ธันวาคม 20, 2564

จิตวิญญานคริสต์มาส : ความรักกับความหวัง

 


อีกไม่กี่วันจะถึงวันคริสต์มาส วันซึ่งกลายเป็นเทศกาลของชาวโลกก้อว่าได้. เพราะสังเกตว่าไม่ว่าประเทศไหนๆ (ส่วนใหญ่) ก้อฉลองวันคริสต์มาสด้วยกันทั้งนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติก็ตาม

ถ้าใครเป็นสมาชิกพวกบริการ streaming เช่น Netflix หรือ HBO GO จะได้ดูหนังเกี่ยวกับคริสต์มาสหลายเรื่อง. ซึ่งเค้าปล่อยหนังออกมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนแล้ว

เราชอบดูหนังคริสต์มาสเพราะดูแล้วได้ความรู้สึกเชิงบวกกับชีวิตมากขึ้น. ดูชีวิตมีความหวัง 

หนังเกี่ยวกับคริสต์มาสมักจะมีโทนสีสดใส. สว่าง มีแต่ Bokeh วิบวับๆๆๆๆๆๆๆ. ดูสดชื่น. มีสีสัน. 

ที่ชอบน้อยหน่อยก้อตรงที่หลายเรื่องมักจะเป็น theme เกี่ยวกับความรักหนุ่มสาว เอาเป็นว่าใครที่กำลังอกหัก หรือ ไม่มีแฟน. ดูแล้วคงจะเศร้ามากกว่าสุข

ใครที่อยู่คนเดียวคงจะต้องเหงา เพราะเทศกาลนี้เค้าเน้นเรื่องการกลับมาเจอกันของครอบครัว.  อย่างน้อยเวลานับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ต้องมี scence หวานชื่นกับหวานใจ. ซึ่งสิ่งเหล่านี้คงบาดใจสำหรับคนเพิ่งเลิกกับแฟน.  คนตกงาน หรือคนที่ไม่มีครอบครัว

เราชอบออกไปหาพลังบวกตามห้างสรรพสินค้าในช่วงก่อนคริสต์มาสเล็กน้อย. เป็นเพราะตามห้างสรรพสินค้าจะประดับประดาไปด้วยไฟกระพริบหลากสีสัน. มีต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ มีของประดับสวยๆ. ดูแล้วสดชื่น

ปีนี้อยากจะสดชื่นให้สมกับเป็นปีที่เกษียณมาอยู่บ้านครบ 3 ปี เลยไปรื้อเอาต้นคริสต์มาสที่เคยซื้อไว้เมื่อประมาณ 6-7 ปีมาแล้วออกมาตั้งไว้ดูเล่นบ้าง

ถ้าใช้คำว่ารื้อออกมาแปลว่าถูกเก็บเอาไว้ซอกมุมไหนซักแห่งของบ้าน  แน่ล่ะ. สภาพตอนรื้อออกมาคือมีใบร่วงออกมานิดหน่อย  คือร่วงน้อยกว่าที่คิดเอาไว้. อาจจะเป็นเพราะว่าตอนเก็บก้อเก็บอย่างดี. คือเก็บใส่ถุงพลาสติกไม่ให้ฝุ่นเกาะ. 

แต่ข่าวร้าย...คือ

ฐานที่มีไว้เสียบต้นมันหายไป

ทำไงล่ะคะ.   ต้นคริสต์มาสจะตั้งได้ไง. ถ้าไม่มีฐาน

ออกไปเดินท่อมๆหาวัสดุที่จะมาใช้แทนได้.  เดินรอบๆบ้านพอจะมีอะไรที่ใช้แทนได้ก้อไปเอามาก่อน. ได้คุณพระบิดามาช่วยยก. เพราะงานนี้งานใหญ่5555. มีแต่ของหนักๆทั้งนั้นเลย. ยกเองไม่ไหวค่ะ

ติดตั้งสำเร็จก้อต้องมีการเอาพวกของประดับมาติด.  สั่งซื้อไฟกระพริบมาจาก web shopping online เป็นรุ่นที่ใช้ solar cell  

ขอเวลาไปถ่ายรูปให้สวยๆก่อนนะคะ. แล้วจะเอามาโชว์ใน post ให้ดู

นั่งชื่นชมต้นคริสต์มาสด้วยความรู้สึกชื่นมื่น.  ก้อคนมันชอบนี่นา

ยิ่งเวลาพลบค่ำ. พอไฟเริ่มติด. ยิ่งสวย

คิดไปถึงปีหน้า...ชีวิตจะดีกว่านี้ไหมหนอ.  ปีนี้เหนื่อยมากค่ะ  เหนื่อยแต่ได้รายได้กลับมาน้อยมาก. น้อยจนคิดว่าควรจะเลิกทำ.  ควรพยายามในสิ่งที่มันคุ้มค่า และคู่ควรจะเหนื่อยหรือเปล่านะ

เศร้าค่ะ

เหมือนกับชีวิตมันแทบจะหมดสิ้นไปกับการออกจากงาน.  อะไรที่เหลือ. ก้อพาลหมดลงไปที่สุดในปีนี้

เหมือนคนเพี้ยนที่นั่งวาดรูปทุกวันแล้วคิดว่าจะสิ่งที่ทำด้วยความรักจะพาชีวิตรอดไปจากวิกฤต.   

....เรามาถึงจุดนี้ได้ไง

นึกๆว่าจะยอมแพ้ดีกว่า.  กลับไปสมัครงาน....กลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือน

จะได้มีเงินแน่นอนเข้าบัญชี.    ได้ไม่เท่าเก่าก้อจะไม่ว่าสักคำ  

สิ่งที่ค้นพบตอนนี้คือ.   ยังไงก้อทุกข์อยู่ดี.  ทำงานเป็นลูกจ้างเค้าก้อต้องทำสารพัดแม้จะได้เงินดี.   คิดว่าออกมาจากตรงนั้นแล้วจะดีกว่า.  ก้อกลับมาทุกข์กับการไม่มีรายได้เลย. 

ต้นทุนค่าใช้จ่ายกว่าจะสร้างงานได้หนึ่งชิ้นมีตั้งแต่ค่าเครื่องคอมพิวเตอร์.  ค่าอินเตอร์เนตรายเดือน ค่าเช่าโปรแกรม. ค่าเช่า cloud storage ไว้เก็บไฟล์งานเพราะพวก hard drive หรือ portable harddisk นี่อาจจะพึ่งพาไม่ได้. นึกจะเสียก้อเสียได้

ค่ากล้อง ค่าเลนส์ ค่าจิปาถะ.  รวมไปจนถึงค่าเรียนต่างๆ ไม่เรียนรู้ trend สินค้าใหม่ๆ. เพิ่มทักษะให้ตัวเอง ก้อสร้างงานสู้ชาวโลกเค้าไม่ได้สิ. 

ไหนจะค่าวันและเวลาเช้าจรดค่ำวันละ 12-15 ชั่วโมงในการฝึกๆๆๆๆๆๆ ให้ชำนาญ

ค่าสายตาที่ต้องใช้จ้องจอตลอดวัน.  ค่าเสื่อมสังขารร่างกายที่นั่งหลังขดหลังแข็ง. จนบางช่วงเจ็บหลังบ้างแล้ว.  ปวดข้อมือ.  ปวดนิ้วเพราะต้อง click ไปๆมา

นั่งเงียบๆดูต้นคริสต์มาสแล้วก้อคิดค่ะ

คิดว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไร....

พยายามทำดีที่สุดแล้วมันก้อยังไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยเหรอ.   เปล่าหรอกค่ะ. มันก้อดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ. แต่มันก้อเติบโตแบบทีละเล็ก ละน้อย. 

เราไม่ได้ใจร้อนนะ.  แต่ต้นทุนชีวิตเราลดน้อยลงไปตามกาลเวลา.   

บางคนบอกว่าเหมือนปลูกต้นไม้.  เราต้องอดทน. รดน้ำพรวนดินไปเรื่อยๆ.  วันหนึ่งข้างหน้าเราจะได้กินดอกผลของมัน.   

...จริงป่าวเนี่ย.....เฮ้อ...



ธันวาคม 02, 2564

Yearly Review 2021: ทบทวนชีวิตในปี 2564


 

เกร๋มั้ยล่ะคะ  ปีนี้จะมาทบทวนชีวิตให้ฟังกัน อิอิอิ.  ราวกับกำลังเขียน Executive summary ให้อ่านกันซะงั้น

อ่านกันเล่นๆ แต่คนเขียนเอาจริงนะ. หมายถึงตั้งใจเขียนจริงๆ เชื่อว่าจะเป็นตัวอย่างประสบการณ์ให้กับหลายคนที่คิดจะ early retire ออกมา หรือคนที่เกษียณออกมาแล้ว. อยากจะรู้ว่าชีวิต post-retirement นั้นมันเป็นยังไง

ท้าวความย่อๆเผื่อให้คนที่เพิ่งจะเข้ามาอ่านเป็นครั้งแรก ว่าผู้เขียน early retire มาได้สองปีแล้วค่ะ ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 2564 นี้ก้อถือว่าครบ 3 ปีพอดี. รายละเอียดการเดินทางตั้งแต่ต้นรบกวนอ่านย้อนหลังได้ค่ะ. หรือย้อนไปไกลโพ้นตั้งแต่ตอนผู้เขียนยังทำงานเป็นมนุษย์ลูกจ้างก้อยังได้อยู่.  เพราะว่า blog นี้อายุได้ 10 ปีแล้ว เขียนมาอย่าง..งงๆ ว่าเขียนอะไรดีวะเนี่ย.5555 แต่ก้อเขียนมาจนได้ถึงวันนี้ 

ปัจจุบันผู้เขียนทำงานอดิเรกให้เป็นงานประจำ คือ การวาดรูปเป็นหลัก. คำว่าเป็นหลักคือ ใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้มากที่สุดในบรรดาทั้งหมดค่ะ

แต่อย่าคิดนะคะว่า จะได้รายได้จากการวาดรูปนี้เป็นรายได้หลัก. เพราะจะบอกว่า. รายได้น้อยมาก (จนคิดว่าไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ยเนี่ย)

ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่มันน้อยค่ะ.  ผู้เขียนคิดเองคร่าวๆ น่าจะเป็นสาเหตุดังนี้

ปัจจัยภายใน (ตัวเอง)

