มิถุนายน 19, 2559

การทำมัฟฟินครั้งแรกในชีวิต : My first time Blueberry Muffin

และแล้วการผจญภัยเกี่ยวกับการทำอาหารก้อได้เริ่มต้นขึ้น ...

หลังจากวนเวียนดู Clip สอนวิธีการทำมัฟฟินอยู่หลายเที่ยวมากๆ เลยตัดสินใจว่าวันนี้จะต้องลองลงมือทำมั่งสักครั้งล่ะ

รู้สึกตัวเองกล้าหาญมาก  ฮ่าาาา  ดูใน clip นี่มันดูทำง่ายดายมาก แป้งก้อไม่ต้องร่อน เพราะเนื้อมัฟฟินไม่ต้องละเอียดเหมือนเนื้อเค้กก้อได้  เน้นผสมเร็ว แล้วเข้าเตาอบเลย ประมาณว่าเป็นอาหารแบบด่วนๆของฝรั่งเค้า  แถมใช้เครื่องตีแบบมือถือ หรือถ้าใครแรงดีก้อใช้เพียงตะกร้อมือก้อใช้ได้เหมือนกัน ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์มากมายอะไร

เห็นมัฟฟินมักจะอยู่ในถ้วยกระดาษสวยน่ารัก  แต่เห็นทีไรไม่รู้ทำไมชอบนึกถึงเค้กกล้วยหอมแบบไทยๆของเราทุกทีไป

ส่วนผสมของสูตรนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน  มีแป้งเค้ก ผงฟู  เบคกิ้งโซดา วิปครีม โยเกิรต ไข่ เนย น้ำตาลทรายขาว กลิ่นวานิลา และบลูเบอร์รี่สดเท่านั้น

เจ้าบลูเบอร์รี่สดนี่แพงมากกล่องนิดเดียวราคาเกือบสองร้อยบาทแน่ะ

และสูตรตาม youtube นี่ก้อต้องทำใจเผื่อไว้ เนยนี่เนยจืดหรือเค็มก้อไม่บอก  และไม่มีการใส่เกลือด้วย  ฉันก้อเลือกใช้เนยจืดธรรมดาละกัน  เพราะเห็นจากหลายๆสูตรชอบบอกว่าทำขนมอย่าใช้เนยเค็ม เพราะมันจะเค็มเกินไง

ตั้งท่าอุ่นเตาอบล่วงหน้า  แต่ว่ากว่าจะชั่งตวงของต่างๆผสมกันและเริ่มตีด้วยเครื่องตีมือถือ  เวลาก้อผ่านพ้นไปจนเตาอบได้อุณหภูมิ  ฉันก้อยังตีส่วนผสมไม่เสร็จ  สงสัยจะเปลืองไฟกันใหญ่ล่ะคราวนี้  เลยต้องหมุนปุ่มตั้งเวลาให้ยืดออกไปจนกว่าส่วนผสมทั้งหมดจะเข้ากันและเนียนพอดี

มือใหม่อย่างฉันพอจะมีประสบการณ์จากการลองผิด-ลองถูกมาพอสมควร  ทว่าเคยมั่วๆทำเค้กกินเองหลายปีมาแล้ว  มันก้อกินได้นะ  คนกินยังบอกอร่อยเลย  ตอนนั้นไม่มีอุปกรณ์อะไรเท่าไหร่  แถมสถานที่ก้อไม่สะดวกมากขึ้นเหมือนอย่างตอนนี้  ฉันยังอุตส่าห์เพียรทำจนได้เลย

เรื่องการดูว่าส่วนผสมเข้ากันเนียนหรือยังนี่ก้ออาศัยการสังเกตเอา  ถ้าเอาพายยางปาดๆดูแล้วน้ำตาลทรายไม่เป็นเม็ด และสีของเนย ไข่ แป้ง ที่อยู่ในอ่างผสมสีกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนครีมข้นละก็  ฉันก็ว่าน่าจะใช้ได้แล้วนะ (เดาเอา)

