ธันวาคม 31, 2565

สวัสดีปีใหม่ 2566 ค่ะ

 


สวัสดีปีใหม่ 2566 จ้า


ขอให้กิจการ/การงาน เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าก้าวไกล สุขภาพแข็งแรงกันทั่วหน้านะคะ :)

ธันวาคม 15, 2565

Free Download !!!! ที่นี่ Printable Yearly Tracker 2566



Free Download !!!! ที่นี่ Printable Yearly Tracker 2566

แม้ว่าปี 2565 จะผ่านอย่างเหน็ดเหนื่อยเช่นเคย.  เพราะดันทำในสิ่งที่ยาก ฮ่าาา

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยลืมสัญญาใจที่ให้ไว้กับตัวเองว่าจะทำของฟรีแจกคุณผู้อ่านในทุกสิ้นปี. (อาจจะมีแจกเรื่อยๆระหว่างปีด้วยค่ะ  ตอนนี้บังคับตัวเองให้ได้ปีละครั้งก่อน แหะๆ)

ใคร ใคร่โหลด โหลดเลย เดี๋ยวนี้. ฮ่าาาา

แม้ว่าจะเป็นของฟรีแต่ก้อต้องนั่งทำ และตรวจทานก่อนแจก.  ปริ๊นท์ออกมาตรวจแผ่นแล้ว แผ่นเล่า อ้าว เดี๋ยวเดือนผิด. เดี๋ยววันไม่ครบ.  วันกระโดดจาก 28 ไป 30 เลยก้อมี. เฮ้ออออ

ของดีทำฟรีก้อมีในโลกนะคะ :)

อันนี้เป็นเวอร์ชั่นเดือนไทย. ภาษาไทย. คนไทยคงชอบ หรือคนต่างชาติที่รักประเทศไทยอาจจะชอบด้วยเหมือนกัน 55555

อันว่าแผ่น tracker นั้นมีประโยชน์มากมายค่ะ. ใช้จดติดตามกิจกรรมได้หลากหลายมากๆ เช่น จดกันลืมเพื่อดูความถี่ในการออกกำลังกาย.   การทำความสะอาดบ้าน.    การอ่านหนังสือ ฯลฯ

ตัวผู้เขียนเองใช้เป็นประจำค่ะ. แบบว่าขาดไม่ได้เลยทีเดียว

ช่วย monitor หลายอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียน. การงาน. การเงิน. การใช้ชีวิต. ว่าเราทำมาก หรือทำน้อยเกินไป. อันไหนมากไปควรจะให้น้อยลง. หรือทำน้อยไปควรจะทำให้มาก. คราวนี้จะเห็นภาพรวมเลยค่ะ

เวอร์ชั่นภาษาไทยมีไว้แจกฟรี.  เผื่อคนไทยจะหันมาใช้ของพวกนี้กันให้มากขึ้นค่ะ.  เพราะมันมีประโชน์มากมาย.  ใช้ได้ใช้ดีตั้งแต่วัยเรียนจนไปถึงวัยทำงาน และวัยที่ต้องพักผ่อน 555





มีการปรับปรุงเล็กน้อยจาก เวอร์ชั่น 2565 คือเพิ่มช่อง subject ไว้ให้เขียนชื่อกิจกรรมที่เราต้องการจะ track ค่ะ. เช่น. ลดน้ำหนัก.   อ่านหนังสือ. ฯลฯ



ใส่ link ไว้ให้ข้างล่างนี้จ้า. ใช้ตามสะดวกนะคะ 


🔥 หากมีปัญหาในการ download แชทสอบถามผ่านทาง inbox  หรือจะทิ้ง email ไว้ในช่อง comment ด้านล่าง แจ้งว่าขอไฟล์ Yearly Tracker. 2566 เวอร์ชั่นภาษาไทย จะส่งไฟล์ให้ค่ะ


ธันวาคม 08, 2565

ความสำเร็จแบบสำเร็จรูป Instant Succession !

 


ผู้เขียนตามหาความสำเร็จแบบสำเร็จรูป หรือ สูตรลับความสำเร็จมาอยู่หลายปี

พูดให้แคบลงไปกว่าเดิมคือ สูตรลับความสำเร็จบนเส้นทางสายอาร์ต นั่นแหละค่ะ

หรือจะพูดแบบสไตล์ธุรกิจ คือ แผนผัง/เส้นทางเดิน/ roadmap 

ซึ่งก้อพยายาม seach หาตาม Google หรือ Youtube หรือไม่ก้อหาตาม Facebook 😅😂55555 

ที่พูดมาอย่างนี้ไม่ใช่ว่าหาไม่เจอนะคะ.  แต่ว่า....

เจอเยอะแยะมากกมายไปหมด ....


สุดท้ายก้อรู้สึกว่า (เป็นความรู้สึกนะคะ) มันจะเข้ากันกับตัวเราไหม

ในเมื่อทุกคนมีที่มาและต้นทุนทาง Skill และ Knowledge ที่แตกต่างกัน. และที่สำคัญคือ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ขอเรียกว่า eco-system ละกันค่ะ 


ตัวผู้เขียนเองเหมือนมี passion มาเป็นต้นทุน. แต่ว่า skill ก้อมีเพียงการวาดรูปพอจะได้อยู่บ้าง. ส่วน Knowledge นี่พอจะมี. ซึ่งเก็บเกี่ยวมาจากการได้ฝึกฝน และอ่านๆๆๆๆมาเยอะพอสมควร

อย่างที่ทราบว่าเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตที่ผ่านมาหมดไปกับการทำงานยี่สิบกว่าปีแน่ะ😅

ตอนนี้เหมือนต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด  มันก้อดูแล้วเส้นทางชีวิตสายอาร์ตนี่มันเต็มไปด้วยความยากลำบากอยู่พอสมควร


ผ่านมาหลายปีอยู่. นี่ก้อน่าจะเกือบครบสี่ปีแล้ว

ยังคงวัดความสำเร็จจากตัวเลขทางรายได้ไม่ได้. เพราะมันยังไม่เป็นไปตามเป้า แต่ก้อเติบโตอย่างช้าๆค่ะ

แต่ในอีกมุมหนึ่งของการชี้วัดความสำเร็จ...ที่ไม่ใช่ตัวเงิน.  กลับเติบโตขึ้นตามลำดับอย่างมีนัยสำคัญ


ผู้เขียนได้เห็นถึงโอกาสอันหลากหลายในเส้นทางสายนี้.  

แต่ว่า....เราจะไปถึงตรงนั้นอย่างไรนี่สิ?

ถึงจะมาบอกว่าสูตรสำเร็จแบบสำเร็จรูปมันคงไม่มีจริงหรอก


เคยลองไปเรียนคอร์สต่างๆนานา. เค้าก็เอาแผนความสำเร็จส่วนตัวมาบอกเล่า.  ซึ่งจ่ายเงินค่าเรียนไปแล้วไม่มีใครการันตีได้ว่าทำตามแล้วจะสำเร็จอย่างเค้ามั้ย.  

ถ้าอยากสำเร็จ....ต้องจ่ายให้เค้าเพิ่มอีก 55555 เช่น. ค่าตรวจการบ้าน.  ค่าที่ปรึกษาส่วนตัว. ฯลฯ สารพัดวิธีการขายที่จะดึงให้เราต้องจ่าย

หากทำไม่สำเร็จ.  เค้าก้อมักจะกล่าวอ้างว่า.   ผู้เรียนไม่ได้ทำตามอย่างที่เค้าสอนทุกอย่างหรือเปล่า....

อันนี้มันก้อโวยวายกันลำบากนะคะ


สุดท้ายเราต้องเขียนลายแทงหาสมบัติของเราเอง

เราศึกษาเส้นทางของคนอื่นมันไม่ผิดหรอกค่ะ.   เรียนรู้ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของคนอื่นมันก้อช่วยให้เราไม่ผิดพลาดโดยไม่จำเป็น

ศึกษาก้อคือดูเอาไว้. แล้วเก็บไว้ในใจ

เมื่อไหร่ที่พยายามจะทำตามทุกอย่าง. อาจจะไม่ใช่วิธีที่ถูกนะคะ

เพราะไม่มีชีวิตใครที่เหมือนกันทุกอย่าง. (แม้แต่ชีวิตฝาแผด5555)


........สู้ๆค่ะ........




🌺 อ่านเพิ่มสร้างแรงบันดาลใจ :



ธันวาคม 01, 2565

ผู้รอดชีวิต

 


ใครจะไปรู้ว่า "ผู้รอดชีวิต"ในคราวนี้ จะรอดต่อไปได้ในภายภาคหน้า...อีกหรือไม่

ศรีนิลเป็นแมวตัวผู้ที่มีแววซุกซนมาตั้งแต่ตอนเป็นลูกแมวแล้วค่ะ.  ดูจากหน้าตาก้อคงจะรู้.😅   ผู้เขียนก้อสังเกตเห็นถึงความกระตือรือร้นและพละกำลังที่มีอยู่ในตัวศรีนิลอะค่ะ 

ยามกินก้อจะชอบเบียดและผลัก หรือเอาตัวมาขวางกันท่าศรีนวลให้เข้าถึงชามอาหารได้ลำบาก

ถ้าคุณผู้อ่านนึกไปถึงเวลาคนเราเล่นบาสเกตบอลแล้วฝ่ายตรงข้ามพยายามเอาตัวมากันอีกฝ่ายละก้อ. ยังไงอย่างนั้นแหละค่ะ

และผู้เขียนเห็นเช่นนี้ทุกมื้อ.  

แรกๆศรีนวลผู้อ่อนโยนเสมอจะนิ่ง  แม้จะเป็นตัวผู้เหมือนกันก้อเบียดกลับไม่ค่อยจะไหว. เพราะศรีนิลดูแรงเยอะกว่าค่ะ

พอผ่านมาสักระยะ. เมื่อศรีนวลเริ่มจะรู้ว่าสงสัยต้องออกแรงกันซะบ้าง.  ผู้เขียนเลยได้เห็นศึกแมวชนแมวกันหน้าชามอาหารล่ะค่ะ.  ศรีนิลเบียดมา. ศรีนวลก็ไม่ยอมแพ้ เรื่องกินนี่ไม่มียอม

แต่ก็คงเป็นการเบียดแบบยังมีความปราณีซึ่งกัน.  พอต่างคนได้มุมเหมาะๆแล้ว. ทีนี้เห็นว่าต่างคนต่างกินอย่างไม่สนใจอะไรในโลกนี้แล้ว

พอถึงเวลาเล่น. จะเห็นว่าลูกแมวสองพี่น้องก้อเล่นกันแบบสุดฤทธิ์. คือไล่ปล้ำกันจนเสียงตึงตังไปหมด  ผลัดกันวิ่งไล่.  พอยามพักเหนื่อย ศรีนวลและศรีนิลจะผลัดกันมาเลียหน้าเลียตา.  ดูแลซึ่งกันและกัน. 

ผู้เขียนดูแล้วก็รู้สึกซึ้งไปกับความรักที่สองพี่น้องนี้มีให้กันค่ะ เค้าทั้งคู่ไม่เคยแยกจากกันเลย


ณ วันนี้...

หลังจากการจากไปของศรีนวลอย่างถาวร...ศรีนิลนั่งหงอยๆ และครางเบาๆ พร้อมกับมาคลอเคลียใกล้ๆราวกับจะบอกว่าเค้ากลัว  เค้าเศร้า และเค้ารู้สึกเดียวดายมากๆ

ผู้เขียนเอาคลิบวีดีโอเก่าที่มีภาพเคลื่อนไหวของศรีนวลอยู่ให้ศรีนิลดู

ศรีนิลจ้องมองจอโทรศัพท์มือถือ....และร้องครางเบาๆด้วยค่ะ. 😭

ผู้เขียนเองก็รู้สึกสะท้อนใจไปด้วย

....