  • Skill การใช้โปรแกรมยังไม่คล่อง (Adobe Photoshop, Lightroom, Illustrator, Indesign, PremierPro, After Effect, Procreate, ClipStudio, Vectornator, Affinity. ฯลฯ) 
  • มองภาพตลาด(Know your Market) ไม่ออก. ไม่รู้ว่างานวาดมีสไตล์ หรือการใช้งานที่แตกต่างกัน วาดอย่างที่คิดว่าวาดอะไรได้บ้างก็วาดไป. ไม่รู้ว่าคนที่ซื้องานเราเค้าเอาไปทำอะไร. ทำเช่นนี้ประดุจสร้างงานแบบเหวี่ยงแหค่ะ  5555. ก้อต้องเหวี่ยงล่ะ. เพราะมันไม่รู้นี่หว่า. เหวี่ยงไปโดนอะไรก้อไปวาดสิ่งนั้นเยอะๆ เพราะรู้ว่าสิ่งนี้มันขายได้ถึงแม้ไม่ได้ขายดี. แต่เราเป็นผู้มาใหม่. ก้อต้องเอาแบบนี้ไปก่อน
  • มีความคิดอินดี้ว่าไม่อยากวาดงานแนวที่เค้าขายดี. เพราะมันเกร่ออออ และในตลาดมีเยอะแล้ว. แข่งขันก้อสูง. สงสัยจะเหนื่อยเปล่า. ก้อเหนื่อยจริงๆค่ะ แฮ่กๆเลย. เป็นช่วงเวลาแห่งความเหนื่อยหนักและน่าท้อใจ
  • ไม่สามารถทำตาม timeline หรือ plan ที่ตั้งไว้ เช่น. ตั้งใจว่าจะ submit งาน เท่านั้นเท่านี้ ก้อทำไม่ได้ครบตามที่ตั้งใจค่ะ. มีผลทำให้จำนวนงานมัน growth น้อย ไม่สามารถจะทำยอดขายได้. แล้วก้อยังขัดแย้งในใจเกี่ยวกับเรื่องจำนวนงาน.  ว่าบางท่านที่ประสบความสำเร็จในการขายงานพวกนี้เค้าจะบอกว่าจำนวนไม่ใช่สิ่งที่เป็นหัวใจของรายได้.  บางคนมีงานไม่เยอะ แต่ขายถูกที่ถูกตลาดและถูกเวลา ก็ปังงงงได้.  คนที่งานเยอะๆเป็นหลักพันหลักหมื่นเค้าเริ่มมาก่อน ก้อเลยมีงานเยอะ. ยอดขายก็เลยดีกว่า
ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงภายนอกเข้ามากระทบ
  • ธุรกิจขายงานวาดของเราเป็นธุรกิจรักสามเศร้าดีๆนี่เองค่ะ.  สามเศร้าคือมี 3 ตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกัน คือ
    1. ตัวเราผู้สร้างงาน
    2.  Marketplace ที่เรานำงานไปวางขาย
    3. Payment Gateway ได้แก่ Paypal, Payoneer เป็นต้น
  • ปี 2563 ปีที่แล้ว marketplace รายใหญ่อย่าง ShutterStock ประกาศลดค่า commission จากเดิมอัตรตำ่สุดที่ผู้สร้างงานจะได้รับเหลือเพียง 0.1 USD ซึ่งทำให้ความ shock ในหมู่บรรดาผู้สร้างงานทั่วโลก บทเรียนนี้จึงสอนให้รู้ว่ามันมีความไม่แน่นอนในทางรายได้จริงๆค่ะ  แต่โชคดีที่รายอื่นๆเค้าไม่ได้ลดตามไปด้วยนะคะ. มันจึงเหมือนเป็นการบีบให้ผู้สร้างงานจะต้องหัดนำงานไปขายหลายๆที่เพื่อกระจายโอกาสในการขายไปโดยอัตโนมัติ
  • ปีนี้ 2564. จากการที่เกิดวิกฤตโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรน่า ทำให้ประเทศทั่วโลกเป็นหนี้สิน รัฐบาลแต่ละประเทศต้องพยายามหารายได้. สำหรับประเทศไทยจึงเกิดการเก็บภาษี vat กับพวกธุรกิจออนไลน์ทั้งหลาย. ทีนี้ทาง Paypal เค้าเป็นเจ้าใหญ่ระดับโลก  จึงต้องมาเปิดบริษัทในประเทศไทยและจัดการกฎระเบียบต่างๆให้สอดคล้องกับกฎหมายตัวใหม่ของไทย ทำให้ผู้สร้างงานแบบบุคคลธรรมดาไม่สามารถรับเงินที่ทาง marketplace โอนมาให้ได้. จะต้องไปเปิดบัญชีใหม่กับทาง Paypal แบบบัญชีพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งก้อไม่ใช่ทุกคนจะเปิดเปิดบัญชีแบบพาณิชย์กันได้ มันมีรายละเอียดข้อกำหนดลึกๆ อีกอะค่ะ.  สรุปว่าโชคดีที่มี Payoneer อยู่อีกหนึ่งแห่ง. แต่ก้อได้ข่าวว่าเก็บค่าธรรมเนียมโน่น-นั่น-นี่ เยอะแยะ  น่าสงสารบรรดาผู้สร้างงานทั้งหลาย. รวมทั้งตัวเอง.....กว่าจะได้เงินเข้ากระเป๋าาาาาา.  ซึ่งเงินมันก้อน้อยอยู่แล้วค่ะ

รักสามเส้า. หรือ รักสามเศร้า ก้อชักจะคล้ายๆกันล่ะค่ะ  ดึงกันไปกันมาระหว่าง 3 ตัวะคร ทำให้ยอดรายได้ได้รับผลกระทบ. คิดบ่อยๆว่าเลิกทำดีกว่ามั้ย.  

นี่นะหรือการทำตาม passion มันเจ็บปวดมิใช่น้อยนะคะเนี่ย มันเหมือนอิสรภาพเต็มเปี่ยม. ไม่ต้องมีเจ้านาย. ไม่ต้องมีนายจ้าง. คนที่เค้าทำแล้วประสบความสำเร็จก้อยังมีให้เห็นอยู่นะคะ. แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว...คงต้องเดินต่อไปอีกอะค่ะ

ไม่มีเหตุผลอะไรเลิศเลอในการไปต่อค่ะ.   เพียงแค่ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา...รู้สึกตัวอีกที. ก้อกลับมานั่งโต๊ะทำงานและสร้างสรรค์งาน.  มันเหมือนอัตโนมัติ. บางทีหยุดทำไปบ้างก็มักจะเป็นเพราะปวดหลัง แสบตา แต่ไม่ใช่หยุดทำเพราะคิดไม่ออกค่ะ.  

ทำด้วยใจที่ยังอยากทำ.  ก็ทำกันต่อไปค่ะ....

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ.  

ตุลาคม 13, 2564

ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง


อีกไม่นานปี 2564 กำลังจะผ่านพ้นไปอีกปี อีกสองเดือนก้อเป็นเดือนธันวาคมแล้วสิเนอะ

นับนิ้วได้ 3 นิ้ว. ผู้เขียนหยุดทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาได้ 3 ปี ในเวลาเดียวกันก้อเปลี่ยนอาชีพเป็นมนุษย์เกษียณแต่ยังเยาว์ได้ 3 ปีเหมือนกัน

นึกๆแล้วคำว่า "มนุษย์เกษียณแต่ยังเยาว์" นี่ฟังดูน่ารักดีนะ แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า   early retire 

เคยมีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า Dying Young (1991) พระเอกของเรื่องเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 28 เพราะเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว เลยเป็นที่มาของชื่อหนัง. สมัยนั้น (คิดดูว่ากี่ปีมาแล้ว) หนังค่อนข้างโด่งดังมาก น่าจะเข้าข่ายโรแมนติกดราม่า  มาแบบพระเอกตายตอนจบแบบนี้คนดูคงจะน้ำตาแตกท่วมจอ

จำได้ว่าเคยดูทางทีวีที่เขาเอามาฉายย้อนหลัง มีข้อคิดคมๆเยอะเกี่ยวกับคุณค่าของการมีชีวิตอยู่  แต่ว่าไม่ได้จดเอาไว้เลยอะจ้า

ที่พูดถึงหนังเรื่องนี้เพราะชื่อหนังมันเก๋ๆ เหมือนกับคำว่า เกษียณแต่ยังเยาว์นี่หละ

เกษียณก่อนวัยอันสมควร คงไม่ต่างอะไรไปจาก การเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่ทันแก่ 55555

สองเดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ ผู้เขียนยังจินตนาการถึงชีวิตเกษียณของตัวเองอย่างหยาบๆ ว่าตัวเองจะเป็นยังไงหนอ.  

มาถึงตอนนี้....บางอย่างก้ออยู่นอกเหนือจินตนาการไปเยอะ.

และ หลายอย่าง...ก้อพอจะคล้ายๆกับที่คิดไว้ ปนๆกันไป

เอาเรื่องดีๆ ก่อนละกันที่อยู่นอกเหนือจินตนาการ

1.  เกษียณแล้วหน้าตาจะดี. มีออร่าจับกันทุกคน  (ไม่เชื่อลองเกษียณดู) 

หน้าตาคนเกษียณก่อนกำหนดจะสดใส. เพราะได้นอนเต็มอิ่ม  อาการเครียดจากความรับผิดชอบท่วมท้นหัวสมองจะหายไป. เพราะไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบอีกต่อไป  กฎระเบียบและนโยบายอะไรต่างๆนานาจะเลือนหายไปจากสมอง  ไม่ต้องมี Goal ไม่ต้องมี KPIs มากดดันชีวิต.  ไม่มีคนมาคอยสั่งและจิกตามงานในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นจิกทาง line/email/โทรศัพท์  ไม่ต้องมีลูกน้องมาให้รับผิดแทน (เวลารับชอบต้องยกให้ลูกน้อง แต่เวลาลูกน้องทำผิดพลาด หัวหน้าโดนเต็มๆ)

2. เกษียณแล้วมีเวลาเยอะ. ไม่ต้องรอ weekend

เวลาจะมีมากโดยไม่ต้องคอยนับวันบนปฏิทินว่าเมื่อไหร่จะถึงวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดยาวๆ แบบ long weekend  หลับแล้วตื่นขึ้นมาไม่ต้องรู้ก้อได้ว่าวันนี้วันอะไร. เพราะทุกวันคือวันหยุดของเรา. จะทำอะไรก้อได้ตามใจเรา. ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเจอรถติดวันฝนตกแล้วไปทำงานไม่ทัน. หรือเจอฝนตกตอนเย็นรถติดหนักกว่าจะถึงบ้านก้อหมดแรง

3. เกษียณแล้วสุขภาพจะดี

สุขภาพจะดีได้เพราะไม่เครียดเป็นเหตุผลหลักๆ  ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เราจะนอนหลับได้ดีขึ้นเพราะว่าไม่ค่อยมีเรื่องงานให้กังวล  เป็นผลมาจากข้อ 1 เต็มๆ นอกจากผิวพรรณจะดีเปล่งปลั่งแล้วสุขภาพก้อดีไปด้วย


สามข้อข้างบนเป็นเรื่องดีๆของพวกเกษียณมือใหม่หัดขับ หมายความว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกของช่วงแรกๆของการเกษียณ  เรียกช่วงฮันนีมูนน่าจะเข้าใจง่ายกว่า

พอระยะถัดมาเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงของชีวิต5555 เช่น

-  ถ้าไม่ใช้เวลาให้เหมาะสม ว่างมากไป ทำให้ใช้พลังงานน้อย.พาลนอนไม่หลับ หรือหลับยาก 

-  ว่างมากไป ทำให้ฟุ้งซ่าน คิดเยอะ กังวลง่าย ทุกข์ง่าย 

-  มีเวลามากแต่รายได้เป็นศูนย์. ทุกวันเงินเดือนออกไม่มีเงินเข้าบัญชีซักกะบาทเดียว น่ากลัวไหมคะ

-  อยากถูกลอตเตอรี่ อยากรวย  กลัวจน กลัวเงินหมด กลัวติดโควิท ...สารพัดค่ะ

-  ไม่มีโอกาสสังสรรค์ พบปะกับใคร. เพราะเพื่อนๆเค้ายังทำงานกันอยู่. เพิ่งจะรู้ว่าที่ทำงานหายไป สังคมของเราก้อหายไปด้วย. แรกๆเหมือนชีวิตจะดีเพราะเงียบสงบ.  แต่พอนานไปรู้สึกว่าจะกลายเป็น "เงียบสงัด" จนน่าใจหาย

- รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นพวก "ไร้สังกัด" หรือ "nobody" ขึ้นมาซะอย่างนั้น คือแต่ก่อนเวลาใครถามว่าทำงานอะไร-ที่ไหนก้อตอบได้อย่างไม่ขัดเขิน. พอมาตอนนี้รู้สึกบาดใจขึ้นมาทันทีเวลาถูกถามว่าทำงานอะไร-ที่ไหน. เพราะว่าเป็นงานส่วนตัวที่อธิบายได้ยาก  ทำให้บางทีเหมือนความมั่นใจในตัวเองมันพร่องไปเหมือนกัน


สิ่งเหล่านี้คนเกษียณจะต้องพบเจอ. ไม่ว่าจะเกษียณก่อนอายุ 60 หรือหลังอายุ 60. จะช้าหรือเร็ว ตัวผู้เขียนคิดเองว่าโชคชะตา ฟ้ากำหนดให้ได้เจอเร็ว จะได้รับมือก่อนจะรับไม่ไหว. หากรอจนถึงอายุ 60

อย่างไรเสียชีวิตก้อเหมือนการโต้คลื่น. มีขาขึ้น ก้อมีขาลงแหละค่ะ. จงยอมรับกับสิ่งที่เราได้รับ ยอมรับกับสภาพในปัจจุบัน ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว. 

