เอามาแปะโชว์ให้นักอ่านได้ชม เผื่อติดตามกันไปนานๆ จะได้เห็นพัฒนาการฝีมือบ้าง ไม่เชื่อนักอ่านไปดู post เก่าๆ ตอนช่วงผู้เขียนยังทำงานอยู่สิคะ วาดแย่กว่าตอนนี้อยู่พอดูนะคะ
ไหนๆก็มาไกลโขแล้ว ต้องไปให้สุดทาง...ฮึบๆๆๆ สู้ๆ
เอามาแปะโชว์ให้นักอ่านได้ชม เผื่อติดตามกันไปนานๆ จะได้เห็นพัฒนาการฝีมือบ้าง ไม่เชื่อนักอ่านไปดู post เก่าๆ ตอนช่วงผู้เขียนยังทำงานอยู่สิคะ วาดแย่กว่าตอนนี้อยู่พอดูนะคะ
ไหนๆก็มาไกลโขแล้ว ต้องไปให้สุดทาง...ฮึบๆๆๆ สู้ๆ
ช่วงนี้หันมาจริงจังกับการวาดรูปมากขึ้นค่ะ คือความที่ตัวเองทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน ทำให้เกลี่ยเวลาไปทำทุกสิ่งอย่างไม่ค่อยทั่วถึง ทำทุกอย่างสลับไปสลับมาในหนึ่งวันเลยค่ะ
ทว่าทำอย่างนั้นแล้วมันเยี่ยม!
เพราะอะไรน่ะหรือคะ
คือกลายเป็นว่าทำให้หัวสมองได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แถมได้ยังกระจายความเสี่ยงในเรื่องทักษะความสามารถอีกด้วย ยุคนี้จะมานั่งทำอะไรอย่างเดียวหรือทีละอย่าง เห็นจะไม่รอดดดด มันต้อง Agile ปรับตัวให้ไวเข้าไว้
ทีนี้การจะปรับตัวให้ไวได้ต้องมีฐานมากพอจะโฉบไปตรงนั้นตรงนี้ได้ค่ะ ถ้าไม่มีพื้นความรู้ หรือฐานที่ว่าสักนิดสักหน่อย มันก็ไปต่อกับชาวบ้านเค้าไม่ได้
ดังนั้นความเข้าใจในงานวาด งานระบายสี มันบูรณาการร่วมกัน ถ้ามัวไปทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เนี่ย ไปส่งผลต่องานอื่นอย่างไรบ้าง เหมือนเรามีฐานค่ะ จะไปต่องาน digital หรือ ระบายมือ ก็ทำได้หมด เปลี่ยนแค่เครื่องมือเท่านั้น
ทว่าการใช้เครื่องมือ หรือใช้โปรแกรมก็ต้องฝึกฝนอีกแหละค่ะ
เมื่อได้เข้าใจว่าทุกอย่างส่งผลต่อกัน หรือสัมพันธ์กันอย่างไร จุดไหน...พัฒนาการจะเกิดเองค่ะ
รู้สึกพอใจผลงานมากขึ้นมาอีกนิดค่ะ แม้ว่าจะยังวาดไม่เสร็จร้อยเปอร์เซนต์ ก็พร้อมอวด55555 ดูรวมๆแล้วน่าจะผ่านอยู่นะคะ รายละเอียดอื่นยังต้องฝึกกันต่อค่ะ เช่น รอยยับบนเสื้อ การลงสีดวงตา ใบหู กับลงแสงเงารวมๆยังต้องปรับอีก
อยากจะฝึกฝีมือเอาไว้วาดปกนิยายของตัวเองค่ะ
เพราะค่าจ้างวาดโหดมาก งานสวยๆนี่ราคาประมาณหกพันกว่าบาทขึ้นไปเลยทีเดียว ลองคิดดูว่านักเขียนหน้าใหม่ ไก่กาอาราเร่ อย่างดิฉันเนี่ยยยย ขืนไปจ้างวาดก็ทุนหายกำไรหดแน่
เพราะคาดเดาไม่ได้เลยค่ะ ว่าเมื่อรวมเล่มขายแล้วจะมีนักอ่านสนับสนุนขนาดไหน
