ธันวาคม 31, 2566

ส่งท้ายปีเก่า 2566/2023

 



ปีเก่าเราผ่านไปอีกหน

สู้ทนหม่นไหม้ไม่เสียหลาย

ทุกสิ่งสอนเราให้เข้าใจ

จะดีร้ายย่อมผ่านไปไม่หวนคืน



บทประพันธ์โดย  inspired by art และในเครือ




ธันวาคม 23, 2566

พรุ่งนี้วันคริสต์มาสต์





แวะเข้ามาอวยพรคุณผู้อ่านค่ะ

เทศกาลดีๆของชาวโลกแบบนี้จะพลาดได้ไง  ถึงจะไม่ได้เป็นชาวตะวันตกก็อยากจะร่วมปลื้มปริ่มไปกับเทศกาลนี้ด้วยคน

ขอบคุณ คุณผู้อ่านที่เข้ามาอ่านกันเรื่อย  พอมียอดวิวให้ชื่นใจว่า ชั้นไม่ได้เขียนให้ตัวเองอ่านนนน 

ขอบคุณผู้ที่อาจเพียงเดินผ่านเข้ามาอ่าน จากการ search หาอะไรบางอย่าง แล้วมาเจอ blog นี้เข้า

ที่แห่งนี้คือจักรวาลอันสร้างสรรค์สุดติ่ง ของชาวโลกคนหนึ่งที่ชอบงานสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะงานวาด งานเขียน งานประดิษฐ์ และอื่นๆอีกมากมาย

เป็นโอกาสอันดีที่ early retired ก่อนอายุ 60 ปี  เลยมีเวลาทำสิ่งที่อยากทำ  ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของโลกยุคใหม่  ตกงานตอนแก่ซะงั้น

ดิ้นรนกระเสือกกระสนกันต่อไปคะ   ทำอะไรได้ก้อทำ   ทำไปทำมา ทำไปแล้วหลายอย่างมากๆ และหลายปีผ่านมา ก้อยังพอถูๆไถๆค่ะ  กิจการไหนไม่ work ก็ชะลอๆ แต่ไม่เลิกทำค่ะ

กิจการใหม่ก็ต้องทำ  ต้องหาผลิตภัณฑ์ดาวรุ่งของตัวเองให้ได้สักวันสิน่าาา

มันเลยค่อนข้างเหนื่อย  แต่ก็สนุกดี

วันนี้อยากลาหยุด งดส่งนิยายขึ้น platform สักวัน  ทว่าก็ไม่อยากทำให้แฟนคลับเล็กๆของเราต้องรอเก้อ  ทั้งๆที่คิดไม่ออก  พรุ่งนี้ค่อยมาลุยต่อค่ะ

อากาศดันมาเย็นซะอีก  ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ  เครื่องทำน้ำอุ่นที่บ้านเพิ่งเสีย  หลังจากได้รับใช้เรามาอย่างซื่อสัตย์ตลอด 10 ปี ไม่เคยงอแง  5555  

ขอสดุดีความอดทน และคุณภาพอันยอดเยี่ยมของน้องเลย

เมื่อคืนเหมือนน้องเกิดอาการสำลัก  พอปิดน้ำ มีเสียงดังครืดคราดในตัวเครื่อง  อาการเหมือนคนสำลักยังไงยังงั้น  สักพัก...ไฟสีแดงเล็กๆ ประดุจสัญญานชีพของน้องก็พลันดับลง   ปุ่ม reset ก็ไม่มีไฟ  ทุกอย่างพลันเงียบสนิท ปั๊มหายใจให้น้องด้วยการกดปุ่ม reset หลายครั้งน้องก็ไม่หายใจแล้ว  แง   น้องสิ้นชีพแน่แล้ว  

คือ....ต้องซื้อเครื่องใหม่  แถมมาเสียช่วงปีใหม่แบบนี้จะมีช่างมาติดตั้งมั้ยล่ะ

คงไม่มีใครมาติดให้หรอก...เค้าหยุดยาวปีใหม่กัน

ต้อนรับคริสมาต์อันหนาวเหน็บด้วยการต้องอาบน้ำเย็นละงานนี้

อ้าว  ยังไม่ได้อวยพรคุณผู้อ่านซะที  พาออกนอกเรื่องไปซะไกลค่ะ


ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะ

ไว้ปีใหม่จะมาอวยพรอีกรอบค่ะ  จัดชุดใหญ่เลย...เย้














ธันวาคม 06, 2566

แด่ มนตรามหาคริสต์มาส

 


แด่ มนตรามหาคริสต์มาส ธันวาคม 2566


ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาผู้เขียนชอบและคลั่งไคล้มากที่สุดของปีค่ะ  ไปไหนมาไหน โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าจะมีการแต่งไฟอย่างสวยงาม มีอุปกรณ์ตกแต่งเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาสน่ารักๆดูเพลินไปหมด

ที่บ้านผู้เขียนเคยซื้อต้นคริสต์มาสขนาดค่อนข้างใหญ่เอาไว้ต้นนึงด้วย  บางปีอารมณ์ดีหน่อยจะลงแรงมานั่งแต่งต้นคริสต์มาส ติดไฟสวยๆไว้ให้ตัวเองดู 5555

แต่จะเริ่มมีความทุกข์เวลาหมดเทศกาลไปแล้วต้องมานั่งถอดพวกของตกแต่งแล้วก็เก็บต้นคริสต์มาสนี่หละ เพราะว่าไม่มีที่จะเก็บ  ต้นมันน่าจะสูงประมาณเกือบ 2 เมตรได้ อารมณ์เวลาจะติดดาวบนยอดนี่ต้องปีนเก้าอี้  ขนาดว่าแยกชิ้นแล้ว แต่ละชิ้นก็ใหญ่โตเหลือเกิน

อย่างน้อยก็ยังอยากเก็บไว้อยู่ค่ะ  เวลาไปเห็นที่เค้าแต่งสวยๆมันอดไม่ได้ที่อยากจะอย่างนั้นบ้าง

เลยตั้งชื่อช่วงเวลานี้ของปีว่าเป็น มนตรามหาคริสต์มาส  

ดูหนัง streaming ก็จะเลือกดูพวกหนังเกี่ยวกับเทศกาลนี้ด้วย  ชอบเวลาพวกชาวตะวันตกเค้าแต่งบ้านเป็นธีมนี้มาก ดูดูไปแต่งสวยกว่าที่เห็นกันในบ้านเราเยอะเลย  

เนื้อหาในหนังมักจะเกี่ยวกับเรื่องความรักหนุ่มสาว หรือไม่ก็เรื่องครอบครัว

จบแบบมีความสุขด้วยนะคะ. ไม่ค่อยเห็นจบเศร้าเลยค่ะ

ว่าแต่ว่าปีนี้ไม่ใช่อารมณ์ไม่ดี เลยไม่เอาต้นอันนี้มาตั้งดูเล่นนะคะ  คือมันเหนื่อยตอนเก็บมั้ยเนี่ย 

อาจจะเป็นว่าช่วงนี้จัดหนักเรื่องเขียนนิยายไปหน่อย  รู้สึกว่ายังจัดสรรพลังงานของตัวเองไม่ถูก ทำให้เหนื่อยไปหมด 

เป็นนักเขียนนี่ก็งานหนักเหมือนกันแฮะ  ใครเห็นนึกว่านั่งชิลๆเขียนๆไป  ขอบอกว่าเป็นงานที่ต้องวางแผนมากๆๆๆๆ  ต้องร้อยเรียงเหตุการณ์ในท้องเรื่องมากมายหลายสิบเหตุการณ์  อย่างน้อยๆ เรื่องล่าสุด คือ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว"  นี่ก็คาดว่าประมาณ 70 ตอนเป็นอย่างต่ำ แล้วเหตุการณ์ที่จะต้องใส่ไปในแต่ละตอนให้เรื่องเดินไปตามพล๊อตอีกล่ะ  หัวจะปวด

เขียนๆไปบางทีก็เริ่มออกนอกเส้น 555 ต้นเรื่องพูดอย่าง ผ่านไป 20 ตอนเริ่มงง ว่าตอนแรกเราไม่ได้เขียนยังงี้นี่หว่า

เหมือนต่อจิ๊กซอ หรือไม่ก็ร้อยลูกปัดให้เป็นสร้อยที่สวยงาม 

นี่ขนาดนิยายเล่มแรกนะเนี่ย   คิดไปถึงเล่มต่อๆไป โอ้ววววว จะไหวมั้ย

Post นี้กะว่าจะไม่บ่นเรื่องเขียนนิยายล่ะค่ะ  ก็ยังอดบ่นไม่ได้

เห็นผู้เขียนหายๆไป ไม่ค่อยมาเขียน blog นี่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนะคะ  

เฮ้อ...



ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ




ตุลาคม 11, 2566

กระแสไม่มีแผ่ว นิยายจีนบุกตลาดหนังสือนิยาย

 




หากเดินตามร้านหนังสือในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา ผู้เขียนรู้สึกว่าเห็นหน้าแผงมีนิยายจีนวางบนชั้นอยู่มากมายหลายเรื่อง และมีมากยิ่งขึ้นไปอีกคือหนังสือที่แปลมา

ในช่วงก่อนหน้าเหมือนว่านักเขียนไทยหลายคนหันไปเขียนนิยายจีน  บ้างใช้นามปากกาเป็นขื่อไทย บ้างใช้เป็นชื่อจีนเลยก็มี

อันนี้ไม่ได้หมายถึงนิยายจีนรุ่นคลาสสิคอย่างพวก ฤทธิ์มีดสั้น หรือพวกของโกวเล้งนะคะ  แต่กำลังพูดถึงแนวรักโรแมนติก รวมไปจนถึงแนว boy love  ที่ปกสวยเตะลูกตามาก


คิดว่านักเขียนไทยคงจะทำงานกันไม่ทันความต้องการของตลาด บรรดาสำนักพิมพ์เลยต้องซื้อลิขสิทธิ์นิยายจีนมาแปลเพิ่ม

ที่กล่าวไปนั้นเป็นนิยายที่พิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม   อยากจะพูดถึงนิยายจีนที่อยู่บน platform online บนมือถืออีกหลายจ้าวด้วยค่ะ  ที่นำเสนอนิยายจีนเต็มไปหมด

ไม่ว่าจะเป็นแนวแฟนตาซี  หรือแนวรัก  แนวเกิดใหม่  แนวทะลุมิติ ฯลฯ  

การตั้งชื่อเรื่องนิยายก็พลอยแหวกจากขนบที่เคยเห็นด้วยค่ะ   เช่น ใช้ชื่อยาวมากๆ  บางทีใช้ภาษาเหมือนภาษาแปล 

ใครเขียนแนวนี้ได้ดูท่าจะเงินเข้ากระเป๋าเยอะทีเดียว  พอๆกับนักเขียนนิยายวายเลยค่ะ

ตัวผู้เขียนเองก็อยากจะมีรายได้จากการเขียนบ้างเหมือนกัน 5555😅 แต่ก็เขียนได้เพียงแนวรักทั่วไปนี่หละค่ะ  แค่นี้ยังเหนื่อยหอบแทบแย่กว่าจะหลุดออกมาได้ทีละตอน  เฮ้อ

หวังว่าจะมีโอกาสได้เขียนนิยายจีนบ้างในโอกาสต่อไปค่ะ  เพราะว่ามีนิยายจีนเก่าที่เคยเขียนจบไว้แล้ว 2-3 เรื่องอีกเหมือนกัน  ต้องเอามาปัดฝุ่นกันใหม่

