่ามันให้ความสุขเล็กๆน้อยๆกับผู้เขียนว่า...มีคนอ่านงานเราอยู่นะ

บนหลังเสือยังคงเหมือนการต่อสู้  คือ ต้องคิด ต้องเขียน ทำให้ออกมาอย่างดีที่สุดค่ะ

ตอนนี้มาไกลถึงตอนที่  33 แล้วล่ะค่ะ

เฮ้อ....

สู้ต่อไป

ฝากไว้ในอ้อมใจของทุกท่านด้วยนะคะ  เขียนจบเมื่อไหร่จะฉลองใหญ่...555


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272








มกราคม 01, 2567

สวัสดีปีใหม่ 2567 / 2024

 



❤ สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้เป็นปีแห่งความสุขและสมหวังสำหรับทุกท่านนะคะ 🥰❤

ทางเพจขอขอบคุณการสนับสนุนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และต่อไปในอนาคตค่ะ


ธันวาคม 31, 2566

ส่งท้ายปีเก่า 2566/2023

 



ปีเก่าเราผ่านไปอีกหน

สู้ทนหม่นไหม้ไม่เสียหลาย

ทุกสิ่งสอนเราให้เข้าใจ

จะดีร้ายย่อมผ่านไปไม่หวนคืน



บทประพันธ์โดย  inspired by art และในเครือ




ธันวาคม 23, 2566

พรุ่งนี้วันคริสต์มาสต์





แวะเข้ามาอวยพรคุณผู้อ่านค่ะ

เทศกาลดีๆของชาวโลกแบบนี้จะพลาดได้ไง  ถึงจะไม่ได้เป็นชาวตะวันตกก็อยากจะร่วมปลื้มปริ่มไปกับเทศกาลนี้ด้วยคน

ขอบคุณ คุณผู้อ่านที่เข้ามาอ่านกันเรื่อย  พอมียอดวิวให้ชื่นใจว่า ชั้นไม่ได้เขียนให้ตัวเองอ่านนนน 

ขอบคุณผู้ที่อาจเพียงเดินผ่านเข้ามาอ่าน จากการ search หาอะไรบางอย่าง แล้วมาเจอ blog นี้เข้า

ที่แห่งนี้คือจักรวาลอันสร้างสรรค์สุดติ่ง ของชาวโลกคนหนึ่งที่ชอบงานสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะงานวาด งานเขียน งานประดิษฐ์ และอื่นๆอีกมากมาย

เป็นโอกาสอันดีที่ early retired ก่อนอายุ 60 ปี  เลยมีเวลาทำสิ่งที่อยากทำ  ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของโลกยุคใหม่  ตกงานตอนแก่ซะงั้น

ดิ้นรนกระเสือกกระสนกันต่อไปคะ   ทำอะไรได้ก้อทำ   ทำไปทำมา ทำไปแล้วหลายอย่างมากๆ และหลายปีผ่านมา ก้อยังพอถูๆไถๆค่ะ  กิจการไหนไม่ work ก็ชะลอๆ แต่ไม่เลิกทำค่ะ

กิจการใหม่ก็ต้องทำ  ต้องหาผลิตภัณฑ์ดาวรุ่งของตัวเองให้ได้สักวันสิน่าาา

มันเลยค่อนข้างเหนื่อย  แต่ก็สนุกดี

วันนี้อยากลาหยุด งดส่งนิยายขึ้น platform สักวัน  ทว่าก็ไม่อยากทำให้แฟนคลับเล็กๆของเราต้องรอเก้อ  ทั้งๆที่คิดไม่ออก  พรุ่งนี้ค่อยมาลุยต่อค่ะ

อากาศดันมาเย็นซะอีก  ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ  เครื่องทำน้ำอุ่นที่บ้านเพิ่งเสีย  หลังจากได้รับใช้เรามาอย่างซื่อสัตย์ตลอด 10 ปี ไม่เคยงอแง  5555  

ขอสดุดีความอดทน และคุณภาพอันยอดเยี่ยมของน้องเลย

เมื่อคืนเหมือนน้องเกิดอาการสำลัก  พอปิดน้ำ มีเสียงดังครืดคราดในตัวเครื่อง  อาการเหมือนคนสำลักยังไงยังงั้น  สักพัก...ไฟสีแดงเล็กๆ ประดุจสัญญานชีพของน้องก็พลันดับลง   ปุ่ม reset ก็ไม่มีไฟ  ทุกอย่างพลันเงียบสนิท ปั๊มหายใจให้น้องด้วยการกดปุ่ม reset หลายครั้งน้องก็ไม่หายใจแล้ว  แง   น้องสิ้นชีพแน่แล้ว  