เอาไว้นิยายใกล้ออกเล่มเป็น ebook เมื่อไหร่จะมาอ้อนนักอ่านแถวๆนี้อีกทีนะคะ อิอิอิ
ส่วนการพิมพ์เป็นเล่มนั้นมีแน่นอน เพราะต้องการเก็บไว้เป็นทีระลึกสำหรับตัวเอง 55555 ขึ้นอยู่กับนักอ่านว่าจะตอบรับ ebook ดีไหม จะได้พิมพ์เล่มเผื่อไว้สักเล็กน้อย
ว่าไปแล้วอย่าลืมตามไปอ่านกันนะคะ พีคคคคคแล้ว ตอนที่ 60 กว่าแล้วค่ะ
ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :
https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f
ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :
เขียนต่อไป ยังเขียนอยู่ค่าาา
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ไว้พบกันใหม่ vlog หน้าค่ะ
วันนี้ขอกลับไปจุดเริ่มต้น เพื่อเป็นการพักสมองบ้างค่ะ
คือการเขียนนิยายนี่มันเหนื่อยจุง...ฮ่าาาา ปวดหัว เวลาคิดไม่ออกนี่มันสุดๆค่ะ อย่างไรก็ตามเขียนได้จบเรื่องแน่นอน งานนี้จะจบประมาณตอนที่ 80-84 ถือเป็น Masterpiece ของชีวิต Post-Retirement เลยทีเดียว ใช้เวลาไปเกือบ 8 เดือนแล้วเนี่ยสำหรับนิยายเรื่องนี้
พอเริ่มเขียนไปสักพักใหญ่ คือล่วงเลยมาจนตอนที่ประมาณ 6 จะเริ่มเข้าสู่ภาวะลื่นไหล อ๊าาา...ที่จริงเราก็เขียนได้นี่หว่า จากที่เคยคิดมาตลอดว่าจะรอดมั้ย เพราะช่วงที่ยังทำงาน หมายถึงตอนก่อนเกษียณนะคะ พยายามกลับมาเขียน มักจะเขียนไม่ออก ช่วงเขียนออกก็มีค่ะ แต่เอาแน่ไ่ม่ได้ จับทางตัวเองไม่ถูกว่าต้องทำยังไงจึงจะทำให้เขียนได้อย่างลื่นไหลไปแต่ละย่อหน้าได้
ตอนนี้นิยายกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น และคนเขียนเหนื่อยมาก ฮ่าาาา ขอกลับมาพักวาดรูปค่ะ
เพราะที่จริงแล้วงานวาดรูปเป็นสิ่งที่มาก่อนงานเขียนนิยาย และงานอื่นทั้งปวง
จากตอนเด็กๆก็วาดไปบนกระดาษเหลือใช้จากที่ทำงานของพ่อ... ซึ่งพ่อขนกลับมาบ้านเพราะตั้งใจให้ลูกใช้ทดเลข5555
ปรากฎว่าลูกเอามาวาดรูปเล่นค่ะ
แล้วก็เอาตัดเล่น เป็นตุ๊กตาบ้าง พับนกบ้าง ตามประสาเด็กยุค 70
พอร้องจะให้พ่อซื้อสีน้ำหลอดสังกะสีเป็นชุดๆให้หน่อย ก็โดนดุอีก แต่สุดท้ายก็ได้มาแหละค่ะ แต่พอเอามาระบายสีเท่านั้นก็โดนตีมืออีก เพราะว่าผู้เขียนระบายออกนอกเส้น5555