คิดแล้วก้อขำตัวเอง  ภาษาจีนก็ไม่รู้เรื่อง ยังบ้าบอแต่งออกมาได้เนอะ

คือตอนนั้นมัน in มากกับการดูหนังกำลังภายใน ในช่วงเวลานั้นใครไม่ได้ดูพวก กระบี่ไร้เทียมทาน หรือ มังกรหยก ละก็เชยสุด  คุยกับเพื่อนที่โรงเรียนไม่รู้เรื่องแน่

ต้องเข้าใจนะคะว่าเด็กยุค 80 นี่เค้ามีความสุขกับการดูทีวี  กับดูการ์ตูนช่อง 9 วันหยุด ส่วนวีดีโอนี่เพิ่งมาทีหลังค่ะ

ผู้เขียนคิดว่าอยากเขียนเกี่ยวกับเรื่องจอมยุทธหญิง ฮ่าาาาา  โปรดรอติดตาม  เดี๋ยวต้องไปคิดนามปากกาใหม่ด้วยค่ะ   555555 (หัวเราะกว้างเลยทีนี้)

ว่าแต่เรื่อง ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว  ยังเขียนไม่จบเลยค่ะ  ขอเอาให้จบเป็นเรื่องๆ เอาฤกษ์เอาชัยไว้ก่อนนะคะ  ออนไลน์ไปหลายบทแล้วจ้าาาา  


นักอ่านก้ออ่านกันเงียบกริบ  คือไม่มีใครคอมเมนต์อะไรเลยค่ะ  (เหงื่อตก) 



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม blog และผลงานอื่นๆของผู้เขียนนะคะ





ตุลาคม 02, 2566

ภูเขาที่ต้องข้าม ลูกแล้ว-ลูกเล่า

 




ชีวิตเหมือนการเดินทาง  เหมือนการขึ้นภูเขา และเหมือน...ฯลฯ

มองย้อนกลับไป...

กว่าจะเติบโตมาจนป่านนี้ได้  ก็ต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่าง  มีทั้งสมหวัง เวลาพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ กับเคยต้องผิดหวัง แบบร้องไห้น้ำตาซึม หรือบางทีน้ำตาท่วมจอ

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นถูก save เก็บไว้ในหัวสมองของเรา 

เรื่องใหม่ๆของทุกวันถูก upload ขึ้นไปเก็บไว้  บางเรื่องต้องรู้จักเอากลับมาประยุกต์ใช้เพื่อเอาชีวิตรอด จึงต้อง download ลงมาใหม่...

คิดแบบนี้แล้วนึกภาพออกค่ะ  ตราบที่ยังมีลมหายใจ ต้องสู้กันต่อ

ว่าด้วยภูเขาลูกใหม่ของผู้เขียนในตอนนี้...คือการเขียนนิยาย

คราวที่แล้วบ่นให้คุณผู้อ่านฟังไปแล้วว่ามันคือการวิ่งมาราธอนดีๆนี่เอง...จริงๆนะคะ  กว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละตอน  ทำเอาผู้เขียนปวดหัว ไมเกรนขึ้น  ...เพราะบางทีมันนึกไม่ออกค่ะ ว่าจะลงประโยคแรกอย่างไร

คือ...สังเกตว่า...ถ้าประโยคแรกออกมาได้เมื่อไหร่   ประโยคอื่นจะไหลตามมาได้

ซื้อยาแก้ปวดหัวมาเพิ่มล่ะค่ะ....ฮ่าาาา

ไหนจะต้องเดินเรื่อง  ไหนต้องมีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร  เหมือนโดนตัวละครสิงร่างอย่างไรอย่างนั้น

สิงฉันหน่อยเถอะจ้าาาา....จะได้เขียนออกมาได้ตลอดรอดฝั่ง   เหมือนมีนักอ่านขาประจำเค้าซุ่มรออ่านอยู่...

"ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" เวอร์ชั่นเดิมนั้นหนา 40 หน้ากระดาษ A4.... 17 ตอนจบ ค่ะ

ตอนนี้มารีไรท์กันใหม่ให้เหมาะกับยุคสมัย....ยังไม่พ้นช่วงเปิดเรื่อง  แนะนำตัวละครเลย....เขียนไป 45 หน้ากระดาษ A4 แล้ว..... ไม่น่าเชื่อ!!

คือไม่น่าเชื่อว่าตัวเองกลับมาเขียนนิยายได้อีกครั้ง

พาตัวละครไปไกลเลยค่ะ  แถมมีตัวละครใหม่ๆมาเสริมเพื่อความแน่นปึ๊กของเนื้อเรื่อง

ที่จริงพอยาวขึ้นก็มีโอกาสสร้างตัวละครได้ดีขึ้นไปด้วยค่ะ   ....อย่าลืมไปอ่านกันนะคะ


คนเขียน...เขียนไป...ร้องกรี๊ดดดๆไปด้วยตลอดเลย  ด้วยความสวีทแหววของพระเอกกับนางเอก  ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มรักกันเลยเนี่ย....เฮ้อ เหนื่อยค่ะ


เหนื่อยคือ  คนเขียนเหนื่อยค่ะ   


เรื่องนี้เขียนจบไปเรียบร้อยแล้วในเวอร์ชั่น พ.ศ. 2529   ยังยืนยันไม่เปลี่ยนโครงเรื่องและไม่เปลี่ยนตอนจบค่ะ 


อ่านฟรี 10 ตอนแรกนะคะ  ที่เหลือขออนุญาตไม่ฟรี  แต่ราคาเบาๆค่ะ  นึกซะว่าช่วยเป็นทุนในการซื้อยาแก้ปวดหัว  55555


ขอบคุณทุกท่านค่ะ





กันยายน 01, 2566

ชวนอ่านนิยายเก่า-เล่าใหม่

 



วันนี้มาชวนอ่านนิยายค่ะ

อย่างที่หัวเรื่องบอกไว้ว่า ชวนอ่านนิยายเก่า-เล่าใหม่ เพราะว่าต้นฉบับดั้งเดิมของเรื่องนี้ที่จริงเขียนไว้นานมากแล้ว. น่าจะเขียนในยุคเฟื่องฟูของตัวเองที่เขียนเอาไว้เยอะสุดๆ

ที่ว่าเยอะเพราะเคยเอาพวกต้นฉบับลายมือออกมากอง แล้วนับเล่นๆ. พบว่าน่าจะมีมากกว่า 20 เรื่อง

แต่ที่เขียนจบจริงๆอาจจะไม่ถึง 10 เรื่อง

เรื่องนี้ก้อเป็นเรื่องหนึ่ง.   ในบรรดาเรื่องที่เขียนจบแล้ว....แถมน่าจะเป็นเรื่องที่ยาวที่สุดก้อว่าได้

คือสมัยนั้นผู้อ่านต้องเข้าใจก่อนนะคะว่า...เมื่อสามสิบปีที่แล้วยังไม่มีแม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์. และผู้เขียนเขียนระหว่างที่กำลังเรียนมัธยม. ไม่สามารถจะมีอุปกรณ์อะไรพิเศษล้ำหน้ามากไปกว่า  ปากกา และสมุด

แปลว่าตอนที่เขียน ก้อเขียนไปเรื่อยโดยนับจำนวนคำไม่ได้ค่ะ

ประสาเด็กก้อคิดว่ายาวแล้ว. เยอะแล้ว. แต่ไม่รู้กี่คำ. 

แถมเรียกได้ว่าเขียนแบบด้นสด. ไม่มีหลักการอะไรทั้งสิ้น  จะเดินเรื่องหรือจบยังไงก้อคิดวันต่อวันไปเรื่อยค่ะ. แบบนี้เขียนแล้วมีความสุขดีประสาเด็ก.  ไม่ได้ฝันเฟื่องไปไกลว่าวันนึงอาจจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มๆมั่ง  มันไกลเกินฝันค่ะ

ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี. ทางเลือกก็มีมากขึ้น. ไม่ต้องตีพิมพ์. แต่เราทำเป็นอีบุ๊คได้นะ. แถมเดี๋ยวนี้เขียนยังไม่จบก้อหาเงินได้จากการติดเหรียญอีกต่างหาก

อะไรๆมันเปลี่ยนไปแบบที่ผู้เขียนคิดไม่ถึง. 

จึงได้เวลาแสดงผลงานอีกด้านหนึ่งซะที  ฮ่าาา. 

ตอนนี้เอาเรื่องมารื้อใหม่หมด.  ที่จริงเรื่องนี้ผ่านการรื้อมาไม่รู้กี่รอบ. ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อตัวละคร. เปลี่ยนชื่อเรื่อง  ปรับสำนวนภาษาใหม่  เป็นต้น

รื้อรอบนี้...รื้อหนักเลยค่ะ

เขียนเพิ่มเป็นบทๆเลย. ต่อเติมเพื่อให้เนื้อเรื่องมันแน่นขึ้น เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น (เท่าที่จะทำได้)

หลังจากตอนนี้พยายามทำตัวให้เขียนอย่างมีหลักการมากขึ้นกว่าเดิม   มีการวางพลอต. ทำโครงเรื่องใหม่. คาดว่าจทำให้นิยายยืดดดดด....ยาวววววว ออกไปได้อีกค่ะ

และแอบคาดหวังว่าอยากจะพิมพ์เป็นเล่มกับเค้าซักเล่มนึงในชีวิต. 😅😂

ยอมควักทุนเองด้วย.  คงขายได้นิดหน่อยหรอกค่ะ. 555. 

ที่เหลือจะทำบุญแจกให้ห้องสมุดประชาชน...แต่ใครอยากร่วมบุญ. ร่วมสนับสนุน. ให้ปูเสื่อ+นอนรอเลย.  เพราะภาระกิจนี้ยาวไกล และโหด ประดุจวิ่งมาราธอน

ตามติด+ติดตาม การ update  ที่ Fanpage Pakkavaleebooks ได้เลยค่ะ

เพราะกว่าจะรวมเล่มได้.  ต้องเขียนให้ได้ประมาณ 150,0000 คำ เป็นอย่างน้อย  เพื่อจะได้พิมพ์เป็นเล่มขนาด 300 หน้า 

ตอนนี้เขียนไปได้ประมาณ 5 บทแล้วค่าาาาา. 

รื้อเขียนใหม่จนตอนนี้เนื้อเรื่องมันวน+ขมวดกันจนผู้เขียนเริ่มจะคิดไม่ออกอีกล่ะค่ะ. ว่าเอาไงต่อดีเนี่ย....




สู้ต่อไปค่ะ

ขอไปวาดรูปก่อนแล้วอาจจะทำให้คิดออก...

ฝากติดตามและมาลุ้นไปด้วยกันนะคะ

ว่าจะเขียนจบมั้ย (แฮ่....ต้องจบค่ะ)

😁



เมษายน 12, 2566

โลกยังคงหมุนไป




 

ในขณะที่โลกยังคงหมุนไป...หญิงชราผู้เกษียณออกจากงานก่อนกำหนด ก้อยังก้มหน้าก้มตาสู้ชีวิตต่อไป.  ด้วยสองมือและสองตาของเธอ

ร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปเนื่องด้วยต้องกินอยู่อย่างจำกัด.  ปรับลดมาตรฐานชีวิตลงมาให้พออยู่พอกินไปได้นานๆ. ซึ่งมันจะนานแค่ไหนนั้น. หญิงชราแทบไม่อยากจะคิด

นับจากวันนี้ไปจนถึงวันไหนกันเล่า...ที่ชีวิตจะหมดลมหายใจ

ถึงวันนั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้เงิน. หรือมีเงิน

ทุกวันๆๆๆเธอนั่งวาดภาพ.  อยู่กับสมุด sketch พู่กัน. ปากกาหลากสี  กล่องสีต่างๆ  และนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ.  

