เมษายน 05, 2566

ชีวิตคือของขวัญอันบอบบาง

 

ภาพทุ่งดอกไม้. ฝีมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai ค่ะ



ช่วงนี้ผู้เขียนเหมือนจะอยู่ในโหมดปิดสวิทซ์ตัวเองเพื่อพักร้อนแบบยาวๆค่ะ

ตั้งแต่ project ขายของออนไลน์กับเพื่อนถูกปิดสวิทซ์. เพราะมีน้องในทีมที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งของและเป็นเสมือนผู้ช่วยได้งานใหม่.    เพื่อนเลยบอกหยุดไปก่อนดีกว่า.   เดี๋ยวหาคนแทนได้ค่อยมาว่ากันใหม่....5555.  

แต่ก้อผ่านไปแล้ว 3 เดือน.  ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท.  

คงจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าป่านนี้เพื่อนอาจจะไปลุยโปรเจ็คอื่นแล้วแหละค่ะ.   เห็นว่าทำหลายอย่างมากอยู่


ส่วนตัวผู้เขียนเลยต้องเข้าโหมดตั้งหลักใหม่อีกครั้งนึง

ซึ่งจะว่าไปแล้วรู้สึกว่าต้องเข้าโหมดตั้งหลักไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วเนี่ย5555ตั้งแต่ไม่ได้ทำงานประจำ


นึกๆไปแล้วคนที่เป็น freelance เต็มตัวตั้งแต่เรียนจบมาเลยเนี่ย...ช่างแข็งแกร่งและใจเด็ดเสียจริงๆเนอะ

ผู้เขียนรู้จักรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยบางคนที่เรียนจบมาแล้วทำงานลักษณะกึ่งๆทำงานอิสระสลับไปๆมาๆกับทำงานบริษัทอยู่หลายคนค่ะ.  คือหมายถึงว่าบางทีทำงานบริษัทได้แป๊บๆก็กลับไปเป็น freelance. พอสักพักเจอหน้ากันอีกทีก้อกลับไปทำงานบริษัทอีกล่ะค่ะ

สิ่งที่รุ่นพี่มักจะบ่นมากๆคือเรื่องระบบการทำงานในบริษัท.    เรื่องความขัดแย้งกับหัวหน้างานบ้าง.  บางคนก้อมีปัญหาเรื่องไม่อยากใส่ uniform. บางคนเกลียดการรูดบัตรเข้าออก.  บางคนไม่ชอบมาทำงานตามเวลาของบริษัท.  เป็นต้น

คนที่เป็น freelance จะมีปัญหาเรื่องไม่มีหลักฐานทางด้านรายได้.  และรายได้ไม่สม่ำเสมอ.  คือเวลาถ้าจะซื้อรถ หรือซื้อบ้านโดยกู้เงินกับสถาบันการเงินเนี่ยจะยากมาก

อย่างนี้แล้วคนเหล่านี้จะวางแผนทางการเงินให้กับชีวิตกันยังไงล่ะเนี่ย

รุ่นพี่บางคนที่เป็นคล้ายๆ freelance มาเจอกันตอนอายุเยอะๆแล้วนี่บางคนก็เดินสายทำบุญตลอด. ดูชีวิตมีความสุขดีเหมือนจะไม่ขาดแคลนอะไร.   แต่ก้อย่างว่าค่ะ...เรื่องเงินๆทองๆนี่เป็นเรื่องค่อนข้างจะส่วนตัวไปสักนิด.   เป็นมารยาทที่ไม่ควรจะไปถามว่าเป็นไงมาไงบ้าง. และปกติแล้วก้อไม่มีใครบอกใครถ้าไม่ได้ไว้ใจกันมากๆอีกด้วย


ผู้เขียนเองไม่เคยเป็น freelance มาก่อนในชีวิต.  พอต้องมาเป็นคล้ายๆ freelance ในตอนแก่แล้วเนี่ยมันช่างทรมานจริงๆค่ะ.  

