ตุลาคม 11, 2566

กระแสไม่มีแผ่ว นิยายจีนบุกตลาดหนังสือนิยาย

 




หากเดินตามร้านหนังสือในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา ผู้เขียนรู้สึกว่าเห็นหน้าแผงมีนิยายจีนวางบนชั้นอยู่มากมายหลายเรื่อง และมีมากยิ่งขึ้นไปอีกคือหนังสือที่แปลมา

ในช่วงก่อนหน้าเหมือนว่านักเขียนไทยหลายคนหันไปเขียนนิยายจีน  บ้างใช้นามปากกาเป็นขื่อไทย บ้างใช้เป็นชื่อจีนเลยก็มี

อันนี้ไม่ได้หมายถึงนิยายจีนรุ่นคลาสสิคอย่างพวก ฤทธิ์มีดสั้น หรือพวกของโกวเล้งนะคะ  แต่กำลังพูดถึงแนวรักโรแมนติก รวมไปจนถึงแนว boy love  ที่ปกสวยเตะลูกตามาก


คิดว่านักเขียนไทยคงจะทำงานกันไม่ทันความต้องการของตลาด บรรดาสำนักพิมพ์เลยต้องซื้อลิขสิทธิ์นิยายจีนมาแปลเพิ่ม

ที่กล่าวไปนั้นเป็นนิยายที่พิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม   อยากจะพูดถึงนิยายจีนที่อยู่บน platform online บนมือถืออีกหลายจ้าวด้วยค่ะ  ที่นำเสนอนิยายจีนเต็มไปหมด

ไม่ว่าจะเป็นแนวแฟนตาซี  หรือแนวรัก  แนวเกิดใหม่  แนวทะลุมิติ ฯลฯ  

การตั้งชื่อเรื่องนิยายก็พลอยแหวกจากขนบที่เคยเห็นด้วยค่ะ   เช่น ใช้ชื่อยาวมากๆ  บางทีใช้ภาษาเหมือนภาษาแปล 

ใครเขียนแนวนี้ได้ดูท่าจะเงินเข้ากระเป๋าเยอะทีเดียว  พอๆกับนักเขียนนิยายวายเลยค่ะ

ตัวผู้เขียนเองก็อยากจะมีรายได้จากการเขียนบ้างเหมือนกัน 5555😅 แต่ก็เขียนได้เพียงแนวรักทั่วไปนี่หละค่ะ  แค่นี้ยังเหนื่อยหอบแทบแย่กว่าจะหลุดออกมาได้ทีละตอน  เฮ้อ

หวังว่าจะมีโอกาสได้เขียนนิยายจีนบ้างในโอกาสต่อไปค่ะ  เพราะว่ามีนิยายจีนเก่าที่เคยเขียนจบไว้แล้ว 2-3 เรื่องอีกเหมือนกัน  ต้องเอามาปัดฝุ่นกันใหม่

คิดแล้วก้อขำตัวเอง  ภาษาจีนก็ไม่รู้เรื่อง ยังบ้าบอแต่งออกมาได้เนอะ

คือตอนนั้นมัน in มากกับการดูหนังกำลังภายใน ในช่วงเวลานั้นใครไม่ได้ดูพวก กระบี่ไร้เทียมทาน หรือ มังกรหยก ละก็เชยสุด  คุยกับเพื่อนที่โรงเรียนไม่รู้เรื่องแน่

ต้องเข้าใจนะคะว่าเด็กยุค 80 นี่เค้ามีความสุขกับการดูทีวี  กับดูการ์ตูนช่อง 9 วันหยุด ส่วนวีดีโอนี่เพิ่งมาทีหลังค่ะ

ผู้เขียนคิดว่าอยากเขียนเกี่ยวกับเรื่องจอมยุทธหญิง ฮ่าาาาา  โปรดรอติดตาม  เดี๋ยวต้องไปคิดนามปากกาใหม่ด้วยค่ะ   555555 (หัวเราะกว้างเลยทีนี้)

ว่าแต่เรื่อง ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว  ยังเขียนไม่จบเลยค่ะ  ขอเอาให้จบเป็นเรื่องๆ เอาฤกษ์เอาชัยไว้ก่อนนะคะ  ออนไลน์ไปหลายบทแล้วจ้าาาา  


นักอ่านก้ออ่านกันเงียบกริบ  คือไม่มีใครคอมเมนต์อะไรเลยค่ะ  (เหงื่อตก) 



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม blog และผลงานอื่นๆของผู้เขียนนะคะ





ตุลาคม 02, 2566

ภูเขาที่ต้องข้าม ลูกแล้ว-ลูกเล่า

 




ชีวิตเหมือนการเดินทาง  เหมือนการขึ้นภูเขา และเหมือน...ฯลฯ

มองย้อนกลับไป...