คือ....ต้องซื้อเครื่องใหม่  แถมมาเสียช่วงปีใหม่แบบนี้จะมีช่างมาติดตั้งมั้ยล่ะ

คงไม่มีใครมาติดให้หรอก...เค้าหยุดยาวปีใหม่กัน

ต้อนรับคริสมาต์อันหนาวเหน็บด้วยการต้องอาบน้ำเย็นละงานนี้

อ้าว  ยังไม่ได้อวยพรคุณผู้อ่านซะที  พาออกนอกเรื่องไปซะไกลค่ะ


ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะ

ไว้ปีใหม่จะมาอวยพรอีกรอบค่ะ  จัดชุดใหญ่เลย...เย้














ธันวาคม 06, 2566

แด่ มนตรามหาคริสต์มาส

 


แด่ มนตรามหาคริสต์มาส ธันวาคม 2566


ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาผู้เขียนชอบและคลั่งไคล้มากที่สุดของปีค่ะ  ไปไหนมาไหน โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าจะมีการแต่งไฟอย่างสวยงาม มีอุปกรณ์ตกแต่งเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาสน่ารักๆดูเพลินไปหมด

ที่บ้านผู้เขียนเคยซื้อต้นคริสต์มาสขนาดค่อนข้างใหญ่เอาไว้ต้นนึงด้วย  บางปีอารมณ์ดีหน่อยจะลงแรงมานั่งแต่งต้นคริสต์มาส ติดไฟสวยๆไว้ให้ตัวเองดู 5555

แต่จะเริ่มมีความทุกข์เวลาหมดเทศกาลไปแล้วต้องมานั่งถอดพวกของตกแต่งแล้วก็เก็บต้นคริสต์มาสนี่หละ เพราะว่าไม่มีที่จะเก็บ  ต้นมันน่าจะสูงประมาณเกือบ 2 เมตรได้ อารมณ์เวลาจะติดดาวบนยอดนี่ต้องปีนเก้าอี้  ขนาดว่าแยกชิ้นแล้ว แต่ละชิ้นก็ใหญ่โตเหลือเกิน

อย่างน้อยก็ยังอยากเก็บไว้อยู่ค่ะ  เวลาไปเห็นที่เค้าแต่งสวยๆมันอดไม่ได้ที่อยากจะอย่างนั้นบ้าง

เลยตั้งชื่อช่วงเวลานี้ของปีว่าเป็น มนตรามหาคริสต์มาส  

ดูหนัง streaming ก็จะเลือกดูพวกหนังเกี่ยวกับเทศกาลนี้ด้วย  ชอบเวลาพวกชาวตะวันตกเค้าแต่งบ้านเป็นธีมนี้มาก ดูดูไปแต่งสวยกว่าที่เห็นกันในบ้านเราเยอะเลย  

เนื้อหาในหนังมักจะเกี่ยวกับเรื่องความรักหนุ่มสาว หรือไม่ก็เรื่องครอบครัว

จบแบบมีความสุขด้วยนะคะ. ไม่ค่อยเห็นจบเศร้าเลยค่ะ

ว่าแต่ว่าปีนี้ไม่ใช่อารมณ์ไม่ดี เลยไม่เอาต้นอันนี้มาตั้งดูเล่นนะคะ  คือมันเหนื่อยตอนเก็บมั้ยเนี่ย 

อาจจะเป็นว่าช่วงนี้จัดหนักเรื่องเขียนนิยายไปหน่อย  รู้สึกว่ายังจัดสรรพลังงานของตัวเองไม่ถูก ทำให้เหนื่อยไปหมด 

เป็นนักเขียนนี่ก็งานหนักเหมือนกันแฮะ  ใครเห็นนึกว่านั่งชิลๆเขียนๆไป  ขอบอกว่าเป็นงานที่ต้องวางแผนมากๆๆๆๆ  ต้องร้อยเรียงเหตุการณ์ในท้องเรื่องมากมายหลายสิบเหตุการณ์  อย่างน้อยๆ เรื่องล่าสุด คือ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว"  นี่ก็คาดว่าประมาณ 70 ตอนเป็นอย่างต่ำ แล้วเหตุการณ์ที่จะต้องใส่ไปในแต่ละตอนให้เรื่องเดินไปตามพล๊อตอีกล่ะ  หัวจะปวด

เขียนๆไปบางทีก็เริ่มออกนอกเส้น 555 ต้นเรื่องพูดอย่าง ผ่านไป 20 ตอนเริ่มงง ว่าตอนแรกเราไม่ได้เขียนยังงี้นี่หว่า

เหมือนต่อจิ๊กซอ หรือไม่ก็ร้อยลูกปัดให้เป็นสร้อยที่สวยงาม 

นี่ขนาดนิยายเล่มแรกนะเนี่ย   คิดไปถึงเล่มต่อๆไป โอ้ววววว จะไหวมั้ย

Post นี้กะว่าจะไม่บ่นเรื่องเขียนนิยายล่ะค่ะ  ก็ยังอดบ่นไม่ได้

เห็นผู้เขียนหายๆไป ไม่ค่อยมาเขียน blog นี่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนะคะ  

เฮ้อ...



ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ




ตุลาคม 02, 2566

ภูเขาที่ต้องข้าม ลูกแล้ว-ลูกเล่า

 




ชีวิตเหมือนการเดินทาง  เหมือนการขึ้นภูเขา และเหมือน...ฯลฯ

มองย้อนกลับไป...

กว่าจะเติบโตมาจนป่านนี้ได้  ก็ต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่าง  มีทั้งสมหวัง เวลาพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ กับเคยต้องผิดหวัง แบบร้องไห้น้ำตาซึม หรือบางทีน้ำตาท่วมจอ

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นถูก save เก็บไว้ในหัวสมองของเรา 

เรื่องใหม่ๆของทุกวันถูก upload ขึ้นไปเก็บไว้  บางเรื่องต้องรู้จักเอากลับมาประยุกต์ใช้เพื่อเอาชีวิตรอด จึงต้อง download ลงมาใหม่...

คิดแบบนี้แล้วนึกภาพออกค่ะ  ตราบที่ยังมีลมหายใจ ต้องสู้กันต่อ

ว่าด้วยภูเขาลูกใหม่ของผู้เขียนในตอนนี้...คือการเขียนนิยาย

คราวที่แล้วบ่นให้คุณผู้อ่านฟังไปแล้วว่ามันคือการวิ่งมาราธอนดีๆนี่เอง...จริงๆนะคะ  กว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละตอน  ทำเอาผู้เขียนปวดหัว ไมเกรนขึ้น  ...เพราะบางทีมันนึกไม่ออกค่ะ ว่าจะลงประโยคแรกอย่างไร

คือ...สังเกตว่า...ถ้าประโยคแรกออกมาได้เมื่อไหร่   ประโยคอื่นจะไหลตามมาได้

ซื้อยาแก้ปวดหัวมาเพิ่มล่ะค่ะ....ฮ่าาาา

ไหนจะต้องเดินเรื่อง  ไหนต้องมีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร  เหมือนโดนตัวละครสิงร่างอย่างไรอย่างนั้น

สิงฉันหน่อยเถอะจ้าาาา....จะได้เขียนออกมาได้ตลอดรอดฝั่ง   เหมือนมีนักอ่านขาประจำเค้าซุ่มรออ่านอยู่...

"ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" เวอร์ชั่นเดิมนั้นหนา 40 หน้ากระดาษ A4.... 17 ตอนจบ ค่ะ

ตอนนี้มารีไรท์กันใหม่ให้เหมาะกับยุคสมัย....ยังไม่พ้นช่วงเปิดเรื่อง  แนะนำตัวละครเลย....เขียนไป 45 หน้ากระดาษ A4 แล้ว..... ไม่น่าเชื่อ!!

คือไม่น่าเชื่อว่าตัวเองกลับมาเขียนนิยายได้อีกครั้ง

พาตัวละครไปไกลเลยค่ะ  แถมมีตัวละครใหม่ๆมาเสริมเพื่อความแน่นปึ๊กของเนื้อเรื่อง

ที่จริงพอยาวขึ้นก็มีโอกาสสร้างตัวละครได้ดีขึ้นไปด้วยค่ะ   ....อย่าลืมไปอ่านกันนะคะ


คนเขียน...เขียนไป...ร้องกรี๊ดดดๆไปด้วยตลอดเลย  ด้วยความสวีทแหววของพระเอกกับนางเอก  ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มรักกันเลยเนี่ย....เฮ้อ เหนื่อยค่ะ


เหนื่อยคือ  คนเขียนเหนื่อยค่ะ   


เรื่องนี้เขียนจบไปเรียบร้อยแล้วในเวอร์ชั่น พ.ศ. 2529   ยังยืนยันไม่เปลี่ยนโครงเรื่องและไม่เปลี่ยนตอนจบค่ะ 


อ่านฟรี 10 ตอนแรกนะคะ  ที่เหลือขออนุญาตไม่ฟรี  แต่ราคาเบาๆค่ะ  นึกซะว่าช่วยเป็นทุนในการซื้อยาแก้ปวดหัว  55555


ขอบคุณทุกท่านค่ะ





เมษายน 12, 2566

โลกยังคงหมุนไป




 

ในขณะที่โลกยังคงหมุนไป...หญิงชราผู้เกษียณออกจากงานก่อนกำหนด ก้อยังก้มหน้าก้มตาสู้ชีวิตต่อไป.  ด้วยสองมือและสองตาของเธอ

ร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปเนื่องด้วยต้องกินอยู่อย่างจำกัด.  ปรับลดมาตรฐานชีวิตลงมาให้พออยู่พอกินไปได้นานๆ. ซึ่งมันจะนานแค่ไหนนั้น. หญิงชราแทบไม่อยากจะคิด

นับจากวันนี้ไปจนถึงวันไหนกันเล่า...ที่ชีวิตจะหมดลมหายใจ

ถึงวันนั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้เงิน. หรือมีเงิน

ทุกวันๆๆๆเธอนั่งวาดภาพ.  อยู่กับสมุด sketch พู่กัน. ปากกาหลากสี  กล่องสีต่างๆ  และนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ.  