โหมดตั้งหลักนี่เรียกอีกอย่างได้ก็คือโหมดตั้งสติ

คือไม่งั้นจิตจะตก. 55555

นอกจากจะหยุดโปรเจ็คแล้วทำให้รายได้ประจำหายไป.  ยังต้องต่อสู้กับกระแสปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเข้ามาแทนที่อาชีพของเราด้วยค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสรรค์งานเขียน.   งานภาพวาด. หรืองานภาพถ่าย ที่ทำแทนมนุษย์ได้ด้วยการเขียน prompt สั่งการ.    ก้อใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการสร้างงานสวยๆออกมาได้แล้วค่ะ

แบบนี้จะไม่มีที่ยืนสำหรับคนทำงานอย่างผู้เขียนแล้ววววว.     

ไหนจะพวกบริษัทตัวกลางที่ทำหน้าที่รับ/จ่าย/แปลงสกุลเงินเวลาเราเบิกถอนพวกรายได้ที่เราทำได้จากนอกประเทศอีกล่ะ.   พวกนี้ก้อค่อยๆขึ้นค่าธรรมเนียมชนิดสุดโหดเลยค่ะ.  

คือกว่าเงินจะถึงมือเราได้เนี่ยโดนตัดหัวคิวจากตรงนั้นตรงนี้ไปจนเหลือนิดเดียวล่ะค่ะ


แล้วนี่ตกลงว่าจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย. 

คุณค่างานศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์นี่ไร้ค่าซะแล้วเหรอ.  .... แล้วต้นทุนค่ากล้องถ่ายรูปกับอุปกรณ์ต่างๆนานาที่เราซื้อมาแล้วเพื่อการทำงานล่ะ...เท่ากับจะไม่มีประโยชน์เลย.  ถ้าใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างงานได้แล้วก้อคงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมืออะไรให้มันเปลืองเงิน

เศร้าอ่ะ

บ่นนนนนค่ะ.   ได้แต่บ่น


เราก้อยังต้องประคับประคองชีวิตน้อยๆอันแสนจะบอบบางของเราต่อไปค่ะ.  

ตอนนี้ยังคิดไม่ตก...ว่าจะหนีไปทำมาหากินอะไรดีเนี่ย. ที่ไม่ต้องถูก disruption


.....ให้กำลังใจตัวเองกันไปวันต่อวันละค่ะทีนี้....











มีนาคม 29, 2566

ท้องฟ้ายามเย็นแห่งฤดูร้อน

 


ผู้เขียนไม่อยากจะบอกเลยว่าปีนี้ทำไมอากาศมันร้อนเหลือจะทนได้ขนาดนี้.   เร่ิมตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมานี้รู้สึกจะเข้าสู่ฤดูร้อนเป็นเต็มตัว.  ห้องทำงานที่นั่งทำงานทุกวันพอดีว่าหลังคาบางส่วนได้เจาะเป็นช่องแสงเอาไว้เพื่อหวังจะได้แสงธรรมชาติ.   ช่องแสงอันนี้แหละที่รับความร้อนมาเต็มๆเลยค่ะ


นั่งทำงานด้วยความทุกข์ทรมาน.   เมื่อทนไม่ไหวก้อต้องเปิดแอร์.  ทีนี้เครื่องปรับอากาศน่าจะทำงานหนักหน่อยเพราะว่าความร้อนยังไงก้อมาจากช่องแสงด้วยส่วนหนึ่ง.  ทำให้ผู้เขียนพยายามจะเปิดแอร์ให้จำนวนชั่วโมงน้อยที่สุด. 


อย่างไรก็ตาม...เมื่อเห็นใบแจ้งหนี้ค่าไฟก้อต้องอึ้งงงงง.  คงเหมือนกับทุกบ้านในประเทศแห่งนี้. ที่ค่าไฟแพงเป็นอันดับต้นๆของโลก


พอมาดูที่จำนวนหน่วยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว.  ปรากฎว่าจำนวนหน่วยมันน้อยกว่าของปีนี้ด้วยซ้ำไปค่ะ.  แต่ที่ค่าไฟสูงกว่าเป็นเพราะค่า FT หรือค่าไฟฟ้าผันแปร


