กันยายน 01, 2566

ชวนอ่านนิยายเก่า-เล่าใหม่

 



วันนี้มาชวนอ่านนิยายค่ะ

อย่างที่หัวเรื่องบอกไว้ว่า ชวนอ่านนิยายเก่า-เล่าใหม่ เพราะว่าต้นฉบับดั้งเดิมของเรื่องนี้ที่จริงเขียนไว้นานมากแล้ว. น่าจะเขียนในยุคเฟื่องฟูของตัวเองที่เขียนเอาไว้เยอะสุดๆ

ที่ว่าเยอะเพราะเคยเอาพวกต้นฉบับลายมือออกมากอง แล้วนับเล่นๆ. พบว่าน่าจะมีมากกว่า 20 เรื่อง

แต่ที่เขียนจบจริงๆอาจจะไม่ถึง 10 เรื่อง

เรื่องนี้ก้อเป็นเรื่องหนึ่ง.   ในบรรดาเรื่องที่เขียนจบแล้ว....แถมน่าจะเป็นเรื่องที่ยาวที่สุดก้อว่าได้

คือสมัยนั้นผู้อ่านต้องเข้าใจก่อนนะคะว่า...เมื่อสามสิบปีที่แล้วยังไม่มีแม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์. และผู้เขียนเขียนระหว่างที่กำลังเรียนมัธยม. ไม่สามารถจะมีอุปกรณ์อะไรพิเศษล้ำหน้ามากไปกว่า  ปากกา และสมุด

แปลว่าตอนที่เขียน ก้อเขียนไปเรื่อยโดยนับจำนวนคำไม่ได้ค่ะ

ประสาเด็กก้อคิดว่ายาวแล้ว. เยอะแล้ว. แต่ไม่รู้กี่คำ. 

แถมเรียกได้ว่าเขียนแบบด้นสด. ไม่มีหลักการอะไรทั้งสิ้น  จะเดินเรื่องหรือจบยังไงก้อคิดวันต่อวันไปเรื่อยค่ะ. แบบนี้เขียนแล้วมีความสุขดีประสาเด็ก.  ไม่ได้ฝันเฟื่องไปไกลว่าวันนึงอาจจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มๆมั่ง  มันไกลเกินฝันค่ะ

ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี. ทางเลือกก็มีมากขึ้น. ไม่ต้องตีพิมพ์. แต่เราทำเป็นอีบุ๊คได้นะ. แถมเดี๋ยวนี้เขียนยังไม่จบก้อหาเงินได้จากการติดเหรียญอีกต่างหาก

อะไรๆมันเปลี่ยนไปแบบที่ผู้เขียนคิดไม่ถึง. 

จึงได้เวลาแสดงผลงานอีกด้านหนึ่งซะที  ฮ่าาา. 

ตอนนี้เอาเรื่องมารื้อใหม่หมด.  ที่จริงเรื่องนี้ผ่านการรื้อมาไม่รู้กี่รอบ. ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อตัวละคร. เปลี่ยนชื่อเรื่อง  ปรับสำนวนภาษาใหม่  เป็นต้น

รื้อรอบนี้...รื้อหนักเลยค่ะ

เขียนเพิ่มเป็นบทๆเลย. ต่อเติมเพื่อให้เนื้อเรื่องมันแน่นขึ้น เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น (เท่าที่จะทำได้)

หลังจากตอนนี้พยายามทำตัวให้เขียนอย่างมีหลักการมากขึ้นกว่าเดิม   มีการวางพลอต. ทำโครงเรื่องใหม่. คาดว่าจทำให้นิยายยืดดดดด....ยาวววววว ออกไปได้อีกค่ะ

และแอบคาดหวังว่าอยากจะพิมพ์เป็นเล่มกับเค้าซักเล่มนึงในชีวิต. 😅😂

ยอมควักทุนเองด้วย.  คงขายได้นิดหน่อยหรอกค่ะ. 555. 