หากงานอยู่บนเพียงสมุด sketch จะเกิดรายได้ได้อย่างไรเล่า...ในโลกยุคนี้

ต้องแปลงงานจากงาน analog ให้เป็น digital สิ 

จ้องจอคอมพิวเตอร์จนปวดตา...และมือปวดไปหมดเพราะข้อมือถูกใช้งานเยอะ.  

บางทีหญิงชราคิดว่าไม่มีงานไหนที่เธอรักจะทำจนลมหายใจสุดท้ายอีกแล้ว.  

ไปเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่นาน.  โหยหาที่จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่รักมาตลอด. พอมาได้ทำ...สังขารก้อพาลจะไม่ให้ความร่วมมือซะแล้วสิ

เคยกล่าวโทษโชคชะตา...

ทำไมฉันไม่ได้วาดรูป.  ทำไมฉันถึงไม่ได้ทำในอาชีพที่ฉันอยากทำ

ตอนนี้ชักจะรู้สึกว่าโชคดี. หึ ๆ

ถ้าไม่มีวันเวลาอันโชติช่วงเหล่านั้น แม้ไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก...ก้อสามารถส่งต่อชีวิตให้พอจะยืนหยัดอยู่ได้ในตอนนี้...

เพื่อให้ได้ทำ "ในสิ่งที่รัก".  ซะที

แม้จะเคยเหน็ดเหนื่อยอย่างมากมายในเวลานั้น.   วันนี้ต้องมาขอบคุณตัวเอง

ที่ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และทำให้อย่างดีที่สุดเสมอ.  จึงมีวันนี้ได้...

และ...

โลกยังคงหมุนไป

มีคนหวังดีสร้างปัญญาประดิษฐ์ให้วาดรูปแทนมนุษย์ได้ซะงั้น.   เพื่อนๆในหมู่คนสร้างงานศิลปะพากันเลิกอาชีพนักสร้างสรรค์ไปหลายคนด้วยความท้อใจ

โลกยังคงหมุนไป

คืนนี้เวลานอนยังต้องสวมแผ่นพยุงข้อมือต่อไปอีกสักเดือนสองเดือน.  

และต้องหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆเพื่อรักษาอาการตาแห้ง.   เพราะจ้องจอคอมพิวเตอร์นานต่อเนื่องเกินไป. ...อันนี้พฤติกรรมไม่สมกับวัยซะเลยค่ะ

หลายครั้งยังเจ็บปวดในใจ

แม้ว่าจะผ่านไปหลายปี....

เคยได้เริ่มทำงานประจำตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยได้สามปีครึ่ง.  หางานเอง. ไม่ต้องรบกวนใคร...ไม่ต้องให้พ่อแม่มาเลี้ยงดูนับจากมีงานทำ

ไม่เคยไม่มีรายได้....หรือ.  ไม่เคยรายได้น้อยเท่านี้มาก่อน...

เอาเถอะนะ...

สักวันหนึ่ง

วันหน้าจะต้องดีขึ้นกว่าวันนี้.  

อย่างน้อยวันนี้...ก้อดีกว่าวันก่อนโน้นใช่มั้ยล่ะ

...

โลกยังคงหมุนไปค่ะ






ขอบคุณที่ติดตามนะคะ



เมษายน 05, 2566

ชีวิตคือของขวัญอันบอบบาง

 

ภาพทุ่งดอกไม้. ฝีมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai ค่ะ



ช่วงนี้ผู้เขียนเหมือนจะอยู่ในโหมดปิดสวิทซ์ตัวเองเพื่อพักร้อนแบบยาวๆค่ะ

ตั้งแต่ project ขายของออนไลน์กับเพื่อนถูกปิดสวิทซ์. เพราะมีน้องในทีมที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งของและเป็นเสมือนผู้ช่วยได้งานใหม่.    เพื่อนเลยบอกหยุดไปก่อนดีกว่า.   เดี๋ยวหาคนแทนได้ค่อยมาว่ากันใหม่....5555.  

แต่ก้อผ่านไปแล้ว 3 เดือน.  ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท.  

คงจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าป่านนี้เพื่อนอาจจะไปลุยโปรเจ็คอื่นแล้วแหละค่ะ.   เห็นว่าทำหลายอย่างมากอยู่


ส่วนตัวผู้เขียนเลยต้องเข้าโหมดตั้งหลักใหม่อีกครั้งนึง

ซึ่งจะว่าไปแล้วรู้สึกว่าต้องเข้าโหมดตั้งหลักไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วเนี่ย5555ตั้งแต่ไม่ได้ทำงานประจำ


นึกๆไปแล้วคนที่เป็น freelance เต็มตัวตั้งแต่เรียนจบมาเลยเนี่ย...ช่างแข็งแกร่งและใจเด็ดเสียจริงๆเนอะ

ผู้เขียนรู้จักรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยบางคนที่เรียนจบมาแล้วทำงานลักษณะกึ่งๆทำงานอิสระสลับไปๆมาๆกับทำงานบริษัทอยู่หลายคนค่ะ.  คือหมายถึงว่าบางทีทำงานบริษัทได้แป๊บๆก็กลับไปเป็น freelance. พอสักพักเจอหน้ากันอีกทีก้อกลับไปทำงานบริษัทอีกล่ะค่ะ

สิ่งที่รุ่นพี่มักจะบ่นมากๆคือเรื่องระบบการทำงานในบริษัท.    เรื่องความขัดแย้งกับหัวหน้างานบ้าง.  บางคนก้อมีปัญหาเรื่องไม่อยากใส่ uniform. บางคนเกลียดการรูดบัตรเข้าออก.  บางคนไม่ชอบมาทำงานตามเวลาของบริษัท.  เป็นต้น

คนที่เป็น freelance จะมีปัญหาเรื่องไม่มีหลักฐานทางด้านรายได้.  และรายได้ไม่สม่ำเสมอ.  คือเวลาถ้าจะซื้อรถ หรือซื้อบ้านโดยกู้เงินกับสถาบันการเงินเนี่ยจะยากมาก

อย่างนี้แล้วคนเหล่านี้จะวางแผนทางการเงินให้กับชีวิตกันยังไงล่ะเนี่ย

รุ่นพี่บางคนที่เป็นคล้ายๆ freelance มาเจอกันตอนอายุเยอะๆแล้วนี่บางคนก็เดินสายทำบุญตลอด. ดูชีวิตมีความสุขดีเหมือนจะไม่ขาดแคลนอะไร.   แต่ก้อย่างว่าค่ะ...เรื่องเงินๆทองๆนี่เป็นเรื่องค่อนข้างจะส่วนตัวไปสักนิด.   เป็นมารยาทที่ไม่ควรจะไปถามว่าเป็นไงมาไงบ้าง. และปกติแล้วก้อไม่มีใครบอกใครถ้าไม่ได้ไว้ใจกันมากๆอีกด้วย


ผู้เขียนเองไม่เคยเป็น freelance มาก่อนในชีวิต.  พอต้องมาเป็นคล้ายๆ freelance ในตอนแก่แล้วเนี่ยมันช่างทรมานจริงๆค่ะ.  

โหมดตั้งหลักนี่เรียกอีกอย่างได้ก็คือโหมดตั้งสติ

คือไม่งั้นจิตจะตก. 55555

นอกจากจะหยุดโปรเจ็คแล้วทำให้รายได้ประจำหายไป.  ยังต้องต่อสู้กับกระแสปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเข้ามาแทนที่อาชีพของเราด้วยค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสรรค์งานเขียน.   งานภาพวาด. หรืองานภาพถ่าย ที่ทำแทนมนุษย์ได้ด้วยการเขียน prompt สั่งการ.    ก้อใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการสร้างงานสวยๆออกมาได้แล้วค่ะ

แบบนี้จะไม่มีที่ยืนสำหรับคนทำงานอย่างผู้เขียนแล้ววววว.     

ไหนจะพวกบริษัทตัวกลางที่ทำหน้าที่รับ/จ่าย/แปลงสกุลเงินเวลาเราเบิกถอนพวกรายได้ที่เราทำได้จากนอกประเทศอีกล่ะ.   พวกนี้ก้อค่อยๆขึ้นค่าธรรมเนียมชนิดสุดโหดเลยค่ะ.  

คือกว่าเงินจะถึงมือเราได้เนี่ยโดนตัดหัวคิวจากตรงนั้นตรงนี้ไปจนเหลือนิดเดียวล่ะค่ะ


แล้วนี่ตกลงว่าจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย. 

คุณค่างานศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์นี่ไร้ค่าซะแล้วเหรอ.  .... แล้วต้นทุนค่ากล้องถ่ายรูปกับอุปกรณ์ต่างๆนานาที่เราซื้อมาแล้วเพื่อการทำงานล่ะ...เท่ากับจะไม่มีประโยชน์เลย.  ถ้าใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างงานได้แล้วก้อคงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมืออะไรให้มันเปลืองเงิน

เศร้าอ่ะ

บ่นนนนนค่ะ.   ได้แต่บ่น


เราก้อยังต้องประคับประคองชีวิตน้อยๆอันแสนจะบอบบางของเราต่อไปค่ะ.  

ตอนนี้ยังคิดไม่ตก...ว่าจะหนีไปทำมาหากินอะไรดีเนี่ย. ที่ไม่ต้องถูก disruption


.....ให้กำลังใจตัวเองกันไปวันต่อวันละค่ะทีนี้....