ทุกวันของชีวิตก้อต้องทำให้มันมีค่าเสมอ คำว่า "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" ช่างน่าซาบซึ้ง ตอนนี้มีเวลามาก แต่เงินก้อหายไป. 

เงินทองยังสะสมให้งอกเงยพอได้อยู่. แต่เวลาในชีวิตนั้นสะสมไม่ได้. หมดแล้วคือหมดเลย

บิดามารดาแก่เฒ่าลงไปตามกาลเวลา ถ้าผู้เขียนไม่ได้ออกจากงาน. คงจะไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว วันเวลาของผู้มีพระคุณลดน้อยลงไปทุกวัน  ถ้าเราจะไปนึกถึงท่านตอนท่านไม่อยู่แล้วก้อคงจะไม่มีประโยชน์ใช่ไหม

ปาฏิหาริย์อาจจะมีจริง. แต่คงจะต้องสำหรับคนที่ลงมือสร้างปาฏิหาริย์นั้นด้วยตนเอง  ผู้เขียนฝันอยากมีชีวิตที่ดี  อยากมีรายได้จากการทำงานในวิถีนักวาดให้เลี้ยงตัวเองได้  ก้อคงจะต้องลงมือทำต่อไป. ทำไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ.  สักวัน....และสักวัน วันไหนก้อไม่รู้


ทำมาแรมปีแล้ว....ไม่รู้ต้องทำไปอีกแค่ไหน. เหนื่อยก้อพัก. หายเหนื่อยแล้วลุกขึ้นไปต่อค่ะ

เอาเป็นว่าประเมินผลการปฏิบัติงานของตัวเองแล้วพบว่ายอดรายได้โตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา  แม้จะไม่ได้ตามเป้าใหญ่ที่ตั้งใจเอาไว้.  ก้อถือว่าสำเร็จในเป้าหมายเล็กๆอีกหนึ่งขั้น. ต้องไต่ระดับต่อไปอีกเรื่อยๆ 

เมื่อกี้เป็นเป้าหมายทางการเงิน. ส่วนเป้าหมายด้านปริมาณงานถือว่าตัวเองแย่กว่าปีที่แล้ว. เพราะผลิตชิ้นงานได้จำนวนต่ำกว่าเป้า. 

อย่างไรก็ตาม. ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ



ตุลาคม 02, 2564

ค่าของงานกับเงินเดือนของคน : Job Value and Basic Salary

บอกตามตรงว่าจริงๆแล้วไม่ค่อยอยากเขียนอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคลเท่าไหร่  แม้ว่าจะเคยอยู่ในวงการนั้นมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่เป็นมนุษย์เงินเดือน

ทำไมเหรอ...อาจจะมีคนสงสัย

กลัวว่าจะทำให้คนอ่าน blog เครียดไง. ตั้งใจทำ blog ให้เป็นสถานที่พักผ่อน เล่าเรื่องวาดๆเขียนๆ เรื่องศิลปะมากกว่าจะมาเล่าเรื่องงาน(ในอดีต)

แถมถ้าเล่าละก้อมีเล่ายาวววว...แน่. ไม่เชื่อก้อคอยดู. ฮ่าาาาาา

อาจจะต้องเปิด Tab Menu อีกสักหนึ่ง Tab ไม่ให้ปนไปกับเรื่องอื่น. ซึ่งเราก้อว่ามันเยอะหลายเรื่องอยู่แล้วนะ. ...ยังมีเพิ่มอีกเหรอเนี่ยยยยย

มันอดจะมีความเห็นไม่ได้สิคะ. เวลาได้พบเจอเรื่องราวที่มันเกี่ยวโยงกับประสบการณ์การทำงานเก่า. บางทีอาจจะมีประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง. หรืออ่านเอาเพลิดเพลินก้อยังได้อยู่ใช่ไหมคะ

เข้าเรื่องละนะ

เรื่องมีว่ามีคนรู้จักกันเพิ่งจะถูก "ดีดทิ้ง" จากองค์กรมาสดๆร้อนๆ.  องค์กรที่ว่าเป็นองค์กรใหญ่โตมีชื่อเสียง และเค้ามีนโยบาย "ผลัดใบ" เป็นปกติของเค้ามานานแล้ว. ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษ. หรือเจอวิกฤติอะไรในช่วงนี้จึงต้องมีนโยบายลดจำนวนพนักงาน

คนรู้จักที่ว่านั้นอายุไม่ใช่น้อย  และเงินเดือนที่ได้รับอยู่ก้อไม่ใช่น้อยเช่นเดียวกัน

แต่ที่น่าสนใจคือ ประวัติการขึ้นเงินเดือนที่ผ่านมาของเค้ามีประเด็นที่อยากจะแชร์ให้ฟังค่ะ

คุณ "เอ" (นามสมมุติ) สามปีที่แล้ว,เปลี่ยนงานสององค์กรภายในระยะเวลา 6 เดือน และได้ up เงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากในองค์กรล่าสุด  แถมด้วยตำแหน่งระดับผู้จัดการที่เจ้าตัวอยากได้มานาน. อยู่ในองค์กรล่าสุดด้วยอายุงานเพียง 3 ปี ก้อถูกเด้งออกมา. โดยองค์กรแจ้งว่าต้องการปรับลดค่าใช้จ่าย

ถึงแม้เจ้าตัวจะคาใจอยู่มาก และแน่ใจได้ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดวินัย หรือมีเรื่องทุจริตแน่นอน. แต่ "ทำไมถึงต้องเป็นเรา"...



เงินปลอบใจที่ได้มาก้อคงไม่พอ.  หากว่าหางานใหม่ไม่ได้.  และเท่าที่คุณเอลองไปสัมภาษณ์งานมาก่อนหน้านี้บ้าง. ก้อพบว่าถูกปฏิเสธเพราะเงินเดือนปัจจุบันสูงเกินกว่าที่จะจ่ายได้. และคุณสมบัติด้านประสบการณ์การทำงานก้อไม่ได้สอดคล้องกับเงินเดือน. 

พูดง่ายๆ คือ ลักษณะงานที่เคยทำมาไม่สมควรที่จะได้เงินเดือนสูงขนาดนี้ !!!

อาจมีคำถามอีกว่า คุณเอตำแหน่งถึง "ผู้จัดการ" ทำไมถึงไม่คู่ควรกับเงินเดือนสูงๆล่ะคะ

ตอบตามนี้นะคะ

1.   "ผู้จัดการ" ขององค์กรแห่งหนึ่ง. อาจจะเนื้องานไม่เหมือนกับอีกองค์กรนึงนะคะ

2.   คำเรียก "ผู้จัดการ" เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกตำแหน่งงานระดับหัวหน้างาน แต่ในบางครั้งก้อใช้เรียกคนที่อายุงานสูงหน่อย อาวุโสหน่อย แต่ไม่ได้เป็นหัวหน้างาน

ซึ่งมีให้เห็นทั่วไปในหลายองค์กรนะคะ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่จำนวนพนักงานมากๆ และเป็นองค์กรที่เก่าแก่. 

เรียกว่าเป็น "ยศ" ผู้จัดการละกันค่ะ

3.  ผู้ที่มียศเป็นผู้จัดการมักจะมีไม่มีลูกน้อง. หรืออาจจะมีลูกน้อง แต่ไม่มีอำนาจสิทธิขาดในการประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง. หรือ พิจารณาอัตราโบนัส หรือ ไม่มีอำนาจอนุมัติอื่นใด เช่น. อนุมัติซื้อวงเงินเยอะๆ. หรือ งบประมาณโครงการ เป็นต้น

คุณเอก็เป็นผู้จัดการตามข้อ 3 เนี่ยล่ะค่ะ  

เงินเดือนสูงๆที่ได้มาเป็นเพราะแรงกดดันภายในองค์กร. ระหว่าง Line Manager ที่เป็นเจ๊ดัน. ดันคุณเอเข้ามา. กับ HR แน่นอน. ชักกะเย่อกันไปกันมา สุดท้าย Line Manager ชนะ คุณเอเลยเข้ามาในองค์กรแบบเงินเดือนติดลมบน หรือ ติดเพดานสุดๆ 

แถมพอเข้ามาแล้ว คุณเอแกก้อเป็นพวก "ติดสุข" ไม่ค่อยอยากจะพัฒนาตัวเอง. ชอบทำงานแบบเดิมๆ เรียกว่าแกจะขอโต "แนวดิ่ง" อย่างเดียว. แบบนี้องค์กรเค้าจะปั้นต่อให้เป็นระดับผู้จัดการตัวจริงเสียงจริงก้อไม่โอเคอีก. 

เป็นแบบนี้แล้วจะเหลือเรอะ... 

ลางสังหรณ์เริ่มมาตั้งแต่ปีที่สองของการทำงานแล้วล่ะค่ะ

คือ...ขึ้นเงินเดือนแค่ประมาณสองสามเปอร์เซ็น  (ภาษา HR เรียกว่า โดน Freeze เงินเดือน) หัวหน้าคงทำใจลำบาก เพราะเงินเดือนระดับคุณเอจ้างเด็กจบใหม่ได้สามหรือสี่คน ทำงานเนื้องานเดียวกันกับเด็กจบใหม่เป๊ะ.  

แม้คุณเอจะเก๋าเกมส์.+ รอบรู้กว่า. แต่ว่า....กรอบของงานไม่ได้ต้องการค่ะ. 

เรื่องนี้กำลังให้ข้อคิดว่าค่าของงานเกี่ยวโยงกับอัตราเงินเดือนนะคะ.  แม้ว่าจะมีความซับซ้อนอยู่สักหน่อยว่าในอัตราเงินเดือนที่แต่ละคนได้รับนั้นมี factor ที่เกี่ยวข้องอยู่หลายตัว เช่น อายุงาน, ผลการปฏิบัติงานที่สะสมมา, demand-suply ในตลาดแรงงาน ฯลฯ แต่ที่มีน้ำหนักมากที่สุดคืองานที่ทำอยู่มีค่างานเป็นอย่างไร

วันหลังค่อยมาเล่าต่อเรื่อง "ค่างาน" ให้ฟังอีกทีนะคะ. 