ที่เหลือจะทำบุญแจกให้ห้องสมุดประชาชน...แต่ใครอยากร่วมบุญ. ร่วมสนับสนุน. ให้ปูเสื่อ+นอนรอเลย.  เพราะภาระกิจนี้ยาวไกล และโหด ประดุจวิ่งมาราธอน

ตามติด+ติดตาม การ update  ที่ Fanpage Pakkavaleebooks ได้เลยค่ะ

เพราะกว่าจะรวมเล่มได้.  ต้องเขียนให้ได้ประมาณ 150,0000 คำ เป็นอย่างน้อย  เพื่อจะได้พิมพ์เป็นเล่มขนาด 300 หน้า 

ตอนนี้เขียนไปได้ประมาณ 5 บทแล้วค่าาาาา. 

รื้อเขียนใหม่จนตอนนี้เนื้อเรื่องมันวน+ขมวดกันจนผู้เขียนเริ่มจะคิดไม่ออกอีกล่ะค่ะ. ว่าเอาไงต่อดีเนี่ย....




สู้ต่อไปค่ะ

ขอไปวาดรูปก่อนแล้วอาจจะทำให้คิดออก...

ฝากติดตามและมาลุ้นไปด้วยกันนะคะ

ว่าจะเขียนจบมั้ย (แฮ่....ต้องจบค่ะ)

😁



เมษายน 12, 2566

โลกยังคงหมุนไป




 

ในขณะที่โลกยังคงหมุนไป...หญิงชราผู้เกษียณออกจากงานก่อนกำหนด ก้อยังก้มหน้าก้มตาสู้ชีวิตต่อไป.  ด้วยสองมือและสองตาของเธอ

ร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปเนื่องด้วยต้องกินอยู่อย่างจำกัด.  ปรับลดมาตรฐานชีวิตลงมาให้พออยู่พอกินไปได้นานๆ. ซึ่งมันจะนานแค่ไหนนั้น. หญิงชราแทบไม่อยากจะคิด

นับจากวันนี้ไปจนถึงวันไหนกันเล่า...ที่ชีวิตจะหมดลมหายใจ

ถึงวันนั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้เงิน. หรือมีเงิน

ทุกวันๆๆๆเธอนั่งวาดภาพ.  อยู่กับสมุด sketch พู่กัน. ปากกาหลากสี  กล่องสีต่างๆ  และนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ.  

หากงานอยู่บนเพียงสมุด sketch จะเกิดรายได้ได้อย่างไรเล่า...ในโลกยุคนี้

ต้องแปลงงานจากงาน analog ให้เป็น digital สิ 

จ้องจอคอมพิวเตอร์จนปวดตา...และมือปวดไปหมดเพราะข้อมือถูกใช้งานเยอะ.  

บางทีหญิงชราคิดว่าไม่มีงานไหนที่เธอรักจะทำจนลมหายใจสุดท้ายอีกแล้ว.  

ไปเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่นาน.  โหยหาที่จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่รักมาตลอด. พอมาได้ทำ...สังขารก้อพาลจะไม่ให้ความร่วมมือซะแล้วสิ

เคยกล่าวโทษโชคชะตา...

ทำไมฉันไม่ได้วาดรูป.  ทำไมฉันถึงไม่ได้ทำในอาชีพที่ฉันอยากทำ

ตอนนี้ชักจะรู้สึกว่าโชคดี. หึ ๆ

ถ้าไม่มีวันเวลาอันโชติช่วงเหล่านั้น แม้ไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก...ก้อสามารถส่งต่อชีวิตให้พอจะยืนหยัดอยู่ได้ในตอนนี้...

เพื่อให้ได้ทำ "ในสิ่งที่รัก".  ซะที

แม้จะเคยเหน็ดเหนื่อยอย่างมากมายในเวลานั้น.   วันนี้ต้องมาขอบคุณตัวเอง

ที่ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และทำให้อย่างดีที่สุดเสมอ.  จึงมีวันนี้ได้...