เอาเป็นว่าผู้ใหญ่ในสมัยโน้นเค้าก็ไม่เข้าใจเรื่องศิลปะอะไรมากมายหรอกค่ะ ช่างไม่รู้เล้ยยยย ว่าผู้เขียนน่ะมีความสามารถพิเศษทางนี้ เพราะพอโตมาอีกหน่อย ครูที่โรงเรียนเอาภาพเขียนสีเทียนไปส่งประกวดยังต่างประเทศ ผู้เขียนได้รางวัลซะงั้น และได้รางวัลเกี่ยวกับการประกวดภาพวาดอีกเรื่อยๆจนโต (ขออวดหน่อย)
แต่สรุปว่า...เวลาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ห้ามเลือกคณะเกี่ยวกับการวาดรูป
เอาเถอะค่ะ อะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันดีเสมอ เพราะว่าเป็นศิลปินวาดรูปในยุคนั้นกินเกลือแน่นอน
ตั้งแต่เกษียณมาก็ได้วาดรูปมากขึ้นค่ะ ก็รู้สึกว่าฝีมือพัฒนาขึ้นเหมือนกัน ที่จริงพัฒนามากขึ้น เพราะผู้เขียนไปเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพ ทีนี้เลยเข้าใจเรื่องธรรมชาติของแสงค่ะ
กับอีกทักษะที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ ทักษะของการเป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์ คือการใช้โปรแกรมแต่งภาพ ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Lightroom โปรแกรมวาดเวคเตอร์ Illustrator , Indesign , Procreate ฯลฯ ตอนนี้ผู้เขียนทำได้หมดอย่างชำนาญพอตัวเลยทีเดียว
จึงเป็นที่มาของการบูรณาการทักษะทั้งหมดมาใช้ประโยชน์
เพราะว่าค่าจ้างนักวาดมาทำภาพปกนิยาย หรือวาดภาพตัวละคร แพงงงงมากค่ะ หรืออย่างน้อยใช้ภาพจาก Ai ก็ต้องมีการปรับแต่งอยู่ดี
มีประโยขน์ก็ตอนนี้แหละค่ะ วาดปกเอง ทำ Artwork ส่งโรงพิมพ์เอง จัดหน้า+ทำรูปเล่มเอง ประหยัดค่ะ ยังไม่รู้เลยว่าเขียนนิยายจบแล้วทำเป็น E-Book จะพอมีคนอุดหนุนบ้างหรือไม่ นักเขียนหลายคนขาดทุนยับเพราะจ้างวาดปกมาแพง แต่ขายอีบุ๊คไม่คุ้มค่าปกค่ะ
ภาพข้างบนยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี เอามาใช้เล่าเรื่องให้ทุกคนได้อีกเรื่องนึงค่ะ...
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ สู้ๆๆๆ
ขออวดภาพวาดด้วยสีอะคริลิคฝีมือตัวเองกันสักหน่อยนะคะ
ใครอยากสนับสนุนนักวาดวัยเกษียณคนนี้ติดต่อทักมาได้ อิอิ ได้ไอเดียว่าขายเป็น Art Print ก็น่าจะพอไหวอยู่นะคะ (ตามไปเปย์ได้ใน Shopee ค่ะ เปิดร้านรอไว้ปล่อยของแล้วค่ะ 5555)
ตัวผู้เขียนเองก็สั่งทำเป็นภาพพิมพ์บนผืนผ้าใบไว้ติดข้างฝาห้องแบบหนุกๆ ค่ะ คือติดแทนรูปภาพสีน้ำอันเก่าที่วาดเอง(อีกเหมือนกัน) ซึ่งติดไว้นานจนชักจะชินตาเกินไปแล้ว ขอเปลี่ยนอารมณ์หน่อย5555
