แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ My Cooking Lab แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ My Cooking Lab แสดงบทความทั้งหมด

มกราคม 28, 2565

How to make Banana Bread : ทำเค้กกล้วยหอมทานเอง

 

คราวที่แล้วเวิ่นเว้อไปหนึ่งตอนเรื่องอุปกรณ์และวัตถุดิบ. หนนี้เอาจริงละ. มาบอกเล่าวิธีทำซะที. ขอบคุณผู้อ่านที่อดทน. ฮ่าาา

ที่หายไปเพราะว่าต้องไปถ่ายรูปและทำภาพประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายมากขึ้นนะคะ  งานนี้ต้องถ่ายภาพเองให้สมกับเป็นช่างภาพอาชีพ (งงกับชีวิตตัวเองเหมือนกันค่ะ.  5555) เรื่องรูปนี่เรื่องใหญ่มิใช่น้อยค่ะ. มามะ นั่งล้อมวงกันได้เลย

Step 1 :  มาเริ่มตรงที่เตรียมกล้วยหอมที่ค่อนข้างงอมๆหน่อย ผู้เขียนเคยเอาแบบงอมจนเปลือกเป็นสีดำเลยมาทำก้อไม่มีปัญหาค่ะ. เพียงแต่ว่าเวลาเก็บกล้วยหอมไว้ทำขนม ต้องแช่กล้วยหอมไว้ในตู้เย็นแบบแช่ช่องแข็งไว้ก่อนนะคะ พอจะเอามาใช้ก้อเอาออกมาทิ้งไว้ให้คลายความเย็นก่อนค่ะ. ถ้างอมมากถึงขั้นมีน้ำเยิ้มๆก้อบีบเอาน้ำออกบางส่วนก็จะดีค่ะ 

Step 2 :  หั่นกล้วยเป็นท่อนๆ เพื่อให้เวลาเราบี้ให้เละด้วยตะกร้อมือ จะได้เละง่ายๆและรวดเร็วมากขึ้นค่ะ ผู้เขียนเทน้ำตาลใส่ลงไปและเอาตะกร้อมือยีกล้วยไปพร้อมกันเลยทีเดียว. เห็นมั้ยคะว่าถ้าเราใช้ตะกร้อมือที่ขนาดใหญ่และซี่ทำจากพวกสแตนเลสจะดีกว่าพวกทำจากซิลิโคน.  ซี่ที่ทำจากสแตนเลสจะแข็งแรงกว่า  เวลาเรากวนส่วนผสมจะทำได้ถนัดเพราะไม่ต้องออกแรงเยอะ

Step 3 :  ให้กล้วยหอมผสมเข้ากันดีกับน้ำตาลทรายจนเนียนประมาณในภาพค่ะ.  กล้วยหอมจะยังเป็นเม็ดๆอยู่บ้างก้อไม่เป็นไรนะคะ. ขออย่างเดียวให้น้ำตาลละลายให้หมดเป็นพอ. สังเกตเวลาเอาตะกร้อมือลากๆจะไม่มีเสียงกรุบกริบของเม็ดน้ำตาลค่ะ

Step 4 :  ร่อนพวกของแห้ง เช่น แป้ง ผงฟู. เบคกิ้งโซดา ลงไปพร้อมกันเลยดีเดียวค่ะ ผสมแล้ววางทิ้งไว้เลยค่ะ

Step 5 :  อันนี้เป็นถ้วย butter milk ที่เราทำใช้เอง. คือนมสดใส่น้ำมะนาวนั่นเอง. ผสมแล้ววางทิ้งไว้เลยค่ะ

Step 6 :  กลับมาที่กะละมังกล้วยนะคะ. เอาน้ำมันใส่ลงไปตามที่สูตรบอก. น้ำมันจะแยกชั้นก้อไม่ต้องตกใจนะคะ

Step 7 :  เอาตะกร้อมือกวนๆไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำมันผสมเข้ากันดีกับกล้วยนะคะ. สาเหตุที่เรามาใส่น้ำมันทีหลังเพราะว่าต้องผสมกล้วยกับน้ำตาลก่อนเป็นอันดับแรก. ไม่งั้นถ้าเอาน้ำตาลมาใส่พร้อมน้ำมัน. น้ำตาลจะไม่ละลายไปกับกล้วยสิคะ. ยุ่งแน่. แก้ลำบากด้วย