จริงๆที่บ้านก้อต้นไม้เยอะอยู่.  ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ค่อยช่วยให้เย็นลงหน่อยเหรอ.   อืมห์....พอออกมาเดินนอกห้องทำงานเท่านั้น.  ปรากฎว่าอากาศไม่ร้อนเท่าในห้องแหละค่ะ.   แสดงว่าในห้องทำงานมันร้อนอบอ้าวเป็นเตาอบเพราะการระบายความร้อนอาจจะไม่ดี.   อากาศไม่ flow อะไรประมาณนั้น


ทีนี้ไม่รู้จะแก้ไขยังไงล่ะค่ะ.    ความคิดเรื่องต้องการช่องแสงธรรมชาติไว้สำหรับการวาดรูปนี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการ.   เพราะเวลาลงสีใต้แสงพวก LED หรือแสงนีออน.   บางทีจะทำให้สีมันเพี้ยนได้นะคะ  


ครั้นว่าจะใส่ฝ้ากันความร้อนไว้ใต้หลังคาส่วนที่ต่อเติมนั้นตอนนั้นก้อไม่ได้คิดว่าจำเป็น.  เพราะคงจะไม่ได้ใช้ห้องบ่อย.   คงใช้แค่เสาร์อาทิตย์.  ส่วนวันธรรมดาต้องไปทำงาน.  กว่าจะกลับบ้านก้อค่ำมืดแล้ว


เพราะไม่รู้ว่าจะต้องออกจากงานมาอยู่บ้านแบบ full time น่ะสิคะ.  


ยังดีที่ติดแอร์ประเภท heavy duty BTU เยอะๆเอาไว้แทน. 


ตั้งแต่มาอยู่บ้านตลอดเวลานี้ก้อใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้เช้าจรดค่ำเลยค่ะ.   หากว่าไม่ได้ปรับปรุงห้องนี้เอาไว้เมื่อหลายปีก่อนโน้นแล้วละก้อ.  .... ต้องควักเงินมาทำในตอนนี้เป็นแน่.  แล้วมาควักเงินในยามที่ไม่มีรายได้แล้วนั้นมันเจ็บปวดดดดนะคะ


บางทีผู้เขียนออกไปเดินแถวละแวกบ้านในตอนเย็นๆ.  เห็นท้องฟ้าหน้าร้อนสีสวยดีเหมือนกันค่ะ.  เลยถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น.   เผื่อเอามาเขียน blog ไว้ด้วย



สีของฟ้าแบบนี้เรียกว่า สีน้ำเงิน indigo.  ซึ่งผู้เขียนชอบค่ะ  มันน้ำเงินแบบเคร่งขรึม.  สงบและเยือกเย็น เวลาเอาไปผสมกับสีอื่นจะทำให้เป็นโทนมืดๆลงมาหน่อยๆค่ะ.  สวยค่ะ


ยามโพล้เพล้แบบนี้ก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดีล่ะค่ะ...ไปหาอะไรทานก่อนนะคะ.  แล้วพบกันใหม่ค่ะ 



มีนาคม 22, 2566

ย้อนวันและย้อนวัยผ่านการดูหนัง | เกิดอีกทีต้องมีเธอ Dark Side Romance : Inspired by Movie

ขอขอบคุณภาพจากหอภาพยนตร์ (องค์กรมหาชน)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก website ของ หอภาพยนตร์แห่งชาติ (องค์กรมหาชน)


อยากจะเขียนเกี่ยวกับหนังก็ได้แต่รั้งๆรอๆมานานค่ะ. เพราะว่าไม่แน่ใจเรื่องการนำภาพประกอบของหนังมาอ้างอิงใน blog น่ะแหละ.  สุดท้ายคือเอาเป็นว่าขอใส่เครดิตภาพไว้ให้ก้อหวังว่าจะรอดปลอดภัยนะคะ คือที่ว่าจะเขียนถึงนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ตัวหนังหรือผู้เกี่ยวข้องมีความเสียหายแต่อย่างใดค่ะ