คือชอบคู่สีในภาพมากค่ะ ชอบสีเขียวอมฟ้าแบบนี้ พอจับคู่กับโทนชมพูละก็ สวยดี
ทว่าเนื้อหาของภาพออกจะดูไม่โรแมนติก ออกแนวน่ากลัว ผสมหลอนนิดๆ
มานั่งนึกดูก็สงสัยตัวเองว่ามีรสนิยมจริงๆแล้วชอบงานหลอนๆแบบนี้เหรอ😓
น่าคิดค่ะ...คือว่าชอบดูหนังผี หนัง thriller มากกว่าหนังรัก หนังสอบสวนก็ดูบ้างนะคะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ คือดูแล้วต้องคิดเยอะ ปวดหัวค่ะ เอาสมองมาใช้ทำงานดีกว่า
ทุกวันนี้เพิ่งค้นพบว่าการเป็นนักเขียนนี่ใช้ความคิดเป็นอย่างมาก คือ ต้องคิดทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แถมจินตนาการว่าตัวละครจะพูดอย่างไร และมีอารมณ์แบบไหน
แล้วมาเป็นนักเขียนเอาตอนอายุมากแล้วนี่...เหนื่อยค่ะ สุขภาพจะไม่ไหวเอาล่ะ
คือพอใช้สมองเยอะ ก็ออกอาการปวดหัว และอ่อนเพลียมาก เวลาคิดไม่ออกแต่มันต้องเขียนแล้วอะค่ะ เพราะตั้งใจว่าจะ upload ตอนใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละสองตอน
บางช่วงยอดอ่านขึ้นสูง มีคนมากดหัวใจให้ ก็รู้สึกฮึดๆๆๆ จะเขียนให้ได้สามตอนต่อสัปดาห์
ปรากฏว่า...แทบจะป่วย
ตกลงว่าชีวิตนี้จะเขียนนิยายได้กี่เรื่อง
เดี๋ยวต้องไปพักร่าง พักใจด้วยการกลับไปวาดรูปดีกว่าค่ะ มันคือการปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อนักอ่าน5555 และ....การเลี้ยงชีวิต
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ
แล้วๆเล่าๆวันนี้วาดรูปเสร็จไปหนึ่งรูป. ทันทีที่รู้สึกว่า "จบ". และ "พอแล้ว" แปลว่าเสร็จละค่ะ
ไม่ได้วาดรูปเป็นชิ้นเป็นอันมานาน. มีโพสต์ก่อนๆที่บ่นให้คุณผู้อ่านฟังว่าอยากกลับไปวาดรูปสีน้ำมัน. แต่ก้อกลับมาวาดด้วยสี acrylics
คือ สี acrylics มันแห้งเร็ว. จบงานได้เร็วกว่าเยอะค่ะ
และที่สำคัญ คือ. กลิ่นไม่มี
สีน้ำมันที่ต้องดมกลิ่นพวกน้ำมัน. พวกทินเนอร์. จึงคิดว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า
ไม่รู้แต่ก่อนก็ทนดมอยู่ได้ตั้งหลายปี. ฮ๋าาาาา. แต่ก่อนวาดสีน้ำมันเป็นงานหลักเลยค่ะ. อาจเป็นเพราะเข้าใจว่าการวาดสีน้ำมันมันแพร่หลายกว่า. และตอนนั้นก้อไม่ค่อยรู้จักสี acrylics เท่าไหร่
คือไม่เข้าใจว่ามันต้องผสมอะไร. รู้ว่าใช้น้ำได้. แต่เคยลองๆแล้ว. พอผสมน้ำ. สีออกมาบางมาก. หลายอย่างไม่ได้อย่างใจแลยยยย. เพราะไม่เข้าใจนั่นเอง