Step 8 :  ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว. ใส่ส่วนที่เราร่อนแป้งเอาไว้ก่อนหน้านี้สลับกับใส่ butter milk โดยกะประมาณแบ่งแป้งประมาณ 3 ส่วน.   และแบ่ง butter milk 2 ส่วน. ใส่สลับกัน แป้งส่วนที่1+นมส่วนที่1+แป้งส่วนที่2+นมส่วนที่2+แป้งส่วนที่3 เอาตะกร้อมือกวนผสมแป้งให้เข้ากันกับกล้วย ก่อนจะใส่นมต่อไปทุกครั้งด้วยนะคะ


เสร็จแล้วก้อเทใส่พิมพ์ฟอยด์. เอาเข้าเตาอบ รอรับประทานเค้กกล้วยหอมอุ่นๆ ได้เลยค่ะ




มกราคม 05, 2565

Banana cake เป็นของหวานหรืออาหารเช้าก็ยังได้นะ

แทบจะทุกตำราบอกเหมือนกันหมดว่าอาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุด...

แต่ในความเป็นจริงของชีวิตคนสมัยนี้ อาหารเช้ากับอาหารกลางวันถูกบวกรวมกันกลายเป็น “brunch” ไปซะงั้น เพราะเนื่องด้วยเงื่อนเวลาการตื่นกับการเดินทางไปทำงานและเวลาเริ่มทำงานมันไม่ได้ไปด้วยกัน  คนสมัยนี้คงมีน้อยคนที่จะมีโอกาสได้ทานอาหารเช้าแบบเต็มรูปแบบ

ยกเว้น...เวลาไปสัมมนาต่างจังหวัดกับที่ทำงานแบบที่ติดกันหลายๆวัน ฮ่า ถึงจะมีโอกาสได้กินอาหารเช้าแบบเต็มรูปแบบ แถมมีขนมช่วงพักเบรคสัมมนาอีกตั้งสองมื้อ เคยเป็นช่วงเวลาที่แสนสุขสำหรับผู้เขียนจริงๆค่ะ

 


วันนี้จะมาเล่าเรื่องการทำเค้กกล้วยหอมแบบจริงจังซะทีค่ะ  เพราะเป็นขนมที่ทำบ่อย ทานเป็นอาหารเช้ามื้อเล็กๆ หรือจะทานเป็นของหวานยามสายหรือยามบ่ายก็ได้.   ใช้เวลาทำไม่นาน อุปกรณ์น้อย วัตถุดิบไม่กี่อย่าง. ทำให้การเริ่มต้นทำขนมและการจบ project เป็นเรื่องสวยๆ. ไม่เลอะเทอะ. ไม่เละเทะ ทำเสร็จแล้วก็รีบล้างอุปกรณ์เก็บเข้าชั้นแบบรวดเร็ว. (เพราะใช้อุปกรณ์ไม่กี่อย่าง. ก็เลยล้างน้อยค่ะ) อันนี้ชอบมาก. 

เคยเล่าไปครั้งหนึ่งแล้วเรื่องว่าทำเค้กกล้วยหอมแบบใส่พิมพ์ Loaf Pan แต่คราวนี้ลองเปลี่ยนมาใส่พิมพ์กลมบ้างนะคะ. เป็นพิมพ์กลมแบบพิมพ์ฟอยด์มีฝาปิด ใครอยากลองทำตาม ก้อไปตามหาพิมพ์ฟอยด์เบอร์.     ได้เลยค่ะ เมื่อใส่เนื้อ batter ลงไปประมาณ   กรัม จะได้ปริมาณที่พอดีๆ. อย่าลืมว่าห้ามใส่จนเต็มเด็ดขาดนะคะ. ไม่งั้นเวลาอบมันจะพองล้นออกมา.  