จริงๆก้อเคยซื้อหนังเรื่องนี้เก็บเอาไว้ตั้งแต่ตอนทำเป็นวีดีโอค่ะ  คิดดูแล้วกันว่านานขนาดไหนแล้ว😚   ข่าวร้ายคือตอนนี้หาไม่เจอ.  ไม่รู้เอาไปเก็บไว้ที่ไหนซะแล้ว   ไม่งั้นอย่างน้อยอาจจะสามารถ scan ปกมาให้ชมกันแบบภาพใหญ่ๆกว่านี้ได้.  หรือไม่ก็อาจจะมีพวกภาพด้านในแผ่นปกและภาพอื่นๆให้ชมกันมากกว่านี้


นอกจากนี้เพลงประกอบหนังผู้เขียนก้อยังซื้อเป็นเทปคาสเซ็ทเก็บไว้อีกต่างหาก  ตอนนั้นชอบหนังเรื่องนี้มากเลยยย.  จินตนาการย้อนไปถึงประมาณ ปี 2538 ที่หนังเรื่องนี้กำลังดัง.  ผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มทำงานได้ประมาณสามถึงสี่ปี. เป็นวัยเริ่มต้นชีวิตจริงๆล่ะค่ะ


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ดูหนังเรื่องนี้อีกรอบนึงผ่าน Streaming ค่ะ. โอ้วววว. นึกถึงอะไรหลายสิ่งอย่างในตอนก่อนโน้น. 


ผู้เขียนชอบดูหนังเก่าด้วยเหตุผลว่าคิดถึงบ้านเมืองของเราในอดีตค่ะ. 


ชอบจะเห็นพวกตึก. อาคารพาณิช์. ย่านการค้าต่างๆว่าสมัยนั้นรถรามันเริ่มติดหรือยังนะ.  ตอนนั้นผู้เขียนเริ่มมีรถคันแรกแล้ว.  เรื่องรถติดนี้ก้อจำไม่ค่อยได้แล้วล่ะค่ะ. 


ได้เห็นรถรุ่นต่างๆที่สมัยนั้นเค้ากำลังนิยมใช้กัน.  เห็นพวกสินค้าต่างๆที่ประกอบอยู่ในท้องเรื่อง. เออ...หนอ..เหมือนว่ากำลังได้ย้อนเวลากลับไปจริงๆค่ะ.  อดไม่ได้ที่จะคิดถึงชีวิตของผู้เขียนในตอนนั้นว่ากำลังคิดอะไร.  รู้สึกอะไร. และเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตในช่วงนั้น


ที่แน่ๆ...คือคงไม่รู้ตัวว่า...อีก 20 กว่าปีต่อไป.  เธอจะต้องออกจากงานนะ. ....  เธอจะต้องพบกับความเคว้งคว้างของชีวิตอย่างหนัก.   หากจะเรียกว่าเป็นช่วงขาลงของชีวิตก้อไม่ผิด (ถ้ารู้ก่อนจะได้หัดเป็นคนประหยัดและรู้จักเก็บเงินให้มากกว่านี้ 😡)


ฉากที่ผู้เขียนชอบและแอบอมยิ้มคือฉากที่เพื่อนพระเอกใช้โทรศัพท์มือถืออันยักษ์แนี่ยล่ะค่ะ.   เห็นโทรๆอยู่ก้อสัญญานขาดหายไป.  ต้องมีการย้ายไปยืนตรงนั้นตรงนี้เพื่อหาคลื่นเนี่ยล่ะ  อันนี้เป็นเรื่องจริงของเทคโนโลยีในยุคนั้น.   คิดดูแล้วก้อขำๆค่ะ