ยิ่งตอนผู้เขียนมาเก็บกรงเพื่อจะเก็บพับเป็นการถาวร.  เพราะไม่อยากจะมีภาพจำเกี่ยวกับร่างไร้ชีวิตของศรีนวล.   ขณะกำลังทะยอยพับทีละส่วน. ศรีนิลก้อจะเดินมาดมๆรอบๆกรง.  ดมเสร็จก้อนั่งลงไปทำเสียงหงิงๆอีกล่ะค่ะ.  เค้าคงจะยังได้กลิ่นของศรีนวลติดอยู่ตามกรงแน่ๆ

เศร้าค่ะ

มาติดตามกันต่อไปนะคะว่าศรีนิลจะ move on ต่อไปยังไง💔




🌺 ตามอ่านซีรีย์เกี่ยวกับหมาแมวและ "ครอบครัวสามศรี " ตาม Link ด้านล่างนี้ค่ะ :

พฤศจิกายน 24, 2565

วันคืนร้ายๆ

เมื่อคืนฝนตกหนัก เป็นฝนกลางฤดูหนาวที่ทิ้งช่วงมานาน ทำเอาอากาศเย็นนอนสบายไปทั้งคืน.  แต่ว่าเรื่องร้ายๆก้อบังเกิดในรุ่งเช้า

หกโมงเช้ากว่าๆแล้ว. คุณพ่อมาเคาะประตูเรียกแต่เช้า. ผู้เขียนใจคอไม่ดีเลย ตอนออกไปเปิดประตู

พ่อบอกว่าน้องศรีนวลไปแล้ว.....งูเหลือมเข้ามากินน้องถึงในกรง

แม้ว่าจะคายน้องออกมาก่อน เพราะว่ากลัวจะหนีคุณพ่อไม่ทัน.  คุณพ่อหันหลังจะไปหยิบไม้จับงูในบ้าน. พอออกมาอีกที.  งูเหลือมคายร่างไร้ชีวิตของศรีนวลออกมาแล้ว  แต่งูก้อเลื้อยหายลับไป. 

ผู้เขียนวิ่งตามคุณพ่อขึ้นไปชั้นบน.  เห็นเพียงศรีนวลนอนหลับตานิ่งสนิท.  สภาพลำตัวน่าจะถูกบีบจนลีบ. ขาหน้าลู่ติดไปกับลำตัว.  

ผู้เขียนได้แต่เจ็บจุกอยู่ในใจ. พูดออกมาได้แค่ว่า "ไปสวรรค์นะ.  ไม่น่าอายุสั้นขนาดนี้เลยศรีนวล"

คุณแม่เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ฟัง. บอกว่าศรีนิลคู่พี่น้องของศรีนวลที่อยู่ในกรงเหมือนกันนั่งกลัวตัวสั่นอยู่สุดมุมของกรง.  คงได้แต่นั่งดูภาพสยองของพี่น้องที่เคยอยู่ด้วยกันค่อยๆถูกกลืนกิน

พอคุณแม่ไปเปิดกรงเพื่อจะไล่งู.  ศรีนิลเหมือนจะนั่งตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก.  สักพักหนึ่งถึงจะกระโจนหนีออกมาทางประตูกรงได้

ศรีนิลวิ่งหนีหายไปทางหลังบ้านด้วยความกลัวสุดชีวิต

คู่พี่น้องนี้เคยใช้ชีวิตแต่ในกรงเป็นส่วนใหญ่.  เพราะความที่ยังเป็นแมวเด็ก ตอนนี้ก็น่าจะอายุแค่ 4-5 เดือนเท่านั้น ที่บ้านเพิ่งจะปล่อยให้ออกวิ่งเล่นนอกกรงในช่วงเวลาเย็นบ้าง.  พอค่ำจึงพากลับเข้าไปอยู่ในกรง. เพราะในกรงจะป้องกันอันตรายจากแมวเกเรแถวบ้านที่ชอบมาเดินวนเวียนไล่กัดแมวเล็กอยู่เป็นประจำ

เรื่องงู....เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของผู้เขียน

และแมวเด็ก ก้ออาจจะไม่เคยรู้จัก+ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกว่างู 

เพราะเข้าใจว่าแมวอยู่ในกรงเหล็กดูแข็งแรงซะอย่างนั้น 

คุณแม่เล่าว่างูมันหาช่องทางลอดเข้าไปได้.  ส่วนคุณพ่อบอกว่าตัวงูเหลือมใหญ่ขนาดเท่าแขนคุณพ่อ.  ถ้ามันไม่ชิงคายน้องศรีนวลออกมาก่อน.  มันจะลอดกลับออกไปไม่ได้

.....





ผู้เขียนนิ่งมองศรีนวลในสภาพนั้นอยู่พักใหญ่

ในหัวใจแตกสลาย...

ถึงแม้ศรีนวลเป็นแค่แมวน้อยหนึ่งตัว  แต่ศรีนวลมีความน่ารัก.  เรียบร้อย. ไม่ค่อยจะซุกซน มีความแสนรู้ประสาสัตว์ที่รู้ว่าใครคือเจ้าของ.  รู้จักที่จะขอความรักความเมตตา  

ภาพเมื่อวันก่อนที่ศรีนวลมาร้องเรียกผู้เขียนที่หน้าห้องทำงานย้อนเข้ามาในความคิดอีกล่ะค่ะ

ศรีนวลเป็นแมวตัวโปรดของผู้เขียน.  

คงจะเก็บเรื่องราวของศรีนวลเอาไว้ในหัวใจเสมอ   วันนี้รู้สึกเศร้ามากๆ...ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานเลยค่ะ

ทั้งที่เมื่อคืนยังบ่นใน Vlog ของตัวเองอยู่เลย ว่าชีวิตเราต้องทำงานๆๆๆๆๆมากๆๆๆๆ แต่วันนี้หมดแรงแล้ว

.....

ยังมีรูปถ่ายกับวีดีโอคลิปไม่กี่อันที่บังเอิญบันทึกเอาไว้ตอนพาสองศรีพี่น้อง (ศรีนิลและศรีนวล) ไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีน

เปิดคลิบดู....ยิ่งร้าวรานใจ

ทำไมโชคชะตาถึงได้พัดพาให้สิ่งที่เรารักจากไปหมดล่ะ....

ที่ผ่านมาก้อว่าเป็นวันร้ายๆแล้ว

เหมือนวันนี้จะร้ายยิ่งกว่า...

ฉันคิดถึงเธอ แมวน้อย...เราเคยได้ใช้เวลาดีๆร่วมกัน...คิดถึงเสียงเล็กๆที่เธอร้องเรียก 

คิดถึงเธอมากมาย   ขอให้เธอไปดีนะ...

😭






📌------- อ่านเพิ่มเติม-------- 📌 

สิงหาคม 31, 2565

บางทีเราเห็นตัวเองจากการเห็นคนอื่นเหมือนกันนะ




เคยได้ยินมั้ยว่าคนเรามี "ตาใน" กับ "ตานอก"

แต่คนเรามักจะลืมใช้ "ตาใน" เพราะคุ้นเคยกับการใช้ "ตานอก" มากกว่า

คำว่า "ตาใน" ที่กำลังพูดถึงอยู่ หมายถึง ความคิดหรือสติสัมปชัญญะน่ะแหละค่ะ

วันนี้นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่าน. เลยจะมาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการมองตัวเองกันบ้าง

ส่วนมากการใช้ชีวิตของคนเราใช้ ตาเนื้อ หรือ ตานอก หรือ การใช้สายตา ถ้าเป็นทางธรรมมะก็จะบอกว่าเป็นการเห็นด้วยประสาทสัมผัส. ทำให้บางทีเราก็ไม่ค่อยจะได้มีเวลามานั่งสำรวจตัวเอง หรือมองตัวเองกันบ้างว่าตัวเราเองเป็นอย่างไร

ข้อเสีย ข้อบกพร่อง ของตัวเองบางทีเราก็ไม่ค่อยอยากจะรับรู้. 

แต่พอเราเห็นคนอื่นกำลังมีพฤติกรรมเดียวกันกับเรา. เราจะรับรู้ได้ทันทีว่า "เฮ้ย. เหมือนเราเลยว่ะ" หรือ "ถ้าเป็นเรา เราก็จะทำอย่างเดียวกันอย่างนั้นแหละ"

พอมาถึงจุดนี้ จิตจะสว่างแวบขึ้นมา. 

คือ. นั่นมันเหมือนตัวเราเลยเนอะ.  

เหมือนเอาจิตตัวเองไปส่องกระจกได้ยังไงยังงั้น. 

ปกติส่องกระจกกันใช่ป่าวคะ.  เราเห็นกันแต่ภายนอกเนอะ

แต่ส่องกระจกจิตด้านในนี่เราต้องหมั่นใคร่ครวญ ตรวจทานตัวเองเรื่อยๆเหมือนกันนะคะ. แหม...วันนี้เขียนออกแนวจิตวิทยาไปซะแล้วสิ

เห็นอะไรแล้วก็ต้องรีบวาง

หมายถึงว่า. ไม่เก็บไปเป็นอารมณ์. 

ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนคิดมากเกิน5555  หรือคนหมกมุ่น. ซึ่งก้อไม่ดีค่ะ

วันนี้มาฝากไว้แค่นี้ล่ะค่ะ คุณผู้อ่าน :)


สิงหาคม 24, 2565

เปิดร้านขายของออนไลน์อย่างงงๆ

 


หลังจากที่เวลาเริ่มจะผ่านไปนานมากขึ้น.  รู้สึกว่าตัวเองเจ็บปวดน้อยลงกับสิ่งที่มีและเป็นอยู่ในปัจจุบัน

เป็นเพราะว่าถ้าทำดีที่สุดแล้ว. มันก้อได้แค่ไหนก้อต้องแค่นั้นจริงๆแหละชีวิต

หลายอย่างที่ทำไปอาจจะดูไม่รุ่งโรจน์ซะเท่าไหร่  แต่ก็เป็นการทำในสิ่งที่อยากทำ ทุ่มเทจิตใจและแรงกายไปกับสิ่งเหล่านั้น.  เรียกได้ว่าทุ่มหมดทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เลยทีเดียว

ในวันนี้เริ่มจะมีเรื่องดีๆเกิดกับชีวิตศิลปินอย่างเราบ้างซะแล้ว.  ได้รับโอกาสในการทำงานแนวใหม่ๆ.  นำเอาความรู้และทักษะที่พอจะมีมาทำงานเชิง commercial แบบเต็มตัว

โปรเจ็คที่ว่าคือการทำร้านขายสินค้าออนไลน์นั่นแหละค่ะ.   ตอนที่ตอบรับงานนี้ไปก็นึกกลัวๆอยู่บ้างเหมือนกันว่าจะทำได้ป่าววะเรา.  เคยแค่เป็นฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลมาซะนานหลายปี.  ไม่เคยขายของกับเค้าแบบจริงๆจังๆ  แต่ก็เอาล่ะนะ. ประเมินสถานการณ์แล้วน่าจะพอไหว. 