วิธีแก้ถ้าเกิดว่ายังมีเนื้อเค้กที่เราผสมเสร็จแล้ว หรือที่เรียกว่า batter นั่นแหละค่ะ. ถ้ายังเหลืออยู่อีกก้อให้ใส่พิมพ์ถ้วยกระดาษไปก่อนนะคะ

บอกไว้ก่อนเช่นเคยว่า blog ไม่ได้แจกสูตร. ขอเป็นการแบ่งปันประสบการณ์การทำขนมก้อแล้วกันนะคะ.  เพราะเชื่อว่าสูตรเค้กกล้วยหอมหาได้ง่ายมากๆ

เวลาผู้เขียนคิดจะทำเค้กกล้วยหอมมักจะเริ่มจากมีกล้วยหอมงอมๆอยู่ในตู้เย็นซัก 1-2 ผลก้อพอค่ะ จากนั้นก็จะเตรียมอุปกรณ์ได้แก่  

ตาชั่ง digital
อ่างผสมขนาดใหญ่ขอเป็นทำจาก stainless 
แก้วตวงของเหลว 
ตะกร้อมืออันใหญ่ (อันใหญ่จะดีค่ะ. ออกแรงกวนส่วนผสมแล้วทนแรงต้านได้ดี)
ช้อนช้า 1 อัน
อ่างใส่แป้งพร้อมวางตะแกรงร่อนแป้งไว้ข้างบนได้เสร็จสรรพ


( to be continued...ยังมีต่อค่ะ ขอเป็นทะยอย update นะจ๊า)





มิถุนายน 11, 2562

เค้กกล้วยหอมสุดโปรด

ในบรรดาเค้กที่ทำบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นเค้กกล้วยหอมนี่แหละค่ะ  ฮ่าๆ  ใครๆที่กำลังหัดทำเค้ก ทำเบเกอรี่ก้อต้องผ่านด่านการทำเค้กกล้วยหอมนี้ไปให้จงได้

เขาว่ากันว่าเป็นเค้กที่ทำได้ไม่ยาก  ก้อเห็นจะจริงค่ะ ที่จริงเค้กกล้วยหอมมีหลายสูตรมาก มีทั้งแบบใส่เนย และแบบใส่น้ำมัน  แต่ว่าสูตรที่ได้มาเป็นแบบสูตรน้ำมัน ก้อเลยทำเป็นแต่แบบนี้แบบเดียว ภูมิใจมาก เพราะเหมาะสำหรับคนไม่ทานไขมันจากสัตว์ พวกนมเนยอะไรพวกนี้  เป็นของหวานที่กินได้ในช่วงเทศกาลเจด้วยค่ะ



เห็นเวลาเค้าทำขายกันชอบใส่เป็นถ้วย cup cake ซึ่งเราว่าเปลี่ยนมาเป็นแบบ Loaf ใส่ในฟอยด์ดีกว่าจะได้จุใจไป  พออบเสร็จใหม่ๆ เนื้อเค้กจะนุ่มมากค่ะ  ทานเป็นอาหารเช้ากับกาแฟ หรือชาร้อนๆ ฟินนนนเลย

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง เราลืมใส่ Baking Soda ลงไป อบออกมาเค้กเนื้อแน่นปึ๊ก  ปาหัวใครคนนั้นคงจะเจ็บหัวเลยแหละ และสีที่อบออกมาก้อจะสีเข้มกว่าปกติด้วย  สรุปว่าต้องเอาไปทิ้งทั้งหมดเลย กินไม่ได้ ฮ๋าาาาา



หลังจากทำไปบ่อยๆ ก้อจะพบว่าคนทานบอกว่าทำไมหวานไม่เท่ากัน  สงสัยจะเกิดจากความงอมของกล้วยที่แต่ละครั้งงอมไม่เท่ากัน  บางรอบกล้วยงอมจัดจนเปลือกดำ  แบบนี้จะหวานกว่างอมในระดับเปลือกเป็นสีน้ำตาล  ยิ่งงอมมากน้ำที่เยิ้มออกมาจากกล้วยจะออกมามาก  อาจจะเป็นอีกเหตุผลด้วยที่ช่วยทำให้หวานยิ่งไปอีกค่ะ  แต่ส่วนตัวเราจะตักเอาน้ำที่ออกมาจากกล้วยออกบางส่วน  เรากลัวว่าเดี๋ยวพอลงไปกวนผสมกับน้ำมันและนม  ส่วนที่เป็นของเหลวมันจะเยอะเกินไป  ทำให้เค้กออกมาแฉะได้อะค่ะ

ว่าแล้วพรุ่งนี้ก้อต้องทำเค้กกล้วยหอมอีกแล้ว  คนกินเรียกร้องมาจ้าาาา...