หากงานอยู่บนเพียงสมุด sketch จะเกิดรายได้ได้อย่างไรเล่า...ในโลกยุคนี้

ต้องแปลงงานจากงาน analog ให้เป็น digital สิ 

จ้องจอคอมพิวเตอร์จนปวดตา...และมือปวดไปหมดเพราะข้อมือถูกใช้งานเยอะ.  

บางทีหญิงชราคิดว่าไม่มีงานไหนที่เธอรักจะทำจนลมหายใจสุดท้ายอีกแล้ว.  

ไปเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่นาน.  โหยหาที่จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่รักมาตลอด. พอมาได้ทำ...สังขารก้อพาลจะไม่ให้ความร่วมมือซะแล้วสิ

เคยกล่าวโทษโชคชะตา...

ทำไมฉันไม่ได้วาดรูป.  ทำไมฉันถึงไม่ได้ทำในอาชีพที่ฉันอยากทำ

ตอนนี้ชักจะรู้สึกว่าโชคดี. หึ ๆ

ถ้าไม่มีวันเวลาอันโชติช่วงเหล่านั้น แม้ไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก...ก้อสามารถส่งต่อชีวิตให้พอจะยืนหยัดอยู่ได้ในตอนนี้...

เพื่อให้ได้ทำ "ในสิ่งที่รัก".  ซะที

แม้จะเคยเหน็ดเหนื่อยอย่างมากมายในเวลานั้น.   วันนี้ต้องมาขอบคุณตัวเอง

ที่ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และทำให้อย่างดีที่สุดเสมอ.  จึงมีวันนี้ได้...

และ...

โลกยังคงหมุนไป

มีคนหวังดีสร้างปัญญาประดิษฐ์ให้วาดรูปแทนมนุษย์ได้ซะงั้น.   เพื่อนๆในหมู่คนสร้างงานศิลปะพากันเลิกอาชีพนักสร้างสรรค์ไปหลายคนด้วยความท้อใจ

โลกยังคงหมุนไป

คืนนี้เวลานอนยังต้องสวมแผ่นพยุงข้อมือต่อไปอีกสักเดือนสองเดือน.  

และต้องหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆเพื่อรักษาอาการตาแห้ง.   เพราะจ้องจอคอมพิวเตอร์นานต่อเนื่องเกินไป. ...อันนี้พฤติกรรมไม่สมกับวัยซะเลยค่ะ

หลายครั้งยังเจ็บปวดในใจ

แม้ว่าจะผ่านไปหลายปี....

เคยได้เริ่มทำงานประจำตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยได้สามปีครึ่ง.  หางานเอง. ไม่ต้องรบกวนใคร...ไม่ต้องให้พ่อแม่มาเลี้ยงดูนับจากมีงานทำ

ไม่เคยไม่มีรายได้....หรือ.  ไม่เคยรายได้น้อยเท่านี้มาก่อน...

เอาเถอะนะ...

สักวันหนึ่ง

วันหน้าจะต้องดีขึ้นกว่าวันนี้.  

อย่างน้อยวันนี้...ก้อดีกว่าวันก่อนโน้นใช่มั้ยล่ะ

...

โลกยังคงหมุนไปค่ะ






ขอบคุณที่ติดตามนะคะ



เมษายน 05, 2566

ชีวิตคือของขวัญอันบอบบาง

 

ภาพทุ่งดอกไม้. ฝีมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai ค่ะ



ช่วงนี้ผู้เขียนเหมือนจะอยู่ในโหมดปิดสวิทซ์ตัวเองเพื่อพักร้อนแบบยาวๆค่ะ

ตั้งแต่ project ขายของออนไลน์กับเพื่อนถูกปิดสวิทซ์. เพราะมีน้องในทีมที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งของและเป็นเสมือนผู้ช่วยได้งานใหม่.    เพื่อนเลยบอกหยุดไปก่อนดีกว่า.   เดี๋ยวหาคนแทนได้ค่อยมาว่ากันใหม่....5555.  

แต่ก้อผ่านไปแล้ว 3 เดือน.  ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท.  

คงจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าป่านนี้เพื่อนอาจจะไปลุยโปรเจ็คอื่นแล้วแหละค่ะ.   เห็นว่าทำหลายอย่างมากอยู่


ส่วนตัวผู้เขียนเลยต้องเข้าโหมดตั้งหลักใหม่อีกครั้งนึง

ซึ่งจะว่าไปแล้วรู้สึกว่าต้องเข้าโหมดตั้งหลักไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วเนี่ย5555ตั้งแต่ไม่ได้ทำงานประจำ


นึกๆไปแล้วคนที่เป็น freelance เต็มตัวตั้งแต่เรียนจบมาเลยเนี่ย...ช่างแข็งแกร่งและใจเด็ดเสียจริงๆเนอะ

ผู้เขียนรู้จักรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยบางคนที่เรียนจบมาแล้วทำงานลักษณะกึ่งๆทำงานอิสระสลับไปๆมาๆกับทำงานบริษัทอยู่หลายคนค่ะ.  คือหมายถึงว่าบางทีทำงานบริษัทได้แป๊บๆก็กลับไปเป็น freelance. พอสักพักเจอหน้ากันอีกทีก้อกลับไปทำงานบริษัทอีกล่ะค่ะ

สิ่งที่รุ่นพี่มักจะบ่นมากๆคือเรื่องระบบการทำงานในบริษัท.    เรื่องความขัดแย้งกับหัวหน้างานบ้าง.  บางคนก้อมีปัญหาเรื่องไม่อยากใส่ uniform. บางคนเกลียดการรูดบัตรเข้าออก.  บางคนไม่ชอบมาทำงานตามเวลาของบริษัท.  เป็นต้น

คนที่เป็น freelance จะมีปัญหาเรื่องไม่มีหลักฐานทางด้านรายได้.  และรายได้ไม่สม่ำเสมอ.  คือเวลาถ้าจะซื้อรถ หรือซื้อบ้านโดยกู้เงินกับสถาบันการเงินเนี่ยจะยากมาก

อย่างนี้แล้วคนเหล่านี้จะวางแผนทางการเงินให้กับชีวิตกันยังไงล่ะเนี่ย

รุ่นพี่บางคนที่เป็นคล้ายๆ freelance มาเจอกันตอนอายุเยอะๆแล้วนี่บางคนก็เดินสายทำบุญตลอด. ดูชีวิตมีความสุขดีเหมือนจะไม่ขาดแคลนอะไร.   แต่ก้อย่างว่าค่ะ...เรื่องเงินๆทองๆนี่เป็นเรื่องค่อนข้างจะส่วนตัวไปสักนิด.   เป็นมารยาทที่ไม่ควรจะไปถามว่าเป็นไงมาไงบ้าง. และปกติแล้วก้อไม่มีใครบอกใครถ้าไม่ได้ไว้ใจกันมากๆอีกด้วย


ผู้เขียนเองไม่เคยเป็น freelance มาก่อนในชีวิต.  พอต้องมาเป็นคล้ายๆ freelance ในตอนแก่แล้วเนี่ยมันช่างทรมานจริงๆค่ะ.  

โหมดตั้งหลักนี่เรียกอีกอย่างได้ก็คือโหมดตั้งสติ

คือไม่งั้นจิตจะตก. 55555

นอกจากจะหยุดโปรเจ็คแล้วทำให้รายได้ประจำหายไป.  ยังต้องต่อสู้กับกระแสปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเข้ามาแทนที่อาชีพของเราด้วยค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสรรค์งานเขียน.   งานภาพวาด. หรืองานภาพถ่าย ที่ทำแทนมนุษย์ได้ด้วยการเขียน prompt สั่งการ.    ก้อใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการสร้างงานสวยๆออกมาได้แล้วค่ะ

แบบนี้จะไม่มีที่ยืนสำหรับคนทำงานอย่างผู้เขียนแล้ววววว.     

ไหนจะพวกบริษัทตัวกลางที่ทำหน้าที่รับ/จ่าย/แปลงสกุลเงินเวลาเราเบิกถอนพวกรายได้ที่เราทำได้จากนอกประเทศอีกล่ะ.   พวกนี้ก้อค่อยๆขึ้นค่าธรรมเนียมชนิดสุดโหดเลยค่ะ.  

คือกว่าเงินจะถึงมือเราได้เนี่ยโดนตัดหัวคิวจากตรงนั้นตรงนี้ไปจนเหลือนิดเดียวล่ะค่ะ


แล้วนี่ตกลงว่าจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย. 

คุณค่างานศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์นี่ไร้ค่าซะแล้วเหรอ.  .... แล้วต้นทุนค่ากล้องถ่ายรูปกับอุปกรณ์ต่างๆนานาที่เราซื้อมาแล้วเพื่อการทำงานล่ะ...เท่ากับจะไม่มีประโยชน์เลย.  ถ้าใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างงานได้แล้วก้อคงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมืออะไรให้มันเปลืองเงิน

เศร้าอ่ะ

บ่นนนนนค่ะ.   ได้แต่บ่น


เราก้อยังต้องประคับประคองชีวิตน้อยๆอันแสนจะบอบบางของเราต่อไปค่ะ.  

ตอนนี้ยังคิดไม่ตก...ว่าจะหนีไปทำมาหากินอะไรดีเนี่ย. ที่ไม่ต้องถูก disruption


.....ให้กำลังใจตัวเองกันไปวันต่อวันละค่ะทีนี้....











มีนาคม 29, 2566

ท้องฟ้ายามเย็นแห่งฤดูร้อน

 


ผู้เขียนไม่อยากจะบอกเลยว่าปีนี้ทำไมอากาศมันร้อนเหลือจะทนได้ขนาดนี้.   เร่ิมตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมานี้รู้สึกจะเข้าสู่ฤดูร้อนเป็นเต็มตัว.  ห้องทำงานที่นั่งทำงานทุกวันพอดีว่าหลังคาบางส่วนได้เจาะเป็นช่องแสงเอาไว้เพื่อหวังจะได้แสงธรรมชาติ.   ช่องแสงอันนี้แหละที่รับความร้อนมาเต็มๆเลยค่ะ


นั่งทำงานด้วยความทุกข์ทรมาน.   เมื่อทนไม่ไหวก้อต้องเปิดแอร์.  ทีนี้เครื่องปรับอากาศน่าจะทำงานหนักหน่อยเพราะว่าความร้อนยังไงก้อมาจากช่องแสงด้วยส่วนหนึ่ง.  ทำให้ผู้เขียนพยายามจะเปิดแอร์ให้จำนวนชั่วโมงน้อยที่สุด. 