ตอนนี้ร้าน Go Live ออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว.  แบบว่าเหนื่อยขาดใจ...5555 แต่สนุกและภูมิใจมาก

ไถๆดูหน้าร้านแล้วเป็นปลื้มมมมม

ทำทุกอย่างคนเดียว. ตั้งแต่ถ่ายภาพสินค้า.   รีทัชแสง. ลบจุด ลบรอยต่างๆนานา จนประกอบเข้าเป็นภาพกราฟฟิก ซึ่งต้องมีทั้งงานทำตัวอักษร. คิดคำบรรยายสินค้า. ทำ Banner ร้านค้า ฯลฯ และต้องร้อยเรียงภาพเป็นร้อยๆภาพ upload ขึ้นระบบ. ปรับแต่งทุกอย่างให้สวยงามเข้าที่เข้าทาง

ถือเป็นโปรเจ็คขนาดใหญ่ทีเดียวค่ะ

สินค้า 1 ชิ้น ต้องใช้ภาพอย่างน้อย 6-8 ภาพ. คิดดูว่าสินค้ามีเป็นหลักร้อยชิ้น....ต้องบริหารจัดการภาพและงานกราฟฟิกต่างๆอย่างมหาศาล

และต้องคุมการใช้สีและองค์ประกอบต่างๆ หรือที่เรียกว่า CI Coporate Identity หรือว่า Branding ด้วยล่ะ. ให้งานออกมามันดูเป็น set เดียวกัน 

ตอนที่ทำมีทั้งแบบที่ลองแล้วไม่ work ต้องทำใหม่. ถ่ายรูปใหม่ทั้งหมด แก้ใหม่. ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสิ่งที่ไม่เคยทำ 

ช่วงที่ผ่านมาเลยหักโหมไปหน่อย. ออกอาการปวดหลัง. เพราะว่านั่งนาน

ไปๆมาๆเลยจับพลัดจับผลูต้องเปิดร้านเองไปด้วย.  ด้วยความที่ว่าจะได้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลยว่ามันเป็นยังไง. 55555 เป็นการเปิดร้านแบบงงๆ  ยังไงก้อจะได้ประสบการณ์ไปในตัว. เพราะไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกการจัดส่ง  การแพคกิ้ง  การบริหารสินค้าคงคลัง. การบริการหลังการขาย. และการทำการตลาด

เคยแต่เป็นคนซื้อจ้าาา

ผู้อ่านอยากรู้หรือยังคะว่าผู้เขียนขายอะไร5555

ผู้เขียนขายหนังสือมือสองค่ะ.  คือที่บ้านไม่มีที่จะเก็บหนังสือเพราะขยันซื้อ  จึงต้องเอามาปล่อยของซะบ้างงง.  ทั้งที่มันก็บาดใจอยู่ลึกๆ. ผู้เขียนเป็นคนรักหนังสือ  ต้องเอาหนังสือมาขายนี่ไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่หรอกค่ะ

แต่พอมาคิดใหม่ว่าอาจจะมีคนอยากได้หนังสือที่สภาพยังดีและราคาถูกกว่าราคาปก. บางเล่มเป็นหนังสือภาษาอังกฤษภาพสวยๆ กว่าจะได้มาก็ยาก. ส่วนใหญ่แต่ก่อนจะสั่งมาจากทาง amazon.com สมัยนั้นยังไม่มีการเก็บภาษีต่างๆนานามากมาย.  ค่าเงินก็ยังไม่แพงเท่าเดี๋ยวนี้.  บางทีหนังสือไม่ได้พิมพ์ขึ้นมาใหม่อีกแล้วด้วย

ความใฝ่ฝันที่ว่าอยากจะได้มีห้องหนังสือใหญ่ๆเป็นของตัวเองก้อคงจะเป็นฝันสลายล่ะค่ะ

หลายๆอย่างเป็นฝันสลายตั้งแต่ early retired จากงานมาแล้วนั่นแหละ

ตั้งแต่วันนั้น. จนถึงวันนี้ก้อได้ผ่านอะไรมามากมาย. พยายามไม่คิดมาก. ลงมือทำดีกว่า

ชีวิตไม่ต้องอะไรกับมันมากมาย....เพราะพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว.  

ทุกอย่างต้องผันผ่านไปค่ะ...สู้ๆๆๆๆๆ


 

สิงหาคม 17, 2565

สายมูต้องมา...ว่ากันว่าต่อจากนี้ชีวิตจะดีขึ้น

 


ตั้งแต่ออกจากงานมาก็เพิ่งจะได้ดูดวงไปครั้งสองครั้ง  คุณผู้อ่านดูดวงกันบ่อยมั้ยคะ

ผู้เขียนชอบดูดวงเพื่อจะเป็นกำลังใจให้ตัวเอง.  แต่ก้อเคยเจอหมอดูที่ไปดูแล้วทำให้รู้สึกแย่ลงกว่าเดิมเหมือนกันค่ะ

จะไปว่าหมอดูเค้าก้อไม่ได้เนอะ. เค้าอาจจะพูดตามตำรา. ซึ่งมันไม่ตรงกับความคาดหวังของเรา งานนี้คงไม่ได้เป็นความผิดของใคร

เดี๋ยวนี้ศาสตร์หมอดูแผ่ขยายไปกว้างขวาง  มีการดูไพ่ชื่อแปลกๆมากมาย. ซึ่งในยุคที่ผู้เขียนเติบโตมาก้อจะรู้จักแค่ไพ่ยิบซี.  กราฟชีวิต.  ดูลายมือ. เพียงประมาณนี้เท่านั้น

สมัยก่อนจะต้องไปดูหมอด้วยตนเอง. เดี๋ยวนี้ก้อดูแบบวีดีโอคอลได้ด้วยซะอีก. แสนสะดวกสบาย

ดูมาแล้วหลายหมอ. บางมิติของชีวิตผู้เขียน.  หมอดูทุกคนเกือบจะพูดเหมือนกันหมดว่า "แย่".  แต่ในอีกมิติชีวิตเช่น เรื่องการงาน. หลายหมอดูบอก "ไปได้ดี แต่ต้องเหนื่อยก่อนนะ"

ไม่เห็นมีใครเคยพูดเรื่องต้องมีการตกงานนานๆอย่างนี้ซักคน

มีเพื่อนสมัยเรียนหนังสือด้วยกันคนนึง. นางก้อตกงานเนื่องจากวิกฤตการณ์โควิทนี่หละ. ชีวิตพลิกผันไปเป็นหมอดูซะงั้น.  เลยถือโอกาสอุดหนุนกิจการหมอดูของเพื่อน ให้เพื่อนดูดวงให้

พูดไปนางก้อดูเรื่องเหตุการณ์ในอดีตแม่นซะจนน่าตกใจ  ภาวนาว่าเรื่องที่นางทายอนาคตผู้เขียนเอาไว้. ก้อขอให้แม่นด้วยละกัน5555

ตอนนี้นางได้กลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง. ได้ทำงานที่นางชอบซะแล้ว.  ดีใจกับนางด้วยจริงๆ

นอกจากจ่ายค่าครูให้นางแล้ว. ผู้เขียนยังออกแบบ banner facebook fanpage ให้นางใช้สำหรับโปรโมทตัวเองอีกด้วย. ตามภาพด้านบนนั่นแหละค่ะ.  นางชอบใจยกใหญ่

นางเล่าประสบการณ์ในอาชีพหมอดูให้ฟังยาวเหยียด. ฟังแล้วน่าสนุก. คนเป็นหมอดูนี่คงต้องจำเก่งเนอะ.  จำตำราเล่มหนาๆได้.  ซึ่งผู้เขียนคงจะไม่เหมาะหรอก5555. เพราะไม่ชอบท่องจำ. ชอบการ improvise 555

ไม่แค่เพื่อนหมอดูจะบอกว่าตอนนี้ดวงชะตาจะเริ่มดีขึ้นแล้ว. เพราะราหูคลี่คลาย.  จะมีลาภะ ดาวนี่นั่นมาเจอกัน.  ฯลฯ และดูจากในช่อง youtube อาจารย์ทั้งหลายช่องก้อพูดสอดคล้องกันว่า  ชาวราศีเราชีวิตจะดี+โดดเด่น เฮงๆๆๆสุดๆในปีนี้

เฮ้อ....คงจะขอให้มันเป็นจริงนะคะ

แล้วจะเล่าให้คุณผู้อ่านฟังถ้ามีอะไรดีๆในชีวิตเข้ามาจริงๆ

อย่างไรก้อแล้วแต่...ผู้เขียนคิดว่าเราควรต้องหาเรื่องดีๆในสิ่งร้ายๆให้เจอ. 

ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะขอบคุณวันนี้ที่ชีวิตเราต้องลำบาก. มันทำให้เราแข็งแกร่ง. และต้องปรับตัว-ปรับใจมากมาย

มันจะนำพาเราไปสู่สิ่งใหม่ดีๆที่เราไม่เคยคิดก้อเป็นได้

และเมื่อเราเหลียวมองกลับมาเห็นตัวเราในวันนี้....เราคงจะหัวเราะความบ้าบิ่นของตัวเอง. ที่กระโจนเข้าสู่เส้นทางสายอาร์ตๆ แบบหลังชนฝาอย่างนี้

สู้แบบหมดใจ. เต็มที่. แม้บางทีท้อแท้. และความหวังเริ่มริบหรี่

ชีวิตคงจะดีขึ้นไม่ได้.  ถ้าเราอยู่เฉยๆค่ะ.  

เพราะฉะนั้น..."ลิขิตฟ้า หรือจะสู้น้ำมือตน"

:)






สิงหาคม 10, 2565

เมื่อคนเราอิ่มใจ...แต่ไม่อิ่มท้อง



ชีวิตมันก้อเป็นซะอย่างนี้เนอะ... พอได้ทำงานที่ชอบ. ก้อกลับต้องมาปวดหัวกับเรื่องกินเรื่องใช้

ตอนนี้เริ่มจะกลายเป็น graphic designer เต็มตัว เพราะว่ารับทำงานวาง layout ทำ artwork แล้วได้เงินเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาบ้าง

อย่างไรแล้วคงจะดีกว่าทำแต่งาน stock photo แต่เพียงอย่างเดียว

คือจริงๆก้อต้องขอบคุณงาน stock photo ด้วยล่ะค่ะ. ที่เป็นจุดเริ่มต้นของผู้เขียน. ในการก้าวเดินเข้ามาในสายอาชีพใหม่.  

ทำให้มีความรู้เรื่องของ Photoshop และ Lightroom  อีกทั้งเข้าใจเรื่องแสงและเงา ขึ้นมา ทั้งที่แต่ก่อนไม่รู้เรื่องเลยก้อว่าได้. 

จากเรื่องงานภาพถ่าย ผู้เขียนยังทำพวกงานภาพประกอบอีกด้วย คราวนี้เลยมีทักษะการใช้โปรแกรม Illustrator และทำไป-ทำมา. ลองเอางานภาพถ่ายมาผสมกับงานภาพประกอบ. คราวนี้เลยมีอะไรสนุกๆตามมาอีกเยอะไปหมด. รวมแล้วประมาณว่ามันคืองาน graphic design แหละค่ะ

เปรียบประดุจว่างานพวก stock ทั้งหลายแหล่เป็นดั่งชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน. ผลิตวัตถุดิบออกมาสู่ท้องตลาดเป็นภาพถ่าย เป็นภาพ elements ต่างๆนานามากมาย ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข อิ่มเอมใจ. ยิ่งเวลาขายได้ละก้อจะมีความสุขมากขึ้นไปอีก

ทว่าถ้าไม่ได้ขายผลผลิตออกไปสู่ท้องตลาดด้วยตนเองเราก้อจะได้ราคาผ่าน Agent คือผ่าน platform ที่เค้ามารับเหมาโหลงานเราไปสู่ลูกค้าตัวจริง. 