กรกฎาคม 23, 2560

New York Cheesecake : ไม่สวยเท่าไหร่แต่อร่อยเหมือนเดิม


วันนี้พยายามเพิ่มขึ้นด้วยการถ่ายภาพแบบให้ดูดีขึ้นอีกหน่่อย  ไปรื้อกล้อง DSLR ออกมาปัดฝุ่น สวมเลนส์ 40mm เปิดแสงเข้าหน้ากล้องให้สว่าง นั่งย่อไปย่อมา เพื่อหามุมสวยๆ จนได้ออกมาแบบนี้แหละ

BLOG  นี้เราไม่เน้นสูตรและวิธีการนะจ๊ะ  เพราะว่าเรายังทำไม่เก่ง ค่อยๆงูๆปลาๆไปเรื่อย มีวิชาการบ้างเล็กน้อย  เน้นอ่าน cookbook เยอะๆ ดู clip YouTube มหาศาล อันนี้เป็นความสุขส่วนตัวอย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลาค่ะ

ใครๆ ก้อทำเบเกอรี่กัน มันน่าสนุกเพราะเปิดโอกาสให้คนทำขนมได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่  ทั้งอร่อยและสวยงาม  เหมือนเป็นงานประดิษฐ์ งานฝีมือที่กินได้  จึงเป็นความท้าทายที่เรารู้สึกว่ามีอะไรน่าลองอีกเยอะ  แต่ตอนนี้เราพื้นฐานยังไม่พอ ต้องสั่งสมชั่วโมงบินไปก่อน  อาศัยเวลาว่างวันหยุดทำไปเรื่อยๆ ค่ะ

แรกๆที่หัดทำเริ่มจากคุ๊กกี้  ไปร่ำเรียนสามสูตรในสองชั่วโมง จำได้ว่ายืนเมื่อยขาแข็ง  ไม่ได้นั่งเลย  และการทำคุ๊กกี้ในวันนั้นดูวุ่นวายมาก  งงไปหมด คงเป็นเพราะเราไม่เคยทำมาก่อน  กลับบ้านมาเหนื่อยเลย  แต่เมื่อได้กินขนมที่ทำออกมาแล้วประทับใจค่ะ  อร่อยหายเหนื่อย

จากนั้นมาก้อศึกษาไปเรื่อยค่ะ  ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์บ้าง  มั่วๆทำขนมจากหนังสือฝรั่งบ้าง ออกมาไม่อร่อยก้อมี  แต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการเรียนรู้  สนุกดีค่ะ

New York Cheesecake วันนี้ทำออกมาเป็นแบบครึ่งปอนด์สองก้อนนะคะ อยากลองดูว่าจะเป็นยังไงค่ะ สังเกตว่าเวลาย่อยสูตรลงมาทีไรชอบมีปัญหาตอนแบ่งปริมาณ  พอเป็นพิมพ์ครึ่งปอนด์ใส่ batter ลงไปแล้วมันไม่พอดี คือ หนนี้มันเต็มพิมพ์พอดีซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง  ที่ถูกต้องคือควรเหลือขอบไว้ซักสองเซนติเมตรเผื่อเค้กตอนกำลังสุกในเตาที่มันจะต้องบวมสูงขึ้นมาอีกตามภาพ นาทีที่สามสิบ บวมขึ้นสูงจนเสียวไส้ว่าจะทะลักไหมเนี่ย



คือคิดเอาเองว่าไม่ได้ใส่ผงฟูอะไรเลย ไม่น่าจะบวมพองได้อีกนะ  สุดท้ายรอดตัว เพราะเราตัดกระดาษไขไว้สูงพอดี  cheesecake จึงไม่ฟูจนทะลักออกมา  แต่ทำไมสองอันฟูไม่เท่ากันอันนี้ไม่รู้เหมือนกันค่ะ หรือเราอาจจะตักแบ่งลงพิมพ์ไม่เท่ากันก้อเป็นได้

อบกันหนึ่งชั่วโมง แล้วเอาไปแช่ freeze ต่ออีกสองชั่วโมง  เฮ้อ กว่าจะได้กิน



ความสนุกอีกอย่างคือการได้ลุ้นว่าออกมาจะเป็นยังไงค่ะ  ผลออกมาพอไหว คือไม่ได้ไหม้  แต่ขอบข้างไม่ค่อยสวย  ถึงว่าสิบางสูตรเค้าปูฐานบิสกิตสูงไปจนถึงขอบ เพื่อว่าจะปิดบังด้านข้างไปด้วยในตัวนั่นเอง  วันหลังถ้าทำอีกรอบจะลองบ้างล่ะค่ะ