มีนาคม 29, 2566

ท้องฟ้ายามเย็นแห่งฤดูร้อน

 


ผู้เขียนไม่อยากจะบอกเลยว่าปีนี้ทำไมอากาศมันร้อนเหลือจะทนได้ขนาดนี้.   เร่ิมตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมานี้รู้สึกจะเข้าสู่ฤดูร้อนเป็นเต็มตัว.  ห้องทำงานที่นั่งทำงานทุกวันพอดีว่าหลังคาบางส่วนได้เจาะเป็นช่องแสงเอาไว้เพื่อหวังจะได้แสงธรรมชาติ.   ช่องแสงอันนี้แหละที่รับความร้อนมาเต็มๆเลยค่ะ


นั่งทำงานด้วยความทุกข์ทรมาน.   เมื่อทนไม่ไหวก้อต้องเปิดแอร์.  ทีนี้เครื่องปรับอากาศน่าจะทำงานหนักหน่อยเพราะว่าความร้อนยังไงก้อมาจากช่องแสงด้วยส่วนหนึ่ง.  ทำให้ผู้เขียนพยายามจะเปิดแอร์ให้จำนวนชั่วโมงน้อยที่สุด. 


อย่างไรก็ตาม...เมื่อเห็นใบแจ้งหนี้ค่าไฟก้อต้องอึ้งงงงง.  คงเหมือนกับทุกบ้านในประเทศแห่งนี้. ที่ค่าไฟแพงเป็นอันดับต้นๆของโลก


พอมาดูที่จำนวนหน่วยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว.  ปรากฎว่าจำนวนหน่วยมันน้อยกว่าของปีนี้ด้วยซ้ำไปค่ะ.  แต่ที่ค่าไฟสูงกว่าเป็นเพราะค่า FT หรือค่าไฟฟ้าผันแปร


จริงๆที่บ้านก้อต้นไม้เยอะอยู่.  ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ค่อยช่วยให้เย็นลงหน่อยเหรอ.   อืมห์....พอออกมาเดินนอกห้องทำงานเท่านั้น.  ปรากฎว่าอากาศไม่ร้อนเท่าในห้องแหละค่ะ.   แสดงว่าในห้องทำงานมันร้อนอบอ้าวเป็นเตาอบเพราะการระบายความร้อนอาจจะไม่ดี.   อากาศไม่ flow อะไรประมาณนั้น


ทีนี้ไม่รู้จะแก้ไขยังไงล่ะค่ะ.    ความคิดเรื่องต้องการช่องแสงธรรมชาติไว้สำหรับการวาดรูปนี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการ.   เพราะเวลาลงสีใต้แสงพวก LED หรือแสงนีออน.   บางทีจะทำให้สีมันเพี้ยนได้นะคะ  


ครั้นว่าจะใส่ฝ้ากันความร้อนไว้ใต้หลังคาส่วนที่ต่อเติมนั้นตอนนั้นก้อไม่ได้คิดว่าจำเป็น.  เพราะคงจะไม่ได้ใช้ห้องบ่อย.   คงใช้แค่เสาร์อาทิตย์.  ส่วนวันธรรมดาต้องไปทำงาน.  กว่าจะกลับบ้านก้อค่ำมืดแล้ว


เพราะไม่รู้ว่าจะต้องออกจากงานมาอยู่บ้านแบบ full time น่ะสิคะ.  


ยังดีที่ติดแอร์ประเภท heavy duty BTU เยอะๆเอาไว้แทน. 


ตั้งแต่มาอยู่บ้านตลอดเวลานี้ก้อใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้เช้าจรดค่ำเลยค่ะ.   หากว่าไม่ได้ปรับปรุงห้องนี้เอาไว้เมื่อหลายปีก่อนโน้นแล้วละก้อ.  .... ต้องควักเงินมาทำในตอนนี้เป็นแน่.  แล้วมาควักเงินในยามที่ไม่มีรายได้แล้วนั้นมันเจ็บปวดดดดนะคะ


บางทีผู้เขียนออกไปเดินแถวละแวกบ้านในตอนเย็นๆ.  เห็นท้องฟ้าหน้าร้อนสีสวยดีเหมือนกันค่ะ.  เลยถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น.   เผื่อเอามาเขียน blog ไว้ด้วย



สีของฟ้าแบบนี้เรียกว่า สีน้ำเงิน indigo.  ซึ่งผู้เขียนชอบค่ะ  มันน้ำเงินแบบเคร่งขรึม.  สงบและเยือกเย็น เวลาเอาไปผสมกับสีอื่นจะทำให้เป็นโทนมืดๆลงมาหน่อยๆค่ะ.  สวยค่ะ


ยามโพล้เพล้แบบนี้ก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดีล่ะค่ะ...ไปหาอะไรทานก่อนนะคะ.  แล้วพบกันใหม่ค่ะ 



มีนาคม 15, 2566

เรื่องสั้นแนวเสียดสีสังคมที่แอบอยากเขียนแนวนี้บ้าง

 