และ...

โลกยังคงหมุนไป

มีคนหวังดีสร้างปัญญาประดิษฐ์ให้วาดรูปแทนมนุษย์ได้ซะงั้น.   เพื่อนๆในหมู่คนสร้างงานศิลปะพากันเลิกอาชีพนักสร้างสรรค์ไปหลายคนด้วยความท้อใจ

โลกยังคงหมุนไป

คืนนี้เวลานอนยังต้องสวมแผ่นพยุงข้อมือต่อไปอีกสักเดือนสองเดือน.  

และต้องหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆเพื่อรักษาอาการตาแห้ง.   เพราะจ้องจอคอมพิวเตอร์นานต่อเนื่องเกินไป. ...อันนี้พฤติกรรมไม่สมกับวัยซะเลยค่ะ

หลายครั้งยังเจ็บปวดในใจ

แม้ว่าจะผ่านไปหลายปี....

เคยได้เริ่มทำงานประจำตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยได้สามปีครึ่ง.  หางานเอง. ไม่ต้องรบกวนใคร...ไม่ต้องให้พ่อแม่มาเลี้ยงดูนับจากมีงานทำ

ไม่เคยไม่มีรายได้....หรือ.  ไม่เคยรายได้น้อยเท่านี้มาก่อน...

เอาเถอะนะ...

สักวันหนึ่ง

วันหน้าจะต้องดีขึ้นกว่าวันนี้.  

อย่างน้อยวันนี้...ก้อดีกว่าวันก่อนโน้นใช่มั้ยล่ะ

...

โลกยังคงหมุนไปค่ะ






ขอบคุณที่ติดตามนะคะ



เมษายน 05, 2566

ชีวิตคือของขวัญอันบอบบาง

 

ภาพทุ่งดอกไม้. ฝีมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai ค่ะ



ช่วงนี้ผู้เขียนเหมือนจะอยู่ในโหมดปิดสวิทซ์ตัวเองเพื่อพักร้อนแบบยาวๆค่ะ

ตั้งแต่ project ขายของออนไลน์กับเพื่อนถูกปิดสวิทซ์. เพราะมีน้องในทีมที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งของและเป็นเสมือนผู้ช่วยได้งานใหม่.    เพื่อนเลยบอกหยุดไปก่อนดีกว่า.   เดี๋ยวหาคนแทนได้ค่อยมาว่ากันใหม่....5555.  

แต่ก้อผ่านไปแล้ว 3 เดือน.  ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท.  

คงจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าป่านนี้เพื่อนอาจจะไปลุยโปรเจ็คอื่นแล้วแหละค่ะ.   เห็นว่าทำหลายอย่างมากอยู่


ส่วนตัวผู้เขียนเลยต้องเข้าโหมดตั้งหลักใหม่อีกครั้งนึง

ซึ่งจะว่าไปแล้วรู้สึกว่าต้องเข้าโหมดตั้งหลักไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วเนี่ย5555ตั้งแต่ไม่ได้ทำงานประจำ


นึกๆไปแล้วคนที่เป็น freelance เต็มตัวตั้งแต่เรียนจบมาเลยเนี่ย...ช่างแข็งแกร่งและใจเด็ดเสียจริงๆเนอะ

ผู้เขียนรู้จักรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยบางคนที่เรียนจบมาแล้วทำงานลักษณะกึ่งๆทำงานอิสระสลับไปๆมาๆกับทำงานบริษัทอยู่หลายคนค่ะ.  คือหมายถึงว่าบางทีทำงานบริษัทได้แป๊บๆก็กลับไปเป็น freelance. พอสักพักเจอหน้ากันอีกทีก้อกลับไปทำงานบริษัทอีกล่ะค่ะ