อีกอย่างคือวิธีการอบนี่ก้อเห็นบางคนเค้ารองถาดใส่น้ำร้อน เอาฟอยด์ปิดข้าง (คงจะกันด้านข้างไหม้  อันนี้พอเข้าใจ) บ้างเอาฟอยด์ปิดคลุมด้านบนด้วย  พอเค้กออกมาสีจะนวลเลย  ไม่เป็นสีเหลืองอมน้ำตาล แต่ว่าอิชั้นชอบให้มันมีสีอย่างนี้แหละค่ะ  ฮ่าาาา  มันเป็นธรรมชาติดี

เอาน่า...อย่างน้อยก้อประสบความสำเร็จล่ะค่ะวันนี้  คือ cheesecake ออกมาไม่ไหม้  กินได้ .

กรกฎาคม 11, 2560

Chocolate Cringle Cookies



บังเอิญได้โอกาสหยุดยาวเป็นสัปดาห์โดยไม่ได้ตั้งใจ  เพราะเกิดอาการปวดท้องรุนแรงเฉียบพลันกลางดึก และตัดสินใจไปโรงพยาบาล   แต่กว่าจะรู้สาเหตุและการแก้ไขก็ต้องทนปวดท้องเป็นสิบชั่วโมง  สุดท้ายรีบผ่าตัดในวันนั้นเลย  ตอนนี้แพทย์สั่งให้พักฟื้นสองสัปดาห์  เราเลยอยู่ดีๆได้หยุดงานซะอย่างนั้น


จริงๆแล้วเราทำ dough คุกกี้อันนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎา แต่ว่าไม่มีเวลา ปล่อยให้อยู่ในช่องแข็งไปก่อน  ยังไงก้ออยู่ได้เป็นเดือนๆอยู่แล้ว  พอได้หยุดงานจึงเอาออกมาอบให้เห็นเป็นหน้าตาที่แท้จริงซะที

คุ้กกี้สูตรนี้เป็นคุกกี้แบบ soft cookie ที่เราชอบ  เนื้อมันนุ่มๆข้างในเหมือนเนื้อเค้ก กินแล้วนุ่มเต็มปากเต็มคำ  ไม่กรอบร่วงกราวแบบพวกคุ้กกี้กรอบ กินตอนอุ่นนี่นุ่มมาก  กินตอนแช่เย็นยิ่งอร่อยรสชอคโกเลต

สูตรก้อง้าย  ง่าย  ทำไม่ยาก แต่ว่า...  เลอะเทอะอย่างที่เห็น  ต้องใช้การปั้น  ขนาดว่าพยายามเอาที่ตักไอติม size กลางมาช่วยงัดก้อแล้ว  ยังไงก้อต้องเอามือมาปั้นอยู่ดี   เราวิ่งไปเอากะลังมังใส่น้ำเผื่อไว้แช่ล้างมือแทบไม่ทัน  เพราะเละสุดๆ

 

ได้ผลงานประมาณสิบเอ็ดลูกเท่านั้น  สิ่งที่ยังทำได้ไม่ดีคือ การควบคุมเวลา  จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่าลูกที่ปั้นเสร็จก่อน  คลุกน้ำตาลก่อน น้ำตาลไอซิ่งจะซึมเข้าไปในก้อนคุ้กกี้อย่างรวดเร็ว  



ทำให้หลังอบเสร็จ คุ้กกี้ไม่ขาวโพลนเป็นหิมะตัดกับสีน้ำตาลเข้มของชอคโกเลตอย่างที่ลักษณะมาตรฐานของคุกกี้ชื่อนี้จะต้องเป็น  เราเองกลัวว่าถ้าคลุกน้ำตาลไอซิ่งหนาไป จะทำให้หวานแสบไส้เกินไปหรือเปล่า  แต่ที่ถูกต้องสงสัยต้องคลุกให้หนาๆ เข้าไว้นะคะ  ไม่งั้นไม่ขาวแน่





เอาเป็นว่ารอบนี้เอาแบบนี้ไปก่อนล่ะ  เพราะแก้ไม่ทัน ฮ่าาาา  ยังไงก้อยังอร่อยยยยยเหมือนเดิม ขอชิมหน่อยนึงนะ หลังจากอบใหม่ๆนี่อร่อยที่สุด  คือมันนุ่มมากค่ะ  รอพรุ่งนี้ก้อจะยิ่งอร่อยหวานเข้าเนื้อ  กินคุกกี้เย็นๆ กับนมสดตอนเช้าๆ วันที่ไม่ต้องไปทำงานนี่มีความสุขสุดๆเลยค่ะ  อิ อิ


มิถุนายน 19, 2559

การทำมัฟฟินครั้งแรกในชีวิต : My first time Blueberry Muffin

และแล้วการผจญภัยเกี่ยวกับการทำอาหารก้อได้เริ่มต้นขึ้น ...