ซึ่งราคาผ่านนายหน้า หรือผ่านตัวกลางเราก้อจะได้เงินเพียงน้อยหนึ่งเท่านั้น

เค้านึกจะปรับลดโครงสร้างราคา หรือจะทำยังไงกับผลผลิตเราก้อได้ 

คนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จก็มีอยู่นะคะ. แต่ไม่ใช่เราในตอนนี้5555

อาจจะเพราะเราเป็นพวกอินดี้. ไม่ชอบทำตามกระแสขายดี.  5555 

จริงๆแล้วที่ไม่อยากทำแนวที่คนอื่นทำแล้วรวยเพราะรู้สึกว่ามันเหมือนลอกกันยังไงชอบกลค่ะ.  เวลาลองไปเปิดดู portfolio ของคนที่ทำงานด้านนี้.  บางทีภาพมันดูคล้ายๆกันไปหมด ราวกับเป็นแนวประจำชาติไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย

ก้อเลยทำตามแนวที่คิดว่าตัวเองชอบไปก่อน.  สุดท้ายได้แต่ความอิ่มใจ....รายได้ไม่เพียงพออยู่ดี ถือว่าเป็นข้อคิดสำหรับคนอีกหลายคนในวงการนี้  ว่าอยากจะทำแนวไหนค่ะ

คราวนี้พอมานั่งคิดดูใหม่. เอาทักษะที่บ่มเพาะมาใช้ในงานแปรรูปผลผลิตจะดีกว่าไหม  ตัวอย่างเช่น. เกษตรกรเอาพืชผลมาแปรรูป. เช่น จากมะนาว  ไปเป็นมะนาวดองใส่ขวด  จัดทำหีบห่อให้ดูดี  จะขายได้ราคาดีกว่าขายพืชผลแบบเหมาเป็นคันรถ

ฉันใดก้อฉันนั้น...จึงคิดว่ามาทำงานด้าน graphic design ด้วยอีกทางหนึ่งไปซะเลย. ไหนๆก้อมาทางนี้เต็มตัวแล้วเนี่ย


มีเรื่องงงๆขำๆตามประสาคนเพิ่งเข้าสู่การเป็น graphic designer คือ การตั้งราคาชิ้นงานนี่แหละ.  ไม่รู้จะตั้งอย่างไรให้เหมาะสม. 555

เมื่อล่าสุดรับงานของเพื่อนมาทำ. บอกราคาเพื่อนไป.  ก้อราคาแบบเพื่อนด้วยส่วนนึง. กับอีกส่วนคือเรารู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรเยอะ. เพราะมันง่ายยยยยแสนง่ายในแบบของเราไง

พอถึงเวลาส่งงานและรับเงิน. เพื่อนโอนมาให้ซะแบบทำไมเยอะจังงงง. ฮ่าาาา

เพื่อนบอกเคยจ้างคนอื่นมามันไม่ใช่ราคาที่เราบอกอะสิ.  เลยจ่ายมาให้ตามที่ควรจะเป็น

สรุปว่าปัญหาใหม่คือเรื่องการกำหนดราคางานนี่หละ.  คงจะต้องคิดให้เหมาะสมต่อไป

เฮ้อ....สู้กันต่อไปค่ะ

:)




สิงหาคม 04, 2565

วันแมวๆ

 


ช่วงนี้วุ่นวายอยู่กับพวกแมวๆที่บ้านค่ะ

จริงๆแล้วที่บ้านไม่ได้ตั้งใจจะมีสัตว์เลี้ยงเลย  นับตั้งแต่น้องหมาตัวก่อนหน้านี้ไปสวรรค์เพราะความชราภาพ. ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากจะเสียใจเวลามันตายจากไป และทางคุณแม่ก้อบอกว่าสัตว์เลี้ยงนี่มันเป็นภาระสำหรับท่าน  (น้องหมาสร้างวีรกรรมโหดๆไว้เยอะค่ะ)

อันนี้ต้องฟังเสียงคุณแม่เป็นหลัก. เพราะท่านเป็นผู้รับผิดชอบหลักเวลามีสัตว์เลี้ยงในบ้าน. ท่านต้องคอยให้ข้าวให้น้ำ. ตอนนี้ก้อรู้สึกว่าท่านอายุมากขึ้นตามลำดับ. ไม่อยากให้ท่านเหนื่อย  และท่านชอบบ่นๆว่าชอบปลูกต้นไม้มากกว่าเลี้ยงสัตว์

แม้ปากท่านจะบอกไม่อยากเลี้ยง. แต่เวลามีหมาแมวมาทำท่าขอข้าวกินทีไร.  เห็นท่านจะอดสงสารไม่ได้. หยิบโยนอาหารให้มันซะเป็นส่วนใหญ่.  เลยทำให้ท้ายสุดก้อต้องมีแมวจร.มาเดินวนเวียนเป็นพักๆอยู่ดี.  ทว่ามาแล้วไป. ไม่ได้ถือว่าเป็นสมาชิกในบ้านแต่อย่างใด เพราะมาแล้วไป

ตั้งแต่เมื่อปลายปี. มีแมวจรเพศเมียคาบลูกแมวน่าจะอายุประมาณ 1 เดือน ลูกแมวสองตัวแน่ะ.  มาเดินวนเวียนที่บ้าน ราวกับว่าจะหาที่ "ปล่อยของ" 555  

นางเดินวนเวียนเหมือนพาลูกมาเล่น.   มาวันเว้นวัน.  บางช่วงมาทุกวัน. ถ้าไปไล่มัน มันก้อจะหายไปครึ่งวัน. แต่รุ่งขึ้นมาใหม่. เป็นเช่นนี้แหละ

จนในที่สุดมันเอาลูกมาปล่อยทิ้งไว้ถาวร.  ตัวนางเดินหายไปไม่กลับมาให้เห็นอีกแหละค่ะ. เฮ้อ

ที่บ้านเลยไม่รู้จะทำไงได้.  เห็นลูกแมวหน้าตาแบ๊วๆ.  ไม่มีอะไรกิน. เดินไปเดินมาเพราะหาแม่ไม่เจอแล้ว ทำไงดี...เลยต้องให้อะไรมันกิน. คราวนี้เลยเหมือนจับพลัดจับผลูต้องเลี้ยงไปโดยปริยาย

เจ้าเหมียวเติบโตขึ้นตามลำดับค่ะ  ตอนนี้น่าจะอายุได้ 8 เดือน. อุปนิสัยขี้กลัว.  ชอบอยู่ใกล้ๆคน. ไม่เดินเตร็ดเตร่ไปไหนเลย. วันๆนั่งๆนอนๆอยู่แต่ในบ้าน.  เวลาใครมาก้อจะชอบทักทายและเอาใจด้วยการหงายท้องให้ชมซะงั้น

พูดถึงก้อทำให้รู้สึกเครียดน้อยลงไปหน่อยค่ะ. เวลากลุ้มๆกับชีวิต. ก้อไปเล่นเกาพุงน้องแมว. ฮ่าาาา

เกิดมาไม่เคยเลี้ยงแมวเลยยยยย

ตอนนี้ต้องหาข้อมูลยกใหญ่ค่ะ.  และเริ่มต้องซื้อพวกอาหารเม็ด กับพวกเฟอร์นิเจอร์ accessories ต่างๆนานา. เช่น.  พวกที่นอน. กระบะทราย. ฯลฯ ให้แมวด้วยละสิ

ไหนจะต้องพาไปฉีดยาและทำหมัน

สรุปว่าเสียตังค์อีกงานนี้.  

คือได้ยินคุณพ่อคุยเล่นกับแมว.  คุณแม่ก้อบ่นว่าแมวด้วยน้ำเสียงเอ็นดู  เวลาไปทานอาหารนอกบ้านก้อจะเก็บอาหารเหลือมาเผื่อแมวเหมียว  เหมือนเจ้าแมวนี่เป็นสมาชิกในบ้านเลย.  ผู้เขียนจึงต้องช่วยแบ่งเบาภาระคุณพ่อคุณแม่ในการดูแลสัตว์เลี้ยงไปด้วย.  ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วคนเกษียณอย่างเราก้ออยู่อย่างระวังเรื่องค่าใช้จ่ายมากอยู่แล้ว.  แต่เห็นทางบ้านดูมีความสุข. จึงคิดว่าอะไรพอจะทำได้ก้อจะทำค่ะ

โชคดีที่เจ้าเหมียวตัวนี้ไม่กลัวกล้องถ่ายรูป. 55555.  Post ท่าสู้กล้องได้ตลอด. เลยถ่ายรูปแมวได้อย่างสบาย



เรื่องราววันแมวๆก้อมาเอวังด้วยประการละฉะนี้.  สงสารแมว. และสงสารตัวเองไปด้วยล่ะค่ะ งานนี้...555







กรกฎาคม 21, 2565

Promotion ลดราคา E-book ลดรับเงินเฟ้อ 1 สัปดาห์

 



สภาพเศรษฐกิจช่วงนี้เป็นอะไรที่รู้กันดีอยู่ว่า "อยู่ยาก" โดยเฉพาะคนไม่มีรายได้. คนเกษียณแล้ว. คนไม่ได้ทำงานประจำอย่างเรา

ลองคิดดู. พฤติกรรมของแพง หรือ ของขึ้นราคานั่นมันมีพฤติกรรมสองแบบ คือ ขึ้นราคาแบบโจ่งแจ้ง. กับแอบๆขึ้น. คือ ลูกค้าเหมือนจะจ่ายเงินเท่าเดิม แต่ปริมาณของที่เคยได้จะลดลง

ผู้เขียนซื้ออาหารจากร้านหนึ่งเป็นประจำ.  ปลาทูทอดตัวเล็กลงกว่าเดิม. แต่ราคาเท่ากับที่เคยจ่ายค่ะ

ไม่แม้แต่ปีกไก่กลางทอด. แต่ก่อนเวลาซื้อจะนับชิ้นได้ 6. ชิ้น.ในกล่อง ตั้งแต่น้ำมันขึ้นราคาเนี่ยก็หนึ่งกล่อง. เจอไก่ทอดแค่ 5 ชิ้น

เรื่องน้ำมันขึ้นราคา ของแพงตามๆกันเป็นที่เข้าใจ

แต่ว่าพอราคาน้ำมันลง แต่ราคาข้าวของไม่ลงมาอีกนั่นหละ ที่ไม่อยากจะยอมรับ

ขอบ่นๆเรื่องของแพงซะหน่อย. คิดแล้วก็ต้องอดทนกันต่อไป. รู้สึกเงินทุนรอนที่เป็นบุญเก่าจะหดลงไปเรื่อยๆจนใจหายแล้วหายอีก.  นี่มันคือชีวิตจริงคนเกษียณที่ไร้บำนาญ

ชีวิตเหมือนโดนล้มกระดาน.  เริ่มใหม่หมด....

จึงเป็นที่มาขอโปรลดรับเงินเฟ้ออออออ.  55555. ช่วยคนรักการอ่านบ้างอะนะ

ลงมือสร้างสรรค์โปสเตอร์อลังการงานสร้างเช่นนี้   อย่าพลาดกันนะคะ  :)


พร้อม Download ไว้อ่านได้แล้ววันนี้ :


เรื่องสั้นแนวดราม่าเกี่ยวกับชีวิตคู่ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ประสบปัญหาสามีนอกใจ. 


เมื่อทุกชีวิตต่างแสวงหาความสุข-ความสมหวังในชีวิตคู่ โดยคาดหวังถึงความซื่อสัตย์จากคู่ของตน. 