สิ่งที่รุ่นพี่มักจะบ่นมากๆคือเรื่องระบบการทำงานในบริษัท.    เรื่องความขัดแย้งกับหัวหน้างานบ้าง.  บางคนก้อมีปัญหาเรื่องไม่อยากใส่ uniform. บางคนเกลียดการรูดบัตรเข้าออก.  บางคนไม่ชอบมาทำงานตามเวลาของบริษัท.  เป็นต้น

คนที่เป็น freelance จะมีปัญหาเรื่องไม่มีหลักฐานทางด้านรายได้.  และรายได้ไม่สม่ำเสมอ.  คือเวลาถ้าจะซื้อรถ หรือซื้อบ้านโดยกู้เงินกับสถาบันการเงินเนี่ยจะยากมาก

อย่างนี้แล้วคนเหล่านี้จะวางแผนทางการเงินให้กับชีวิตกันยังไงล่ะเนี่ย

รุ่นพี่บางคนที่เป็นคล้ายๆ freelance มาเจอกันตอนอายุเยอะๆแล้วนี่บางคนก็เดินสายทำบุญตลอด. ดูชีวิตมีความสุขดีเหมือนจะไม่ขาดแคลนอะไร.   แต่ก้อย่างว่าค่ะ...เรื่องเงินๆทองๆนี่เป็นเรื่องค่อนข้างจะส่วนตัวไปสักนิด.   เป็นมารยาทที่ไม่ควรจะไปถามว่าเป็นไงมาไงบ้าง. และปกติแล้วก้อไม่มีใครบอกใครถ้าไม่ได้ไว้ใจกันมากๆอีกด้วย


ผู้เขียนเองไม่เคยเป็น freelance มาก่อนในชีวิต.  พอต้องมาเป็นคล้ายๆ freelance ในตอนแก่แล้วเนี่ยมันช่างทรมานจริงๆค่ะ.  

โหมดตั้งหลักนี่เรียกอีกอย่างได้ก็คือโหมดตั้งสติ

คือไม่งั้นจิตจะตก. 55555

นอกจากจะหยุดโปรเจ็คแล้วทำให้รายได้ประจำหายไป.  ยังต้องต่อสู้กับกระแสปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเข้ามาแทนที่อาชีพของเราด้วยค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสรรค์งานเขียน.   งานภาพวาด. หรืองานภาพถ่าย ที่ทำแทนมนุษย์ได้ด้วยการเขียน prompt สั่งการ.    ก้อใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการสร้างงานสวยๆออกมาได้แล้วค่ะ

แบบนี้จะไม่มีที่ยืนสำหรับคนทำงานอย่างผู้เขียนแล้ววววว.     

ไหนจะพวกบริษัทตัวกลางที่ทำหน้าที่รับ/จ่าย/แปลงสกุลเงินเวลาเราเบิกถอนพวกรายได้ที่เราทำได้จากนอกประเทศอีกล่ะ.   พวกนี้ก้อค่อยๆขึ้นค่าธรรมเนียมชนิดสุดโหดเลยค่ะ.  

คือกว่าเงินจะถึงมือเราได้เนี่ยโดนตัดหัวคิวจากตรงนั้นตรงนี้ไปจนเหลือนิดเดียวล่ะค่ะ


แล้วนี่ตกลงว่าจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย. 

คุณค่างานศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์นี่ไร้ค่าซะแล้วเหรอ.  .... แล้วต้นทุนค่ากล้องถ่ายรูปกับอุปกรณ์ต่างๆนานาที่เราซื้อมาแล้วเพื่อการทำงานล่ะ...เท่ากับจะไม่มีประโยชน์เลย.  ถ้าใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างงานได้แล้วก้อคงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมืออะไรให้มันเปลืองเงิน

เศร้าอ่ะ

บ่นนนนนค่ะ.   ได้แต่บ่น


เราก้อยังต้องประคับประคองชีวิตน้อยๆอันแสนจะบอบบางของเราต่อไปค่ะ.  