หลังจากวนเวียนดู Clip สอนวิธีการทำมัฟฟินอยู่หลายเที่ยวมากๆ เลยตัดสินใจว่าวันนี้จะต้องลองลงมือทำมั่งสักครั้งล่ะ

รู้สึกตัวเองกล้าหาญมาก  ฮ่าาาา  ดูใน clip นี่มันดูทำง่ายดายมาก แป้งก้อไม่ต้องร่อน เพราะเนื้อมัฟฟินไม่ต้องละเอียดเหมือนเนื้อเค้กก้อได้  เน้นผสมเร็ว แล้วเข้าเตาอบเลย ประมาณว่าเป็นอาหารแบบด่วนๆของฝรั่งเค้า  แถมใช้เครื่องตีแบบมือถือ หรือถ้าใครแรงดีก้อใช้เพียงตะกร้อมือก้อใช้ได้เหมือนกัน ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์มากมายอะไร

เห็นมัฟฟินมักจะอยู่ในถ้วยกระดาษสวยน่ารัก  แต่เห็นทีไรไม่รู้ทำไมชอบนึกถึงเค้กกล้วยหอมแบบไทยๆของเราทุกทีไป

ส่วนผสมของสูตรนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน  มีแป้งเค้ก ผงฟู  เบคกิ้งโซดา วิปครีม โยเกิรต ไข่ เนย น้ำตาลทรายขาว กลิ่นวานิลา และบลูเบอร์รี่สดเท่านั้น

เจ้าบลูเบอร์รี่สดนี่แพงมากกล่องนิดเดียวราคาเกือบสองร้อยบาทแน่ะ

และสูตรตาม youtube นี่ก้อต้องทำใจเผื่อไว้ เนยนี่เนยจืดหรือเค็มก้อไม่บอก  และไม่มีการใส่เกลือด้วย  ฉันก้อเลือกใช้เนยจืดธรรมดาละกัน  เพราะเห็นจากหลายๆสูตรชอบบอกว่าทำขนมอย่าใช้เนยเค็ม เพราะมันจะเค็มเกินไง

ตั้งท่าอุ่นเตาอบล่วงหน้า  แต่ว่ากว่าจะชั่งตวงของต่างๆผสมกันและเริ่มตีด้วยเครื่องตีมือถือ  เวลาก้อผ่านพ้นไปจนเตาอบได้อุณหภูมิ  ฉันก้อยังตีส่วนผสมไม่เสร็จ  สงสัยจะเปลืองไฟกันใหญ่ล่ะคราวนี้  เลยต้องหมุนปุ่มตั้งเวลาให้ยืดออกไปจนกว่าส่วนผสมทั้งหมดจะเข้ากันและเนียนพอดี

มือใหม่อย่างฉันพอจะมีประสบการณ์จากการลองผิด-ลองถูกมาพอสมควร  ทว่าเคยมั่วๆทำเค้กกินเองหลายปีมาแล้ว  มันก้อกินได้นะ  คนกินยังบอกอร่อยเลย  ตอนนั้นไม่มีอุปกรณ์อะไรเท่าไหร่  แถมสถานที่ก้อไม่สะดวกมากขึ้นเหมือนอย่างตอนนี้  ฉันยังอุตส่าห์เพียรทำจนได้เลย

เรื่องการดูว่าส่วนผสมเข้ากันเนียนหรือยังนี่ก้ออาศัยการสังเกตเอา  ถ้าเอาพายยางปาดๆดูแล้วน้ำตาลทรายไม่เป็นเม็ด และสีของเนย ไข่ แป้ง ที่อยู่ในอ่างผสมสีกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนครีมข้นละก็  ฉันก็ว่าน่าจะใช้ได้แล้วนะ (เดาเอา)