งานหนักนี่ก้อเอาบลูเบอรี่ออกมาซับน้ำก่อนลงผสมกับแป้ง  เพราะมีข้อควรระวังว่าน้ำที่ละลายจากการเอาบลูเบอร์รี่ออกมาจากตู้เย็นนั้นอาจจะซึมเข้าไปในมัฟฟิน และทำให้เนื้อมัฟฟินแฉะ เละ  เสียโครงสร้างมัฟฟินได้  ฉ้นจึงต้องเอาทิชชูหนาๆมาคลึงบลูเบอร์รี่ก่อนใส่ลงไปในส่วนผสมซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย

เดี๋ยวอบออกมาก้อรู้เอง  คิก ๆๆๆ

เทส่วนผสมใส่ในพิมพ์สามส่วนสี่  เหลือขอบประมาณหนึ่งส่วนตามตำราเป๊ะๆๆๆๆๆ

เอาเข้าเอาอบและนั่งชิลรอดูผลงาน   ลัลล้าาาา ผ่านไปสิบนาทีมัฟฟินฉันเริ่มพองขึ่น  จนผ่านไปสิบห้านาทียิ่งพองขึ่นไปอีก  แถมส่งกลิ่นหอมเย้ายวนน่ากินออกมาด้วย




ครบยี่สิบนาทีตามสุตรเอาออกมาจากเตาอบ เอาไม้แหลมจิ้มเพื่อเช็คว่าสุกหรือยัง  ดูจากสีของมัฟฟอินแล้วรู้เลยว่าความร้อนในเตาอบไม่สม่ำเสมอแฮะ  เห็นได้ว่าด้านในจะร้อนกว่าด้านติดกระจก  มัฟฟินด้านในจึงสุกทั่ว  แต่ด้านนอกมีไม่สุก  ดูจากสีก้อรู้  สีของสองฝั่งไม่เหมือนกัน 



พอชิมมัฟฟินอันแรก  รู้สึกไม่อร่อยอย่างที่คาดหวัง  ทำไมมันจืดๆเหมือนพวกเค้กรักสุขภาพ แบบหวานน้อยอะไรทำนองนั้น ซึ่งรสนิยมตัวเองจะชอบหวานมันกว่านี้

ลองเอาอันที่ดูแล้วเหมือนสุกไม่หมดอบต่อรอบ  พอดีมีแป้งส่วนที่ผสมแล้วอีกสองถ้วยมัฟฟินที่เหลืออยู่  เลยลองไม่ใส่บลูเบอร์รรี่  แบบเอาเป็นเนื้อมัฟฟินล้วนๆ  จะได้ชิมแป้งด้วยว่าเป็นอย่างไรนะสูตรนี้

ผ่านไปอีกยี่สิบนาที  คราวนี้มัฟฟินที่โดนอบรอบสองหน้าเหลืองกรอบมาเลย  ชอบนะแบบกรอบๆเนี่ย ไม่ได้กรอบแบบจะไหม้นะคะ  กรอบนิดๆแบบกำลังดีเลย  แต่ว่าอาจจะผิดหลักหน้าตาที่ถูกต้องของมัฟฟินเค้าหรือเปล่าไม่รู้สิ  

ชอบอันที่ไม่ได้ใส่บลูเบอรี่มากๆเลยค่ะ  เนื้อมัฟฟินนุ่มมากๆ  ขาดแต่รสหอมหวานเค็มอะไรทำนองนี้ (ตามรสนิยมส่วนตัว)




คาดว่าทำอีกรอบหน้าจะแก้มืออีกค่ะ  จะเปลี่ยนเป็นเนยเค็มแทน และเพิ่มน้ำตาล  หรือไม่ก้อเปลี่ยนเป็นเนยยี่ห้ออื่นที่เกรดไฮโซไปเลย  อยากรู้ว่ารสจะเปลี่ยนไปแบบไหน

และจะไม่ใส่บลูเบอร์รี่แล้วจ้าาาา  ....  


เอาเป็นอันว่าขอจบตอนเรื่องผจญภัยไปกับการทำอาหารละค่ะ ทำมัฟฟินก้อเหมือนได้กิน cup cake แทนมัฟฟิน  แล้วมาพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ อิ อิ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น