กว่าจะเติบโตมาจนป่านนี้ได้  ก็ต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่าง  มีทั้งสมหวัง เวลาพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ กับเคยต้องผิดหวัง แบบร้องไห้น้ำตาซึม หรือบางทีน้ำตาท่วมจอ

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นถูก save เก็บไว้ในหัวสมองของเรา 

เรื่องใหม่ๆของทุกวันถูก upload ขึ้นไปเก็บไว้  บางเรื่องต้องรู้จักเอากลับมาประยุกต์ใช้เพื่อเอาชีวิตรอด จึงต้อง download ลงมาใหม่...

คิดแบบนี้แล้วนึกภาพออกค่ะ  ตราบที่ยังมีลมหายใจ ต้องสู้กันต่อ

ว่าด้วยภูเขาลูกใหม่ของผู้เขียนในตอนนี้...คือการเขียนนิยาย

คราวที่แล้วบ่นให้คุณผู้อ่านฟังไปแล้วว่ามันคือการวิ่งมาราธอนดีๆนี่เอง...จริงๆนะคะ  กว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละตอน  ทำเอาผู้เขียนปวดหัว ไมเกรนขึ้น  ...เพราะบางทีมันนึกไม่ออกค่ะ ว่าจะลงประโยคแรกอย่างไร

คือ...สังเกตว่า...ถ้าประโยคแรกออกมาได้เมื่อไหร่   ประโยคอื่นจะไหลตามมาได้

ซื้อยาแก้ปวดหัวมาเพิ่มล่ะค่ะ....ฮ่าาาา

ไหนจะต้องเดินเรื่อง  ไหนต้องมีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร  เหมือนโดนตัวละครสิงร่างอย่างไรอย่างนั้น

สิงฉันหน่อยเถอะจ้าาาา....จะได้เขียนออกมาได้ตลอดรอดฝั่ง   เหมือนมีนักอ่านขาประจำเค้าซุ่มรออ่านอยู่...

"ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" เวอร์ชั่นเดิมนั้นหนา 40 หน้ากระดาษ A4.... 17 ตอนจบ ค่ะ

ตอนนี้มารีไรท์กันใหม่ให้เหมาะกับยุคสมัย....ยังไม่พ้นช่วงเปิดเรื่อง  แนะนำตัวละครเลย....เขียนไป 45 หน้ากระดาษ A4 แล้ว..... ไม่น่าเชื่อ!!

คือไม่น่าเชื่อว่าตัวเองกลับมาเขียนนิยายได้อีกครั้ง

พาตัวละครไปไกลเลยค่ะ  แถมมีตัวละครใหม่ๆมาเสริมเพื่อความแน่นปึ๊กของเนื้อเรื่อง

ที่จริงพอยาวขึ้นก็มีโอกาสสร้างตัวละครได้ดีขึ้นไปด้วยค่ะ   ....อย่าลืมไปอ่านกันนะคะ


คนเขียน...เขียนไป...ร้องกรี๊ดดดๆไปด้วยตลอดเลย  ด้วยความสวีทแหววของพระเอกกับนางเอก  ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มรักกันเลยเนี่ย....เฮ้อ เหนื่อยค่ะ


เหนื่อยคือ  คนเขียนเหนื่อยค่ะ   


เรื่องนี้เขียนจบไปเรียบร้อยแล้วในเวอร์ชั่น พ.ศ. 2529   ยังยืนยันไม่เปลี่ยนโครงเรื่องและไม่เปลี่ยนตอนจบค่ะ 


อ่านฟรี 10 ตอนแรกนะคะ  ที่เหลือขออนุญาตไม่ฟรี  แต่ราคาเบาๆค่ะ  นึกซะว่าช่วยเป็นทุนในการซื้อยาแก้ปวดหัว  55555


ขอบคุณทุกท่านค่ะ





กันยายน 01, 2566

ชวนอ่านนิยายเก่า-เล่าใหม่

 



วันนี้มาชวนอ่านนิยายค่ะ

อย่างที่หัวเรื่องบอกไว้ว่า ชวนอ่านนิยายเก่า-เล่าใหม่ เพราะว่าต้นฉบับดั้งเดิมของเรื่องนี้ที่จริงเขียนไว้นานมากแล้ว. น่าจะเขียนในยุคเฟื่องฟูของตัวเองที่เขียนเอาไว้เยอะสุดๆ

ที่ว่าเยอะเพราะเคยเอาพวกต้นฉบับลายมือออกมากอง แล้วนับเล่นๆ. พบว่าน่าจะมีมากกว่า 20 เรื่อง

แต่ที่เขียนจบจริงๆอาจจะไม่ถึง 10 เรื่อง

เรื่องนี้ก้อเป็นเรื่องหนึ่ง.   ในบรรดาเรื่องที่เขียนจบแล้ว....แถมน่าจะเป็นเรื่องที่ยาวที่สุดก้อว่าได้

คือสมัยนั้นผู้อ่านต้องเข้าใจก่อนนะคะว่า...เมื่อสามสิบปีที่แล้วยังไม่มีแม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์. และผู้เขียนเขียนระหว่างที่กำลังเรียนมัธยม. ไม่สามารถจะมีอุปกรณ์อะไรพิเศษล้ำหน้ามากไปกว่า  ปากกา และสมุด

แปลว่าตอนที่เขียน ก้อเขียนไปเรื่อยโดยนับจำนวนคำไม่ได้ค่ะ

ประสาเด็กก้อคิดว่ายาวแล้ว. เยอะแล้ว. แต่ไม่รู้กี่คำ. 

แถมเรียกได้ว่าเขียนแบบด้นสด. ไม่มีหลักการอะไรทั้งสิ้น  จะเดินเรื่องหรือจบยังไงก้อคิดวันต่อวันไปเรื่อยค่ะ. แบบนี้เขียนแล้วมีความสุขดีประสาเด็ก.  ไม่ได้ฝันเฟื่องไปไกลว่าวันนึงอาจจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มๆมั่ง  มันไกลเกินฝันค่ะ

ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี. ทางเลือกก็มีมากขึ้น. ไม่ต้องตีพิมพ์. แต่เราทำเป็นอีบุ๊คได้นะ. แถมเดี๋ยวนี้เขียนยังไม่จบก้อหาเงินได้จากการติดเหรียญอีกต่างหาก

อะไรๆมันเปลี่ยนไปแบบที่ผู้เขียนคิดไม่ถึง. 

จึงได้เวลาแสดงผลงานอีกด้านหนึ่งซะที  ฮ่าาา. 

ตอนนี้เอาเรื่องมารื้อใหม่หมด.  ที่จริงเรื่องนี้ผ่านการรื้อมาไม่รู้กี่รอบ. ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อตัวละคร. เปลี่ยนชื่อเรื่อง  ปรับสำนวนภาษาใหม่  เป็นต้น

รื้อรอบนี้...รื้อหนักเลยค่ะ

เขียนเพิ่มเป็นบทๆเลย. ต่อเติมเพื่อให้เนื้อเรื่องมันแน่นขึ้น เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น (เท่าที่จะทำได้)

หลังจากตอนนี้พยายามทำตัวให้เขียนอย่างมีหลักการมากขึ้นกว่าเดิม   มีการวางพลอต. ทำโครงเรื่องใหม่. คาดว่าจทำให้นิยายยืดดดดด....ยาวววววว ออกไปได้อีกค่ะ

และแอบคาดหวังว่าอยากจะพิมพ์เป็นเล่มกับเค้าซักเล่มนึงในชีวิต. 😅😂

ยอมควักทุนเองด้วย.  คงขายได้นิดหน่อยหรอกค่ะ. 555. 

ที่เหลือจะทำบุญแจกให้ห้องสมุดประชาชน...แต่ใครอยากร่วมบุญ. ร่วมสนับสนุน. ให้ปูเสื่อ+นอนรอเลย.  เพราะภาระกิจนี้ยาวไกล และโหด ประดุจวิ่งมาราธอน

ตามติด+ติดตาม การ update  ที่ Fanpage Pakkavaleebooks ได้เลยค่ะ

เพราะกว่าจะรวมเล่มได้.  ต้องเขียนให้ได้ประมาณ 150,0000 คำ เป็นอย่างน้อย  เพื่อจะได้พิมพ์เป็นเล่มขนาด 300 หน้า 

ตอนนี้เขียนไปได้ประมาณ 5 บทแล้วค่าาาาา. 

รื้อเขียนใหม่จนตอนนี้เนื้อเรื่องมันวน+ขมวดกันจนผู้เขียนเริ่มจะคิดไม่ออกอีกล่ะค่ะ. ว่าเอาไงต่อดีเนี่ย....