อย่างไรก็ตาม...เมื่อเห็นใบแจ้งหนี้ค่าไฟก้อต้องอึ้งงงงง.  คงเหมือนกับทุกบ้านในประเทศแห่งนี้. ที่ค่าไฟแพงเป็นอันดับต้นๆของโลก


พอมาดูที่จำนวนหน่วยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว.  ปรากฎว่าจำนวนหน่วยมันน้อยกว่าของปีนี้ด้วยซ้ำไปค่ะ.  แต่ที่ค่าไฟสูงกว่าเป็นเพราะค่า FT หรือค่าไฟฟ้าผันแปร


จริงๆที่บ้านก้อต้นไม้เยอะอยู่.  ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ค่อยช่วยให้เย็นลงหน่อยเหรอ.   อืมห์....พอออกมาเดินนอกห้องทำงานเท่านั้น.  ปรากฎว่าอากาศไม่ร้อนเท่าในห้องแหละค่ะ.   แสดงว่าในห้องทำงานมันร้อนอบอ้าวเป็นเตาอบเพราะการระบายความร้อนอาจจะไม่ดี.   อากาศไม่ flow อะไรประมาณนั้น


ทีนี้ไม่รู้จะแก้ไขยังไงล่ะค่ะ.    ความคิดเรื่องต้องการช่องแสงธรรมชาติไว้สำหรับการวาดรูปนี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการ.   เพราะเวลาลงสีใต้แสงพวก LED หรือแสงนีออน.   บางทีจะทำให้สีมันเพี้ยนได้นะคะ  


ครั้นว่าจะใส่ฝ้ากันความร้อนไว้ใต้หลังคาส่วนที่ต่อเติมนั้นตอนนั้นก้อไม่ได้คิดว่าจำเป็น.  เพราะคงจะไม่ได้ใช้ห้องบ่อย.   คงใช้แค่เสาร์อาทิตย์.  ส่วนวันธรรมดาต้องไปทำงาน.  กว่าจะกลับบ้านก้อค่ำมืดแล้ว


เพราะไม่รู้ว่าจะต้องออกจากงานมาอยู่บ้านแบบ full time น่ะสิคะ.  


ยังดีที่ติดแอร์ประเภท heavy duty BTU เยอะๆเอาไว้แทน. 


ตั้งแต่มาอยู่บ้านตลอดเวลานี้ก้อใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้เช้าจรดค่ำเลยค่ะ.   หากว่าไม่ได้ปรับปรุงห้องนี้เอาไว้เมื่อหลายปีก่อนโน้นแล้วละก้อ.  .... ต้องควักเงินมาทำในตอนนี้เป็นแน่.  แล้วมาควักเงินในยามที่ไม่มีรายได้แล้วนั้นมันเจ็บปวดดดดนะคะ


บางทีผู้เขียนออกไปเดินแถวละแวกบ้านในตอนเย็นๆ.  เห็นท้องฟ้าหน้าร้อนสีสวยดีเหมือนกันค่ะ.  เลยถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น.   เผื่อเอามาเขียน blog ไว้ด้วย



สีของฟ้าแบบนี้เรียกว่า สีน้ำเงิน indigo.  ซึ่งผู้เขียนชอบค่ะ  มันน้ำเงินแบบเคร่งขรึม.  สงบและเยือกเย็น เวลาเอาไปผสมกับสีอื่นจะทำให้เป็นโทนมืดๆลงมาหน่อยๆค่ะ.  สวยค่ะ


ยามโพล้เพล้แบบนี้ก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดีล่ะค่ะ...ไปหาอะไรทานก่อนนะคะ.  แล้วพบกันใหม่ค่ะ 



มีนาคม 22, 2566

ย้อนวันและย้อนวัยผ่านการดูหนัง | เกิดอีกทีต้องมีเธอ Dark Side Romance : Inspired by Movie

ขอขอบคุณภาพจากหอภาพยนตร์ (องค์กรมหาชน)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก website ของ หอภาพยนตร์แห่งชาติ (องค์กรมหาชน)


อยากจะเขียนเกี่ยวกับหนังก็ได้แต่รั้งๆรอๆมานานค่ะ. เพราะว่าไม่แน่ใจเรื่องการนำภาพประกอบของหนังมาอ้างอิงใน blog น่ะแหละ.  สุดท้ายคือเอาเป็นว่าขอใส่เครดิตภาพไว้ให้ก้อหวังว่าจะรอดปลอดภัยนะคะ คือที่ว่าจะเขียนถึงนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ตัวหนังหรือผู้เกี่ยวข้องมีความเสียหายแต่อย่างใดค่ะ


จริงๆก้อเคยซื้อหนังเรื่องนี้เก็บเอาไว้ตั้งแต่ตอนทำเป็นวีดีโอค่ะ  คิดดูแล้วกันว่านานขนาดไหนแล้ว😚   ข่าวร้ายคือตอนนี้หาไม่เจอ.  ไม่รู้เอาไปเก็บไว้ที่ไหนซะแล้ว   ไม่งั้นอย่างน้อยอาจจะสามารถ scan ปกมาให้ชมกันแบบภาพใหญ่ๆกว่านี้ได้.  หรือไม่ก็อาจจะมีพวกภาพด้านในแผ่นปกและภาพอื่นๆให้ชมกันมากกว่านี้


นอกจากนี้เพลงประกอบหนังผู้เขียนก้อยังซื้อเป็นเทปคาสเซ็ทเก็บไว้อีกต่างหาก  ตอนนั้นชอบหนังเรื่องนี้มากเลยยย.  จินตนาการย้อนไปถึงประมาณ ปี 2538 ที่หนังเรื่องนี้กำลังดัง.  ผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มทำงานได้ประมาณสามถึงสี่ปี. เป็นวัยเริ่มต้นชีวิตจริงๆล่ะค่ะ


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ดูหนังเรื่องนี้อีกรอบนึงผ่าน Streaming ค่ะ. โอ้วววว. นึกถึงอะไรหลายสิ่งอย่างในตอนก่อนโน้น. 


ผู้เขียนชอบดูหนังเก่าด้วยเหตุผลว่าคิดถึงบ้านเมืองของเราในอดีตค่ะ. 


ชอบจะเห็นพวกตึก. อาคารพาณิช์. ย่านการค้าต่างๆว่าสมัยนั้นรถรามันเริ่มติดหรือยังนะ.  ตอนนั้นผู้เขียนเริ่มมีรถคันแรกแล้ว.  เรื่องรถติดนี้ก้อจำไม่ค่อยได้แล้วล่ะค่ะ. 


ได้เห็นรถรุ่นต่างๆที่สมัยนั้นเค้ากำลังนิยมใช้กัน.  เห็นพวกสินค้าต่างๆที่ประกอบอยู่ในท้องเรื่อง. เออ...หนอ..เหมือนว่ากำลังได้ย้อนเวลากลับไปจริงๆค่ะ.  อดไม่ได้ที่จะคิดถึงชีวิตของผู้เขียนในตอนนั้นว่ากำลังคิดอะไร.  รู้สึกอะไร. และเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตในช่วงนั้น


ที่แน่ๆ...คือคงไม่รู้ตัวว่า...อีก 20 กว่าปีต่อไป.  เธอจะต้องออกจากงานนะ. ....  เธอจะต้องพบกับความเคว้งคว้างของชีวิตอย่างหนัก.   หากจะเรียกว่าเป็นช่วงขาลงของชีวิตก้อไม่ผิด (ถ้ารู้ก่อนจะได้หัดเป็นคนประหยัดและรู้จักเก็บเงินให้มากกว่านี้ 😡)


ฉากที่ผู้เขียนชอบและแอบอมยิ้มคือฉากที่เพื่อนพระเอกใช้โทรศัพท์มือถืออันยักษ์แนี่ยล่ะค่ะ.   เห็นโทรๆอยู่ก้อสัญญานขาดหายไป.  ต้องมีการย้ายไปยืนตรงนั้นตรงนี้เพื่อหาคลื่นเนี่ยล่ะ  อันนี้เป็นเรื่องจริงของเทคโนโลยีในยุคนั้น.   คิดดูแล้วก้อขำๆค่ะ


ไหนจะมีมือถืออันใหญ่แล้ว.  สมัยนั้นต้องมี Pager กับเค้าด้วย.  เห็นในฉากเพื่อนพระเอกห้อย Pagerไว้ที่เอวหนึ่งอัน. (สมัยนั้นบางคนมีมากกว่าหนึ่งอันซะอีก พวกผู้ชายจะเหน็บไว้กับเข็มขัดค่ะ)  ผู้เขียนก้อมี Pager ไว้ใช้กับเค้าด้วยเหมือนกันนะคะ. ฮ่าาาา.  ยี่ห้อ Easy Call เวลาจะส่งข้อความต้องโทรเข้าโอเปอเรเตอร์ก่อน  เสียตังค์เป็นแบบค่าบริการรายเดือนและค่าส่งข้อความต่อครั้งอีกต่างหาก.   ถ้าข้อความยาวเกินไปจะตัดการส่งเป็นสองรอบ.  เวลาข้อความเข้าจะมีเสียงเตือน.  ส่วนตัวเครื่องเราสามารถตั้งให้เป็นแบบสั้นอย่างเดียวก้อได้.  แบบมีเสียงด้วยก้อได้ค่ะ


เห็นเครื่องคอมพิวเตอร์แว๊บๆในหนังด้วย.  ผู้เขียนจำได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์หน้าตาเหมือนที่มีที่บริษัทที่ผู้เขียนทำงานอยู่เลยค่ะ.  ที่ออฟฟิศจะเรียกเครื่องจอเขียว.  ลักษณะเป็นจอมอนิเตอร์ใหญ่ๆเหมือนตู้ปลา.  เวลาเปิดใช้ทำงานพื้นหลังหน้าจอจะเป็นสีดำ. ส่วนตัวอักษรจะเป็นสีเขียวนะคะ.  ต้องบอกก่อนว่าสมัยนั้นไม่มีจอ VGA หลายสี


ส่วนระบบปฏิบัติการบนเครื่อง ใช้  Dos และใช้ชุดโปรแกรมสำเร็จรูป Lotus ซึ่งทำงานคล้ายๆ Ms-Excel  ค่ะ.  เวลาจะพิมพ์งานก้อใช้พวก Word Chula  ทั้งหมดนี้ทำงานเพียงแค่สีเดียว. และใช้กับเครื่องพิมพ์แบบ Dot Matrix ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเห็นใช้กันอยู่.  คือมันจะใช้กระดาษต่อเนื่องที่มีรูหนามเตยสองข้าง. และมีแผ่นคาร์บอน copy เป็น Layer ซ้อนในกระดาษขาวได้ด้วย


ทะยอยนึกย้อนไปทีละเรื่องสองเรื่องว่าตอนนั้นเราใช้ชีวิตยังไง.  สนุกดีค่ะ. ตกลงว่าไม่เน้นการดูหนังนะคะ.  เน้นการดูพวก Production ต่างๆ กับพวกอุปกรณ์ประกอบฉากค่ะ5555 




ข้อมูลอ้างอิง :
เกิดอีกทีต้องมีเธอ (อังกฤษDark Side Romanceภาพยนตร์ไทยในปี พ.ศ. 2538 นำแสดงโดย ทัช ณ ตะกั่วทุ่งกุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดาโชคชัย เจริญสุข กำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว



ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง : เกิดอีกทีต้องมีเธอ Wigipedia



Link :

ดูหนังเรื่องนี้. :  https://youtu.be/cxp7SJIC2kA




มีนาคม 15, 2566

เรื่องสั้นแนวเสียดสีสังคมที่แอบอยากเขียนแนวนี้บ้าง

 


"อันเนื่องมาจากเช้าวันนั้น". เป็นเรื่องสั้นที่ผู้เขียนอยากจะทดลองอะไรบางอย่างค่ะ


จริงๆก้อนอกจากเรื่องนี้แล้ว.  มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการขัดเกลา.  กับนิยายที่เขียนไม่จบอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นแนวเสียดสีสังคม


ทว่า...พอไม่สามารถเขียนจบได้.  มันเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีค่ะ ฮ่าา


วันหลังจะเอามาโชว์ให้เหล่าผู้อ่านได้เห็นนะคะ. เผื่อจะมีคน comment มาบ้างว่าอยากอ่านต่อ. อิอิ


เรื่องแนวเสียดสีสังคมนี่ก้อเขียนยากกว่าแนวโรแมนติกดราม่าเยอะนะคะ.  คือกว่าจะหาประเด็นอะไรที่มันโดนใจแรงๆได้.  ต้องแรงพอที่จะพยุงให้ตัวเองเขียนได้จนจบเรื่องด้วย.  สรุปเลยนานๆจะเกิด moment แบบนั้น. จึงคาดว่าอาจจะมีเพียงเล่มนี้เล่มเดียวที่สามารถออกสู่สายตานักอ่านได้ค่ะ


ในช่วงยุคสมัยก่อนโน้นนนน...อาจจะเป็นช่วงที่ผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มชีวิตการทำงาน.  ช่วงนั้นยังว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของวรรณกรรมแนวเสียดสีสังคมก้อว่าได้.  เป็นยุคที่ยังไม่มีโลกอินเตอร์เนต.  ไม่มีโทรศัพท์มือถือ. โอ้ววว ...นึกภาพกันไม่ออกเลยล่ะสิ. ว่าคนยุคนั้นอยู่กันอย่างไร5555


สมัยนั้นมีนักเขียนแนวๆนี้อยู่หลายท่าน.  เช่น. ชาติ กอบจิตติ, วานิช  จรุงกิจอนันต์. ฯลฯ.  