ไหนจะมีมือถืออันใหญ่แล้ว.  สมัยนั้นต้องมี Pager กับเค้าด้วย.  เห็นในฉากเพื่อนพระเอกห้อย Pagerไว้ที่เอวหนึ่งอัน. (สมัยนั้นบางคนมีมากกว่าหนึ่งอันซะอีก พวกผู้ชายจะเหน็บไว้กับเข็มขัดค่ะ)  ผู้เขียนก้อมี Pager ไว้ใช้กับเค้าด้วยเหมือนกันนะคะ. ฮ่าาาา.  ยี่ห้อ Easy Call เวลาจะส่งข้อความต้องโทรเข้าโอเปอเรเตอร์ก่อน  เสียตังค์เป็นแบบค่าบริการรายเดือนและค่าส่งข้อความต่อครั้งอีกต่างหาก.   ถ้าข้อความยาวเกินไปจะตัดการส่งเป็นสองรอบ.  เวลาข้อความเข้าจะมีเสียงเตือน.  ส่วนตัวเครื่องเราสามารถตั้งให้เป็นแบบสั้นอย่างเดียวก้อได้.  แบบมีเสียงด้วยก้อได้ค่ะ


เห็นเครื่องคอมพิวเตอร์แว๊บๆในหนังด้วย.  ผู้เขียนจำได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์หน้าตาเหมือนที่มีที่บริษัทที่ผู้เขียนทำงานอยู่เลยค่ะ.  ที่ออฟฟิศจะเรียกเครื่องจอเขียว.  ลักษณะเป็นจอมอนิเตอร์ใหญ่ๆเหมือนตู้ปลา.  เวลาเปิดใช้ทำงานพื้นหลังหน้าจอจะเป็นสีดำ. ส่วนตัวอักษรจะเป็นสีเขียวนะคะ.  ต้องบอกก่อนว่าสมัยนั้นไม่มีจอ VGA หลายสี


ส่วนระบบปฏิบัติการบนเครื่อง ใช้  Dos และใช้ชุดโปรแกรมสำเร็จรูป Lotus ซึ่งทำงานคล้ายๆ Ms-Excel  ค่ะ.  เวลาจะพิมพ์งานก้อใช้พวก Word Chula  ทั้งหมดนี้ทำงานเพียงแค่สีเดียว. และใช้กับเครื่องพิมพ์แบบ Dot Matrix ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเห็นใช้กันอยู่.  คือมันจะใช้กระดาษต่อเนื่องที่มีรูหนามเตยสองข้าง. และมีแผ่นคาร์บอน copy เป็น Layer ซ้อนในกระดาษขาวได้ด้วย


ทะยอยนึกย้อนไปทีละเรื่องสองเรื่องว่าตอนนั้นเราใช้ชีวิตยังไง.  สนุกดีค่ะ. ตกลงว่าไม่เน้นการดูหนังนะคะ.  เน้นการดูพวก Production ต่างๆ กับพวกอุปกรณ์ประกอบฉากค่ะ5555 




ข้อมูลอ้างอิง :
เกิดอีกทีต้องมีเธอ (อังกฤษDark Side Romanceภาพยนตร์ไทยในปี พ.ศ. 2538 นำแสดงโดย ทัช ณ ตะกั่วทุ่งกุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดาโชคชัย เจริญสุข กำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว



ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง : เกิดอีกทีต้องมีเธอ Wigipedia



Link :

ดูหนังเรื่องนี้. :  https://youtu.be/cxp7SJIC2kA




มีนาคม 15, 2566

เรื่องสั้นแนวเสียดสีสังคมที่แอบอยากเขียนแนวนี้บ้าง

 


"อันเนื่องมาจากเช้าวันนั้น". เป็นเรื่องสั้นที่ผู้เขียนอยากจะทดลองอะไรบางอย่างค่ะ


จริงๆก้อนอกจากเรื่องนี้แล้ว.  มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการขัดเกลา.  กับนิยายที่เขียนไม่จบอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นแนวเสียดสีสังคม


ทว่า...พอไม่สามารถเขียนจบได้.  มันเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีค่ะ ฮ่าา


วันหลังจะเอามาโชว์ให้เหล่าผู้อ่านได้เห็นนะคะ. เผื่อจะมีคน comment มาบ้างว่าอยากอ่านต่อ. อิอิ