ไม่เข้าใจแต่ก้อแอบซื้อสะสมสี acrylics ไว้เป็นลังเลยนะคะ. ไหนจะพวก medium ต่างๆนานา. ขนาดใช้ไม่เป็นก้อซื้อมาซะงั้น
โชคดีสมัยตอนทำงานมีรายได้. จึงเลือกซื้อเลือกใช้ของดีๆ. เข้าใจว่าแพงนิดแต่น่าจะอยู่ทนนาน. เพราะไม่รู้จะมีเวลาเอามาใช้เมื่อไหร่. ก็สมพรปากตามนั้นเลยค่ะ....ซื้อมาเก็บไม่ต่ำกว่าสิบปี หรือใกล้ๆนั้น
แม้ว่าจะเก็บเอาไว้เฉยๆได้นานขนาดนั้นกลับพบว่าสีเกรดอาร์ตติสนั้นทนถึกมากมายค่ะ
ยังบีบออกจากหลอดได้อยู่. บางหลอดอาจจะมีการแยกเนื้อ-แยกน้ำบ้าง. แต่ยังพอจะเอามาระบายได้
เมื่อวานระบาย background เอาไว้แล้ว. ระบายไปเรื่อยเปื่อย. เรียก free flow painting คือนึกจะระบายอะไรก้อไม่ต้องคิดเยอะ. ไม่ต้องคิดว่าสวย. อยากทำอะไรก้อทำ
วันนี้เอามาวาดต่อ. คือเสร็จเร็วเพราะเป็นงานชิ้นไม่ใหญ่ค่ะ. วาดเพื่อ warm up ประมาณนั้น
คือเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว. ผ่านไปอย่างรวดเร็ว. ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง....อิ่มเอมใจ
ทำงานพวก digital art ต้องใช้สายตามองจอคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน. พักนี้แสบตาและปวดตาไปหมดเลยค่ะ ถ้าไม่ถนอมสายตาและมือ. หรือกล้ามเนื้อหลัง. เดี๋ยวซักวันร่างเสื่อมไปจนวาดรูปไม่ได้จะทำยังไง
ต้องการจะพักสายตา. ไม่ต้องจ้องจอคอมพิวเตอร์ค่ะ
มันก้อเป็นการตอกย้ำตัวเองค่ะ. ย้ำแล้วย้ำเล่า
ว่าเราอยากอยู่ในโลกของการวาดรูปและศิลปะ
ไม่จำเป็นต้องถามว่าทำไม....เพราะไม่มีคำตอบค่ะ. ชอบก้อคือชอบ
นี่ละค่ะ ความสุขที่จับต้องได้
...
สองสามวันมานี้อากาศกลับมาเย็นลงอีกรอบล่ะค่ะ
ผู้เขียนชอบอากาศของเดือนธันวาคมที่ผ่านมากับเดือนนี้จัง. อากาศเย็นสบายดีนะคะ. ทำให้นึกภาพตัวเองกำลังยืนวาดภาพบนผืนผ้าใบขึ้นมาเลย
การวาดภาพบนผืนผ้าใบนี่ก้อไม่ได้ทำมานานมาก. นึกถึงภาพล่าสุดที่ใช้วาดบน Easel หรือว่าขาตั้งวาดภาพนี่ก้อน่าจะตั้งแต่ประมาณปี 2543 แถวๆนั้น
นับแล้วคงจะยี่สิบปีก่อนทีเดียว
ช่วงนั้นบ้าพลัง. ก้อเป็นช่วงวัยที่ยังมีพละกำลังล่ะค่ะ. อยากจะรู้ว่าเค้าวาดรูปสีน้ำมันบนผ้าใบมันเป็นยังไง. เลยระห่ำซื้อสีน้ำมันกับพวกอุปกรณ์มาซะเพียบ
ที่ซื้อๆไปนั้นไม่ได้ซื้อในคราวเดียวพร้อมๆกันนะคะ. ไม่ได้ร่ำรวยซะขนาดนั้น. ก้อเป็นคนทำงานกินเงินเดือนเหมือนคนอื่น. อยากได้อะไรต้องค่อยๆซื้อสะสมไปเรื่อยๆ. ป่านนี้ยังเก็บสีหลอดๆไว้อย่างดีค่ะ.