คือผู้เขียนคงจะนึกคิดว่าตัวเองเขียนเป็นแต่แนวโรแมนติกดราม่า.  ถ้ามาหัดเขียนเรื่องแนวสร้างสรรค์สังคม หรือ เสียดสีสังคมนิดๆๆๆ.  น่าจะสนุกดีนะ


ทีนี้วัตถุดิบในหัวสมองเราก้อมีน้อย.  เพราะพวกข่าวการเมือง  ข่าวเกี่ยวกับมวลชน. หรือ ข่าวเกี่ยวกับกลุ่มแรงงานต่างๆนี่ไม่เคยอยู่ในเรดาร์ความสนใจของเราเลย.  แล้วจะเอาอะไรมาผูกเป็นเรื่องดีล่ะ


ไหนจะตัวละครอีก.  จะสร้างตัวละครอย่างไร


สรุปก้อเขียนไปตามเท่าที่จะคิดได้ล่ะค่ะ


เรื่องแนวเสียดสีสังคมอาจจะสะท้อน. หรือ ให้อะไรบางอย่างที่มันหนักหัวไปซักหน่อยกับผู้อ่านนะคะ.  แต่ในมุมของผู้เขียนรู้สึกว่าได้ส่งผ่านสาระไปยังผู้อ่านที่ดูเป็นสาระจริงๆ. 55555.  ไม่เน้นบันเทิง


ส่วนโรแมนติกดราม่าในแนวผู้เขียนที่ชอบเขียนเนี่ย...ก้อจะเน้นโรแมนซ์หวานแหวว. กุ๊กกิ๊ก.  อิ่มใจ. และสอดแทรกคติการดำเนินชีวิตไปด้วยค่ะ


เขียนได้ลื่นไหลมากกว่าเยอะ. แต่กระนั้นก้อยังเขียนไม่จบอยู่อีกหลายเรื่อง


การเขียนนิยายแบบด้นสดนี่มันตื่นเต้นดีจริงๆค่ะ. ฮ่าาาา.😂   ด้นไปด้นมาแล้วเจอทางตัน...พอเว้นวรรคหันไปทำอย่างอื่นเผื่อจะคิดออก.  คราวนี้เลยไปไกลโลดเลย. คือกลับมาเขียนต่อไม่ติดไปซะอีก.  


ตั้งแต่ออกจากงานมาก้อกลับไปเขียนอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ  ทว่าทำหลายอย่างมาก ...สุดท้ายนิยายก้อยังไปไม่ถึงไหนอยู่ดี.  เฮ้อ.  ขอบอกเลยว่าเขียนนิยายนี่ใช้พลังมากกว่าวาดรูปหลายเท่าตัว


ก็เขียนกันต่อไปและวาดกันต่อไปค่ะ


เพราะเป็นสิ่งที่รักจะทำ.  ชีวิตผู้เขียนคือสิ่งเหล่านี้แหละค่ะ .... 😊


Link เผื่อใครที่สนใจนะคะ :






มีนาคม 08, 2566

ชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่มีสิ้นสุด : Life is endless journey of learning

 



นั่งถามตัวเองว่าเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดมันคืออะไร? ทำไม่ดูเหมือนเรายังไปไม่ถึงซักที...

เวลาที่ผ่านไปหมายถึงช่วงเวลา post-retiredment ทั้งหมดสี่ปีนั่นแหละ

อันนี้มันเหมือนกำลังโทษตัวเอง หรือตำหนิตัวเองอยู่หรือเปล่า....หรือกำลังประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา. ซึ่งมันคืออัลกอริทึ่มแบบชีวิตลูกจ้างเดิมๆเลย

ปีนึงต้องประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างน้อย 2 ครั้ง.  ต้อง set goal ให้ตัวเอง+ทีม และพูดคุยกับน้องๆในทีมเพื่อปรับ mindset ต่างๆเกี่ยวกับงานของแต่ละคน

นี่คืออัลกอริทึ่มลูกจ้าง...ผู้ตกเป็นทาสต่อ "เงินเดือน" นั่นเอง

ความฝันของเราคือ เงิน. ซึ่งคิดว่าจะบันดาลสุขเหลือคณาให้กับชีวิต

หรือ. ควรจะฝันถึง. ชีวิตที่สงบสุข.  ปัญหาน้อยๆ.  ไม่มีหนี้. สุขภาพไม่มีปัญหา  มีอิสรภาพในการใช้ชีวิตในระดับหนึ่ง. และ....มีเงินเพียงพอ. ย้ำ. แค่เพียงพอแก่การยังชีพ

หากเรากำลังฝันถึงกองเงินที่เราเคยได้รับทุกเดือน. และทุกปีจำนวนมาก ที่มาพร้อมกับความไม่สงบสุข. เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบ มีเงินเหลือให้เลือกกิน และเลือกใช้  แต่แทบจะไม่มีเวลาได้ดื่มด่ำกับการกิน หรือชื่นชมกับข้าวของที่ซื้อมาเท่าไหร่.  

แบกรับ Goal และตัวชี้วัดความสำเร็จของหน่วยงานและขององค์กร.  ความเครียดและความกดดันนานา.  ซึ่งสิ่งเหล่านั้นในที่สุดอาจจะนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ

ความสำเร็จที่เคยได้รับก้อเป็นสิ่งควรค่าแก่ความภูมิใจ. เพราะในวัยนั้นก้อควรเป็นเช่นนั้นแหละค่ะ. เป็นช่วงวัยแห่งการสร้างชีวิต. สร้างฐานะ. สร้างตัวด้วยการทำงาน

อย่างที่คำพระท่านบอกเสมอ.  ไม่มีอะไรอยู่กับเรายั่งยืนนาน

คราเมื่อมันจากเราไป. เราก็ยังยึดติดอยู่กับมัน. ทำให้เรากระวนกระวายใจถึงสิ่งที่เคยมีและเป็น.  อยากมีรายได้. อยากมีความเหลือเฟือต่างๆนานา  นี่แหละทำให้เราก้าวออกจากความทุกข์และความกลัวไม่ได้ซักที

เรามัวแต่กลัวอนาคต. แต่ปัจจุบันก้อแอบเปรียบเทียบตัวเองกับอดีต. 

ทั้งที่ความสุขของเราคือการใช้ชีวิตอยู่กับงานสร้างสรรค์ต่างๆ ได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆบนโลกที่กว้างใหญ่กว่าแต่ก่อน (กว้างใหญ่เพราะ globalization+internet)

สิ่งที่เคยยากและแทบเป็นไปไม่ได้.  กลับง่ายขึ้นมากในยุคสมัยนี้. 

หลายอาชีพอาจต้องหมดไป. แต่ก้อมีอาชีพใหม่ๆเกิดแทนที่ขึ้นด้วยเหมือนกัน

เราฝืนความเป็นไปของโลกไม่ได้.  มีแต่ว่าต้องลู่ไปตามโลก

สี่ปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้ฝึกฝนตัวเองมากมาย.  เพื่อจะเตรียมตัวก้าวเข้าสู่โลกแห่งศิลปะค่ะ.  ประดุจว่าตอนนี้ตัวเองจะสำเร็จวิชา Graphic design ในระดับนึงล่ะค่ะ

จริงๆก้อเหมือนจะสำเร็จตามฝันบางส่วนแล้ว.  คือการได้ก้าวขาเข้าไปในโลกงานสร้างสรรค์ 

มีความสุขดีในทุกวันที่ตื่นมาแล้วรู้ว่าวันนี้จะได้วาดรูปต่อแล้ว...

เรื่องอื่นๆก้อเอาไว้ค่อยๆหาทางออกกันต่อไปค่ะ

...

แบบนี้ดีมั้ยคะ

...


😊





.

มีนาคม 01, 2566

ยิ่งเดินเหมือนยิ่งหลง

 



หลังจากทำโน่นทำนี่มามากมายตลอดระยะเวลาสี่ปีนิดๆ เรียกได้ว่าทำหนักวันละ 12-15 ชั่วโมงตามที่เคยเล่าไปแล้วในตอนก่อนๆ

ทำที่ว่าไปคือฝึกหนักเกี่ยวกับเรื่องการใช้โปรแกรมกราฟฟิกต่างๆนั่นเองค่ะ

คือระหว่างการฝึกก้อมีการขายงานไปด้วย. แต่ก็ได้เงินน้อยมากจนคิดว่าจะทำไปทำไมเนี่ย เฮ้อ....

แม้จะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของทักษะการใช้โปรแกรม. และคุณภาพงานที่ดูดีมีราศีขึ้นมาหน่อยละ.  แต่ตอนนี้ผ่านไปนานวันเข้า.  บุญเก่าเริ่มร่อยหรอลงไปทุกวัน.  ทำให้ใจมันหวั่นค่ะ

โบราณเค้าว่า.  อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา.  ก็เลยทำตามนั้นค่ะ คือ ทำต่อไปๆๆๆๆ

จริงๆมันก้อมีความสุขที่ได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆตลอด.  ไม่มีใครมาคอยบังคับหรือชี้นำ.  เหมือนจะไม่เครียด.  แต่กลับเครียดเรื่องอนาคตแหละว่าจะไปรอดมั้ย.  คือ ....สุดท้ายแก่ตัวไปจะมีเงินเลี้ยงตัวได้หรือไม่

มีกฎว่าห้ามคิดเรื่องเกี่ยวกับพวกตัวเลขหรือฟังข่าวเศรษฐกิจก่อนนอนด้วยซ้ำไป5555. ไม่งั้นจะกังวล และนอนไม่หลับ

สายคิดบวกก้อจะบอกว่า. ห้ามด่าตัวเอง.  ต้องให้กำลังใจตัวเองเข้าไว้.  

ก็พยายามจะมองโลกให้บวกๆแหละค่ะ.  