รู้สึกวันนี้เขียนยาวแฮะ. ชักจะเหนื่อยแล้ว 55555

สุดท้ายคุณเอแกไม่ยอมมาเป็นพวก #เกษียณโลกสวย เหมือนกับผู้เขียนนะคะ. แกยืนยันจะหางานเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไปให้ได้

ผู้เขียนก้อขอเอาใจช่วยค่ะ เหนื่อยใจหน่อยนะคะ หางานตอนอายุมากขนาดนี้

บางทีเรื่องบุญ/กรรม/วาสนา มันก้อมีจริงนะคะ. แต่อย่าลืมว่ามีขึ้นต้องมีลง. คุณเออาจจะได้งานใหม่ก้อได้หากมีโชคอยู่.

และขอให้คุณเอสมหวังนะคะ.

ใครที่ยังมีงานทำอยู่ก้อขอให้เต็มที่กับงานนะคะ. อาชีพมนุษย์เงินเดือนเป็นอาชีพที่ดีที่สุดในโลกแล้วค่ะ. คุณจะไม่รู้ว่ามันดีขนาดนี้.  จนกว่าคุณจะออกมาจากมัน ทั้งที่บางทีคุณอาจจะยังไม่ได้ต้องการค่ะ.










กันยายน 22, 2564

จากหนังสือ สู่อาชีพในชีวิต

 โลกของผู้เขียนพันพัวและผูกพันอยู่กับหนังสือมาตลอด. อย่างที่เล่าไปคราวก่อนว่า นอกจากอาหารที่หล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว. ยังมีอาหารสมองที่ผู้เขียน "หิว" อย่างไม่เสื่อมคลาย

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าโลกของเด็กยุคก่อน ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มีอินเตอร์เนต มีเพียงทีวีขาว-ดำ จะไปมีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากการอ่านหนังสือ

จริงๆก้อคงจะไม่ใช่. มีอะไรให้ทำมากมาย แต่รักความรู้ จึงต้องอ่าน



นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว ผู้เขียนอ่านการ์ตูน  นอนวาดรูป  แต่งการ์ตูนอ่านเอง  นั่งประดิดประดอยของเล่น  เช่น เย็บผ้า. เย็บชุดตุ๊กตา. หรือ ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้านบ้าง. แค่นั้นไม่เคยพอสำหรับเวลายามว่าง

ค่าขนมที่เหลือมาบ้างก็จะเอาไปซื้อหนังสือ. 

สมัยนั้นมีรถเร่มาขายหนังสือหน้าโรงเรียนด้วย.  ไม่ได้มาบ่อยๆ. ผู้เขียนจึงตั้งตารอ. เพราะเหมือนราคาจะถูก (เข้าใจแบบเด็ก ว่าราคาถูก555 ที่จริงอาจจจะแพง) วิธีการขายจะมีคนมาแจกใบปลิวล่วงหน้า  เป็นกระดาษบางๆพิมพ์หน้า-หลัง มีรายชื่อหนังสือและราคาพร้อมสรรพ.  ผู้เขียนจะนั่งอ่านใบปลิวอย่างมีความสุขว่ารอบนี้เราจะซื้อเล่มไหนบ้างหนอ

นอกจากนี้มีร้านขายหนังสือการ์ตูนทางเข้าประตูโรงเรียนอีกหนึ่งร้าน. ที่ผู้เขียนเป็นลูกค้าประจำ

ห้องสมุดโรงเรียนก้อเป็นสถานที่ที่ผู้เขียนไปอย่างสม่ำเสมอ 

ตอนช่วงมัธยม ชอบอ่านหนังสือตอบปัญหาชีวิตของ นายแพทย์วิทยา นาควัชระ ซึ่งท่านเป็นจิตแพทย์. ท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่มมาก. สมัยนี้เรียกว่าเป็นซีรีส์ได้เลย. แต่ละเล่มจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ที่มาพบ. และแฝงแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาชีวิตเอาไว้มากมาย.  อ่านแล้วรู้สึกว่าอยากจะเป็นคนช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้ผู้คนได้.  ทำให้ผู้คนมีความสุขแบบคุณหมอ

...แต่ว่า.....ผู้เขียนเรียนคณิตศาสตร์ได้แย่สุดๆ. คาดว่าไปเรียนสายวิทย์เพื่อสอบเข้าเป็นแพทย์. ไปสู่การเป็นจิตแพทย์นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ 5555

เอาความเป็นจริงดีกว่า.  ว่าผู้เขียนมีความถนัดด้านการเรียนภาษามากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน. 

ทำอย่างไรกับอุดมการณ์อันสวยงามดีหนอ....ทำไงฝันจะเป็นจริง. จะได้ช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์

ในที่สุดแรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือก้อทำให้เราสอบเข้าเรียนคณะศิลปศาสตร์ได้. และเมื่อถึงตอนเค้าให้เลือกวิชาเอก. เอกอื่นมากมายดันไม่เลือก. เลือกเอกวิชาจิตวิทยาอย่างไม่ต้องลังเล

55555 ขอหัวเราะอีกที

เพราะเจ้าอุมการณ์ดีนัก...แย่ละงานนี้.  ผู้เขียนไม่รู้ว่าถ้าจบเอกจิตวิทยา. มหาวิทยาลัยบางแห่งเค้าให้วิทยาศาสตร์บัณฑิตเลยแหละ

แต่มหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเรียน. จบแล้วได้ศิลปศาสตร์บัณฑิต  

กำลังจะบอกว่า....หลักสูตรจิตวิทยาเนี่ย.   เค้ามีวิชาบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์แบบโหด.  คือวิชาสถิติ และพวกวิชาชีววิทยาด้วยนะ.  ขำไม่ออกละงานนี้

ต้องเรียนสถิติพื้นฐาน และสถิติขั้นสูง. รวมถึงชีววิทยาอีก. สรุปว่าอาศัยบุญเก่า+กรรมเก่า. รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด มีเศร้าเคล้าน้ำตาเลยทีเดียว (ก้อชั้นไม่ใช่เด็กสายวิทย์อะจ้า)

สุดท้ายพอเรียนจบ.  คิดว่าจะไปเป็นนักจิตวิทยา. พอมีโรงพยาบาลเรียกไปสัมภาษณ์งานตำแหน่งนักจิตวิทยาในโรงพยาบาล.  กลับไม่แน่ใจซะงั้นแหละ. เพราะว่าพอถามอัตราเงินเดือนเริ่มต้นแล้วมันน้อยนิดจนต้องคิดหนัก.  และทำงานในโรงพยาบาลคงไม่น่าสนุกเท่าไหร่  อีกอย่างโรงพยาบาลที่เรียกมาก้ออยู่ไกลบ้านด้วย. จึงตัดสินใจทำงานด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทเอกชนดีกว่า (ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องว่าฝ่ายบุคคลทำอะไรบ้าง5555. รู้แต่ว่าตำแหน่งนี้เค้ารับจบเอกจิตวิทยา)

นั่นหละนะ. ไม่รู้บุญหรือกรรม. ที่นำหนุนให้ต้องเป็นฝ่ายบุคคลอยู่ยี่สิบกว่าปี

ชีวิตก้อเอวังด้วยประการฉะนี้จ้า.  ตอนนี้หมดบุญวาสนา+หมดหน้าที่การเป็นฝ่ายบุคคลซะที.  ผู้ที่กุมความลับขององค์กร(รู้เงินเดือนของทุกคน) รักษาความลับยิ่งชีพ (ใครเคยทำอะไรมาบ้างในบริษัท. ดีหรือร้าย. รู้หมด) รู้มากแต่บอกใครไม่ได้5555


จบเห่








กันยายน 14, 2564

จากหนังสือ สู่การพัฒนาจิต

 

เราเป็นคนรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก  ชอบอยู่ใกล้ๆหนังสือ ตอนสมัยยังเรียน ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยม จนมหาวิทยาลัย เวลาว่างจากการเข้าชั้นเรียน. หรือทานข้าวกลางวันเสร็จ มักจะเหลือเวลานิดหน่อยก่อนเข้าเรียนภาคบ่าย. เราก็จะเข้าห้องสมุด หาหนังสืออ่าน ราวว่า...อาหารสมองเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้พอๆกับอาหารที่ให้กับร่างกาย อะไรประมาณนั้นเลย



ตอนเรียนมหาวิทยาลัย. เพื่อนๆชอบชวนไปอ่านนิยายที่ห้องสมุด บอกพิกัดตู้หนังสือและพิกัดที่นั่งอ่านที่บรรยากาศดีที่สุดมาเสร็จสรรพ ว่านั่งโต๊ะริมระเบียงนะ ลมพัดจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาพอดี เย็นสบายชื่นใจ. เหมาะแก่การนอน...ฮ่าาา

เคยทำตามเพื่อนบอกอยู่ไม่กี่ครั้งเหมือนกัน. ไม่เคยลิ้มรสการได้หลับในห้องสมุด ว่ามันเป็นยังไง อยากรู้...เพราะเป็นคนไม่เคยหลับระหว่างการอ่านหนังสือ. สำหรับเราหนังสือทำให้ตื่นเต้นได้ตลอดเวลาไง  ผลที่ได้จากการพยายามทำตามเพื่อนบอก คือ มันก้องั้นๆนะ อาจจะอายบรรณารักษ์​ถ้าเค้ามาเจอ. หรือไม่ก้ออายนักศึกษาคนอื่นๆมากกว่า  เราว่า,ห้องสมุดไม่ใช่ที่นอน. ไม่ใช่ที่บ้าน

เดี๋ยวนี้ห้องสมุดเก่าน่าจะถูกปรับเลี่ยนไปใช้งานอย่างอื่นแล้ว.  ห้องสมุดใหม่ใหญ่โตกว่าเดิม ฝังเสาเข็มฐานรากลึกลงในในแม่น้ำเจ้าพระยากระมัง. เป็นตึกใหญ่โดดเด่นริมน้ำ  ติดเครื่องปรับอากาศทั้งตึก. มีหลายชั้น. คงจะเก็บหนังสือและความรู้ได้มากขึ้น. เราเคยไปเยี่ยมเยียนใช้บริการในฐานะศิษย์เก่าเมื่อหลายปีก่อน. ห้องสมุดดูทันสมัย โอ่อา. แต่ไม่มีส่วนที่เป็น outdoor อีกแล้ว. เสียดายจัง

เล่าไปไกล...ที่จริงเราไม่ค่อยจะได้อ่านนิยายมากเท่าไหร่. ส่วนใหญ่จะอ่านพวกหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคโบราณซะมาก.   หนังสือเกี่ยวกับศิลปะ ฯลฯ เพราะรูปสวย. ยิ่งหนังสือต่างประเทศ ภาพถ่ายที่ประกอบจะถ่ายมาอย่างดี. จะชอบมาก. ส่วนหนังสือนิยายจะตัวหนังสือเป็นพรืดดดด แถมหนา. สมัยเราหนังสือนิยายจะทำเป็น hard cover ซะหมด คือปกแข็ง. หนักมาก เวลายืมจากห้องสมุดเอากลับบ้านใส่กระเป๋าแล้วหนักจนเจ็บไหล่เลย

ที่น่าสนใจคือ เราไม่เคยเห็นภาพปกจริงๆของนิยายเหล่านั้นเลย เพราะเมื่อมาอยู่ในห้องสมุด. ปกที่เป็นกระดาษอ่อนจะถูกเก็บไปไว้ที่อื่น. สิ่งที่เราสัมผัสคือ ปกแข็งที่หุ้มด้วยผ้าสีเข้มๆ

เดี๋ยวนี้ไปเดินร้านหนังสือ จะเห็นว่านิยายทำเป็นปกอ่อนกันหมด. เหมือนว่าจะสามารถทำราคาได้ถูกลง คนซื้อจะได้ซื้อง่ายขึ้น.  ซึ่งก้อน่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ. เราเห็นว่านิยายใหม่ๆออกมาเยอะมาก.  ทว่าเราอาจจะยังเป็นคน generation ดั้งเดิมที่จริตการอ่านยังคุ้นเคยอยู่กับวิถีการเล่าเรื่องแบบนักเขียนยุคโน้นมากกว่า. คือ....

