เมษายน 05, 2566

ชีวิตคือของขวัญอันบอบบาง

 

ภาพทุ่งดอกไม้. ฝีมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai ค่ะ



ช่วงนี้ผู้เขียนเหมือนจะอยู่ในโหมดปิดสวิทซ์ตัวเองเพื่อพักร้อนแบบยาวๆค่ะ

ตั้งแต่ project ขายของออนไลน์กับเพื่อนถูกปิดสวิทซ์. เพราะมีน้องในทีมที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งของและเป็นเสมือนผู้ช่วยได้งานใหม่.    เพื่อนเลยบอกหยุดไปก่อนดีกว่า.   เดี๋ยวหาคนแทนได้ค่อยมาว่ากันใหม่....5555.  

แต่ก้อผ่านไปแล้ว 3 เดือน.  ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท.  

คงจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าป่านนี้เพื่อนอาจจะไปลุยโปรเจ็คอื่นแล้วแหละค่ะ.   เห็นว่าทำหลายอย่างมากอยู่


ส่วนตัวผู้เขียนเลยต้องเข้าโหมดตั้งหลักใหม่อีกครั้งนึง

ซึ่งจะว่าไปแล้วรู้สึกว่าต้องเข้าโหมดตั้งหลักไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วเนี่ย5555ตั้งแต่ไม่ได้ทำงานประจำ


นึกๆไปแล้วคนที่เป็น freelance เต็มตัวตั้งแต่เรียนจบมาเลยเนี่ย...ช่างแข็งแกร่งและใจเด็ดเสียจริงๆเนอะ

ผู้เขียนรู้จักรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยบางคนที่เรียนจบมาแล้วทำงานลักษณะกึ่งๆทำงานอิสระสลับไปๆมาๆกับทำงานบริษัทอยู่หลายคนค่ะ.  คือหมายถึงว่าบางทีทำงานบริษัทได้แป๊บๆก็กลับไปเป็น freelance. พอสักพักเจอหน้ากันอีกทีก้อกลับไปทำงานบริษัทอีกล่ะค่ะ

สิ่งที่รุ่นพี่มักจะบ่นมากๆคือเรื่องระบบการทำงานในบริษัท.    เรื่องความขัดแย้งกับหัวหน้างานบ้าง.  บางคนก้อมีปัญหาเรื่องไม่อยากใส่ uniform. บางคนเกลียดการรูดบัตรเข้าออก.  บางคนไม่ชอบมาทำงานตามเวลาของบริษัท.  เป็นต้น

คนที่เป็น freelance จะมีปัญหาเรื่องไม่มีหลักฐานทางด้านรายได้.  และรายได้ไม่สม่ำเสมอ.  คือเวลาถ้าจะซื้อรถ หรือซื้อบ้านโดยกู้เงินกับสถาบันการเงินเนี่ยจะยากมาก

อย่างนี้แล้วคนเหล่านี้จะวางแผนทางการเงินให้กับชีวิตกันยังไงล่ะเนี่ย

รุ่นพี่บางคนที่เป็นคล้ายๆ freelance มาเจอกันตอนอายุเยอะๆแล้วนี่บางคนก็เดินสายทำบุญตลอด. ดูชีวิตมีความสุขดีเหมือนจะไม่ขาดแคลนอะไร.   แต่ก้อย่างว่าค่ะ...เรื่องเงินๆทองๆนี่เป็นเรื่องค่อนข้างจะส่วนตัวไปสักนิด.   เป็นมารยาทที่ไม่ควรจะไปถามว่าเป็นไงมาไงบ้าง. และปกติแล้วก้อไม่มีใครบอกใครถ้าไม่ได้ไว้ใจกันมากๆอีกด้วย


ผู้เขียนเองไม่เคยเป็น freelance มาก่อนในชีวิต.  พอต้องมาเป็นคล้ายๆ freelance ในตอนแก่แล้วเนี่ยมันช่างทรมานจริงๆค่ะ.  

โหมดตั้งหลักนี่เรียกอีกอย่างได้ก็คือโหมดตั้งสติ

คือไม่งั้นจิตจะตก. 55555

นอกจากจะหยุดโปรเจ็คแล้วทำให้รายได้ประจำหายไป.  ยังต้องต่อสู้กับกระแสปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเข้ามาแทนที่อาชีพของเราด้วยค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสรรค์งานเขียน.   งานภาพวาด. หรืองานภาพถ่าย ที่ทำแทนมนุษย์ได้ด้วยการเขียน prompt สั่งการ.    ก้อใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการสร้างงานสวยๆออกมาได้แล้วค่ะ

แบบนี้จะไม่มีที่ยืนสำหรับคนทำงานอย่างผู้เขียนแล้ววววว.     

ไหนจะพวกบริษัทตัวกลางที่ทำหน้าที่รับ/จ่าย/แปลงสกุลเงินเวลาเราเบิกถอนพวกรายได้ที่เราทำได้จากนอกประเทศอีกล่ะ.   พวกนี้ก้อค่อยๆขึ้นค่าธรรมเนียมชนิดสุดโหดเลยค่ะ.  

คือกว่าเงินจะถึงมือเราได้เนี่ยโดนตัดหัวคิวจากตรงนั้นตรงนี้ไปจนเหลือนิดเดียวล่ะค่ะ


แล้วนี่ตกลงว่าจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย. 

คุณค่างานศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์นี่ไร้ค่าซะแล้วเหรอ.  .... แล้วต้นทุนค่ากล้องถ่ายรูปกับอุปกรณ์ต่างๆนานาที่เราซื้อมาแล้วเพื่อการทำงานล่ะ...เท่ากับจะไม่มีประโยชน์เลย.  ถ้าใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างงานได้แล้วก้อคงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมืออะไรให้มันเปลืองเงิน

เศร้าอ่ะ

บ่นนนนนค่ะ.   ได้แต่บ่น


เราก้อยังต้องประคับประคองชีวิตน้อยๆอันแสนจะบอบบางของเราต่อไปค่ะ.  

ตอนนี้ยังคิดไม่ตก...ว่าจะหนีไปทำมาหากินอะไรดีเนี่ย. ที่ไม่ต้องถูก disruption


.....ให้กำลังใจตัวเองกันไปวันต่อวันละค่ะทีนี้....











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น