ตั้งแต่ข้ามมาปี 2566 รู้สึกตัวเองจะเฉาลงไป. ไม่ฮึดสู้ได้เหมือนแต่ก่อน.  คือมันฮึดมาเยอะตลอดหลายปีที่ผ่านมาแล้วไม่เห็นว่าจะมี outcome  ดีๆแบบที่คาดหวังเลย.  แล้วรู้สึกว่าสังขารตัวเองไม่ใช่คนอายุวัยสร้างเนื้อสร้างตัว.  แต่นี่เป็นวัยที่ต้องสงบ และพักด้วยซ้ำไปค่ะ

พอใช้เม้าส์หนูคลิกเยอะๆก็ปวดข้อ.   ใช้สายตามากก็แสบตา.  นั่งนานก็ปวดหลัง.  เครียดมากก็นอนไม่หลับ.  สายตาก็ยาวเยอะ. ผมก็เปลี่ยนสีแล้ว.    

ไม่เคยบอกคุณผู้อ่านใช่มั้ยว่าผู้เขียนอายุเท่าไหร่.  ก้ออย่าบอกดีกว่าเนอะ55555

ช่วงนี้ลดการใช้คอมพิวเตอร์.  หันมานั่งตัดกระดาษแทน.  กลับมาจับงานการฝีมือละค่ะ

ก็แสบตาน้อยลงเยอะค่ะ.  

วันหน้าจะเอาผลงานมาโชว์คุณผู้อ่านนะคะ.  มันเพลินและสร้างสมาธิได้ดีมาก.  ตัดกระดาษไป กรีดกระดาษไป. พับไปพับมา.  ทำแบบไม่คาดหวังอะไรแล้วละ.  

รู้สึกเหมือนกำลังหลงทางอีกครั้ง

ไม่รู้จะเลี้ยวไปไหนดี.  เดินมาตั้งไกลแล้ว.   ยังไม่เจอบ่อน้ำแห่งความสำเร็จซักที

ทำไปหลายอย่างมากมาย. แต่ยอดขายไม่ปังเปรี้ยงปร้าง.  เลยเสียวไส้ว่าจะประคับประคองชีวิตต่อไปยังไงดี 

ทำหลายอย่างเพื่อเป็นการศึกษาตลาด.   ครั้นจะมุ่งไปทางเดียวแล้วเกิดมันผิดทางเข้า.  ทีนี้ถอยหลังยูเทรินกลัวไม่ทัน.   เพราะเข้าไปซะลึกสุดซอยแล้ว.  ผู้เขียนเลยใช้กลยุทธ์แบบไปทั่วๆ มันเลยแตะนั่น. แตะนี่. ได้ทีละนิดเดียว.  

ก้อทำอยู่คนเดียวนี่เนอะ

บ่นค่ะ.  บ่นให้คุณผู้อ่านฟัง.  เฮ้อ


....ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ



กุมภาพันธ์ 22, 2566

You are the Only one Here

 


วันนี้ไล่ดู chat เก่าๆ แล้วเจอว่าตัวเองอยู่ใน ห้อง Empty Chat อยู่สองสามห้อง  ชอบใจคำว่า You are the Only one Here. ที่ระบบแจ้ง.  ประโยคมันโดนใจพิลึกละ

ตั้งคำถามอยู่ในใจว่าเมื่อไหร่ Mode โดดเดี่ยวนี้มันจะผ่านพ้นไปซักที. 

โดดเดี่ยวเพราะเป้าหมายมันดูห่างไกลยิ่งๆขึ้นไป.  การเปลี่ยนแปลงต่างๆยังคงเดินทางเข้ามาในชีวิต. โลกภายนอกก็ยังคงดูวุ่นวาย.  

สิ่งที่เคยคาดหวังเอาไว้ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง  คนเราจึงหนีไม่พ้นต้องการที่พึ่งพาทางใจกันบ้าง

นี่ก็เพิ่งไป update ดวงชะตาของปีนี้กับหมอไพ่ที่เป็นเพื่อนสาวมาอีกละ555

เผื่อจะได้ยินได้ฟังเรื่องดีๆให้ชีวิตมีหวังบ้าง.  แต่ก็อ่าววววว. เพื่อนสาวบอกว่าดวงปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วนะ.  เปิดไพ่ขึ้นมาเจอไพ่ดีๆ

แสดงว่าก็อาจจะดีขึ้นนิดหน่อยล่ะสิเนี่ย.  

ผ่านพ้นมาได้สามวันจากวันที่ฟังคำทำนาย.  ก้อเกิดเหตุต้องหยุดทำโปรเจ็คบางตัวไป. เหมือนดังคำทำนายเป๊ะๆ.  โถๆๆดันแม่นเรื่องไม่ดีนะ....เรื่องดีๆจะแม่นมั้ยล่ะ

ตอนนี้ผู้เขียนได้แต่นั่งปลงตกอีกครั้ง.  เป็นอันต้องหาอย่างอื่นทำ

รู้สึกชักจะคุ้นชินกับความผิดหวัง.

ถึงแม้เพื่อนสาวจะบอกว่าเป็นการหยุดชั่วคราว. แต่ผู้เขียนก็รู้สึกไม่อยากจะหวังอะไรให้มากมายไปอีก. 

นี่ก็คือชีวิตเนอะ

มีทั้งสมหวังและผิดหวัง...เราจะเลือกรับเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้.  ต้องรับทั้ง package 5555

เฮ้อ

เศร้า...

กุมภาพันธ์ 14, 2566

โลกของแมว


 

เวลาเครียดๆเมื่อไหร่...ถ้าคุณผู้อ่านมีแมวอยู่ในบ้าน.  ลองไปคุยกับเค้าดูสิคะ


ผู้เขียนเริ่มจะพูดกับแมวบ่อยๆแล้วล่ะค่ะ.  55555

เค้าก้อจะคุยกับเรา เหมือนจะรู้เรื่องไปกับเราเนอะ5555.

เราพูดภาษาคน. เช่น.  "ทำไรอยู่ศรีส้ม.  นอนทั้งวันเลยนะ"

ศรีส้ม : เมี้ยวววว. เมี้ววววๆๆๆ

เรา :  กินข้าวหรือยังเนี่ย

ศรีส้ม :  (ทำท่าตะกายข้างฝา. เอาขาหน้าสองขายืนแล้วเอาเล็บขูดข้างฝา ครืดๆๆ) เมี้ยวว

เรา :  (เอามือไปเกาพุงให้) 

ศรีส้ม :  (นอนหงายท้องให้เกาอย่างสบายใจ)


5555


ศรีส้มน่าจะรักการกินเป็นชีวิตจิตใจค่ะ. กับอีกอย่างหนึ่งที่เห็นศรีส้มชอบทำคือการเลียทำความสะอาดขน 


....เลียตัวเองไม่พอ.  จะตามไปเลียให้น้องศรีนิลอีกด้วย.  เลียแบบจริงจังเลยทีเดียว


ตั้งแต่ศรีนวลจากไปอย่างกระทันหัน  ศรีส้มก็ต้องมารับบทเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลศรีนิลค่ะ

ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าศรีส้มไม่แยแสเจ้าแมวรุ่นเด็กเล็กอย่างศรีนวลกับศรีนิลเลยค่ะ.  ถึงจะอยู่ชายคาเดียวกันศรีส้มจะเดินหนีตลอด. และแยกตัวนั่งเล่นเงียบๆคนเดียว

ศรีส้มเคยมีพี่น้องชื่อสามศรี(แม่ของศรีนวล+ศรีนิล). อยู่ๆวันหนึ่งสามศรีก็หายไปไม่กลับมาบ้าน...

สามศรีโตมาด้วยกันกับศรีส้ม.  เป็นคู่วิ่งไล่และวิ่งเล่นมาตลอด. นับจากนั้นศรีส้มก็ซึมๆไปพักใหญ่. เหมือนจะรับรู้ว่าสามศรีคงไม่กลับมาแล้ว. แต่ไม่รู้หายไปไหน. เศร้าค่ะ.  ผู้เขียนเดาว่าสามศรีอาจจะถูกตัวอะไรกินเหมือนกับศรีนวลก็เป็นได้

ศรีส้มไม่กล้าออกไปเล่นไกลบ้าน.  แถวบ้านมีแมวเกเรสีดำชอบมาไล่กัดศรีส้มค่ะ.  ต้องคอยวิ่งหนีเป็นประจำ. ท้ายสุดคงรู้ว่าที่บ้านปลอดภัยที่สุดแล้ว.  

ผู้เขียนชอบดูศรีส้มกับศรีนิลนั่งเล่นด้วยกัน.  เค้าเป็นแมวเค้าก็ดูแลซึ่งกันและกัน ไม่เคยแย่งอาหารกัน. นอนก็นอนด้วยกัน.  ดูแล้วอบอุ่นหัวใจค่ะ

เวลาศรีนิลออกไปเดินเที่ยวนอกบ้าน.   ศรีส้มจะนั่งรอหน้าประตูบ้านเลยทีเดียว. 

ผู้เขียนเองต้องคอยทำใจค่ะ. ไม่รู้ว่าวันไหนศรีนิลอาจจะหายไปไม่กลับมาหรือเปล่า

แต่นี้คือธรรมชาติของสัตว์โลก.  ให้เค้าได้วิ่งเล่น. ได้ผจญภัยบ้างนิดๆหน่อยๆ. สัมผัสแดดอุ่น กลิ่นของใบไม้...ฯลฯ

วันนี้ที่ยังได้อยู่ด้วยกันคือวันที่ดีที่สุดแล้วค่ะ...




กุมภาพันธ์ 08, 2566

ความสุขที่จับต้องได้

 



แล้วๆเล่าๆวันนี้วาดรูปเสร็จไปหนึ่งรูป.  ทันทีที่รู้สึกว่า "จบ". และ "พอแล้ว" แปลว่าเสร็จละค่ะ

ไม่ได้วาดรูปเป็นชิ้นเป็นอันมานาน.  มีโพสต์ก่อนๆที่บ่นให้คุณผู้อ่านฟังว่าอยากกลับไปวาดรูปสีน้ำมัน.  แต่ก้อกลับมาวาดด้วยสี acrylics 

คือ สี acrylics มันแห้งเร็ว. จบงานได้เร็วกว่าเยอะค่ะ

และที่สำคัญ  คือ. กลิ่นไม่มี

สีน้ำมันที่ต้องดมกลิ่นพวกน้ำมัน. พวกทินเนอร์. จึงคิดว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า

ไม่รู้แต่ก่อนก็ทนดมอยู่ได้ตั้งหลายปี. ฮ๋าาาาา.  แต่ก่อนวาดสีน้ำมันเป็นงานหลักเลยค่ะ.   อาจเป็นเพราะเข้าใจว่าการวาดสีน้ำมันมันแพร่หลายกว่า.  และตอนนั้นก้อไม่ค่อยรู้จักสี acrylics  เท่าไหร่  

คือไม่เข้าใจว่ามันต้องผสมอะไร.  รู้ว่าใช้น้ำได้.  แต่เคยลองๆแล้ว. พอผสมน้ำ. สีออกมาบางมาก.  หลายอย่างไม่ได้อย่างใจแลยยยย.   เพราะไม่เข้าใจนั่นเอง

ไม่เข้าใจแต่ก้อแอบซื้อสะสมสี acrylics ไว้เป็นลังเลยนะคะ. ไหนจะพวก medium ต่างๆนานา. ขนาดใช้ไม่เป็นก้อซื้อมาซะงั้น