แต่ในเมื่อคู่ของเรานั้นก้อเป็นมนุษย์ธรรมดาเฉกเช่นเรา. จึงไม่อาจจะหวังได้ว่าเค้าจะเหมือนเดิมตลอดไป







กรกฎาคม 07, 2565

ทบทวนชีวิต ไตรมาสที่ 3 ปักหมุดไมล์ใหม่

 



คิดๆดูแล้วบางทีชีวิตก้อเป็นเรื่องตลก  ที่ตลกก้อเพราะมันพลิกผันกันได้ง่ายดายจนราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง

ใครจะไปรู้ว่าวันนี้เรากลายมาเป็นคนสร้างสรรค์งานอาร์ตไปแล้วจริงๆ.  ไม่ใช่เพียงแค่สร้างสรรค์เพราะใจต้องการจะทำ.  แต่สร้างสรรค์และต้องหาเลี้ยงชีพให้ได้อีกด้วย

บ่อยๆที่เรายังแอบเจ็บจี๊ดว่าเคยมีรายได้เท่าไหร่   ยิ่งคิดถึงสิ่งที่ผ่านพ้นไปยิ่งทำให้จิตตกไปซะเปล่าๆ. ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตในปัจจุบันดีขึ้น

เราเคยเป็นคนทำงานเยอะ   ความหมายคือรับผิดชอบอะไรหลายๆอย่างพร้อมๆกันจนล้นมือ.  และนั่นคงเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทำงานรับจ้าง หรือเป็นมนุษย์เงินเดือนนั่นแหละ. เรารู้สึกว่ายิ่งอายุงานนานๆไป องค์กรอาจจะลืมไปว่าเคยให้เราทำอะไรไปแล้วบ้าง.  องค์กรไม่สามารถจะหยุดนิ่งได้. เพราะการแข่งขันในเชิงธุรกิจไม่เคยหยุดเช่นเดียวกัน.  ดังนั้นเราจึงต้องน้อมรับงานใหม่และงานเก่าที่พร้อมจะเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องรายได้ที่เคยได้คงต้องมามองมุมใหม่กันหน่อย

เราคงต้องเอามาเป็นเป้าหมายในใจว่าซักวันจะต้องหาให้ได้เท่าเดิมให้จงได้.  จะได้มีพลังในการต่อสู้ต่อไป

เรื่องที่ต้องระมัดระวังคือ...บางทีเราผูกตัวเองไว้กับตัวเลขมากเกินไป. เราก้อจะเครียด.  

อย่าไปทำชีวิตตอนนี้ให้เหมือนกับชีวิตตอนเป็นพนักงาน

ที่ต้องทำตัวให้ได้ตาม KPIs ที่ต้องทำนี่-นั่น-โน่น ให้ได้ตามเป้าตัวเลขต่างๆนานา ของหน่วยงาน หรือขององค์กร ต้อง Achieve กิจกรรมหลักให้ได้เท่านั้นเท่านี้

การมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเงินเสมอไป. อย่าหลงทางทีเดียวนะเรา...

เรารู้สึกว่าตอนนี้เรามีความสุขกับการทำงานในสิ่งที่เราชอบ

แต่นั่นหละ.  เรายังต้องกินต้องใช้ และดูแลครอบครัว. เราอาจจะมีความสุขกับปัจจุบัน และอนาคตถ้าจะให้ไม่เปิดตาดูเลยคงจะเป็นไปไม่ได้

เรื่องที่เรากังวลจึงมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคต ที่เราไม่รู้ และยังมาไม่ถึงนั่นเอง...

เราไม่รู้อนาคต. เราได้ทำทุกวันอย่างเต็มที่.  ทำงานสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ. มันก้อจะวนๆอยู่กับงานถ่ายภาพ. งานวาด  ถ้าเอาออกมาแตกย่อยเป็นเรื่องๆ ก้อแตกออกไปเป็นสินค้าหลายประเภทอยู่เหมือนกัน  มันขึ้นอยู่กับว่างานที่เราทำออกมาแล้วจะไปสร้างต่อเป็นสินค้าอะไรต่อไป

ตอนนี้รู้สึกว่าทักษะพัฒนาขึ้นมาในระดับหนึ่ง. สามารถรับงาน graphic design ได้แล้ว. หาเงินได้บ้างแล้ว. เรียกตัวเองว่าเป็น graphic designer และ photographer ได้อย่างเต็มตัว

ส่วนงานเขียนหนังสือ. บอกจากใจว่ายังอยากทำอยู่.  แต่เวลาไม่เหลือ5555

กลายเป็นว่าเอาความอยากทำงานด้านการเขียนมาทำ content ไปก่อน

ก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2565 แล้วนะเนี่ย... มองดูแล้วชีวิตเราก้อมีความก้าวหน้ามากขึ้น. แม้ว่ารายได้จะโตช้าเป็นหอยทาก ฮ่าาาา. คือ. ช้ายิ่งกว่าเต่าอีกอะค่ะ

แต่อันนี้ไม่ได้มานั่งปลอบใจตัวเองนะ. ถ้าเป็นกราฟจะเห็นว่ามัน Growth ยกหัวขึ้นแฮะ. ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี

เราก้อได้แต่สู้ไม่ถอยค่ะ.  (เพราะถอยไม่ได้แล้ว. ถอยคือตกเหว)

สู้เต็มที่ค่ะทุกคน...ฮึบๆๆๆ


มีนาคม 30, 2565

ก้าวเดินต่อไป (แม้จะเหนื่อย)

 


บนหนทางแห่งการเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆของตัวเองนั้นมันช่างแสนเหนื่อยจังเนอะ...

รู้สึกว่าที่เหนื่อย  ส่วนหนึ่งก้อน่าจะเป็นความคิดของตัวเองนี่หละ ที่ทำให้มันเป็นอย่างนั้น

ทำไมน่ะเหรอคะ... ความคิดของตัวเราเองที่จริงจังมุ่งมั่น. นี่หละทำให้เครียด

เพราะว่าเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมาก่อนหน้าอยู่แล้ว.  หมายถึงว่าตอนทำงานเป็นมนุษย์ออฟฟิศก้อเป็นพวกทำงานเยอะอยู่.   คล้ายๆพวกทำอะไรแล้วต้องทำให้ดี.  ใช้ความพยายามเท่าที่จะมีภายใต้สติปัญญาและความรู้ของตัวเอง เรื่อง Hard side จึงหายห่วง คือ ทำดะไปได้ทุกเรื่อง

แต่ตอนนั้นมันจะเหนื่อยเรื่องของวงการสังคม. การเมือง. ความสัมพันธ์ต่างๆนานาในโลกของมนุษย์เงินเดือน ความที่ว่าเนื้องานและตำแหน่งที่ทำงานอยู่ทำให้ต้องรู้เห็นอะไรหลายอย่างที่บางทีไม่ได้สวยงามไปซะทุกเรื่อง.  เอาเป็นว่าด้าน soft side ของงานทำให้เครียด

ทว่าตอนนี้ทุกอย่างถอยกลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้นซะงั้น

เหมือนทอยลูกเต๋าบนเกมเศรษฐีแล้วได้ใบที่บอกว่า "กลับไปจุดเริ่มต้น" 55555

นี่มันคือชะตาชีวิตของเรารึนี่

กลับไปเริ่มใหม่. โลกใบใหม่  เดินใหม่.... พยายามใหม่.  ก้อเหนื่อยอะสิคะ. 

รู้สึกทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมาต้องบอกตัวเองทุกวัน ว่าต้องอดทนนะ.  พยายามต่อไปนะ

มีคนพูดเอาไว้น่าฟังว่า "ถ้าหยุดตอนนี้ก้อเท่ากับ ศูนย์. แต่ถ้าทำต่อไปอาจจะสำเร็จนะ"

นั่นสิ... หยุดไม่ได้.  และไม่ได้อยากหยุดด้วย

เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ. เปิดรับตลอด. มันเลยเหนื่อยค่ะ.  เพราะว่าเห็นโอกาสอยู่ตลอดเวลา. และพยายามจะวิ่งตาม.  วิ่งตามหาตัวเลข5555

เศรษฐกิจชะลอตัว.  เงินเฟ้อสูงลิบลิ่ว.  น้ำมันแพง. ข้าวของแพง. สิ่งเหล่านี้เข้ามากดดันเข้าไปอีก

เราต้องต่อสู้. ต้องฝ่าฟัน. มีดาบอยู่ในมือแล้ว.  คือ Passion. ทำสิ่งที่รักที่ชอบทุกวัน

ฉันจะวาดรูปต่อไป. ฉันจะทำงาน art ต่อไป 

บอกตัวเอง. ถ้าเรากำลังเหนื่อย. เราก้อคงต้องพักบ้าง.  ไม่มีใครว่าอะไรหรอก เพราะเราคือเจ้านายตัวเอง

คิดๆดูแล้วบางทีเป้าหมายไม่ได้สำคัญเท่ากระบวนการระหว่างทาง. 

เพราะว่ากระบวนการนั้นใช้ระยะเวลายาวนาน.  หากเราอยู่กับมันแล้วมีความสุข. นั่นก้อน่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ.  

จุดเป้าหมายเป็นเพียงจุดเล็กๆหนึ่งจุด. หรือจะเรียกหลักไมล์ก้อได้. Milestone นั้นไม่ได้มีอันเดียวในชีวิตนี้   หมายความว่าไปถึงแล้วก้อต้องไปต่อจุดต่อไปอยู่ดี.  จนกว่าชีวิตจะสิ้นไป

คล้ายๆว่าคนเรามันก้อเหมือนไม่เคยจะพอหรือเปล่า.   เมื่อได้มา. ก้อต้องเหนื่อยรักษาไว้อีกแหละ. แล้วก้อตั้งเป้าให้มันสูงขึ้นไปอีก.  เหมือนกลัวว่าชีวิตจะไม่มีอะไรทำหรือไงเนี่ย5555

สรุป "รู้ว่าจะทำอะไร". ยังดีกว่า "ไม่รู้จะทำอะไร" นะคะ

เมื่อรู้แล้วก้อมุ่งหน้ากันต่อไป.  

...ไปต่อกันเถอะค่ะ. ทุกคน


สู้เนอะ


มีนาคม 23, 2565

แจ้งข่าวโปรโมชั่น ลดราคาหนังสือในงานสัปดาห์หนังสือที่บ้าน

 


😁 วันนี้มาบอกข่าวดีกับผู้อ่านที่อาจจะสนใจผลงานเรื่องสั้นอีกชิ้นหนึ่งค่ะ

จริงๆแล้วเรื่องนี้ทำเป็น ebook ออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปีที่แล้ว.  เป็นเรื่องสั้นที่ถือว่าค่อนข้างยาวแล้วนะคะ  อิอิ ก้อยาวแบบสั้นกว่าของคนอื่นอยู่ดี 55555

เอาเป็นว่าเขียนเอาไว้เนิ่นนานนนน.  อยากอนุรักษ์ของเก่าค่ะ. ฮ่าาา ไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนเนื้อหาอะไรเยอะ หวังไว้ว่าวันหน้าจะเขียนได้ยาวไปกว่านี้แล้วจะได้เอามาเปรียบเทียบกัน ว่าตัวเองมีพัฒนาการเป็นอย่างไร

ทำ. Banner มา Promote หนังสือตัวเองซะอีกนะ งานนี้ใช้วิทยายุทธ Photoshop ขั้นสุดล่ะค่ะ. เอาเป็นว่าได้ซาบซึ้งแล้วละว่าการทำภาพเพื่อการตลาดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง. 