งานหนักนี่ก้อเอาบลูเบอรี่ออกมาซับน้ำก่อนลงผสมกับแป้ง  เพราะมีข้อควรระวังว่าน้ำที่ละลายจากการเอาบลูเบอร์รี่ออกมาจากตู้เย็นนั้นอาจจะซึมเข้าไปในมัฟฟิน และทำให้เนื้อมัฟฟินแฉะ เละ  เสียโครงสร้างมัฟฟินได้  ฉ้นจึงต้องเอาทิชชูหนาๆมาคลึงบลูเบอร์รี่ก่อนใส่ลงไปในส่วนผสมซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย

เดี๋ยวอบออกมาก้อรู้เอง  คิก ๆๆๆ

เทส่วนผสมใส่ในพิมพ์สามส่วนสี่  เหลือขอบประมาณหนึ่งส่วนตามตำราเป๊ะๆๆๆๆๆ

เอาเข้าเอาอบและนั่งชิลรอดูผลงาน   ลัลล้าาาา ผ่านไปสิบนาทีมัฟฟินฉันเริ่มพองขึ่น  จนผ่านไปสิบห้านาทียิ่งพองขึ่นไปอีก  แถมส่งกลิ่นหอมเย้ายวนน่ากินออกมาด้วย




ครบยี่สิบนาทีตามสุตรเอาออกมาจากเตาอบ เอาไม้แหลมจิ้มเพื่อเช็คว่าสุกหรือยัง  ดูจากสีของมัฟฟอินแล้วรู้เลยว่าความร้อนในเตาอบไม่สม่ำเสมอแฮะ  เห็นได้ว่าด้านในจะร้อนกว่าด้านติดกระจก  มัฟฟินด้านในจึงสุกทั่ว  แต่ด้านนอกมีไม่สุก  ดูจากสีก้อรู้  สีของสองฝั่งไม่เหมือนกัน 



พอชิมมัฟฟินอันแรก  รู้สึกไม่อร่อยอย่างที่คาดหวัง  ทำไมมันจืดๆเหมือนพวกเค้กรักสุขภาพ แบบหวานน้อยอะไรทำนองนั้น ซึ่งรสนิยมตัวเองจะชอบหวานมันกว่านี้

ลองเอาอันที่ดูแล้วเหมือนสุกไม่หมดอบต่อรอบ  พอดีมีแป้งส่วนที่ผสมแล้วอีกสองถ้วยมัฟฟินที่เหลืออยู่  เลยลองไม่ใส่บลูเบอร์รรี่  แบบเอาเป็นเนื้อมัฟฟินล้วนๆ  จะได้ชิมแป้งด้วยว่าเป็นอย่างไรนะสูตรนี้

ผ่านไปอีกยี่สิบนาที  คราวนี้มัฟฟินที่โดนอบรอบสองหน้าเหลืองกรอบมาเลย  ชอบนะแบบกรอบๆเนี่ย ไม่ได้กรอบแบบจะไหม้นะคะ  กรอบนิดๆแบบกำลังดีเลย  แต่ว่าอาจจะผิดหลักหน้าตาที่ถูกต้องของมัฟฟินเค้าหรือเปล่าไม่รู้สิ  

ชอบอันที่ไม่ได้ใส่บลูเบอรี่มากๆเลยค่ะ  เนื้อมัฟฟินนุ่มมากๆ  ขาดแต่รสหอมหวานเค็มอะไรทำนองนี้ (ตามรสนิยมส่วนตัว)




คาดว่าทำอีกรอบหน้าจะแก้มืออีกค่ะ  จะเปลี่ยนเป็นเนยเค็มแทน และเพิ่มน้ำตาล  หรือไม่ก้อเปลี่ยนเป็นเนยยี่ห้ออื่นที่เกรดไฮโซไปเลย  อยากรู้ว่ารสจะเปลี่ยนไปแบบไหน

และจะไม่ใส่บลูเบอร์รี่แล้วจ้าาาา  ....  