โชคดีสมัยตอนทำงานมีรายได้. จึงเลือกซื้อเลือกใช้ของดีๆ. เข้าใจว่าแพงนิดแต่น่าจะอยู่ทนนาน.  เพราะไม่รู้จะมีเวลาเอามาใช้เมื่อไหร่.   ก็สมพรปากตามนั้นเลยค่ะ....ซื้อมาเก็บไม่ต่ำกว่าสิบปี หรือใกล้ๆนั้น

แม้ว่าจะเก็บเอาไว้เฉยๆได้นานขนาดนั้นกลับพบว่าสีเกรดอาร์ตติสนั้นทนถึกมากมายค่ะ

ยังบีบออกจากหลอดได้อยู่.  บางหลอดอาจจะมีการแยกเนื้อ-แยกน้ำบ้าง. แต่ยังพอจะเอามาระบายได้

เมื่อวานระบาย background เอาไว้แล้ว.  ระบายไปเรื่อยเปื่อย. เรียก free flow painting คือนึกจะระบายอะไรก้อไม่ต้องคิดเยอะ.  ไม่ต้องคิดว่าสวย.  อยากทำอะไรก้อทำ

วันนี้เอามาวาดต่อ. คือเสร็จเร็วเพราะเป็นงานชิ้นไม่ใหญ่ค่ะ. วาดเพื่อ warm up ประมาณนั้น

คือเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว.  ผ่านไปอย่างรวดเร็ว.  ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง....อิ่มเอมใจ

ทำงานพวก digital art ต้องใช้สายตามองจอคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน.  พักนี้แสบตาและปวดตาไปหมดเลยค่ะ  ถ้าไม่ถนอมสายตาและมือ.   หรือกล้ามเนื้อหลัง.  เดี๋ยวซักวันร่างเสื่อมไปจนวาดรูปไม่ได้จะทำยังไง

ต้องการจะพักสายตา.  ไม่ต้องจ้องจอคอมพิวเตอร์ค่ะ

มันก้อเป็นการตอกย้ำตัวเองค่ะ.  ย้ำแล้วย้ำเล่า

ว่าเราอยากอยู่ในโลกของการวาดรูปและศิลปะ

ไม่จำเป็นต้องถามว่าทำไม....เพราะไม่มีคำตอบค่ะ. ชอบก้อคือชอบ

นี่ละค่ะ   ความสุขที่จับต้องได้


...

กุมภาพันธ์ 01, 2566

หยุดและวาง(ซะบ้าง)


เหมือนเดือนนี้จะเป็นเดือนแห่งความอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยค่ะ

นั่งมองชีวิตย้อนหลังไป  ชีวิตที่เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยชีวิต

ประสบการณ์ชีวิตบางช่วงเป็นเหมือนวิชาง่ายๆ ที่เราผ่านมันไปได้ง่าย.  และในบางวิชาที่เราไม่ถนัด เราก้อต้องเข็นตัวเองมากมายเพื่อเก็บหน่วยกิตให้สำเร็จ.  บางครั้งมันเต็มไปด้วยคราบน้ำตา 

และแล้วมันก็ผันผ่านไปดุจคืนและวัน. ดุจเดือนและปี.  วิชาแล้ว วิชาเล่า

จุดสูงสุดของการเรียนวิชาชีวิตคือการสอบ

บางทีมันมีจุดตัดสินอยู่ในปัญหาที่เราเผชิญ

ชีวิตพลิกได้....ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา.  ว่าจะเลือกเดินไปทางไหน

ซึ่งมันจะทำให้เราต้องเปลี่ยนชีวิตไปโดยสิ้นเชิง

เราจะทำอย่างไรต่อไปหากสอบไม่ผ่านขึ้นมา

สอบไม่ผ่านคือจบปัญหาไม่สวย.  ช้าก่อนนนน...

แม้จะสอบไม่ผ่านในวันนี้.  แต่วันหน้ายังมีหวังนี่นะ

คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก.  ต้องสอบวิชา "ผิดหวัง" และ วิชา "ล้มเหลว" ให้ผ่านค่ะ

ไม่มีใครทำอะไรครั้งแรกแล้วจะประสบความสำเร็จได้หรอก


อีกวิชาที่สำคัญ คือ

วิชา "อดทน". และวิชา "รู้จักที่จะรอคอย"


ผู้เขียนบอกกับตัวเอง...ชีวิตต้องเดินต่อไปเหมือนการต่อจุด dot to dot

 เราน่าจะได้เจออะไรดีๆในวันข้างหน้าบ้าง.  เพียงถ้าวันนี้เราไม่หยุดเดินซะก่อน

เดินอยู่ในครรลองที่ดี.  ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน. ไม่เอาเปรียบใคร


วันนี้เลยต้องหยุดคิดเรื่องงานซะบ้าง.   วางทุกอย่าง.  ปล่อย....ปลง และประคับประคองจิตใจ

นี่หละค่ะ... ชีวิต


มกราคม 26, 2566

ชีวิตการทำงาน...มีวันหมดอายุ

 


ของทุกอย่างในโลกใบนี้. เหมือนจะอยู่บนเส้นสัจธรรมเดียวกัน คือ เข้ามา...และจากไป

อยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา. เพราะได้รับรู้เรื่องราวของคนที่บริษัทที่เคยร่วมงานกันมา.   และแม้จะเป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ต่างหน่วยงาน และเป็นรุ่นน้องผู้เขียนหลายปี. แต่ก้อรู้จักและคุ้นเคยกัน

ตั้งแต่ผู้เขียนมีเหตุอันต้องเกษียณก่อนวัยอันสมควรออกมา. ก้อไม่ได้มีโอกาสติดต่อกับใคร.  มีหลายเหตุผลที่เราต้องวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นศิษย์เก่าไปซะแล้ว.   ไม่ควรจะไปรับรู้แล้วจะมีความคิดเห็นต่างๆนานาในหัวสมองขึ้นมา. แล้วมันไม่ได้มีประโยขน์อะไรกับชีวิตเรา 

หลายครั้งยังนอนหลับฝันเห็นชีวิตตอนยังอยู่ในออฟฟิศด้วยซ้ำไป.  ก้อแน่ล่ะ.  โลกเกินครึ่งชีวิตของผู้เขียนอยู่ในนั้น. ทั้งผู้คนที่เคยร่วมงานกัน. ก้อคนที่บริษัททั้งนั้น.  ชีวิตนี้คงลบออกไปไม่ได้หรอกค่ะ

ย้อนมาเข้าเรื่องค่ะ

ผู้เขียนได้รับมาว่าน้องคนนี้ซึ่งยังทำงานอยู่. อยู่ดีๆนั่งทำงานแล้วคงจะวูบคาโต๊ะทำงาน.  พอส่งโรงพยาบาลคราวนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแต่สภาพไม่เหมือนเดิม

เข้าใจได้ทันทีว่าน้องงานหนัก. เพราะทำงานเป็นผู้บริหารทางด้านการเงินของบริษัทด้วยล่ะค่ะ. 

สมัยตอนยังอยู่ที่บริษัท.  เจอน้องหน้าตาเหน็ดเหนื่อย. และมาบ่นให้ฟังประจำว่าน้องเครียด. น้องงานเยอะมากกก. ส่วนผู้เขียนเป็นฝ่ายบุคคลที่แสนใจดีก้อจะรับฟังเป็นอย่างดี.  และนึกไปว่า  พี่ก้องานเยอะเหมือนกัน. เจอหน้าใครโดยเฉพาะพวกผู้บริหารด้วยกันก้อจะบ่นเรื่องงานเยอะเหมือนกันหมด

น้องเป็นเด็กรุ่นน้องที่ทำงานดี. วินัยดี และจิตดี.  จึงได้รับการโปรโมทให้เป็นเหมือน sucessor ของผู้บริหารอีกท่านนึงที่เกษียณไปตามอายุขัยไปแล้ว

แน่ล่ะ.  เป็นผู้บริหารแล้วดูเหมือนจะได้ค่าตอบแทนมากขึ้น. สิทธิประโยชน์ต่างๆที่ไม่ใช่เพียงตัวเงินก้อมากขึ้น

แต่ใครจะเอาไหม ....ถ้า

เราต้องรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายเรารับไม่ไหว

ความเครียด. ความกดดัน   โปรเจ็คต่างๆมากมายนอกเหนืองานในความรับผิดชอบ.  การบริหารลูกน้อง แรงเสียดทานระหว่างการทำงาน.  ทุกอย่างจะพุ่งตรงมาทางเรานี่หละ

ผู้เขียนเองตอนทำงานก้อป่วยจนค่ารักษาพยาบาลเกิน limit. 

เพราะชีวิตไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ.  ต้องเหนื่อย ต้องพยายาม. ต้องฝึกฝนตัวเอง. ต้อง ฯลฯ

ทั้งไมเกรน. ปวดหัวปวดท้อง  ทั้งลำไส้แปรปรวน. กรดไหลย้อน. นอนไม่หลับ. ปวดหลัง กล้ามเนื้อตึง.  มาเป็นขบวนเลยค่ะ

ได้ยิน ได้อ่านและได้ฟังว่า. พออายุมากขึ้นหลายๆอย่างมันจะไม่เหมือนเดิม. มันจะเสื่อมถอย

เราก้อนึกภาพไม่ค่อยออกค่ะ.  ตอนยังทำงานอยู่มัวแต่คิดถึงความรับผิดชอบ

แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ


ปัจจุบันทราบว่าน้องไม่เหมือนเดิมแล้ว.กึ่งๆว่าทุพพลภาพ  ทำงานในตำแหน่งเดิมไม่ได้.  บริษัทโอนย้ายน้องไปทำหน้าที่อื่นที่พอให้น้องประทังชีวิตต่อไปได้บ้าง.   เพราะน้องต้องรักษาตัวอีกเยอะ.   และน้องเป็นสาวโสดตัวคนเดียว.  อยู่คนเดียว.  เหมือนคุณพ่อคุณแม่ก้อเสียชีวิตหมดแล้ว.  พี่น้องก้อไม่มี

เดชะบุญ. บุญเก่าน้องยังมี.  มีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องผู้หญิงพาไปอุปการะที่บ้าน. พาไปอยู่ด้วยและดูแล.  

อะไรจะจิตใจประเสริฐขนาดนี้.  ในโลกนี้ยังมีเรื่องดีๆอยู่เหมือนกันนะ

ผู้เขียนได้รับทราบถึงตรงนี้น้ำตาจะไหลไปด้วยเลยค่ะ สาธุ...🙏


ทุกวันนี้ผู้เขียนรู้สึกตัวว่าทำงานตลอดเวลา.  คิดอยู่ตลอดเวลา. ถึงเรื่องงาน. การทำมาหากินของตัวเอง  ซึ่งไม่ได้ใช้ชีวิตแบบชิลๆ.  เพราะว่าเรายังต้องหาเลี้ยงชีวิตอยู่. 