ไม่รู้ตัวล่วงหน้าหรอกว่าวันหนึ่งต้องออกมาใช้ชีวิตแบบนี้😓
ที่เก็บสีและพู่กันเอาไว้อย่างดีเพราะเป็น"ของรัก" ไงคะ
และของพวกนี้เป็นของมีราคาแพง. สีหลอดนึงหลายร้อยบาทอยู่ค่ะ ส่วนใหญ่ไปเดินซื้อในห้าง เพราะสะดวกในการจอดรถและหาอะไรกิน แถมมีร้านหนังสือใหญ่ๆให้เดินดูด้วย. Life Style ในเวลานั้นเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ
จะว่าไปสมัยนั้นยังไม่มีการค้าขายออนไลน์นะคะ. อินเตอร์เนตยังต้องใช้โมเด็ม 52K ผู้อ่านจะรู้จักกันมั้ยคะ5555. เวลาต่อติดจะดังตื๊ดๆเหมือนเสียงส่งแฟกซ์สำเร็จ. ความเร็วอินเตอร์เนตก็ว่าเร็ว. แต่คงไม่เท่า 4G หรือ 5G หรอกค่ะ
ส่วนสมาร์ทโฟนก็เพิ่งจะเกิด. แอปอะไรก้อยังไม่ค่อยมีค่ะ
เดี๋ยวนี้อุปกรณ์วาดรูปหาง่ายกว่าตอนนั้นมาก อะไรๆก้อมีขายในออนไลน์ค่ะ. ของจากจีนมาเพียบบบบ
ก้อต้องเลือกกันให้ดีค่ะ. ส่วนใหญ่ก้อคุณภาพใช้ได้. ราคาดี. ไม่แพงค่ะ. เสียแต่รอนาน
สำหรับผู้เขียนก็ไม่ค่อยจะได้ซื้ออะไรเพิ่มเท่าไหร่. ส่วนใหญ่มีหมดแล้ว. บางทีมีบ้างค่ะ ยังอยากลองพวกสี oil pastel เห็นมีสีเยอะให้เล่น. แถมจัดเฉดสีมาเป็นชุด. กล่องนึงไม่กี่ร้อยบาท. ยังอดใจไม่ไหวเลยค่ะ
เดี๋ยวนี้เหมือนจะฮิตสี gouache กันขึ้นมาซะอีก. ใน youtube นี่มา draw with me กันเต็มไปหมด. เห็นเค้าวาดก้ออยากทำมั่งค่ะ5555😄
อากาศดีอย่างนี้วาดรูปกลางที่โล่งคงจะฟินนนนในอารมณ์มากแน่ๆเลย. เพราะได้เห็นสีเห็นแสงชัดเจน
ก้อได้แต่อยากตามเคย...
สุดท้ายต้องวาดบนคอมพิวเตอร์ หรือวาด digital ก่อนล่ะค่ะ. เพราะว่าคือการทำมาหากิน
ถ้ายังไม่ตายซะก่อน. สักวันคงได้วาดสีน้ำมันอีกครั้ง
....
ดูรูปผลงานเก่าๆไปก่อนเนอะ...
🌺
ความฝันอันสูงสุดในโลกแห่งการวาดรูปของผู้เขียนอย่างหนึ่งคืองาน digital paint นี่หละค่ะ
ความที่ว่าผู้เขียนเติบโตมาในยุค analog เต็มตัว แถมยังต้องฝึกฝนการวาดรูปด้วยตัวเองมาตลอด เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบ. มันจึงเป็นความฝันอันห่างไกล ว่าทำอย่างไรเราจึงจะวาดรูปสวยๆได้อย่างชาวบ้านเค้า
ยิ่งเห็นในโลกออนไลน์สารพัดที่จะมีรูปสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานสไตล์การ์ตูน หรือ manga หรือ manwha มีคนวาดรูปสวยๆอยู่เต็มไปหมด. เห็นแล้วเคลิ้ม
ไปทำอย่างอื่นมาซะตั้งเยอะ. เพราะต้องทำมาหากิน. จดๆจ้องๆว่าจะลงมือวาดด้วย ipad ก่อนเลย. ก้อไม่ได้ลงมือซะที
จริงๆก้อวาดไปบ้างล่ะค่ะ. แต่ไม่ค่อยได้อย่างใจเลย. และหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เรื่องจะไปลงเรียนคอร์สก้อรู้สึกว่าควรไปเรียนเกี่ยวกับการทำมาหากินก่อนจะดีไหม5555
ซื้อพวก brush เพื่อจะใช้กับ Procreate มาจนเต็มเครื่องไปหมด. สุดท้ายก้อวาดไม่เสร็จบ้าง. พอวาดค้างไว้คราวนี้ก้อลืมอีก. พอกลับมาวาดต่อก้อต่อไม่ติดจนไม่ได้ความรู้ซักที
สองสามวันมานี้เลยจัดหนัก
ต้องทำให้ได้....วาดไปสามรูป.