เอาเป็นอันว่าขอจบตอนเรื่องผจญภัยไปกับการทำอาหารละค่ะ ทำมัฟฟินก้อเหมือนได้กิน cup cake แทนมัฟฟิน  แล้วมาพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ อิ อิ


เมษายน 10, 2559

Passion in Cooking

จริงๆแล้วขอบอกเลยว่าเป็นคนไม่ได้พิศมัยเรื่องอาหารมาก่อนเลย  เรียกได้ว่าเป็นพวกกินเพื่ออยู่จริงๆ ก้อเลยมีร่างกายที่ผอมเพรียวเป็นที่น่าอิจฉา  5555  กว่าคนวัยเดียวกันซึ่งมักจะท้วม-อวบ-อ้วนไปตามวัย

การเป็นคนผอมเลยทำให้ดูไม่ค่อยจะแก่  ฮ่าาาา แต่เมื่ออายุมากขึ้น ทำไมจึงคิดมาสนใจเรื่องอาหารมากขึ้นก้อไม่รู้   หรือจะเป็นเพราะสื่อสมัยนี้ชอบพาไปดูรูปอาหารที่ถ่ายภาพออกมาสวยๆ  คนวาดรูปก้อวาดรูปอาหาร Post  โชว์กันตาม  social media อย่างแพร่หลาย  กลายเป็นว่าเกิดอยากจะวาดรูปอาหารบ้าง  และอยากจะกินขึ้นมาเวลาเห็นรูปอาหารสวยๆ ซะแล้วสิ

ด้วย Life Style ที่ต้องทำงานเต็มเวลา อาหารเช้าไม่ต้องพูดถึง แทบไม่เคยรู้จัก  อาหารเย็นกินตอนประมาณสองทุ่มก้อบ่อย  พอเสาร์อาทิตย์ก้อเหนื่อยล้ามากมาย ตื่นมาทำอาหารเช้าไม่ไหว  ได้แต่ซดกาแฟปรุงสำเร็จอยู่กับบ้าน  ไม่อยากจะกระดิกขับรถออกไปตะเวณที่ไหนอีก  เบื่อรถติด

นานๆทีก้อจะลุกขึ้นมาทำอาหารกินเองบ้าง  ยิ่งตอนออกจากโรงพยาบาลหลังจากผ่าตัด จำได้ดีว่าหมอห้ามเคี้ยวสองเดือน  กินอะไรกับชาวบ้านเค้าไม่ได้  ต้องทำอาหารกินเอง  ถึงได้รู้รสชาติของชีวิตว่าต้องพึ่งตัวเองให้ได้

ความสนใจไม่ได้มีเพียงเรื่องอาหาร  ยังสนใจไปถึงวัตถุดิบการทำอาหาร โดยเฉพาะพวกพืชผักต่างๆ ก้อรู้สึกตื่นเต้นเวลาได้เห็นพวกผักเขียวๆบนแปลง หรือผักสดตามซุปเปอร์มาร์เกต  รู้สึกว่ามันมีอีกโลกนึงที่ฉันไม่เคยรู้จัก  เป็นโลกใหม่  จากเดิมที่เข้าร้านหนังสือทุกครั้งที่เข้าห้างสรรพสินค้า  เดี๋ยวนี้พยายามเข้าซุปเปอร์มาร์เกตให้บ่อยขึ้นเหมือนกัน  เพื่อจะได้รู้จักพวกเครื่องปรุงต่างๆ กับพวกวัตถุดิบแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือของนอก  ให้เหมือนกับเวลาเดินเข้าร้านขายเครื่องเขียน  ซึ่งฉันจะรู้เยอะเกี่ยวกับพวกสี หรือดินสอ ปากกา




คนทำกับข้าวเก่งๆอาจจะนึกขำกับรูป วิธีอุ่นข้าวด้วยไมโครเวฟข้างบนที่นั่งทำจากรูปที่ถ่ายด้วย Iphone แล้วเอามาทำต่อใน Photoshop อีกที เพื่อเตือนความจำตัวเอง  เพราะชอบลืม  โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องกิน  คือว่านานๆทำทีนึงไง  ต้องมาเริ่มทดลองใหม่ทุกที ว่าคราวก่อนนั้นทำยังไง จำไม่ได้ซะงั้น

ทำไว้เตือนตัวเองคงไม่เป็นไร   เดี๋ยวอีกสองวันยังต้องไปทำงานก่อนหยุดยาวช่วงสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงหาของกินยาก  เพราะพ่อค้าแม่ค้ากลับต่างจังหวัดกันหมด  ร้านปิด ไม่มีไรกินล่ะทีนี้

เอาเป็นว่าต้องรอดตายให้ได้ก่อนช่วงสงกรานต์นี้ละกันนะจ๊ะ.