สู้ต่อไปค่ะ

ขอไปวาดรูปก่อนแล้วอาจจะทำให้คิดออก...

ฝากติดตามและมาลุ้นไปด้วยกันนะคะ

ว่าจะเขียนจบมั้ย (แฮ่....ต้องจบค่ะ)

😁



เมษายน 12, 2566

โลกยังคงหมุนไป




 

ในขณะที่โลกยังคงหมุนไป...หญิงชราผู้เกษียณออกจากงานก่อนกำหนด ก้อยังก้มหน้าก้มตาสู้ชีวิตต่อไป.  ด้วยสองมือและสองตาของเธอ

ร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปเนื่องด้วยต้องกินอยู่อย่างจำกัด.  ปรับลดมาตรฐานชีวิตลงมาให้พออยู่พอกินไปได้นานๆ. ซึ่งมันจะนานแค่ไหนนั้น. หญิงชราแทบไม่อยากจะคิด

นับจากวันนี้ไปจนถึงวันไหนกันเล่า...ที่ชีวิตจะหมดลมหายใจ

ถึงวันนั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้เงิน. หรือมีเงิน

ทุกวันๆๆๆเธอนั่งวาดภาพ.  อยู่กับสมุด sketch พู่กัน. ปากกาหลากสี  กล่องสีต่างๆ  และนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ.  

หากงานอยู่บนเพียงสมุด sketch จะเกิดรายได้ได้อย่างไรเล่า...ในโลกยุคนี้

ต้องแปลงงานจากงาน analog ให้เป็น digital สิ 

จ้องจอคอมพิวเตอร์จนปวดตา...และมือปวดไปหมดเพราะข้อมือถูกใช้งานเยอะ.  

บางทีหญิงชราคิดว่าไม่มีงานไหนที่เธอรักจะทำจนลมหายใจสุดท้ายอีกแล้ว.  

ไปเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่นาน.  โหยหาที่จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่รักมาตลอด. พอมาได้ทำ...สังขารก้อพาลจะไม่ให้ความร่วมมือซะแล้วสิ

เคยกล่าวโทษโชคชะตา...

ทำไมฉันไม่ได้วาดรูป.  ทำไมฉันถึงไม่ได้ทำในอาชีพที่ฉันอยากทำ

ตอนนี้ชักจะรู้สึกว่าโชคดี. หึ ๆ

ถ้าไม่มีวันเวลาอันโชติช่วงเหล่านั้น แม้ไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก...ก้อสามารถส่งต่อชีวิตให้พอจะยืนหยัดอยู่ได้ในตอนนี้...

เพื่อให้ได้ทำ "ในสิ่งที่รัก".  ซะที

แม้จะเคยเหน็ดเหนื่อยอย่างมากมายในเวลานั้น.   วันนี้ต้องมาขอบคุณตัวเอง

ที่ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และทำให้อย่างดีที่สุดเสมอ.  จึงมีวันนี้ได้...

และ...

โลกยังคงหมุนไป

มีคนหวังดีสร้างปัญญาประดิษฐ์ให้วาดรูปแทนมนุษย์ได้ซะงั้น.   เพื่อนๆในหมู่คนสร้างงานศิลปะพากันเลิกอาชีพนักสร้างสรรค์ไปหลายคนด้วยความท้อใจ

โลกยังคงหมุนไป

คืนนี้เวลานอนยังต้องสวมแผ่นพยุงข้อมือต่อไปอีกสักเดือนสองเดือน.  

และต้องหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆเพื่อรักษาอาการตาแห้ง.   เพราะจ้องจอคอมพิวเตอร์นานต่อเนื่องเกินไป. ...อันนี้พฤติกรรมไม่สมกับวัยซะเลยค่ะ

หลายครั้งยังเจ็บปวดในใจ

แม้ว่าจะผ่านไปหลายปี....

เคยได้เริ่มทำงานประจำตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยได้สามปีครึ่ง.  หางานเอง. ไม่ต้องรบกวนใคร...ไม่ต้องให้พ่อแม่มาเลี้ยงดูนับจากมีงานทำ

ไม่เคยไม่มีรายได้....หรือ.  ไม่เคยรายได้น้อยเท่านี้มาก่อน...

เอาเถอะนะ...

สักวันหนึ่ง

วันหน้าจะต้องดีขึ้นกว่าวันนี้.  

อย่างน้อยวันนี้...ก้อดีกว่าวันก่อนโน้นใช่มั้ยล่ะ

...

โลกยังคงหมุนไปค่ะ






ขอบคุณที่ติดตามนะคะ