"อันเนื่องมาจากเช้าวันนั้น". เป็นเรื่องสั้นที่ผู้เขียนอยากจะทดลองอะไรบางอย่างค่ะ


จริงๆก้อนอกจากเรื่องนี้แล้ว.  มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการขัดเกลา.  กับนิยายที่เขียนไม่จบอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นแนวเสียดสีสังคม


ทว่า...พอไม่สามารถเขียนจบได้.  มันเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีค่ะ ฮ่าา


วันหลังจะเอามาโชว์ให้เหล่าผู้อ่านได้เห็นนะคะ. เผื่อจะมีคน comment มาบ้างว่าอยากอ่านต่อ. อิอิ


เรื่องแนวเสียดสีสังคมนี่ก้อเขียนยากกว่าแนวโรแมนติกดราม่าเยอะนะคะ.  คือกว่าจะหาประเด็นอะไรที่มันโดนใจแรงๆได้.  ต้องแรงพอที่จะพยุงให้ตัวเองเขียนได้จนจบเรื่องด้วย.  สรุปเลยนานๆจะเกิด moment แบบนั้น. จึงคาดว่าอาจจะมีเพียงเล่มนี้เล่มเดียวที่สามารถออกสู่สายตานักอ่านได้ค่ะ


ในช่วงยุคสมัยก่อนโน้นนนน...อาจจะเป็นช่วงที่ผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มชีวิตการทำงาน.  ช่วงนั้นยังว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของวรรณกรรมแนวเสียดสีสังคมก้อว่าได้.  เป็นยุคที่ยังไม่มีโลกอินเตอร์เนต.  ไม่มีโทรศัพท์มือถือ. โอ้ววว ...นึกภาพกันไม่ออกเลยล่ะสิ. ว่าคนยุคนั้นอยู่กันอย่างไร5555


สมัยนั้นมีนักเขียนแนวๆนี้อยู่หลายท่าน.  เช่น. ชาติ กอบจิตติ, วานิช  จรุงกิจอนันต์. ฯลฯ.  


คือผู้เขียนคงจะนึกคิดว่าตัวเองเขียนเป็นแต่แนวโรแมนติกดราม่า.  ถ้ามาหัดเขียนเรื่องแนวสร้างสรรค์สังคม หรือ เสียดสีสังคมนิดๆๆๆ.  น่าจะสนุกดีนะ


ทีนี้วัตถุดิบในหัวสมองเราก้อมีน้อย.  เพราะพวกข่าวการเมือง  ข่าวเกี่ยวกับมวลชน. หรือ ข่าวเกี่ยวกับกลุ่มแรงงานต่างๆนี่ไม่เคยอยู่ในเรดาร์ความสนใจของเราเลย.  แล้วจะเอาอะไรมาผูกเป็นเรื่องดีล่ะ


ไหนจะตัวละครอีก.  จะสร้างตัวละครอย่างไร


สรุปก้อเขียนไปตามเท่าที่จะคิดได้ล่ะค่ะ


เรื่องแนวเสียดสีสังคมอาจจะสะท้อน. หรือ ให้อะไรบางอย่างที่มันหนักหัวไปซักหน่อยกับผู้อ่านนะคะ.  แต่ในมุมของผู้เขียนรู้สึกว่าได้ส่งผ่านสาระไปยังผู้อ่านที่ดูเป็นสาระจริงๆ. 55555.  ไม่เน้นบันเทิง


ส่วนโรแมนติกดราม่าในแนวผู้เขียนที่ชอบเขียนเนี่ย...ก้อจะเน้นโรแมนซ์หวานแหวว. กุ๊กกิ๊ก.  อิ่มใจ. และสอดแทรกคติการดำเนินชีวิตไปด้วยค่ะ


เขียนได้ลื่นไหลมากกว่าเยอะ. แต่กระนั้นก้อยังเขียนไม่จบอยู่อีกหลายเรื่อง


การเขียนนิยายแบบด้นสดนี่มันตื่นเต้นดีจริงๆค่ะ. ฮ่าาาา.😂   ด้นไปด้นมาแล้วเจอทางตัน...พอเว้นวรรคหันไปทำอย่างอื่นเผื่อจะคิดออก.  คราวนี้เลยไปไกลโลดเลย. คือกลับมาเขียนต่อไม่ติดไปซะอีก.  


ตั้งแต่ออกจากงานมาก้อกลับไปเขียนอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ  ทว่าทำหลายอย่างมาก ...สุดท้ายนิยายก้อยังไปไม่ถึงไหนอยู่ดี.  เฮ้อ.  ขอบอกเลยว่าเขียนนิยายนี่ใช้พลังมากกว่าวาดรูปหลายเท่าตัว


ก็เขียนกันต่อไปและวาดกันต่อไปค่ะ


เพราะเป็นสิ่งที่รักจะทำ.  ชีวิตผู้เขียนคือสิ่งเหล่านี้แหละค่ะ .... 😊


Link เผื่อใครที่สนใจนะคะ :






มีนาคม 08, 2566

ชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่มีสิ้นสุด : Life is endless journey of learning

 



นั่งถามตัวเองว่าเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดมันคืออะไร? ทำไม่ดูเหมือนเรายังไปไม่ถึงซักที...

เวลาที่ผ่านไปหมายถึงช่วงเวลา post-retiredment ทั้งหมดสี่ปีนั่นแหละ

อันนี้มันเหมือนกำลังโทษตัวเอง หรือตำหนิตัวเองอยู่หรือเปล่า....หรือกำลังประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา. ซึ่งมันคืออัลกอริทึ่มแบบชีวิตลูกจ้างเดิมๆเลย

ปีนึงต้องประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างน้อย 2 ครั้ง.  ต้อง set goal ให้ตัวเอง+ทีม และพูดคุยกับน้องๆในทีมเพื่อปรับ mindset ต่างๆเกี่ยวกับงานของแต่ละคน

นี่คืออัลกอริทึ่มลูกจ้าง...ผู้ตกเป็นทาสต่อ "เงินเดือน" นั่นเอง

ความฝันของเราคือ เงิน. ซึ่งคิดว่าจะบันดาลสุขเหลือคณาให้กับชีวิต

หรือ. ควรจะฝันถึง. ชีวิตที่สงบสุข.  ปัญหาน้อยๆ.  ไม่มีหนี้. สุขภาพไม่มีปัญหา  มีอิสรภาพในการใช้ชีวิตในระดับหนึ่ง. และ....มีเงินเพียงพอ. ย้ำ. แค่เพียงพอแก่การยังชีพ

หากเรากำลังฝันถึงกองเงินที่เราเคยได้รับทุกเดือน. และทุกปีจำนวนมาก ที่มาพร้อมกับความไม่สงบสุข. เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบ มีเงินเหลือให้เลือกกิน และเลือกใช้  แต่แทบจะไม่มีเวลาได้ดื่มด่ำกับการกิน หรือชื่นชมกับข้าวของที่ซื้อมาเท่าไหร่.  

แบกรับ Goal และตัวชี้วัดความสำเร็จของหน่วยงานและขององค์กร.  ความเครียดและความกดดันนานา.  ซึ่งสิ่งเหล่านั้นในที่สุดอาจจะนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ

ความสำเร็จที่เคยได้รับก้อเป็นสิ่งควรค่าแก่ความภูมิใจ. เพราะในวัยนั้นก้อควรเป็นเช่นนั้นแหละค่ะ. เป็นช่วงวัยแห่งการสร้างชีวิต. สร้างฐานะ. สร้างตัวด้วยการทำงาน

อย่างที่คำพระท่านบอกเสมอ.  ไม่มีอะไรอยู่กับเรายั่งยืนนาน

คราเมื่อมันจากเราไป. เราก็ยังยึดติดอยู่กับมัน. ทำให้เรากระวนกระวายใจถึงสิ่งที่เคยมีและเป็น.  อยากมีรายได้. อยากมีความเหลือเฟือต่างๆนานา  นี่แหละทำให้เราก้าวออกจากความทุกข์และความกลัวไม่ได้ซักที

เรามัวแต่กลัวอนาคต. แต่ปัจจุบันก้อแอบเปรียบเทียบตัวเองกับอดีต. 

ทั้งที่ความสุขของเราคือการใช้ชีวิตอยู่กับงานสร้างสรรค์ต่างๆ ได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆบนโลกที่กว้างใหญ่กว่าแต่ก่อน (กว้างใหญ่เพราะ globalization+internet)

สิ่งที่เคยยากและแทบเป็นไปไม่ได้.  กลับง่ายขึ้นมากในยุคสมัยนี้. 

หลายอาชีพอาจต้องหมดไป. แต่ก้อมีอาชีพใหม่ๆเกิดแทนที่ขึ้นด้วยเหมือนกัน

เราฝืนความเป็นไปของโลกไม่ได้.  มีแต่ว่าต้องลู่ไปตามโลก

สี่ปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้ฝึกฝนตัวเองมากมาย.  เพื่อจะเตรียมตัวก้าวเข้าสู่โลกแห่งศิลปะค่ะ.  ประดุจว่าตอนนี้ตัวเองจะสำเร็จวิชา Graphic design ในระดับนึงล่ะค่ะ

จริงๆก้อเหมือนจะสำเร็จตามฝันบางส่วนแล้ว.  คือการได้ก้าวขาเข้าไปในโลกงานสร้างสรรค์ 

มีความสุขดีในทุกวันที่ตื่นมาแล้วรู้ว่าวันนี้จะได้วาดรูปต่อแล้ว...

เรื่องอื่นๆก้อเอาไว้ค่อยๆหาทางออกกันต่อไปค่ะ

...

แบบนี้ดีมั้ยคะ

...


😊





.