เออนะ. รูปแรกมันก้อไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่.
รูปสองมันชักจะดีขึ้นมาหน่อย
รูปที่สามร้องว๊าววววว 5555 ทำได้ซะที
จึงถือโอกาสมา post โชว์ให้ชาวโลกได้เห็นค่ะ5555
สรุปว่ายากที่สุด คือ ลงมือทำเนี่ยล่ะ
555
ใกล้ครบสองปีที่กำลังจะผ่านไปกับชีวิตวัยเกษียณ (ก่อนกำหนด)แล้วสินะ. เดือนธันวาคมย่างเข้ามาเหมือนเป็นการเตรียมบอกลาปี 2563 คงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก. ที่จะต้องมานั่งทบทวนถึงชีวิตกันซะหน่อย. ซึ่งก้อเป็นสิ่งที่ชอบทำในตอนปลายปีของทุกปีอยู่แล้วค่ะ
ช่วงนี้เวลาไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าจะเริ่มเห็นตามห้างจะตกแต่ง theme คริสมาสต์กันบ้างแล้วค่ะ เดิมเคยตั้งใจ (เอาไว้ในใจ) ว่าจะคิดงานเกี่ยวกับคริสมาส ทำเป็น graphic elements เอาไว้ใช้เอง และขาย เพราะเห็นช่วงเทศกาลปลายปีจะขายของเกี่ยวกับคริสมาสได้เยอะ
แต่ก้อนั้นแหละ เมื่อตั้งใจ "เอาไว้ในใจ" มันเลยอยู่ในใจไง. ฮ่าาาา เพราะมีอะไรคิดว่าจะทำเยอะมากในหัวสมอง พอถึงเวลาก้อเลยลืมบ้าง หรือไปทำอย่างอื่นอยู่บ้าง. จึงยังไม่ได้ทำซะที
พอๆกับงานฮาโลวีนที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะทำ. ปีนี้ยังดีได้ sketch และคิดงานเอาไว้ แต่สุดท้ายงานที่ลงมือไปจริงๆกลับไม่ใช่งานที่ sketch เอาไว้ซะอย่างนั้น
ช่วงนี้เลยชะลอพวกงานวาดเอาไว้. กลับมานั่งทำแผนงานของปีหน้าว่าจะทำอะไรบ้าง. เป้าหมายเป็นอย่างไร โดยเอาสถิติตัวเลข performance ต่างๆที่ monitor เอาไว้มาดูประกอบ วิเคราะห์ตัวเองด้วยว่าปีนี้ทำอะไรยังไม่ดี. และอะไรที่ตัวเองพัฒนาขึ้น
ปีนี้รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาเรื่องทักษะการใช้ software ไปเยอะ อยู่ในระดับที่ตัวเองพอใจ ไม่ว่าจะเป็น Lightroom, Photoshop, Illustrator, Indesign, Procreate สามารถ sync การทำงานข้ามไปมาระหว่าง software ได้คล่องขึ้น ใช้ tools และคำสั่งต่างๆได้คล่องมากขึ้น รวมทั้งใช้ shortcut keyboard ได้ด้วย ทำให้ลดการปวดมือไปได้ เพราะการทำงานด้านกราฟฟิกต้องใช้เม้าส์เกือบตลอด. คลิกกันทั้งวันจนปวดมือเลยทีเดียวค่ะ