เล่าเรื่องแบบอย่าหวือหวามาก. เราอาจจะไม่ชอบแนวตลก คอมเมดี้ แบบที่เค้าชอบเอามาทำละคร หรือภาพยนตร์. แบบที่นางร้ายกับนางเอกปะทะคารมกัน  บางทีกรี๊ดใส่กันเวลาโดนคำพูดเจ็บแสบ  เสียดสีกันแบบเชือดเฉือน หรือตบตีต่อหน้าพระเอก. แบบที่นางเอก นางร้ายมีตัวผู้ช่วย เช่น เพื่อนนางเอกหรือบ่าวไพร่แนวลูกขุนพลอยพยัก. คือว่า....มันเบื่อ. และไม่ได้ให้อะไรที่เป็นสาระ. และที่สำคัญ. เรื่องทำนองนี้ยังวนเวียนเอามาทำละคร ทำหนัง  อยู่อีกไม่รู้กี่เวอร์ชั่นจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นที่นิยมอยู่ (เราเลยหนีไปดู Series บน streaming platform แทน)

ได้ข่าวมาว่าคุณทมยันตี นักเขียนในยุคที่เราเติบโตมา ได้ถึงแก่อนิจกรรมลงแล้ว. เราก็ใจหาย. 

นักเขียนในรุ่นๆ ที่มีชื่อเสียงสำหรับรุ่น gen เรากำลังโต. ก้อเช่น. ว.วินิจฉัยกุล,  กฤษณา อโศกสิน. เป็นต้น เรานั่งนับนิ้ว ท่านเหล่านี้ป่านนี้ก้อคงอายุมากขึ้นไปตามลำดับ.  

คุณสุเทพ วงศ์กำแหง นักร้องขวัญใจพ่อเรา ก้อเสียชีวิตไปแล้ว. กลายเป็นระดับตำนานไป. ค่อยๆปลิดปลิวตามกับไปทีละคน สองคน. ตามวันและเวลาที่ผันไปตามธรรมชาติ

ชีวิตเกษียณแต่ยังเยาว์ (Early retire) ของเราทำให้เรามีเวลา. ฮ่าาาา.เลยไปซื้อหานิยายคุณทมยันตีมาอ่านแบบ non-stop  เพราะที่ไม่อยากอ่านนิยายเป็นเพราะว่าอ่านแล้ว. ไม่จบ. ไม่หยุด. ....

พอๆกับนิสัยการดู Series ของเรา  ดูแบบยาวววววว สองวันสามคืนไม่เลิก ถ้าไม่หมดแรง

นิยายคุณทมยันตีที่เราชอบมากๆ มีหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง พิษสวาท ที่คุณนุ่นเล่นเป็นนางเอก ตอนนั้นดูแต่ละคร. แล้วค่อยย้อนมาอ่านหนังสือในภายหลัง.  

นิยายเรื่องนี้เอาเรื่องความรัก ความแค้น มาผูกโยงและเชื่อมต่อแบบเนียนๆไปกับแนวคิดเกี่ยวกับศาสนา เรื่องชาติก่อนชาติเก่า. เรื่องนรกสวรรค์ ประวัติศาสตร์  ปรุงรวมเรื่องรักๆใคร่ๆตามแบบปุถุชนกับเรื่องละเอียดอ่อนของพุทธศาสตร์ จนอร่อยและมีความคลาสสิคระดับตำนานสมกับเป็นงานของศิลปินแห่งชาติเลยจริงๆค่ะ

ความสนใจของเราวิวัฒน์ไปตามช่วงวัย... 

หลังจากชีวิตได้ผ่านประสบการณ์อะไรมากมาย. เรารู้แล้วว่า. มันก้อแค่นั้นหนอ. ชีวิต. ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง. หน้าที่การงาน. ความรัก. อาชีพของเรา มันไม่มีความยั่งยืน. เมื่อถึงเวลาของมัน. มันก้อสลายหายไปหมด ทำให้เราได้คิดถึงความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น  ดังนั้นนิยายที่เราอยากอ่าน. คงไม่ใช่แนวความรักอีกต่อไป


และคราวนี้เราเลยใช้ฝีมือในการประกอบภาพด้วย photoshop มาใช้ซะหน่อย. ด้วยการทำภาพประกอบ blog post อันนี้ขึ้นมาเอง. ขอขอบคุณภาพ elements จาก unsplash.com ด้วยนะคะ 









กันยายน 06, 2564

Passion จะทำให้เราอดตายไหม

ใครหนอช่างบอกว่าการมี passion เป็นของตัวเองนั้นจะทำให้เรารวยได้สักวัน

อุตส่าห์ได้ออกมาเดินตามฝันกับเค้าบ้างก้อเป็นตอนที่ร่างกายเริ่มจะเข้าวัยใกล้เกษียณซะแบบนี้. จะไม่ให้ต้องแอบท้อแบบเป็นพักๆบ้างได้อย่างไร

นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายชั่วโมงมานานนับสองปีกว่า. คลิกเม้าส์จนปวดมือ ปวดข้อไปหมดแล้ว. สินค้าที่เราปลุกปั้นก้อทำรายได้เพียงน้อยนิด ดุจดังน้ำค้างกลางหาว. ค่อยๆร่วงลงมาจากฟ้า ทีละเม็ด. สองเม็ด 555555

เฮ้อ

ต้องขุดงานเก่าเก็บมาปัดฝุ่นหารายได้เข้ากระเป๋า. เก่าแบบว่า. เอ่อ...ระดับสามสิบกว่าปีมาแล้ว

คนอ่าน blog คงจะสงสัยกันใหญ่ว่าผู้เขียนอายุเท่าไหร่กันล่ะเนี่ย.  

ถึงงานจะเก่าแต่เนื้อหาแบบนี้มันอมตะนิรันดร์กาลนะเออ. เรื่องความรัก. เรื่องผัวเมียละเหี่ยใจ อะไรทำนองนี้ขายได้ตลอด

อุตส่าห์ลองยิง ads กับเค้าบ้าง ก้อได้ยอดวิว. แต่ไม่ได้ยอดขาย.  นั่นหละ. ก้อเข้าใจ ว่ายอดวิวกับยอดขายมันคนละเรื่อง. 

ตั้งแต่ช่วง lock down ได้ยอดขายมานิดหน่อย. แต่โดนหักค่าโอนข้ามธนาคารไปซะจนค่าลิขสิทธิ์นักเขียนเหลือกระจิดริด.  เลยตั้งใจวันที่เปืดห้างสรรพสินค้าได้วันแรกเมื่อไหร่. จะต้องไปเปิดบัญชีธนาคารให้จงได้. 

สุดท้ายพอไปธนาคาร.  เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่านโยบายห้างฯ ให้เปิดบัญชีใหม่ได้แค่วันละไม่เกิน 10 บัญชี. โอ้วววว...   ให้มาใหม่วันหลังนะคะ. วันนี้เกินโค้วตาแล้ว

และถ้าไปสาขานอกห้างฯก้อนโยบายเดียวกันค่ะ.  จะให้ลูกค้าเปิดบัญชีได้ไม่เกินวันละ 10 บัญชีเหมือนกัน เนื่องจากเป็นการปกป้องพนักงานธนาคาร

สุดท้ายผ่านมาหลายวันเลยขี้เกียจไปธนาคารล่ะค่ะ

ขอนั่งทำใจก่อน

อีกอย่างคือก้อคงอาจจะยังไม่มียอดขายในช่วงนี้กระมัง.  เอาเรื่องเปิดบัญชีมาเล่าให้ฟังสนุกๆค่ะ



แม้ยอดเงินค่าลิขสิทธิ์จะไม่มาก. แต่หัวใจก้อพองโตที่ได้เห็นว่ามีคนอ่านซื้องานเราเหมือนกันแฮะ. 

อันว่างานเขียนเป็นงานที่ใข้พลังงานและเวลาในการสร้างสรรค์เป็นอย่างมากค่ะ  แต่ก้อเห็นว่าในยุคนี้มีนิยายใหม่ๆออกสู่ท้องตลาดเป็นจำนวนมาก.  ตลาดหนังสือเล่ม. หนังสือ Ebook คึกคัก. โดยเฉพาะนิยายจีน นิยายวาย.  หน้าปกสวยงามน่าซื้อไปหมดเลย.  คงจะมีนักเขียนเขียนกันเก่งขึ้น.  คนรักการอ่านก็มีจำนวนมากขึ้นไปด้วย  

อย่างน้อยก้อได้เป็น "นักเขียน" กับเค้าบ้างแล้วละน้ออออ. และยังต้องพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้นต่อไปเรื่อยๆ

เขียนเอง. ทำปกเอง. ทำ artwork เอง. ทุกอย่างทำเอง. 

หวังว่าสักวัน Passion จะไม่ทำให้เราอดตายนะ. เฮ้อ. ฝากติดตามผลงานกันต่อไปนะคะ 

แล้วจะมีเล่มต่อไปอีกแน่นอนค่ะ.  อยากจะสร้างผลงานออกมาอีกเรื่อยๆ ก้อต้องอาศัยเวลาในการบ่มเพาะอีกน่ะแหละค่ะ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เรื่องสั้นแนวสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับชีวิตคู่ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ประสบปัญหาสามีนอกใจ. 


เมื่อทุกชีวิตต่างแสวงหาความสุข-ความสมหวังในชีวิตคู่ โดยคาดหวังถึงความซื่อสัตย์จากคู่ของตน. 


แต่ในเมื่อคู่ของเรานั้นก้อเป็นมนุษย์ธรรมดาเฉกเช่นเรา. จึงไม่อาจจะหวังได้ว่าเค้าจะเหมือนเดิมตลอดไป


วันใดวันหนึ่งที่เค้าเปลี่ยนแปลงไป


หากว่าเราไม่ปรับตัว ปรับใจให้มีสติมั่นคง หรือหาทางออกที่เหมาะสมให้กับชีวิต. เราอาจจะคิดแก้ปัญหาเพียงชั่ววูบแบบหญิงสาวในเรื่อง


เพราะความสุขไม่ใช่สภาวะที่ถาวร.  


ความสุขก็เป็นของชั่วคราวเช่นกัน. ใครบ้างที่สุขได้ตลอดเวลา หรือยึดความสุขเอาไว้เป็นของตนได้ตลอดไป.  


เพียงหวังว่าหากเธอได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอจะคิดได้. และอาจจะเสียดายในสิ่งที่ได้ทำลงไป...!!!

ความสุขสุดขอบฟ้า







มิถุนายน 23, 2564

เดินหน้าอย่างเดียว อย่าหันหลังกลับไปมองข้างหลัง

ที่ขึ้นต้นไปว่า "เดินหน้าอย่างเดียว อย่าหันหลังกลับไปมองข้างหลัง" เขียนเอาไว้เพื่อปลุกใจตัวเองให้สู้แหละค่ะ. 

ไม่รู้ใครจะเป็นเหมือนกันไหม. บางคืนยังชอบฝันถึงบรรยากาศของที่ทำงาน. ฝันเกี่ยวกับคนที่บริษัทที่เราจากมา. บ่อยๆ ที่เราตื่นขึ้นมาแล้วบอกตัวเองว่า. ในส่วนลึกสุดของความทรงจำยังไงเราก้อมีเรื่องราวการทำงานเหล่านั้นอยู่ดี.  ถึงแม้จะคิดว่า ผ่านมานานสองปีกว่าแล้ว. เราควรจะลืมมันไปซะเถอะ. เพราะเราคงจะกลับไปเส้นทางนั้นไม่ได้อีกแล้ว

อะไรๆในโลกมัน update ไปพอสมควรแล้ว 

เหมือนเราจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังยังไงชอบกล.  เหมือนเป็นดาวที่อยู่ห่างไกลสุดขอบจักรวาลมากขึ้นไปทุกที  ไม่เห็นมีใครพยายามติดต่อเรา  ทุกคนคงกำลังยากลำบากกันหมด ต่างดิ้นรนเพื่อตัวเองและครอบครัวกันทั้งนั้น. ไม่มีใครนึกถึงคนที่ early retire ออกมาเป็นปีแล้ว. ว่าเราจะเป็นยังไงบ้าง  

คิดแล้วน่าอนาถ.  ทำงานมาตั้งยี่สิบกว่าปี นานเสียจนนึกว่าความสัมพันธ์ในองค์กรที่เราอยู่มานานขนาดนี้มันน่าจะยั่งยืน

แต่มันก้อเปล่าเลย.

เหลือแต่ครอบครัวของเรากับตัวเราเองเพียงลำพัง. ท่ามกลางความยากเย็นแสนเข็ญของโลกใบนี้

เราเลยต้องบอกตัวเองว่าอย่ากลับไปมองข้างหลังไง เพราะจะทำให้เจ็บปวด กับอุปาทานที่เคยทึกทักว่าโลกในที่ทำงานมัน real 

อนาคต ตำแหน่งหน้าที่ ทุกอย่างที่เคยมีสลายหายไปพร้อมกับการลาออก  เหลือแต่เส้นทางอันเวิ้งว้างข้างหน้าที่ไม่รู้ชะตากรรม



วิกฤตโรคระบาดทำให้คนตกงานจำนวนมาก. ไม่เพียงแต่เรา.

อนาคตเราก้อต้องมาสร้างกันใหม่. ไม่มีใครสร้างรอไว้ให้. ก้อต้องทำเองอะนะคะ555 ชักจะเศร้าแล้ว เลยต้องขอหัวเราะซะหน่อย

มันสร้างยากเย็น. แต่ถ้าไม่ทำอะไร. ย่อมจะไม่มีอะไรดีแน่. ทุกวันนี้เราก้อเพียรวาดรูป วาดไปๆๆๆๆ  ปวดหลัง ปวดตา ก้อหยุดพัก.  สลับไปเขียนหนังสือบ้าง ทำหลายๆอย่าง วนๆไปค่ะ

แค่นี้ก้อแทบจะทำงานไม่ทันอย่างที่ใจอยากให้เป็นเอาซะเลยค่ะ.  นั่งมองยอดเงินที่หดหายไปทุกวันๆแล้วเศร้าใจ. แต่ไม่รู้จะทำยังไงได้.  

ฝันว่าสักวันจะเลี้ยงชีวิตได้ด้วยการวาดรูป ทำงานศิลปะ  มันก้อต้องสะสมผลงานค่ะ พัฒนาฝีมือ ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ   ทำแล้วขายได้บ้างนิดหน่อยก้อชื่นใจ.  ขายไม่ได้ก้อมีเยอะ. แต่ไม่รู้ทำไมยังอยากจะทำต่อค่ะ  คงเป็นเพราะมันรักน่ะแหละ. หนีไปไหนไม่พ้นแล้วงานนี้555

สู้ๆๆๆจ้า....





มิถุนายน 04, 2564

หวังว่าสวรรค์น้อยๆคงอยู่ไม่ไกล

หลังจากที่พยายามคลุกวงในกับวงการศิลปะทั้งหลายให้มากๆเข้าไว้มาตลอดนั้น.  ก็ค่อยๆเกิดสติปัญญามากขึ้นไปตามลำดับในการสร้างงานของตัวเอง

ตอนช่วงทำงานบริษัทไม่ค่อยจะมีโอกาส นอกจากสมาคมแบบ "ทิพย์" ซะมาก คือ อาศัยอ่าน และดูตาม internet  ไปเสียตังค์เข้าคอร์สวาดรูปตามโอกาสอำนวย แบบ live ก้อไปเรื่อยๆ  เพราะเป็นช่วงชีวิตที่รายได้สูง แต่เวลาแทบไม่มี5555

แต่ถึงขนาดเวลาไม่มี ก้อยังอุตส่าห์สร้างสมภูมิรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลป์จนไปออกทีวีรายการแฟนพันธุ์แท้ตอนโลกศิลปะกับเค้าเหมือนกันนะ.  

คุณหมอที่เคยไปรักษาด้วยเห็นเราออกทีวีจำได้ยังไปอวดพี่น้องผองเพื่อนว่านี่คนไข้ผม. อิอิ

คุณหมอเองก้อเป็นคนชอบศิลปะเหมือนกับเรา

นี่ตั้งแต่ early retire ออกมายังไม่ได้ไปหาคุณหมออีกเลย. เพราะคุณหมออยู่โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำแบบแพงๆน่ะแหละ. สงสัยจะไปหาไม่ได้อีก เฮ้อ

ย้อนกลับมาพูดเรื่องวงการศิลปะที่เราต้องหมกมุ่นให้มากขึ้น เพราะมันคือ eco-system ที่เราต้องทำงาน ต้องหมั่นศึกษางานของนักวาดเก่งๆ. ศึกษานะ ไม่ใช่ลอก. เน้นๆๆ. เราต้องให้เกียรติภูมิปัญญาของผู้อื่น

ดู youtube ได้ไอเดีย ได้เทคนิคใหม่ทุกวัน จนทำตามไม่ทันแล้วเนี่ย

ไหนจะต้องดู portfolio ของคนเก่งๆ  ดูแล้วช่วงแรกๆเครียด. เพราะมองงานไม่ออกว่าเค้าทำยังไง555

จะเรียกชื่อเอาไว้ search เพื่อศึกษาต่อไปยังเรียกไม่ถูกเลย.  ว่าแบบนี้เค้าเรียกอะไร

เดี๋ยวนี้รู้ละ. ไอ้ที่ทำสีสวยๆให้รูปถ่าย เค้าเรียก grade สี หรืองานลายซ้ำๆกันเป็นผืน เค้าเรียกงาน pattern seamless ซึ่งก้อมีทั้งแบบ half drop ฯลฯ.  เป็นต้น

งาน Pattern Design ฝีมือเราเอง ^^
: งาน Pattern Design ฝีมือเราเอง ^^


ตอนนี้เหมือนว่า portfolio นี่ ชั้นต้องมีกะเค้าบ้าง. เพราะเป็นสถานีแสดงผลงานของตัวเอง.  แต่ก้อยังงงกับตัวเองว่า portfolio เรามันจะมีแต่งานหลากหลายไปมั้ย. 


งาน Pattern Design ฝีมือเราเอง ^^
นี่ก้องาน Pattern Design ฝีมือเราเองจ้าาาา ^^ 

เพราะเราทำหลายสาขามากของงานศิลปะ. ตั้งแต่งานภาพถ่าย ภาพวาด งาน vector งาน ฯลฯ

แถมพอลงลึกลงไปในแต่ละงาน ยังแยกย่อยเป็น sector เล็กๆไปได้อีก เช่น หมวดงานภาพวาด ก้อแยกย่อยเป็นงานวาดภาพประกอบ แนว children illustration หรืองานแนว portrait ก้อชอบหมดแหละ

งานภาพถ่าย ก้อแยกย่อยลงไปเป็นงานภาพถ่ายแนว product photography , food photography ซึ่งเราชอบแนวนี้

งานภาพวาด ถ้าแยกตามประเภทสี ก้องานสีน้ำ. สี gouche หรือจะแยกตามสไตล์งาน ก้ออาจจะเป็นงานประเภท realistic งาน abstract โอ้ววว มากมายมหาศาลให้ชีวิตน้อยๆอย่างเราได้โลดแล่น. และเรียนรู้ไปกับศิลปะได้อีกยาวไกล

หวังว่าสวรรค์น้อยๆคงอยู่ไม่ไกล. คือวันที่เราจะเติบโตต่อไปวันละน้อยๆ ด้วยงานที่เราชอบ ฝีมือเราจะพัฒนาขึ้นเพียงพอที่จะเรียกตัวเองได้ว่าเป็น "นักวาด" คนนึง


...ติดตามกันต่อไป เน้อ







เมษายน 22, 2564

มนุษย์เกษียณ เรียนรู้ธุรกิจ

 

เรื่องธุรกิจที่เคยรู้สึกว่าใกล้ตัว. เพราะคิดว่าตัวเองเคยทำงานบริษัท เป็นมนุษย์เงินเดือนมายาวนาน. กลับกลายเป็นเหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการทำธุรกิจสักเท่าไหร่. 


ตอนเราสวมหมวกลูกจ้าง เราก้อเข้าใจแบบตามตัวหนังสือ. หรืองูๆปลาๆแบบลูกจ้างกระมัง


ขนาดว่าเราเป็น HR ในสายที่ต้องวิเคราะห์งาน วิเคราะห์ค่าจ้าง อย่างเข้มข้น หมายความว่าในชีวิตการทำงานต้องอ่านและศึกษาใบกำหนดหน้าที่งาน หรือ Job description มาเยอะมาก. ในตำแหน่งงานหลากหลาย function ไม่ว่าจะในธุรกิจเดียวกันกับบริษัท หรือนอกธุรกิจก็ตาม


พอจะต้อง run ธุรกิจของตัวเองเข้าจริงๆ  กลับเหมือนไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง function ที่เป็นสายหลักสำหรับธุรกิจทุกประเภท อย่างเช่น  การขาย และ การตลาด พอมาเริ่มภาคปฏิบัติสำหรับสินค้าของตัวเอง  ยังเหมือนงงๆ 


ที่แน่ๆ ตอนเราทำสินค้าขาย. นอกจากเงินค่าผลิตสินค้า. เรายังต้องเผื่อเงินเพิ่มเติมสำหรับค่าทำการตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเราก้อไม่ได้เผื่อเงินเอาไว้หรอก. เพราะเราทุนน้อย. คิดเองว่าอยากได้สินค้าจำนวนเยอะๆมาขายมากกว่า






แรกๆเราแยกไม่ออกระหว่างการขายกับตลาด. ตอนนี้เข้าใจมากขึ้น. หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาได้สักระยะ


คงเหมือนที่เราเคยได้ยินพนักงานคนนึงที่บริษัท พูดว่า HR มีหน้าอะไรเหรอ. แค่จ่ายเงินเดือนให้ทันในวันสิ้นเดือนหรือเปล่า


...หรือไม่ก็....


HR มีหน้าที่หาคนเข้า กับ ไล่คนออก. และ จ่ายเงินเดือน. ฮ่าๆ


เพราะคงมีคนจำนวนมาก ไม่เข้าใจว่า HR ทำงานอะไร หรือมีบทบาทอะไรบ้างในองค์กร


เราไม่เข้าใจงานการตลาด เพราะเราไม่เคยเป็นนักการตลาด. ไม่ได้เรียนมาทางนี้. มันก้อไม่ใช่เรื่องแปลก.  


พอๆกับคนอื่นๆที่ไม่ได้เป็น HR ก้อย่อมไม่รู้ว่า HR มีไว้ทำอะไร. ฉันใดฉันนั้น


นั่นหละ. ไม่มีอะไรดีเท่าลงมือทำ


พอได้ทำ...ถึงได้เข้าใจ. ว่าที่บริษัทต้องจ่ายเงินก้อนโตให้กับงบประมาณของฝ่ายการตลาดเสมอ มันเพราะอะไร....


ถ้าไม่มีการตลาด. ลูกค้าก็จะไม่รู้จักสินค้า. และเมื่อไม่รู้จัก.  ก็อาจจะไม่ซื้อ...

เมื่อไม่ซื้อ. บริษัทไม่มีเงินเข้ามาหล่อเลี้ยง


ไม่มีเงินเข้าบริษัท.  ก้อไม่ต้องมีทั้งฝ่ายบัญชี. ฝ่ายบุคคล และฯลฯ. 5555 จบเห่เลยใช่ไหมคะ


วินาทีนี้ไม่ทำการตลาดออนไลน์ไม่ได้แล้ว  แล้วทีนี้การทำการตลาดในโลกออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียเค้าทำกันยังไงล่ะ. ก้อคงต้องศึกษากันต่อไปอีก


โปรดติดตามกันต่อไปค่ะ. ฮ่า.  

เมษายน 06, 2564

แปลงเรื่องแย่ๆ ให้เป็นพลัง ก้อมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับชีวิตได้นะ

ท่ามกลางเดือนเมษายนที่เคยร้อนระอุ. มาปีนี้ไหงฝนตกเกือบทุกวัน ?

โลกนี้มันมีอะไรแปลกๆมากขึ้นทุกที. ไหนจะสภาพอากาศที่เพี้ยนๆ และ ชีวิตของตัวเราที่ไม่เหมือนที่เคยเป็นมา...  

เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนต้องใส่หน้ากากอนามัย. เป็นแบบนี้มาปีกว่า.  ยิ่งตอนนี้โรคโควิทกำลังระบาดหนักในประเทศไทย. ยอดผู้ติดเชื้อขึ้นหลักพันต่อวัน. เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก

สิ่งที่เรากลัวคือหากติดเชื้อแล้วหาโรงพยาบาล admit ไม่ได้. ไม่มีเตียงว่างเหลือในโรงพยาบาล. โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลเอกชน   อาจถูกส่งไปนอนโรงพยาบาลสนาม ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะสะดวกสบายแน่นอน. ทางที่ดีคงต้องป้องกันตัวเองอย่างสุดฤทธิ์.  

เห็นในข่าวแล้วยิ่งเศร้าใจ. มีแม่อุ้มลูก 4 ขวบ ร้องไห้ออกสื่อว่าถูกโรงพยาบาลปฏิเสธการรับเข้ารักษาถึง 4 แห่ง  เห็นแล้วชวนให้หดหู่ใจ  เฮ้อ

แม้ว่ารัฐบาลไม่ได้ประกาศห้ามการออกนอกบ้าน. ไม่ได้ล๊อคดาวน์. ร้านค้ายังเปิดให้บริการตามปกติ  แต่ฉันก้อรู้สึกว่าคงต้องล๊อคดาวน์ตัวเองจะดีกว่าไหม  ไม่ได้ออกไป fitness สักสองสัปดาห์คงไม่เป็นไร  หรือ เลื่อนนัดที่ไม่จำเป็นออกไปให้พ้นช่วงนี้ไปก่อน เพราะการติดเชื้อน่าจะ peak ในช่วง 7-10 วันนี้มากที่สุด หากพ้นระยะเวลานี้ไป คนที่ติดเชื้อแสดงตัวเข้ารับการรักษากันเป็นส่วนใหญ่ (เหลือพวกที่ติดแต่ไม่แสดงอาการ)  เราคงค่อยพอจะกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้บ้าง

เป็นมนุษย์เกษียณต้องระวังตัวให้มาก  เพราะเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะเดือดร้อนทั้งตัวเองและครอบครัว  ถึงแม้จะมีประกันสุขภาพเป็นของตัวเอง. แต่ก้อต้องหาเงินมาจ่ายเบี้ยประกันนะคะ. ไม่ได้ฟรีทุกอย่างเหมือนตอนทำงานบริษัท.  ซึ่งตอนนั้นก้อทำงานซะจนใช้บริการเบิกสวัสดิการผู้ป่วยนอกบริษัทเต็มยอดเบิก. แถมเข้าเนื้อตัวเองแทบทุกปี

อาจจะเป็นเพราะ package ที่บริษัทมีอยู่สำหรับพวกผู้ป่วยนอกไม่ได้เยอะเท่าไหร่ . บริษัทให้ปีละไม่ถึงหมื่นบาทเอง5555  แถมให้งบนี้รวมกับค่าทำฟันอีก  คนที่แข็งแรงไม่เคยป่วยก้อชอบออกมาบอกว่าไม่คุ้มเลยที่ไม่ได้ใช้สวัสดิการ.  แต่คนป่วยบ่อยอย่างเราก้อไม่ได้อยากป่วยเหมือนกันนะ

ช่วงทำงานบริษัทเราไปหาคุณหมอบ่อยจนคุ้นเคยกันซะงั้น555. คุณหมอบอกว่าคนพื้นฐานสุขภาพไม่แข็งแรงเหมือนคนที่ต้นทุนชีวิตน้อย  ก้อต้องเข้าใจตัวเองหน่อยนะ 

ทำงานจนป่วยเยอะ. ตอนหลังเบื่องาน เบื่อคนที่ทำงาน  เบื่อหนัก เลยพยายามแปลงพลังด้านลบ ให้เป็นพลังด้านบวก ....แก้กันซะงั้นแหละ. แต่ก้อไม่น่าเชื่อนะ. มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆในชีวิต. นั่นคือการได้ออกกำลังกาย. 


ฟังดูมันเข้าใจยากใช่ไหมคะ. ความเบื่อกลายเป็นพลังผลักดันชีวิตได้อย่างไร ?

ทันที่ที่รู้สึกเบื่อ ก้อให้บอกตัวเองว่า ต้องไปออกกำลังกาย. ตั้งโปรแกรมในสมองเอาไว้แบบนี้เลย ทำแบบนี้ซ้ำๆ  ไม่ให้จิตจมลงไปกับอารมณ์เบื่อ และคิดฟุ้งซ่านไปในทางลบ

ตกเย็นถึงเวลาเลิกงานก็รีบขับรถไป fitness ออกกำลังกายตามเป้า ให้ได้สัปดาห์ละ สองครั้งเป็นอย่างต่ำ

ไม่น่าเชื่อว่าทำได้มาตลอดสองปี ช่วงแรกๆออกกำลังกายได้สัปดาห์ละ 3 ครั้งด้วยซ้ำไป

ดังนั้นช่วงก่อนลาออกจากงานประมาณ 2 ปี. เลยได้ออกกำลังกายอย่างจริงจัง.  (ปัจจุบันก้อยังมี committment อยู่นะคะ ว่าต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ปรับเป้าลดลงเหลือสัปดาห์ละ สองครั้ง)

ผลที่ได้รับจากพลังความเบื่อ กลายเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อสุขภาพกายอย่างมาก  เราป่วยน้อยลง. หรือถ้าป่วยก้อหายเร็วขึ้นกว่าเดิม.  พอกายดี จิตก็มีพลังตามไปด้วย. ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเคยอ่านมาในหนังสือว่าการออกกำลังกายเป็นยาขนานเอก. แก้ได้หลายโรคนั้นเป็นความจริง

สุดท้ายมนุษย์อย่างเรา. ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐสุด  แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่มีโรคก้อต้องเอาเงินไปรักษาโรค. สุขภาพดีๆ หาซื้อไม่ได้. ต้องลงมือทำ จริงทุกอย่างเลยค่ะ

ขอให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยจากโควิท-19 กันทุกๆคนนะคะ. ดูแลตัวเองด้วยค่ะ



มีนาคม 02, 2564

วันนี้เหนื่อย

 


เผลอแวบเดียว  ปี 2564 ก้อผ่านไปแล้วสองเดือน

เข้าไปส่องยอดขายผลิตภัณฑ์ดิจิตอลทั้งหลายที่ทำขายเอาไว้ก้อชวนห่อเหี่ยวหัวใจพิลึก. ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง รวมๆยอดแล้วก้อพอแค่ค่าใช้จ่ายประจำเดือนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

มานั่งคิดว่าปัญหามันอยู่ตรงไหนกันนะ. หรือว่าทำหลากหลายมากเกินไป. จำนวนสินค้าเลยกระจายหลายกลุ่ม และเมื่อกระจายก้อเลยยังมีจำนวนไม่เยอะ. เพราะว่าต้องเอาเวลามาทำได้ทีละอย่างเท่านั้น

ทั้งที่ก้อทำงานตลอดดด. วันละหลายชั่วโมง. นั่งหน้าคอมฯจนปวดคอ. ปวดหลัง. แสบตาด้วย

ทุก platform เหมือนจะมีอัลกอริทึ่มแอบแฝงเอาไว้หรือเปล่า. ว่าให้ดันเฉพาะสินค้าของ seller ที่มีงานใหม่ๆเข้ามาสม่ำเสมอ. จำนวนงานสะสมเยอะๆ. อันนี้คิดเอาเองจากที่ฟังคนใน group ที่เค้าขายดีๆเค้าพูดนะ. 

สมัยก่อนเห็นงานสวยๆ ดูน่าจะขายดี. ก้ออยากทำอย่างเค้าบ้าง. แต่ทำสวยๆแบบนั้นไม่เป็น ไม่รู้ว่าเค้าใช้เทคนิคอะไร.  

แต่เดี๋ยวนี้รู้มากขึ้นตามลำดับ. เพราะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ตลอดทั้งวัน มาเป็นปีๆ. ก้อภูมิใจนิดๆละว่าชั้นพัฒนาขึ้นตลอดเลย (แต่ชั้นต้องการเงินเหมือนกันนะตัวเอง555)

สรุปว่าเวลามีจำกัด.  

ครั้นว่าจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก้อมีปัญหาตรงที่มันจะกลายเป็นความเสี่ยงในอนาคตได้ ถ้าพึ่งพาทางใดทางเดียว และอีกอย่างคือ "เบื่อค่ะ" 555555

นั่งทำแผนผังคร่าวๆดูว่าชั้นทำอะไรบ้างเนี่ย. โห...

เหมือนคนโลภหรือเปล่า. ไม่ใช่หรอก. มันสนุกมากกว่าที่ได้ต่อยอดไปเรื่อยๆ. และก้อเหมือนเหวี่ยงแหหน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าทำอะไรที่มันจะรุ่ง.

ทำอย่างนึง แล้วต่อยอดความสามารถอีกเพียงเล็กน้อย ก้อจะทำสินค้าเพิ่มได้อีก เช่น. วาดรูปดอกไม้สีน้ำ. พอเราหัดแต่งภาพได้แล้ว  เราก้อมาเรียนรู้เรื่องการทำงานแพทเทรินต่อได้. งานแพทเทรินหรือภาพ seamless ไร้รอยต่อนั้นมันไปต่อได้อีกไกล. เช่น การไปใช้กับการขายเป็นลายผ้า เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งจะรู้เหมือนกัน

 อีกสักตัวอย่างละกัน

งานวาด digital painting เอาไปต่อยอดทำปกนวนิยายขายได้. หัดทำ Adobe Indesign อีกสักหน่อยก้อจะสามารถจัด layout หนังสือได้แล้ว. ขายหนังสือ  ขายสมุดโน๊ต ทำ E-book ฯลฯ

ไม่รู้ว่าตัวเองมาถูกทางหรือเปล่า. แอบเศร้าเหมือนกันในบางที.  เรื่องชีวิตของตัวเอง ไม่รู้จะถามใคร เห็นในข่าวทีวี ผู้คนตกงานมากมาย. ธุรกิจโรงแรม-การท่องเที่ยวล้มระเนระนาด ธุรกิจอาหารก้อแข่งกัน delivery ซะจนไม่รู้ว่าใครรอด ใครร่วง

ไม่ใช่แค่ในประเทศเล็กๆอย่างบ้านเรา.  เค้าลำบากกันทั้งโลก

ทุกคนต่างหนีตาย เอาตัวรอด ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโรคใหม่.  ใครมีเงินเยอะ เท่ากับมีสายป่านยาว ทนอึดได้นานกว่าหน่อย. ใครมีหนี้. ก้อคงแทบล้มตาย 

โมเดลการสร้างธุรกิจแบบฝรั่งที่สอนกันในระบบการศึกษา. คือ. ให้คนทำธุรกิจด้วยการเอาเงินคนอื่นมาใช้ก่อน. (กู้ธนาคาร) หากธุรกิจไปได้ดี. เงินเข้ามากกว่าเงินออก หมายถึง รายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย. ก้อจะสบายไป เอาส่วนเกินมากินใช้+ลงทุนต่อยอดได้

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ธุรกิจล้ม หรือ สะดุดรุนแรง เงินเข้าไม่มีเลย. แต่ค่าใช้จ่ายยังมีมาตลอด แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปคืนธนาคารที่ยืมมาล่ะ  เลยต้องไล่พนักงานออกเพื่อลดค่าใช้จ่ายไงคะ

ดูในข่าว...คนทำธุรกิจปั๊มน้ำมันแฟรนไชส์. ต้องลงทุนขั้นต่ำประมาณ 30 ล้านบาท.  ระยะเวลาคืนทุน 6-7 ปี

ฟังแล้วนึกถึงตัวเอง. เวลาคืนทุนของเราล่ะ. เมื่อไหร่...?  อีกนานแค่ไหน? 6-7 ปีไหม หรือนานกว่านั้น? ตอนนี้ผ่านไปสองปีแล้วอะนะ   กดดันตัวเองเกินไปมั้ยเนี่ย ฮือๆ

เราลงทุนเยอะที่สุดในตัวเอง. เพราะเราต้องใช้สมอง. ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และต้องฝึกฝนทักษะเพิ่มเติมตลอด (ค่าหนังสือ ค่าเรียน พุ่งปรี๊ดดด)

ก้อไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าเมื่อไหร่จะคืนทุน. (มารอติดตามความคืบหน้าใน blog ละกันค่ะ)

อยากกลับไปมีรายได้. อยากมีความฝันและความหวังอันสวยงามเหมือนแต่ก่อน. 

ไม่ได้ฝันอะไรหรูหรา. ขอเลี้ยงคุณพ่อ-คุณแม่. เลี้ยงตัวเองได้ ไม่เป็นภาระใคร

ถ้าอีกหน่อยเค้าใช้รถพลังงานไฟฟ้ากันจะมีปัญญาซื้อมั้ยเนี่ย เฮ้อ

วันนี้เหนื่อย....บ่นให้ฟังแค่นี้ก่อนนะคะ


 



กุมภาพันธ์ 04, 2564

เงินเข้าไม่เท่าเงินเหลือ

วันนี้มาพร้อมกับวลีสุดเด็ด. คิดเอง แต่ว่าผู้อ่านจะว่าคมเหมือนกันหรือเปล่าคะ อิอิ

คิดมานานว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้  คิดได้ตั้งแต่ก่อนลาออกจากงาน ทว่า...ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิดสักเท่าไหร่ก้อต้องออกมาแล้วซะงั้น

พยายามบอกหลายคนที่มีโอกาสได้พูดคุยกัน. โดยเฉพาะคนที่อายุยังไม่มาก เพราะเห็นว่าคนอายุน้อยส่วนมากมุ่งคิดเรื่องการทำยังไงให้มีเงินเดือนเยอะๆ.  หารายได้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ซึ่งเราก้อเป็นแบบนั้นมาก่อนแล้วเหมือนกัน

มองย้อนกลับไป. คิดได้ว่า...เราหลงลืมอะไรไปบางอย่างหรือเปล่านะ

ตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมา เฉลี่ยแล้วได้ขึ้นเงินเดือนทุกปี. มีปีเดียวที่ไม่ได้ขึ้นเลยคือตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังถือว่าเป็นเด็ก.  กำลังผ่อนรถยนตร์คันแรกปีสุดท้าย งวดสุดท้ายพอดี มีลุ้นเรื่องจะโอนรถเป็นชื่อตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหาใช่ไหม. และโดนลดเงินเดือนลงไปอีกด้วย

พอเวลาผ่านๆมาอีก เราก้อได้อัตราเงินเดือนเก่ากลับมา แต่ตอนนั้นเราเป็นคนไม่มีเงินเก็บ. ทั้งที่เงินเดือนเราเพิ่มขึ้นทุกปี แถมบริษัทมีโบนัสให้อีก. 

ทำไมเงินเข้าเพิ่มขึ้นตลอด แต่ไม่มีเงินเหลือ

ชีวิตเพื่อนพนักงานอีกหลายคนที่เคยได้พูดคุยกันก้อเป็นเช่นนั้น 

ในวันที่ได้รับหนังสือแจ้งปรับเงินเดือนประจำปี. เรารู้สึกว่าต่อไปนี้เราจะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น และปีหน้าหรือปีต่อๆก็จะได้เพิ่มไปอีกเรื่อยๆ. เราจึงขยายมาตรฐานการใช้ชีวิตของเราไปตามส่วนที่เพิ่มของเงินเดือน

เคยใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม. พอเห็นเพื่อนหรือคนอื่นใช้รุ่นที่ใหม่กว่าก้ออดไม่ได้ที่จะมีบ้าง. เห็นอยู่ว่าเรามีเงินเพิ่มขึ้นทุกเดือน. ซื้อไปเราก้อไม่จนลงหรอก เวลาเข้าประชุมแล้วหยิบมือถือออกมาวางบนโต๊ะก้อจะได้มีของใช้เหมือนๆกับของคนอื่น



รถที่มีก้อต้องเปลี่ยนทุก 4-5 ปี เพราะมีคนบอกว่าเลยห้าปีไปแล้วรถจะเสียบ่อยจนไม่คุ้มค่าซ่อม เปลี่ยนรถไปเลยดีกว่า. ขับไปแบบไร้กังวล  ได้รถใหม่ เทคโนโลยีดีกว่าเดิม แต่ไม่เคยมีใครบอกว่าจุดคุ้มทุนของการใช้รถหนึ่งคันอยู่ที่ไหน (ทันทีที่ถอยรถใหม่ออกจากศูนย์บริการราคาขายต่อของรถก้อตกลงไปกว่าราคาตอนซื้อแล้ว!!) 

ยามว่างก้ออยาก shopping เพราะทำงานมาเหนื่อย ต้องให้รางวัลกับตัวเองบ้าง. อยากได้อะไรก้อซื้อๆๆๆ เดี๋ยวเดือนหน้าเงินมาใหม่. สิ้นปีต้องได้โบนัส. คิดล่วงหน้าไว้เลยว่าอยากได้โน่น นี่ นั่น ฯลฯ

เฮ้อ.....นั่นหละนะ

ดังนั้นความยากที่ว่าทำงานยังไงให้เก่งจนได้เงินเดือนเยอะๆ....

ยังไม่เท่า...ใช้เงินยังไงให้เงินเหลือเก็บ

ได้มา แล้วใช้ไป เดือนหน้าเงินมาใหม่...ทำงานวนๆไป ไม่มีเวลาหยุดคิด. เพราะถึงวันหยุดก็อยากจะพักผ่อน ไม่ทันไรก็วันจันทร์อีกแล้ว วนกลับไปคิดเรื่องงานต่อ

สรุป...เป็นวงจรอย่างนี้อยู่นานหลายปี

จนกระทั่งวันหนึ่ง....

โชคดีที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ.  อ่านแหลกไปทุกด้าน  (ค่าซื้อหนังสืออาจจะพอๆกับค่าอาหารนะ) 

ได้อ่านหนังสือ "ออมก่อน รวยกว่า" (พิมพ์ครั้งที่ 1) เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตจริงๆค่ะ

อ่านจบแล้วตกใจมาก...โดยเฉพาะหน้าที่พูดเรื่องคนเราควรมีเงินเกษียณเท่าไหร่ถึงจะพอใช้  และภาพกราฟรายได้ที่หายด้วนไปซะงั้นเมื่อเราอายุ 60 ปี

แต่เส้นค่าใช้จ่ายพุ่งสวนเสียบทะลุฟ้า(โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ) หลังจากเราอายุเกิน 60 ไปแล้ว

มันทำให้เราตื่นจากฝัน. และมุ่งศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารเงินส่วนบุคคล. ไปหานักวางแผนทางการเงินเพื่อขอคำปรึกษา (ซึ่งตอนนั้นเป็นเรื่องใหม่มาก มีธนาคารกสิกรไทยแห่งเดียวที่ให้บริการฟรี)

ได้รับการตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมรายงานผลการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินอีกหนึ่งปึก

กลับมานั่งอ่านรายงานอย่างจริงจัง.  มันทำให้ตาสว่างเลยทีเดียว. 

เราควรต้องหันมาโฟกัสทางไหลออกของเงินด้วยนะคะ  นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น

แต่ว่าเรื่องการ early retire นี่มันเป็นอุบัติเหตุชีวิต. ไม่มีในแผนนะคะ55555

กลับไปดูยอดเงินที่มีการ forecast เอาไว้ตอนนั้น. ว่าถ้าทำงานจนถึงอายุ 60 ปี จะมีเงิน xxxxxx. เปรียบเทียบกับยอดเงินที่มีตอนนี้แล้วห่อเหี่ยววววว มากถึงมากที่สุด

ปลอบใจตัวเองว่าตอนนี้เราใช้จ่ายลดลงไปมาก ไม่ต้องตั้งเป้ารายได้เท่าเดิมก้อได้นะ.  ต้องปรับเป้าหมายใหม่ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

เครียดน้อยลง สุขภาพก็น่าจะดีกว่าเดิม. มีความสุขมากขึ้น แม้รายได้จะลดลง (เรียกว่าไม่มีรายได้เลยจะดีกว่ามั้ย555)

ตกลงว่าคนเราอยากได้เงิน หรืออยากได้ความสุข

เราเคยคิดว่าต้องมีเงินมากๆก่อนสิ ถึงจะมีความสุขได้.  เพราะเอาเงินไปซื้อของที่อยากได้แล้วจะเกิดความสุข

ณ. วันนี้. ขอบอกว่า...  ความสุขเราไม่ได้มาจากการ "ซื้อ" สิ่งที่เราไม่มี. แต่เรา "อยากจะมี" อีกต่อไปแล้ว

เรามีความสุขอยู่กับสิ่งที่เรา "มีอยู่แล้ว" 

และไม่ใช่สิ่งของ. 

แต่เป็น "ประสบการณ์" ที่เรากำลังได้ทำในสิ่งที่เรารักที่จะทำค่ะ :)