โลกของผู้เขียนพันพัวและผูกพันอยู่กับหนังสือมาตลอด. อย่างที่เล่าไปคราวก่อนว่า นอกจากอาหารที่หล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว. ยังมีอาหารสมองที่ผู้เขียน "หิว" อย่างไม่เสื่อมคลาย
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าโลกของเด็กยุคก่อน ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเตอร์เนต มีเพียงทีวีขาว-ดำ จะไปมีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากการอ่านหนังสือ
จริงๆก้อคงจะไม่ใช่. มีอะไรให้ทำมากมาย แต่รักความรู้ จึงต้องอ่าน
นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว ผู้เขียนอ่านการ์ตูน นอนวาดรูป แต่งการ์ตูนอ่านเอง นั่งประดิดประดอยของเล่น เช่น เย็บผ้า. เย็บชุดตุ๊กตา. หรือ ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้านบ้าง. แค่นั้นไม่เคยพอสำหรับเวลายามว่าง
ค่าขนมที่เหลือมาบ้างก็จะเอาไปซื้อหนังสือ.
สมัยนั้นมีรถเร่มาขายหนังสือหน้าโรงเรียนด้วย. ไม่ได้มาบ่อยๆ. ผู้เขียนจึงตั้งตารอ. เพราะเหมือนราคาจะถูก (เข้าใจแบบเด็ก ว่าราคาถูก555 ที่จริงอาจจจะแพง) วิธีการขายจะมีคนมาแจกใบปลิวล่วงหน้า เป็นกระดาษบางๆพิมพ์หน้า-หลัง มีรายชื่อหนังสือและราคาพร้อมสรรพ. ผู้เขียนจะนั่งอ่านใบปลิวอย่างมีความสุขว่ารอบนี้เราจะซื้อเล่มไหนบ้างหนอ
นอกจากนี้มีร้านขายหนังสือการ์ตูนทางเข้าประตูโรงเรียนอีกหนึ่งร้าน. ที่ผู้เขียนเป็นลูกค้าประจำ
ห้องสมุดโรงเรียนก้อเป็นสถานที่ที่ผู้เขียนไปอย่างสม่ำเสมอ
ตอนช่วงมัธยม ชอบอ่านหนังสือตอบปัญหาชีวิตของ นายแพทย์วิทยา นาควัชระ ซึ่งท่านเป็นจิตแพทย์. ท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่มมาก. สมัยนี้เรียกว่าเป็นซีรีส์ได้เลย. แต่ละเล่มจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ที่มาพบ. และแฝงแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาชีวิตเอาไว้มากมาย. อ่านแล้วรู้สึกว่าอยากจะเป็นคนช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้ผู้คนได้. ทำให้ผู้คนมีความสุขแบบคุณหมอ
...แต่ว่า.....ผู้เขียนเรียนคณิตศาสตร์ได้แย่สุดๆ. คาดว่าไปเรียนสายวิทย์เพื่อสอบเข้าเป็นแพทย์. ไปสู่การเป็นจิตแพทย์นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ 5555
เอาความเป็นจริงดีกว่า. ว่าผู้เขียนมีความถนัดด้านการเรียนภาษามากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน.
ทำอย่างไรกับอุดมการณ์อันสวยงามดีหนอ....ทำไงฝันจะเป็นจริง. จะได้ช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์
ในที่สุดแรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือก้อทำให้เราสอบเข้าเรียนคณะศิลปศาสตร์ได้. และเมื่อถึงตอนเค้าให้เลือกวิชาเอก. เอกอื่นมากมายดันไม่เลือก. เลือกเอกวิชาจิตวิทยาอย่างไม่ต้องลังเล
55555 ขอหัวเราะอีกที
เพราะเจ้าอุมการณ์ดีนัก...แย่ละงานนี้. ผู้เขียนไม่รู้ว่าถ้าจบเอกจิตวิทยา. มหาวิทยาลัยบางแห่งเค้าให้วิทยาศาสตร์บัณฑิตเลยแหละ
แต่มหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเรียน. จบแล้วได้ศิลปศาสตร์บัณฑิต
กำลังจะบอกว่า....หลักสูตรจิตวิทยาเนี่ย. เค้ามีวิชาบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์แบบโหด. คือวิชาสถิติ และพวกวิชาชีววิทยาด้วยนะ. ขำไม่ออกละงานนี้
ต้องเรียนสถิติพื้นฐาน และสถิติขั้นสูง. รวมถึงชีววิทยาอีก. สรุปว่าอาศัยบุญเก่า+กรรมเก่า. รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด มีเศร้าเคล้าน้ำตาเลยทีเดียว (ก้อชั้นไม่ใช่เด็กสายวิทย์อะจ้า)
สุดท้ายพอเรียนจบ. คิดว่าจะไปเป็นนักจิตวิทยา. พอมีโรงพยาบาลเรียกไปสัมภาษณ์งานตำแหน่งนักจิตวิทยาในโรงพยาบาล. กลับไม่แน่ใจซะงั้นแหละ. เพราะว่าพอถามอัตราเงินเดือนเริ่มต้นแล้วมันน้อยนิดจนต้องคิดหนัก. และทำงานในโรงพยาบาลคงไม่น่าสนุกเท่าไหร่ อีกอย่างโรงพยาบาลที่เรียกมาก้ออยู่ไกลบ้านด้วย. จึงตัดสินใจทำงานด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทเอกชนดีกว่า (ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องว่าฝ่ายบุคคลทำอะไรบ้าง5555. รู้แต่ว่าตำแหน่งนี้เค้ารับจบเอกจิตวิทยา)
นั่นหละนะ. ไม่รู้บุญหรือกรรม. ที่นำหนุนให้ต้องเป็นฝ่ายบุคคลอยู่ยี่สิบกว่าปี
ชีวิตก้อเอวังด้วยประการฉะนี้จ้า. ตอนนี้หมดบุญวาสนา+หมดหน้าที่การเป็นฝ่ายบุคคลซะที. ผู้ที่กุมความลับขององค์กร(รู้เงินเดือนของทุกคน) รักษาความลับยิ่งชีพ (ใครเคยทำอะไรมาบ้างในบริษัท. ดีหรือร้าย. รู้หมด) รู้มากแต่บอกใครไม่ได้5555
จบเห่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น