ทำทุกอย่างเอง. ทำปก ทำรูปเล่ม ทำ layout 

ทำไปก้อสนุก. เหมือนตัวเองอยู่ในโลกแฟนตาซี.  Banner มีดาวกระพริบวิบวับ. มีทุ่งก้อนเมฆ. โอ้วววว ชอบค่ะ

"อีกครั้ง" เป็นเรื่องสั้นแนวน่ารัก กุ๊กกิ๊ก ที่ผู้เขียนชอบมากเป็นการส่วนตัว. 

 คงต้องชอบแหละ ไม่งั้นจะเขียนออกมาได้ไง.  

ลองนึกภาพสมัยยังอยู่ในวัยเรียน.  มันก้อมีกันบ้างล่ะคะ.  ชอบรุ่นพี่เท่ๆ. กรี๊ดดดด. 

เขียนจบมีอมยิ้ม.  ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ไปตามความรู้สึกแบบเด็กๆแแหละค่ะ

อย่าไปบอกใครเชียวค่ะ. ว่าเรื่องจริงมีแค่งานกีฬาที่โรงเรียน กับรุ่นพี่เป็นนักฟุตบอลโรงเรียน. ที่เหลือ....จินตนาการ....เดี๋ยวนี้เรียกว่า มโน. 555555

การ "มโน" เก่งนั้นเป็นลักษณะที่สำคัญของการเป็นนักเขียน ใช่มั้ยเอ่ย

ผู้เขียนคงจะเป็นมนุษย์ที่มีโลกหลายใบอยู่ในหัวสมอง.  ตราบชีวิตยังไม่สิ้น. คงจะได้เขียนเรื่องต่อๆไปอีกค่ะ. มี plot มากมายในหัวสมอง.  แต่ว่าเวลาในชีวิตมันมีจำกัด.   

ตอนนี้ให้เวลากับงานวาดรูปเป็นหลักอยู่ค่ะ.  ใช่ว่างานวาดรูปจะทำเงินอะไรมากมายหรอกค่ะ  เปล่าเลยจริงๆ(พูดแล้วเศร้า) ....เพียงแต่ว่าเป็นช่วงเวลาของการสะสมงานใน  portfolio และงานเขียนเป็นงานที่ใช้พลังงานมาก. เขียนๆหยุดๆ ไม่น่าจะได้ค่ะ.  เลยยังจัดระบบตัวเองให้กลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ไม่ได้ซะที. จึงต้องรบกวนคนอ่านให้อ่านเท่าที่เขียนจบไปแล้วไปก่อนนะคะ

เผื่อว่านักอ่านท่านไหนสนใจตามไปอ่านได้ตาม link ของ MEB Ebook Store ด้านล่างได้ค่ะ

"อีกครั้ง"

เรื่องราวความรักวัยเรียนของสาวน้อยที่แอบรักรุ่นพี่  


นิยายรักขนาดกระชับ อ่านรวดเดียวก้อจบ ฟินแล้ว ฟินอีก รักรุ่นพี่แบบนี้ต้องจิกหมอนนอนอ่านให้หายกรี๊ดสิคะ


รอมอายุมากกว่าสามปี  ตัวสูงแต่ไม่ถึงกับผอมบางอย่างที่เด็กหนุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นกัน.  ร่างหนาแต่ก็ไม่ได้เกินเลยจนถึงขั้นล่ำ. 

ยิ่งไปกว่านั้น รอมชอบทำตัวผู้ใหญ่เกินวัย ชอบนำคนอื่น ชอบสั่งสอน และพูดเท่าที่จำเป็นกับคนที่ไม่ได้สนิทสนมด้วย เหมือนจะเป็นชายหนุ่มขรึมๆ แต่แอบซ่อนความซนเอาไว้ในนัยน์ตาสีเหล็กคู่นั้นเสมอ


เรื่องราวของสาวน้อยและหนุ่มน้อยจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามต่อไปในเล่มค่ะ 








....ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมค่ะ.....









มีนาคม 09, 2565

ปีนี้ (2565) จะออก Ebook นิยายเรื่องใหม่ให้ได้ซักหนึ่งเล่ม


ความตั้งใจที่ออกนิยายเล่มใหม่ซักทีนั้นมีมาตั้งแต่ปีที่แล้วค่ะ  ทว่าก้อไม่สามารถบริหารจัดการตัวเองให้ทำได้สำเร็จ  จึงต้องมีการเลื่อนเป้าหมายมาเป็นปีนี้

ท่ามกลางสิ่งใหม่ๆที่ต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง กับสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำเพื่อสะสมชิ้นงานเพิ่มพูนเพื่อรอวันเก็บดอกผล มันก้อใช้เวลาแบบว่าเจ็ดวันต่อสัปดาห์ และทำงานกันวันละประมาณ 12-14 ชั่วโมง  จนรู้สึกว่าใช้สายตากับจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป และรู้สึกปวดตาเป็นพักๆแล้วล่ะคะ

ทีนี้งานเขียนก้อเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยังอยากจะทำอยู่ต่อไป  เคยดึงตัวเองออกมาจากการวาดรูปพักนึง  นั่งตั้งหลักอยู่พักใหญ่เลย  กว่าจะคิดออกว่าควรจะเริ่มจากสะสางโครงเรื่องให้เรียบร้อยก่อนจะดีไหม  เพราะไม่งั้นก้อจะเขียนแบบดั้นด้น หรือแบบไปตายเอาดาบหน้าเหมือนสมัยยังเป็นเด็กไงล่ะคะ

แล้วสุดท้ายเขียนไปเขียนมาก้อจบไม่ลง  ส่วนมากจะเป็นอาการที่ว่าย้ายไปเขียนเรื่องใหม่ เรื่องที่สาม เรื่องที่สี่ห้าหกไปเรื่อย   พอจะกลับมาเขียนเรื่องที่หนึ่งต่อ  ...อ้าว  เขียนไงต่อดีละเนี่ย

ไปรื้อค้นนิยายเก่าๆสมัยก่อนที่เคยเขียนค้างเอาไว้มาให้ผู้อ่านดูตามภาพข้างล่าง   ดูๆไปแล้วเรานี่มีนิยายที่ยังเขียนไม่จบเยอะเป็นตั้ง  


สมัยยังเป็นเด็กเขียนด้วยปากกาหมึกสี เขียนลงบนสมุดนี่หละค่ะ  จะเห็นได้ว่ากระดาษเหลืองไปตามกาลเวลา แน่ล่ะ  เวลาน่าจะผ่านมาเกินสามสิบปีแล้ว

จริงๆสมัยนั้นมีเครื่องพิมพ์ดีดแล้วล่ะค่ะ  แต่ว่าพิมพ์ดีดแบบเร็วๆไม่เป็น และพิมพ์ไปพอไม่ถูกใจมันก้อลบไปลบมา ลบยากด้วย  ลบแล้วก้อเลอะเทอะไปหมด ทำให้ไม่ลื่นไหลเหมือนการเขียนด้วยมือหรอกค่ะ  

แล้วอาจจะมีนิยายที่เขียนเอาไว้มากกว่านี้  แต่ว่าเป็นคนย้ายบ้านบ่อย  สมุดเก่าๆสูญหายไปมาก อย่าว่าแต่สมุดเก่าๆเลย  หนังสือการ์ตูนที่รักมากๆยังหาย  บางทีปลวกก้อแทะไปหมด  รู้สึกเสียดายแต่ก้อไม่รู้จะทำอย่างไรได้  หลงเหลือมาจนถึงวันนี้เท่านี้ก้อบุญแล้วเนี่ย5555

สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นตัวเองได้อย่างดี

สิ่งใดที่เราเคยชอบทำตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก  หมายถึงว่า เราทำโดยที่เป็นตัวเราจริงๆ ไม่ได้ต้องการเงินหรือค่าจ้าง   ไม่ได้มีใครบังคับให้ทำ และเราไม่เคยจะหยุดคิดถึงสิ่งเหล่านั้น   มันก้อคือ passion ของเราจริงๆ  

และจงซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตัวเอง  เพราะชีวิตมันแสนสั้น  ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนเราจะอยู่หรือไป  อยากทำอะไรก้อจะทำให้สุดใจเลยค่ะ

ตอนนี้ขาย ebook กับเค้าเหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยรุ่งเรืองเท่าไหร่ค่ะ ฮ่าาาา เอาเป็นว่า มันเหมือนเป็น Project ที่ต้องศึกษากันต่อไปอีกยาวๆ  คิดว่าจะประสบความสำเร็จในงานเขียนได้คงจะต้องเขียนให้ถูกใจตลาด (หรือเปล่าเนี่ย) และมีงานเขียนออกมาเยอะๆ อย่างต่อเนื่อง. อีกอย่างนึงคือ ส่วนใหญ่นิยายของเราสั้นเกินไปไหม. สังเกตว่าท่านอื่นๆที่เขียนกันเค้าเขียนเป็นหลักหลายหมื่นนนนนนนคำ. โอ้วววว....

มีนิยายเรื่องใหม่เก็บไว้ในมือเกือบได้เวลาคลอดสู่ตลาดแล้วล่ะค่ะ.  คราวนี้จำนวนคำหลักหมื่นอยู่เหมือนกัน.  คงจะยาวพอที่จะเรียกว่านิยายได้.  หากจะแก้ไขให้ถูกใจคงจะไม่เสร็จหรอกค่ะ. เพราะว่าคงจะแก้อยู่อีกนานนนนน. จนสุดท้ายไม่เสร็จซักที (คนอ่านเลยจะไม่ได้อ่านละทีนี้)

เฮ้อ. (ถอนหายใจกับตัวเอง)😅

จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรและอย่างไรนั้น โปรดติดตามกันต่อไปนะคะ อิอิ😚



ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม blog ค่ะ. 

---------------------------------------

Link งานเขียน Ebook

MEB : เรื่องสั้น "ความสุขสุดขอบฟ้า"




กุมภาพันธ์ 23, 2565

ฉันจะรอวันดอกไม้บาน


ในบรรดางานกราฟฟิกที่ผู้เขียนกำลังหัดเรียนรู้แล้วรู้สึกว่ามีความรู้เกี่ยวกับมันน้อยที่สุดตอนนี้คือ งานประดิษฐ์ตัวอักษรค่ะ

บางคนเรียก อักษรวิจิตร. แต่ technical term ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Typography อะค่ะ

จะว่าไปตอนเด็กๆ สมัยเรียนศิลปะเป็นวิชาโทในโรงเรียน (น่าจะช่วงมัธยมต้น-ปลายนี่หละ) ก้อได้เรียนอยู่เหมือนกันค่ะ. ทว่าเป็น project เล็กๆที่เรียนอยู่แค่ประมาณคาบถึงสองคาบเรียนเท่านั้น

ผู้เขียนเลยรู้สึกว่าต้องคลำทางหนักหนาอยู่แฮะ.  เพราะหลังจากเข้าสู่การวาดรูปแบบเต็มตัวและหัวใจ.  แบบว่ามันปะติดปะต่อระหว่างการวาดตัวหนังสือ , hand lettering, Calligraphy, Font และเรื่องการเลือกใช้  Font ไปจนการสร้าง Font

พยายามวาดออกมา.....สุดท้ายก้อออกมาแบบงงๆ. และประหลาดหน่อยๆอยู่ดี 5555😅

ผู้เขียนน่ะสนใจเรื่องงานวาดเป็นส่วนมากค่ะ.  เรื่องงานตัวอักษรนี่ชักจะรู้สึกว่ามันสำคัญมากเหมือนกัน ทำไปทำมาเลยต้องมาเจาะลึก.  และอยากทำออกมาให้สวย. แต่ดูแล้วก้อคงจะต้องใช้เวลาไปอีกสักพักนะคะ. กว่าจะตกผลึก. คือ. ....สวยมากไปกว่าอันนี้. 

ทำไงได้.  เราไม่ได้เรียนมาทางนี้ตั้งแต่สมัยปริญญาตรี. จึงต้องพยายามเยอะๆ. เพราะว่า skill นี้มันต้องใช้  

งานวาดมันจะโผล่ขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา.  หากมีงานตัวอักษรเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนแล้วละก้อ. มันจะเติมเต็มซึ่งกัน. ทำให้งานดูน่าสนใจขึ้นมาอีก

"ฉันจะรอวันดอกไม้บาน"  ที่เขียนประโยคนี้ขึ้นมา. ก้อมีความหมายแอบแนบอยู่ในนั้น

คือสักวันหนึ่งเราคงจะเก่งกว่านี้.  เราคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราตั้งใจกับมัน

ประหนึ่งว่าเรากำลังเพียรปลูกต้นไม้. สักวันที่ถึงเวลามันคงจะเจริญเติบโต. มีผลให้เก็บกิน หรือออกดอกให้เราได้ชื่นชมบ้างละนะ. 

คนเรามันต้องให้ความหวังกับตัวเองกันซะบ้าง.  

เอิ่ม...แต่ว่าจะอีกนานไหม.   กว่าดอกไม้จะเบ่งบาน. ความฝันจะเจิดจรัส. 

เฮ้อ...รอกันต่อไป

✌☺




กุมภาพันธ์ 14, 2565

ระยะประคับประคองใจ

วันแห่งความรักทั้งทีก้ออยากจะเขียนเกี่ยวกับความรักซะหน่อย.  รักที่ว่านั่นคือ "ความรักที่มีต่อตัวเอง"

ผู้เขียนเคยดู Series ใน Netflix ชื่อ How to Meditation จัดทำโดย HeadSpace ซึ่งผู้เขียนชอบมากและเห็นว่ามันมีประโยชน์กับผู้อ่านแน่ๆ. ควรค่าแก่การเขียนถึงค่ะ



ผู้เขียนดูซีรีย์ชุดนี้อยู่หลายรอบ.  ดูแล้วหลับไปก่อนจบบ่อยๆ เพราะว่าแรกๆดูแล้วนอนหลับได้ดี. ก็เลยชอบ

สำหรับสายอาร์ทอย่างผู้เขียน. อดจะชื่นชมไม่ได้...กับ animation ที่ตื่นตาตื่นใจ. สีสันสวยงาม มาพร้อมกับการเล่าเรื่องของคุณแอนดี้. ดีงามมากๆค่ะ 😄

ใครที่นอนหลับยากมาลองดูสิคะ.  ผู้เขียนเป็นพวกนอนดึก แถมหลับยาก. จำได้ว่าตั้งแต่เกษียณออกมานี่รู้สึกจะนอนไม่หลับบ่อย.  

นึกว่าได้ทำงานที่ชอบแล้วจะไม่ต้องเครียดเหมือนทำงานบริษัท. ก็เปล่านะคะ.  

ความเครียดไม่ได้อยู่ที่การทำงาน หรือ life style. 

แต่ย้ายมาอยู่ที่เรื่องเงินๆทองๆ !!!!!

ลองคิดดูว่าตอนทำงานบริษัท. ทำงานไปถึงไม่ได้ชอบมากแต่ก็ไม่ได้เกลียด.  ทำไปทำมารุ่งเรืองเจริญก้าวหน้าดีจะตายไป. เงินทองได้มาใช้ไม่หมด5555. (ไม่มีเวลาจะใช้😂)

ตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตไปตามความสามารถ. มีน้องๆช่วยทำงาน. มีห้องทำงานประจำตำแหน่ง  เดินไปไหนมาไหนในออฟฟิศมีคนยกมือไหว้(อาจจะเพราะดู Senior)

แต่กลับถึงบ้านหัวถึงหมอนนอนหลับไม่ค่อยลง. เพราะความรับผิดชอบมันท่วมหัว. หลอกหลอนแม้ยามนอนป่วยในโรงพยาบาล. อันนี้พูดจริงค่ะ.  ยิ่งช่วงขึ้นเงินเดือนและจ่ายโบนัสประจำปี. ห้ามเจ็บ-ป่วย-ตาย เด็ดขาด

ตอนนี้ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องชาวบ้านอีกต่อไป.  แต่ทุกครั้งที่จ่ายค่าใช้จ่ายประจำเดือนเล่นเอาเครียดจุกอกไปทุกทีค่ะ.   บางทีปวดหัวไมเกรนขึ้นมาเลย

การทำใจให้สงบเพื่อจะได้นอนหลับสนิทมันช่วยให้เราได้นอนอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆค่ะ.  วันไหนที่นอนหลับดี ตื่นขึ้นมาจะรู้สึกไม่ป่วย555

นี่ล่ะหนอชีวิต

เกิดมาเพื่อวิ่งตามหาตัวเลขหรือเปล่านะ.  ตัวเลขหมายถึงเงินๆทองๆแหละค่ะ  คนมีเงินหลักพันก็อยากมีหลักหมื่น.  คนได้หลักหมื่นก็ใช่ว่าจะมีความสุขกว่าคนมีหลักพันหรอกค่ะ.  มีเท่าไหร่มันหมดไปได้เหมือนกัน

อนิจจังไม่เที่ยง....  ดูอย่างผู้เขียนสิ.  สร้างอนาคตมากับมือ. อยู่ๆก็มลายหายไปพร้อมกับการหยุดทำงานประจำ

เคยอยากได้อะไรก็สามารถจะซื้อได้เกือบทุกอย่าง. 

แต่เดี๋ยวนี้ "ไม่กล้า" จะซื้ออะไรที่อยากได้ซักอย่าง.  หรือ  "เผลอตัว" ซื้อมาก็กลับทำให้รู้สึกผิดต่อตัวเองอย่างมาก.  บางทีต่อว่าตัวเองด้วยซ้ำ.  เหมือนมีชีวิตอยู่บนความกลัวอยู่แทบตลอดเวลา

กลัวต่อไปจะไม่มีเงินซื้อข้าวกิน5555

ทั้งที่บางทีสิ่งที่อยากได้ก็ต้องใช้สนับสนุนในการทำงานของตัวเองแท้ๆเชียว.  มันน่าเจ็บปวดเนอะ

เจ็บปวดจนรู้สึกว่าเราต้องดูและประคับประคองจิตใจตัวเองซะบ้างค่ะ.   ต้องรักษาสมดุลย์ชีวิตให้ได้. 

คงต้องโต้คลื่นลมแห่งชีวิตกันไปยาวนานแค่ไหนไม่มีใครรู้

ตึงไปก็ระวังจะขาด.  หย่อนไปก็ไม่ดีอีกแฮะ.   


👀

มาต่อเรื่องการทำสมาธิค่ะ

ในซีรีย์ของ HeadSpace พูดเรื่องการทำสมาธิได้น่าสนใจค่ะ.  ว่าคนเราวิ่งตามความคิดจนเหนื่อย. หวังว่าจะไล่จับความคิดให้ได้. ยิ่งเหนื่อยกว่าสิคะ.  

ที่เราควรทำคือแค่ "นั่งดู" ไปเรื่อยๆ

บ่อยครั้งที่ผู้เขียนคิดจนปวดหัว.  

ปัญหาของผู้เขียนคือ เมื่อไหร่เราจะมีรายได้ละเนี่ย เฮ้อ.  รายจ่ายมันท่วมรายรับอยู่ทุกเดือนแล้ว

พอเริ่มรู้สึกกระวนกระวายมากเกินไปแล้วผู้เขียนจะพยายามหยุดตัวเอง. บางทีทำได้. บางทีไม่ได้เหมือนกันค่ะ  สิ่งเหล่านี้มันแฝงๆอยู่ในสมอง.ประดุจมีเงาดำลึกลับคอยตามติด 555 ทำให้ถึงนอนได้หลับ แต่ก็กลับมาตื่นเร็วกว่าปกติอยู่ดี

ตกลงว่าทุกวันนี้ทำงานหนักไม่น้อยกว่าแต่ก่อนหรอกค่ะ  เครียดอยู่ดี. เครียดไปคนละเรื่องกัน เฮ้อ

ความพยายามอยู่ที่ไหน. ความพยายามก้ออยู่ที่นั่นแหละ. เอ๊ย. ไม่สิ. ความสำเร็จต้องมาาาาาาา

อนุโมทนา  สาธุ. เพี้ยงงง


มกราคม 28, 2565

How to make Banana Bread : ทำเค้กกล้วยหอมทานเอง

 

คราวที่แล้วเวิ่นเว้อไปหนึ่งตอนเรื่องอุปกรณ์และวัตถุดิบ. หนนี้เอาจริงละ. มาบอกเล่าวิธีทำซะที. ขอบคุณผู้อ่านที่อดทน. ฮ่าาา

ที่หายไปเพราะว่าต้องไปถ่ายรูปและทำภาพประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายมากขึ้นนะคะ  งานนี้ต้องถ่ายภาพเองให้สมกับเป็นช่างภาพอาชีพ (งงกับชีวิตตัวเองเหมือนกันค่ะ.  5555) เรื่องรูปนี่เรื่องใหญ่มิใช่น้อยค่ะ. มามะ นั่งล้อมวงกันได้เลย

Step 1 :  มาเริ่มตรงที่เตรียมกล้วยหอมที่ค่อนข้างงอมๆหน่อย ผู้เขียนเคยเอาแบบงอมจนเปลือกเป็นสีดำเลยมาทำก้อไม่มีปัญหาค่ะ. เพียงแต่ว่าเวลาเก็บกล้วยหอมไว้ทำขนม ต้องแช่กล้วยหอมไว้ในตู้เย็นแบบแช่ช่องแข็งไว้ก่อนนะคะ พอจะเอามาใช้ก้อเอาออกมาทิ้งไว้ให้คลายความเย็นก่อนค่ะ. ถ้างอมมากถึงขั้นมีน้ำเยิ้มๆก้อบีบเอาน้ำออกบางส่วนก็จะดีค่ะ 

Step 2 :  หั่นกล้วยเป็นท่อนๆ เพื่อให้เวลาเราบี้ให้เละด้วยตะกร้อมือ จะได้เละง่ายๆและรวดเร็วมากขึ้นค่ะ ผู้เขียนเทน้ำตาลใส่ลงไปและเอาตะกร้อมือยีกล้วยไปพร้อมกันเลยทีเดียว. เห็นมั้ยคะว่าถ้าเราใช้ตะกร้อมือที่ขนาดใหญ่และซี่ทำจากพวกสแตนเลสจะดีกว่าพวกทำจากซิลิโคน.  ซี่ที่ทำจากสแตนเลสจะแข็งแรงกว่า  เวลาเรากวนส่วนผสมจะทำได้ถนัดเพราะไม่ต้องออกแรงเยอะ

Step 3 :  ให้กล้วยหอมผสมเข้ากันดีกับน้ำตาลทรายจนเนียนประมาณในภาพค่ะ.  กล้วยหอมจะยังเป็นเม็ดๆอยู่บ้างก้อไม่เป็นไรนะคะ. ขออย่างเดียวให้น้ำตาลละลายให้หมดเป็นพอ. สังเกตเวลาเอาตะกร้อมือลากๆจะไม่มีเสียงกรุบกริบของเม็ดน้ำตาลค่ะ

Step 4 :  ร่อนพวกของแห้ง เช่น แป้ง ผงฟู. เบคกิ้งโซดา ลงไปพร้อมกันเลยดีเดียวค่ะ ผสมแล้ววางทิ้งไว้เลยค่ะ

Step 5 :  อันนี้เป็นถ้วย butter milk ที่เราทำใช้เอง. คือนมสดใส่น้ำมะนาวนั่นเอง. ผสมแล้ววางทิ้งไว้เลยค่ะ

Step 6 :  กลับมาที่กะละมังกล้วยนะคะ. เอาน้ำมันใส่ลงไปตามที่สูตรบอก. น้ำมันจะแยกชั้นก้อไม่ต้องตกใจนะคะ

Step 7 :  เอาตะกร้อมือกวนๆไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำมันผสมเข้ากันดีกับกล้วยนะคะ. สาเหตุที่เรามาใส่น้ำมันทีหลังเพราะว่าต้องผสมกล้วยกับน้ำตาลก่อนเป็นอันดับแรก. ไม่งั้นถ้าเอาน้ำตาลมาใส่พร้อมน้ำมัน. น้ำตาลจะไม่ละลายไปกับกล้วยสิคะ. ยุ่งแน่. แก้ลำบากด้วย

Step 8 :  ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว. ใส่ส่วนที่เราร่อนแป้งเอาไว้ก่อนหน้านี้สลับกับใส่ butter milk โดยกะประมาณแบ่งแป้งประมาณ 3 ส่วน.   และแบ่ง butter milk 2 ส่วน. ใส่สลับกัน แป้งส่วนที่1+นมส่วนที่1+แป้งส่วนที่2+นมส่วนที่2+แป้งส่วนที่3 เอาตะกร้อมือกวนผสมแป้งให้เข้ากันกับกล้วย ก่อนจะใส่นมต่อไปทุกครั้งด้วยนะคะ


เสร็จแล้วก้อเทใส่พิมพ์ฟอยด์. เอาเข้าเตาอบ รอรับประทานเค้กกล้วยหอมอุ่นๆ ได้เลยค่ะ




มกราคม 05, 2565

Banana cake เป็นของหวานหรืออาหารเช้าก็ยังได้นะ

แทบจะทุกตำราบอกเหมือนกันหมดว่าอาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุด...

แต่ในความเป็นจริงของชีวิตคนสมัยนี้ อาหารเช้ากับอาหารกลางวันถูกบวกรวมกันกลายเป็น “brunch” ไปซะงั้น เพราะเนื่องด้วยเงื่อนเวลาการตื่นกับการเดินทางไปทำงานและเวลาเริ่มทำงานมันไม่ได้ไปด้วยกัน  คนสมัยนี้คงมีน้อยคนที่จะมีโอกาสได้ทานอาหารเช้าแบบเต็มรูปแบบ

ยกเว้น...เวลาไปสัมมนาต่างจังหวัดกับที่ทำงานแบบที่ติดกันหลายๆวัน ฮ่า ถึงจะมีโอกาสได้กินอาหารเช้าแบบเต็มรูปแบบ แถมมีขนมช่วงพักเบรคสัมมนาอีกตั้งสองมื้อ เคยเป็นช่วงเวลาที่แสนสุขสำหรับผู้เขียนจริงๆค่ะ

 


วันนี้จะมาเล่าเรื่องการทำเค้กกล้วยหอมแบบจริงจังซะทีค่ะ  เพราะเป็นขนมที่ทำบ่อย ทานเป็นอาหารเช้ามื้อเล็กๆ หรือจะทานเป็นของหวานยามสายหรือยามบ่ายก็ได้.   ใช้เวลาทำไม่นาน อุปกรณ์น้อย วัตถุดิบไม่กี่อย่าง. ทำให้การเริ่มต้นทำขนมและการจบ project เป็นเรื่องสวยๆ. ไม่เลอะเทอะ. ไม่เละเทะ ทำเสร็จแล้วก็รีบล้างอุปกรณ์เก็บเข้าชั้นแบบรวดเร็ว. (เพราะใช้อุปกรณ์ไม่กี่อย่าง. ก็เลยล้างน้อยค่ะ) อันนี้ชอบมาก. 

เคยเล่าไปครั้งหนึ่งแล้วเรื่องว่าทำเค้กกล้วยหอมแบบใส่พิมพ์ Loaf Pan แต่คราวนี้ลองเปลี่ยนมาใส่พิมพ์กลมบ้างนะคะ. เป็นพิมพ์กลมแบบพิมพ์ฟอยด์มีฝาปิด ใครอยากลองทำตาม ก้อไปตามหาพิมพ์ฟอยด์เบอร์.     ได้เลยค่ะ เมื่อใส่เนื้อ batter ลงไปประมาณ   กรัม จะได้ปริมาณที่พอดีๆ. อย่าลืมว่าห้ามใส่จนเต็มเด็ดขาดนะคะ. ไม่งั้นเวลาอบมันจะพองล้นออกมา.  

วิธีแก้ถ้าเกิดว่ายังมีเนื้อเค้กที่เราผสมเสร็จแล้ว หรือที่เรียกว่า batter นั่นแหละค่ะ. ถ้ายังเหลืออยู่อีกก้อให้ใส่พิมพ์ถ้วยกระดาษไปก่อนนะคะ

บอกไว้ก่อนเช่นเคยว่า blog ไม่ได้แจกสูตร. ขอเป็นการแบ่งปันประสบการณ์การทำขนมก้อแล้วกันนะคะ.  เพราะเชื่อว่าสูตรเค้กกล้วยหอมหาได้ง่ายมากๆ

เวลาผู้เขียนคิดจะทำเค้กกล้วยหอมมักจะเริ่มจากมีกล้วยหอมงอมๆอยู่ในตู้เย็นซัก 1-2 ผลก้อพอค่ะ จากนั้นก็จะเตรียมอุปกรณ์ได้แก่  

ตาชั่ง digital
อ่างผสมขนาดใหญ่ขอเป็นทำจาก stainless 
แก้วตวงของเหลว 
ตะกร้อมืออันใหญ่ (อันใหญ่จะดีค่ะ. ออกแรงกวนส่วนผสมแล้วทนแรงต้านได้ดี)
ช้อนช้า 1 อัน
อ่างใส่แป้งพร้อมวางตะแกรงร่อนแป้งไว้ข้างบนได้เสร็จสรรพ


( to be continued...ยังมีต่อค่ะ ขอเป็นทะยอย update นะจ๊า)





มกราคม 01, 2565

ขอมอบสิ่งดีๆให้กับคนอ่านเพื่อเริ่มต้นปี 2565 อย่างมั่นใจ

😄 เห็นเค้าชอบแจกอะไรฟรีๆกันในช่วงปีใหม่. วันนี้ขอแจกด้วยคน

แจกแบบไม่มีเงื่อนไข. ไม่ต้องใส่เครดิต. เอาไปใช้กันเลย. เพราะผู้เขียนเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มหาศาลกับชีวิตนะคะ. มันคือแผ่น tracker

สายชอบจดพวก bullet journal ต้องรู้จักแน่. จริงๆแล้วผู้เขียนชอบจด. แต่ไม่ถึงขั้นจดเป็น bullet journal ขนาดนั้น. ที่จริงเคยพยายามอยู่พักนึง แต่รู้สึกจะเหนื่อยเกินไป. จำพวก index ต่างๆไม่ค่อยได้. เลยหยุดไปแล้วววว. เอาแค่ทำ tracker ไว้ติดตาม monitor เรื่องต่างๆที่อยู่ใน focus ก็จะแย่แล้ว.  เพราะว่าทำหลายอย่างมากเลยค่ะ มีแผ่น tracker เป็นปึกเลย

ยิ่งทำอะไรหลายสิ่งอย่าง ยิ่งต้อง monitor ตัวเองให้ดี. เราไม่มีทางจะรู้เลยว่าในเวลาวันหนึ่งๆเราหมดเวลาไปกับอะไร. สิ่งไหนที่ทำเงิน. สิ่งไหนที่ยังไม่ทำเงิน (บางสิ่งบางอย่างทำแล้วไม่เห็นผลในเวลาสั้นๆ)

เราควรจะต้องรับรู้สถานะของสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ค่ะ

แผ่น tracker อันนี้ ผู้เขียนออกแบบและสร้างไฟล์เองด้วย Adobe Indesign ค่ะ ขอบอกว่าช่วงหัดใช้โปรแกรมนี่เป็นช่วงที่โหดร้ายพอดู.  อาศัยศึกษาด้วยตนเองทั้งจากการดูใน youtube และทดลองมั่วไปมั่วมาจนพอจะทำได้ล่ะค่ะ.  

นั่นแหละ ถึงได้บอกกับผู้อ่านไปว่าช่วงสองปีแรกเป็นปีที่เหนื่อยมากกับการเรียนรู้โปรแกรมต่างๆ ในโลกแห่งงาน graphic 

ไม่ได้ไปเข้า course ที่ไหนเพราะมองว่าเป็นโปรแกรมที่ใช้ไม่บ่อยเท่า Photoshop กับ Illustrator ก็เลยต้องฝึกเองประหยัดกว่าค่ะ

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่คิดว่าพอจะใช้งานได้ และเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้นแล้ว.  ผู้เขียนพบว่าโชคดีจังที่เราใช้  Adobe Indesign พอได้ เพราะประยุกต์ไปทำงานได้อีกหลายประเภทเลยค่ะ. เช่น. ใช้วาง layout เวลาทำ ebook ได้ดีมาก แถม export ไปมาระหว่าง Photoshop กับ Illustrator ได้เป็นอย่างดี. ทำให้สามารถสร้างงานได้หลากหลายมากขึ้นค่ะ. 

อย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดถึง คือ ก่อนจะ track หรือ monitor สิ่งที่กำลังทำอยู่.  อย่าลืมวางแผนหรือ ทำ Goal setting กันก่อนนะคะ ยิ่งต้นปีอย่างนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเริ่มต้นตั้งเป้าหมายของตัวเอง.  ว่าในปีนี้เราอยากจะทำอะไรให้สำเร็จบ้าง. 

เช่น  Goal Setting คือ อยากลดน้ำหนัก ก้อตั้งเป้าว่า. ปีนี้จะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโล. Action plan คือ ออกกำลังกายให้ได้เดือนละ 4 ครั้งเป็นอย่างน้อย(สัปดาห์ละครั้ง). ทุกครั้งที่ไปออกกำลังกาย ก้อให้ทำเครื่องหมายในตาราง tracker เอาไว้ด้วยนะคะ. ทีนี้เราจะได้เห็นภาพชัดขึ้นว่าเราทำตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้หรือยัง

แปะแผ่น Tracker ไว้ในที่เห็นชัดเจนเลยค่ะ



บางคนอาจจะบอกว่า มาจดให้เสียเวลาทำไม.  ดูในมือถือก้อได้. เดี๋ยวนี้ใน application พวกนาฬิกาสุขภาพมีให้ดูสถิติต่างๆเยอะแยะ.  

เราควรต้องตอกย้ำเป้าหมายกับตัวเองบ่อยๆด้วยการให้สมองทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อมือนี่หละค่ะ. เด็ดสุดแล้ว ซึ่งมันได้ผลดีมากกับผู้เขียนค่ะ  

เอาเป็นว่า. รู้สึกดีที่ได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อ่านบ้างนะคะ. 

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชม blog ค่ะ



Link download สำหรับคนที่ถนัด Dropbox ค่ะ