เรื่องแนวเสียดสีสังคมนี่ก้อเขียนยากกว่าแนวโรแมนติกดราม่าเยอะนะคะ.  คือกว่าจะหาประเด็นอะไรที่มันโดนใจแรงๆได้.  ต้องแรงพอที่จะพยุงให้ตัวเองเขียนได้จนจบเรื่องด้วย.  สรุปเลยนานๆจะเกิด moment แบบนั้น. จึงคาดว่าอาจจะมีเพียงเล่มนี้เล่มเดียวที่สามารถออกสู่สายตานักอ่านได้ค่ะ


ในช่วงยุคสมัยก่อนโน้นนนน...อาจจะเป็นช่วงที่ผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มชีวิตการทำงาน.  ช่วงนั้นยังว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของวรรณกรรมแนวเสียดสีสังคมก้อว่าได้.  เป็นยุคที่ยังไม่มีโลกอินเตอร์เนต.  ไม่มีโทรศัพท์มือถือ. โอ้ววว ...นึกภาพกันไม่ออกเลยล่ะสิ. ว่าคนยุคนั้นอยู่กันอย่างไร5555


สมัยนั้นมีนักเขียนแนวๆนี้อยู่หลายท่าน.  เช่น. ชาติ กอบจิตติ, วานิช  จรุงกิจอนันต์. ฯลฯ.  


คือผู้เขียนคงจะนึกคิดว่าตัวเองเขียนเป็นแต่แนวโรแมนติกดราม่า.  ถ้ามาหัดเขียนเรื่องแนวสร้างสรรค์สังคม หรือ เสียดสีสังคมนิดๆๆๆ.  น่าจะสนุกดีนะ


ทีนี้วัตถุดิบในหัวสมองเราก้อมีน้อย.  เพราะพวกข่าวการเมือง  ข่าวเกี่ยวกับมวลชน. หรือ ข่าวเกี่ยวกับกลุ่มแรงงานต่างๆนี่ไม่เคยอยู่ในเรดาร์ความสนใจของเราเลย.  แล้วจะเอาอะไรมาผูกเป็นเรื่องดีล่ะ


ไหนจะตัวละครอีก.  จะสร้างตัวละครอย่างไร


สรุปก้อเขียนไปตามเท่าที่จะคิดได้ล่ะค่ะ


เรื่องแนวเสียดสีสังคมอาจจะสะท้อน. หรือ ให้อะไรบางอย่างที่มันหนักหัวไปซักหน่อยกับผู้อ่านนะคะ.  แต่ในมุมของผู้เขียนรู้สึกว่าได้ส่งผ่านสาระไปยังผู้อ่านที่ดูเป็นสาระจริงๆ. 55555.  ไม่เน้นบันเทิง


ส่วนโรแมนติกดราม่าในแนวผู้เขียนที่ชอบเขียนเนี่ย...ก้อจะเน้นโรแมนซ์หวานแหวว. กุ๊กกิ๊ก.  อิ่มใจ. และสอดแทรกคติการดำเนินชีวิตไปด้วยค่ะ


เขียนได้ลื่นไหลมากกว่าเยอะ. แต่กระนั้นก้อยังเขียนไม่จบอยู่อีกหลายเรื่อง


การเขียนนิยายแบบด้นสดนี่มันตื่นเต้นดีจริงๆค่ะ. ฮ่าาาา.😂   ด้นไปด้นมาแล้วเจอทางตัน...พอเว้นวรรคหันไปทำอย่างอื่นเผื่อจะคิดออก.  คราวนี้เลยไปไกลโลดเลย. คือกลับมาเขียนต่อไม่ติดไปซะอีก.  


ตั้งแต่ออกจากงานมาก้อกลับไปเขียนอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ  ทว่าทำหลายอย่างมาก ...สุดท้ายนิยายก้อยังไปไม่ถึงไหนอยู่ดี.  เฮ้อ.  ขอบอกเลยว่าเขียนนิยายนี่ใช้พลังมากกว่าวาดรูปหลายเท่าตัว


ก็เขียนกันต่อไปและวาดกันต่อไปค่ะ


เพราะเป็นสิ่งที่รักจะทำ.  ชีวิตผู้เขียนคือสิ่งเหล่านี้แหละค่ะ .... 😊


Link เผื่อใครที่สนใจนะคะ :