ทักษะที่อยากจะพัฒนาต่อคือหัดใช้ Affinity Desiner กับ Vectornator ให้คล่องกว่านี้ด้วยค่ะ. เพราะว่าค่าเช่าใช้โปรแกรม Adobe ราคาค่อนข้างแพงถึงแพงมาก ยิ่งถ้าใช้ครบเกือบทุกอันขนาดนี้ฮ่าาาา. หากว่าวันใดวันหนึ่งไปไม่รอดขนาดว่าอาจจะไม่มีเงินเช่าใช้โปรแกรม คงต้องหันมาใช้โปรแกรมฟรี หรือโปรแกรมที่จ่ายน้อยๆจ่ายแบบครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ต้องมานั่งหัดใหม่. ซึ่งการเริ่มหัดใช้โปรแกรมนั้นกว่าจะคล่องก้อใช้เวลามากอยู่ค่ะ. เหมือนที่กว่าจะสะสมทักษะการใช้โปรแกรมตระกูล adobe ได้ก้อเป็นปี. ขนาดว่าอยู่กับมันแทบทุกวัน วันละ 15 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย. เพราะโปรแกรมพวกนี้ความสามารถของโปรแกรมมันเยอะมากๆ. พอๆกับตอนสมัยยังทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนที่เราต้องใช้พวก microsoft office ประมาณนั้นเลย.
รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยที่เมื่อเวลาผ่านไปตัวเราก็มีพัฒนาการขึ้นตามลำดับ. แต่ว่าเคยพยายามหัดใช้ After Effect กับ Premier Pro แล้วมันปวดหัวสุดๆ งงสุดๆเลยแหละ5555. งานด้านวีดีโอคงต้องขอข้ามไปก่อนในช่วงเวลานี้นะ
วันก่อนไป dinner กับแก๊งค์เพื่อนโดนเพื่อนบ่นอีกแล้วเรื่องที่เราจะมาเป็น artist แทนที่จะกลับไปทำงานเป็นพนักงานประจำอย่างเก่า
เพื่อนก้อคงหวังดีเนอะ. คงจะเห็นว่าถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างน้อยก้อต้องได้อัตราเงินเดือนไม่น้อยแน่. เพราะประวัติตาม resume เราออกจะไฮโซซะขนาดนั้นฮ่าาาาา. แต่เราดันทุรังอ้างโน่นนี่ไม่ยอมสมัครงานที่ไหน (ก้อใจมันไม่อยากนิ.)
เรายังอยากจะสู้อยู่อะค่ะ. รู้สึกการต่อสู้มันเพิ่งจะเริ่มต้น. เหมือนงานด้าน creative business ของเราเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของเราจริงๆอะ. ทุบหม้อข้าวแล้วเนี่ย5555. ถ้าเราทำไม่สำเร็จชีวิตเราก้อจบเห่เหมือนกันนะ. เฮ้อ.
ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แม้ว่าหนทางที่เราเดินจะเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย และไม่ค่อยมีใครเข้าใจว่าเราทำอะไร.มันเคว้งพิกลอยู่นะคะ เราก้อยังคิดว่าเราจะไปต่ออะ....อุปมาพายเรือออกมาไกลฝั่งแล้ว. ถอยไม่ได้. มีแต่ต้องไปข้างหน้าอย่างเดียว. สำเร็จหรือไม่. คิดว่าอยู่ที่อะไร.
เราก้อยึดธรรมะของพระพุทธเจ้าค่ะ. อิทธิบาท 4.
ติดตามชีวิตเรากันต่อไปเนอะ 5555.
Contour drawing on Molenskine Notebook |