แถมช่วงนี้รู้สึกปวดตามาก. และนอนไม่หลับ. ไม่รู้ว่าเคมีในร่างกายมันไม่สมดุลย์ หรือว่าเครียดเกินไปกันแน่

อายุที่มากขึ้นมันทำให้เราทำอะไรไม่ได้เท่าเดิมอีกต่อไปค่ะ

แล้วจะอยู่ต่อไปยังไงดีคะเนี่ย...ขำไม่ออก

 ยังคิดต่อไปว่าตอนนั้นหากผู้เขียนไม่ได้ตัดสินใจเกษียณอายุก่อนกำหนดออกมา...อาจจะมีเหตุการณ์สลบคาโต๊ะทำงานเหมือนกับน้องก้อได้


เลือกชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก

...จริงๆนะคะ🍓


มกราคม 18, 2566

อยากกลับไปวาดภาพบนผืนผ้าใบ




สองสามวันมานี้อากาศกลับมาเย็นลงอีกรอบล่ะค่ะ

ผู้เขียนชอบอากาศของเดือนธันวาคมที่ผ่านมากับเดือนนี้จัง.  อากาศเย็นสบายดีนะคะ. ทำให้นึกภาพตัวเองกำลังยืนวาดภาพบนผืนผ้าใบขึ้นมาเลย

การวาดภาพบนผืนผ้าใบนี่ก้อไม่ได้ทำมานานมาก.  นึกถึงภาพล่าสุดที่ใช้วาดบน Easel หรือว่าขาตั้งวาดภาพนี่ก้อน่าจะตั้งแต่ประมาณปี 2543 แถวๆนั้น

นับแล้วคงจะยี่สิบปีก่อนทีเดียว

ช่วงนั้นบ้าพลัง.  ก้อเป็นช่วงวัยที่ยังมีพละกำลังล่ะค่ะ.  อยากจะรู้ว่าเค้าวาดรูปสีน้ำมันบนผ้าใบมันเป็นยังไง. เลยระห่ำซื้อสีน้ำมันกับพวกอุปกรณ์มาซะเพียบ

ที่ซื้อๆไปนั้นไม่ได้ซื้อในคราวเดียวพร้อมๆกันนะคะ. ไม่ได้ร่ำรวยซะขนาดนั้น. ก้อเป็นคนทำงานกินเงินเดือนเหมือนคนอื่น. อยากได้อะไรต้องค่อยๆซื้อสะสมไปเรื่อยๆ.  ป่านนี้ยังเก็บสีหลอดๆไว้อย่างดีค่ะ.  

ไม่รู้ตัวล่วงหน้าหรอกว่าวันหนึ่งต้องออกมาใช้ชีวิตแบบนี้😓

ที่เก็บสีและพู่กันเอาไว้อย่างดีเพราะเป็น"ของรัก" ไงคะ

และของพวกนี้เป็นของมีราคาแพง. สีหลอดนึงหลายร้อยบาทอยู่ค่ะ  ส่วนใหญ่ไปเดินซื้อในห้าง เพราะสะดวกในการจอดรถและหาอะไรกิน แถมมีร้านหนังสือใหญ่ๆให้เดินดูด้วย.  Life Style ในเวลานั้นเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ

จะว่าไปสมัยนั้นยังไม่มีการค้าขายออนไลน์นะคะ. อินเตอร์เนตยังต้องใช้โมเด็ม 52K ผู้อ่านจะรู้จักกันมั้ยคะ5555. เวลาต่อติดจะดังตื๊ดๆเหมือนเสียงส่งแฟกซ์สำเร็จ. ความเร็วอินเตอร์เนตก็ว่าเร็ว. แต่คงไม่เท่า 4G หรือ 5G หรอกค่ะ

ส่วนสมาร์ทโฟนก็เพิ่งจะเกิด. แอปอะไรก้อยังไม่ค่อยมีค่ะ

เดี๋ยวนี้อุปกรณ์วาดรูปหาง่ายกว่าตอนนั้นมาก   อะไรๆก้อมีขายในออนไลน์ค่ะ.  ของจากจีนมาเพียบบบบ

ก้อต้องเลือกกันให้ดีค่ะ. ส่วนใหญ่ก้อคุณภาพใช้ได้.  ราคาดี. ไม่แพงค่ะ. เสียแต่รอนาน

สำหรับผู้เขียนก็ไม่ค่อยจะได้ซื้ออะไรเพิ่มเท่าไหร่. ส่วนใหญ่มีหมดแล้ว.  บางทีมีบ้างค่ะ ยังอยากลองพวกสี oil pastel เห็นมีสีเยอะให้เล่น.  แถมจัดเฉดสีมาเป็นชุด.  กล่องนึงไม่กี่ร้อยบาท. ยังอดใจไม่ไหวเลยค่ะ

เดี๋ยวนี้เหมือนจะฮิตสี gouache กันขึ้นมาซะอีก. ใน youtube นี่มา draw with me กันเต็มไปหมด. เห็นเค้าวาดก้ออยากทำมั่งค่ะ5555😄

อากาศดีอย่างนี้วาดรูปกลางที่โล่งคงจะฟินนนนในอารมณ์มากแน่ๆเลย.   เพราะได้เห็นสีเห็นแสงชัดเจน

ก้อได้แต่อยากตามเคย...

สุดท้ายต้องวาดบนคอมพิวเตอร์ หรือวาด digital ก่อนล่ะค่ะ.  เพราะว่าคือการทำมาหากิน


ถ้ายังไม่ตายซะก่อน. สักวันคงได้วาดสีน้ำมันอีกครั้ง

....


ดูรูปผลงานเก่าๆไปก่อนเนอะ...

🌺


มกราคม 11, 2566

ข้ามมาอีกหนึ่งปีแล้วจ้า

 


ในที่สุดชีวิตก้อผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้วสิคะ

นั่งถามตัวเองว่า ชีวิตดีขึ้นบ้างมั้ย....อืมห์

ปีนี้ไม่คึกคักหรือตื่นเต้นในการลุกขึ้นมาตั้งเป้าหมายเหมือนทุกปีที่ผ่านมาค่ะ.

เป็นเพราะว่า,.......เป้าหมายของปีที่แล้วยังทำได้ไม่ครบไงคะ. 5555 หัวเราะตามเคย.  บางเรื่องไม่ได้ทำเลย. บางเรื่องยังไปไม่ถึงไหน.  เรื่องใหม่ๆที่เพิ่งจะเข้ามาก้อยังต้องวิ่งไล่ล่ากันต่อไปอีก.  เฮ้อ


เหนื่อยค่ะ.  เหนื่อยและเหนื่อย

ในโลกของ art หรือ art industry ที่เข้ามาเต็มตัวเนี่ยไม่ใช่จะง่ายเลย. มันมีอะไรใหม่ๆเข้ามาตลอด. เหมือนการเอาเรื่อง art มา bundle กับเรื่องโน้น เรื่องนี้.  จะกลายเป็นเรื่องใหม่ๆขึ้นมา. ทำให้ต้องพยายามวิ่งตามให้ทัน.  

เหมือนตัวเองวิ่งไล่ล่าจนหัวหกก้นขวิด

แรกๆเหมือนจะมาด้วยงานภาพถ่าย ตามมาติดๆด้วยงานวาด จำพวกงาน illustration งาน element ต่างๆนานา  ไปต่องาน pattern design, งาน icon งาน font, งาน typography ,งาน 3D ก้อต้องรู้ไว้.  นี่ยังจะต้องไปต่อด้วยงานวิดีโอ.  งาน animation งาน NFT ซึ่งไม่ไหวแล้วละ55555

ขอไม่เอางาน NFT ละกันค่ะ.  ปวดหัวกับเรื่องคริบโตและความเสี่ยงสูงเกินไป

มาเอางาน painting ดีกว่า. พวก abstract กับ mixed media นี่ทำแล้วไม่เครียด

ตอนนี้มารับงานดูแล brand ร้านเสื้อผ้าเด็ก online  เป็น content creator เต็มตัว. ยิ่งทำให้เวลาที่จะทำ project ส่วนตัวมันน้อยลง

ต้องมาเรียนรู้เพิ่มเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์. ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้เขียนค่ะ.  

วันๆต้องคิดหา content ทำภาพประกอบการสื่อสารโปรโมชั่น กับ แบรนด์ และต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ platform ที่เราขาย. ทำโปรโมชั่น แคมเปญต่างๆ. โอ๊ยยยย หัวจะปวดแย่ละค่ะ

ก้อไม่รู้ว่าถ้าชีวิตเปรียบเปรยได้ดั่งบัวสี่เหล่า5555. ซึ่งมันไม่เกี่ยวกัน.  เพราะเรื่องบัวสี่เหล่านี่เค้าไว้เปรียบเปรยเกี่ยวกับเรื่องสติปัญญา. ชีวิตเราจะหลุดพ้นจากบัวใต้ต่อมตมหรือยัง(วะ)

เรียกได้ว่ายังไม่พ้นเท่าไหร่ละกันนะคะ. คือมันผลุบๆโผล่ๆ.  เพราะยังเป็นหลักยึดอะไรให้ตัวเองไม่ได้เท่าไหร่ค่ะ

สรุปว่าเหนื่อยและไม่เคยได้หยุดพัก

สองสามวันมานี้ร่างกายชักจะรวนๆ. ปวดตา และนอนไม่ค่อยหลับ

ฟังพระเทศนาเท่าไหร่ก้อไม่สงบ5555. พยายามอยู่กับปัจจุบัน. แต่อนาคตมันช่างน่ากลัวจังค่ะ


ขอบคุณที่ยังมาติดตามกันอยู่นะคะ..ไว้มาบ่นต่อค่ะ



มกราคม 04, 2566

สิ่งที่ยากที่สุด

 


ความฝันอันสูงสุดในโลกแห่งการวาดรูปของผู้เขียนอย่างหนึ่งคืองาน digital paint นี่หละค่ะ

ความที่ว่าผู้เขียนเติบโตมาในยุค analog เต็มตัว แถมยังต้องฝึกฝนการวาดรูปด้วยตัวเองมาตลอด เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบ. มันจึงเป็นความฝันอันห่างไกล ว่าทำอย่างไรเราจึงจะวาดรูปสวยๆได้อย่างชาวบ้านเค้า

ยิ่งเห็นในโลกออนไลน์สารพัดที่จะมีรูปสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานสไตล์การ์ตูน หรือ manga หรือ manwha มีคนวาดรูปสวยๆอยู่เต็มไปหมด. เห็นแล้วเคลิ้ม

ไปทำอย่างอื่นมาซะตั้งเยอะ. เพราะต้องทำมาหากิน. จดๆจ้องๆว่าจะลงมือวาดด้วย ipad ก่อนเลย. ก้อไม่ได้ลงมือซะที

จริงๆก้อวาดไปบ้างล่ะค่ะ. แต่ไม่ค่อยได้อย่างใจเลย. และหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

เรื่องจะไปลงเรียนคอร์สก้อรู้สึกว่าควรไปเรียนเกี่ยวกับการทำมาหากินก่อนจะดีไหม5555

ซื้อพวก brush เพื่อจะใช้กับ Procreate มาจนเต็มเครื่องไปหมด. สุดท้ายก้อวาดไม่เสร็จบ้าง.  พอวาดค้างไว้คราวนี้ก้อลืมอีก.  พอกลับมาวาดต่อก้อต่อไม่ติดจนไม่ได้ความรู้ซักที

สองสามวันมานี้เลยจัดหนัก

ต้องทำให้ได้....วาดไปสามรูป.  

เออนะ.   รูปแรกมันก้อไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่.   

รูปสองมันชักจะดีขึ้นมาหน่อย

รูปที่สามร้องว๊าววววว   5555 ทำได้ซะที

จึงถือโอกาสมา post โชว์ให้ชาวโลกได้เห็นค่ะ5555

สรุปว่ายากที่สุด คือ ลงมือทำเนี่ยล่ะ

555


🎁 อ่านเพิ่มหากคุณสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ :