ท่ามกลางเดือนเมษายนที่เคยร้อนระอุ. มาปีนี้ไหงฝนตกเกือบทุกวัน ?
โลกนี้มันมีอะไรแปลกๆมากขึ้นทุกที. ไหนจะสภาพอากาศที่เพี้ยนๆ และ ชีวิตของตัวเราที่ไม่เหมือนที่เคยเป็นมา...
เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนต้องใส่หน้ากากอนามัย. เป็นแบบนี้มาปีกว่า. ยิ่งตอนนี้โรคโควิทกำลังระบาดหนักในประเทศไทย. ยอดผู้ติดเชื้อขึ้นหลักพันต่อวัน. เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก
สิ่งที่เรากลัวคือหากติดเชื้อแล้วหาโรงพยาบาล admit ไม่ได้. ไม่มีเตียงว่างเหลือในโรงพยาบาล. โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลเอกชน อาจถูกส่งไปนอนโรงพยาบาลสนาม ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะสะดวกสบายแน่นอน. ทางที่ดีคงต้องป้องกันตัวเองอย่างสุดฤทธิ์.
เห็นในข่าวแล้วยิ่งเศร้าใจ. มีแม่อุ้มลูก 4 ขวบ ร้องไห้ออกสื่อว่าถูกโรงพยาบาลปฏิเสธการรับเข้ารักษาถึง 4 แห่ง เห็นแล้วชวนให้หดหู่ใจ เฮ้อ
แม้ว่ารัฐบาลไม่ได้ประกาศห้ามการออกนอกบ้าน. ไม่ได้ล๊อคดาวน์. ร้านค้ายังเปิดให้บริการตามปกติ แต่ฉันก้อรู้สึกว่าคงต้องล๊อคดาวน์ตัวเองจะดีกว่าไหม ไม่ได้ออกไป fitness สักสองสัปดาห์คงไม่เป็นไร หรือ เลื่อนนัดที่ไม่จำเป็นออกไปให้พ้นช่วงนี้ไปก่อน เพราะการติดเชื้อน่าจะ peak ในช่วง 7-10 วันนี้มากที่สุด หากพ้นระยะเวลานี้ไป คนที่ติดเชื้อแสดงตัวเข้ารับการรักษากันเป็นส่วนใหญ่ (เหลือพวกที่ติดแต่ไม่แสดงอาการ) เราคงค่อยพอจะกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้บ้าง
เป็นมนุษย์เกษียณต้องระวังตัวให้มาก เพราะเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะเดือดร้อนทั้งตัวเองและครอบครัว ถึงแม้จะมีประกันสุขภาพเป็นของตัวเอง. แต่ก้อต้องหาเงินมาจ่ายเบี้ยประกันนะคะ. ไม่ได้ฟรีทุกอย่างเหมือนตอนทำงานบริษัท. ซึ่งตอนนั้นก้อทำงานซะจนใช้บริการเบิกสวัสดิการผู้ป่วยนอกบริษัทเต็มยอดเบิก. แถมเข้าเนื้อตัวเองแทบทุกปี
อาจจะเป็นเพราะ package ที่บริษัทมีอยู่สำหรับพวกผู้ป่วยนอกไม่ได้เยอะเท่าไหร่ . บริษัทให้ปีละไม่ถึงหมื่นบาทเอง5555 แถมให้งบนี้รวมกับค่าทำฟันอีก คนที่แข็งแรงไม่เคยป่วยก้อชอบออกมาบอกว่าไม่คุ้มเลยที่ไม่ได้ใช้สวัสดิการ. แต่คนป่วยบ่อยอย่างเราก้อไม่ได้อยากป่วยเหมือนกันนะ
ช่วงทำงานบริษัทเราไปหาคุณหมอบ่อยจนคุ้นเคยกันซะงั้น555. คุณหมอบอกว่าคนพื้นฐานสุขภาพไม่แข็งแรงเหมือนคนที่ต้นทุนชีวิตน้อย ก้อต้องเข้าใจตัวเองหน่อยนะ
ทำงานจนป่วยเยอะ. ตอนหลังเบื่องาน เบื่อคนที่ทำงาน เบื่อหนัก เลยพยายามแปลงพลังด้านลบ ให้เป็นพลังด้านบวก ....แก้กันซะงั้นแหละ. แต่ก้อไม่น่าเชื่อนะ. มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆในชีวิต. นั่นคือการได้ออกกำลังกาย.
ฟังดูมันเข้าใจยากใช่ไหมคะ. ความเบื่อกลายเป็นพลังผลักดันชีวิตได้อย่างไร ?
ทันที่ที่รู้สึกเบื่อ ก้อให้บอกตัวเองว่า ต้องไปออกกำลังกาย. ตั้งโปรแกรมในสมองเอาไว้แบบนี้เลย ทำแบบนี้ซ้ำๆ ไม่ให้จิตจมลงไปกับอารมณ์เบื่อ และคิดฟุ้งซ่านไปในทางลบ
ตกเย็นถึงเวลาเลิกงานก็รีบขับรถไป fitness ออกกำลังกายตามเป้า ให้ได้สัปดาห์ละ สองครั้งเป็นอย่างต่ำ
ไม่น่าเชื่อว่าทำได้มาตลอดสองปี ช่วงแรกๆออกกำลังกายได้สัปดาห์ละ 3 ครั้งด้วยซ้ำไป
ดังนั้นช่วงก่อนลาออกจากงานประมาณ 2 ปี. เลยได้ออกกำลังกายอย่างจริงจัง. (ปัจจุบันก้อยังมี committment อยู่นะคะ ว่าต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ปรับเป้าลดลงเหลือสัปดาห์ละ สองครั้ง)
ผลที่ได้รับจากพลังความเบื่อ กลายเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อสุขภาพกายอย่างมาก เราป่วยน้อยลง. หรือถ้าป่วยก้อหายเร็วขึ้นกว่าเดิม. พอกายดี จิตก็มีพลังตามไปด้วย. ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเคยอ่านมาในหนังสือว่าการออกกำลังกายเป็นยาขนานเอก. แก้ได้หลายโรคนั้นเป็นความจริง
สุดท้ายมนุษย์อย่างเรา. ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐสุด แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่มีโรคก้อต้องเอาเงินไปรักษาโรค. สุขภาพดีๆ หาซื้อไม่ได้. ต้องลงมือทำ จริงทุกอย่างเลยค่ะ
ขอให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยจากโควิท-19 กันทุกๆคนนะคะ. ดูแลตัวเองด้วยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น