ตอนนี้ยังคิดไม่ตก...ว่าจะหนีไปทำมาหากินอะไรดีเนี่ย. ที่ไม่ต้องถูก disruption


.....ให้กำลังใจตัวเองกันไปวันต่อวันละค่ะทีนี้....











มีนาคม 29, 2566

ท้องฟ้ายามเย็นแห่งฤดูร้อน

 


ผู้เขียนไม่อยากจะบอกเลยว่าปีนี้ทำไมอากาศมันร้อนเหลือจะทนได้ขนาดนี้.   เร่ิมตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมานี้รู้สึกจะเข้าสู่ฤดูร้อนเป็นเต็มตัว.  ห้องทำงานที่นั่งทำงานทุกวันพอดีว่าหลังคาบางส่วนได้เจาะเป็นช่องแสงเอาไว้เพื่อหวังจะได้แสงธรรมชาติ.   ช่องแสงอันนี้แหละที่รับความร้อนมาเต็มๆเลยค่ะ


นั่งทำงานด้วยความทุกข์ทรมาน.   เมื่อทนไม่ไหวก้อต้องเปิดแอร์.  ทีนี้เครื่องปรับอากาศน่าจะทำงานหนักหน่อยเพราะว่าความร้อนยังไงก้อมาจากช่องแสงด้วยส่วนหนึ่ง.  ทำให้ผู้เขียนพยายามจะเปิดแอร์ให้จำนวนชั่วโมงน้อยที่สุด. 


อย่างไรก็ตาม...เมื่อเห็นใบแจ้งหนี้ค่าไฟก้อต้องอึ้งงงงง.  คงเหมือนกับทุกบ้านในประเทศแห่งนี้. ที่ค่าไฟแพงเป็นอันดับต้นๆของโลก


พอมาดูที่จำนวนหน่วยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว.  ปรากฎว่าจำนวนหน่วยมันน้อยกว่าของปีนี้ด้วยซ้ำไปค่ะ.  แต่ที่ค่าไฟสูงกว่าเป็นเพราะค่า FT หรือค่าไฟฟ้าผันแปร


จริงๆที่บ้านก้อต้นไม้เยอะอยู่.  ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ค่อยช่วยให้เย็นลงหน่อยเหรอ.   อืมห์....พอออกมาเดินนอกห้องทำงานเท่านั้น.  ปรากฎว่าอากาศไม่ร้อนเท่าในห้องแหละค่ะ.   แสดงว่าในห้องทำงานมันร้อนอบอ้าวเป็นเตาอบเพราะการระบายความร้อนอาจจะไม่ดี.   อากาศไม่ flow อะไรประมาณนั้น


ทีนี้ไม่รู้จะแก้ไขยังไงล่ะค่ะ.    ความคิดเรื่องต้องการช่องแสงธรรมชาติไว้สำหรับการวาดรูปนี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการ.   เพราะเวลาลงสีใต้แสงพวก LED หรือแสงนีออน.   บางทีจะทำให้สีมันเพี้ยนได้นะคะ  


ครั้นว่าจะใส่ฝ้ากันความร้อนไว้ใต้หลังคาส่วนที่ต่อเติมนั้นตอนนั้นก้อไม่ได้คิดว่าจำเป็น.  เพราะคงจะไม่ได้ใช้ห้องบ่อย.   คงใช้แค่เสาร์อาทิตย์.  ส่วนวันธรรมดาต้องไปทำงาน.  กว่าจะกลับบ้านก้อค่ำมืดแล้ว


เพราะไม่รู้ว่าจะต้องออกจากงานมาอยู่บ้านแบบ full time น่ะสิคะ.  


ยังดีที่ติดแอร์ประเภท heavy duty BTU เยอะๆเอาไว้แทน. 


ตั้งแต่มาอยู่บ้านตลอดเวลานี้ก้อใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้เช้าจรดค่ำเลยค่ะ.   หากว่าไม่ได้ปรับปรุงห้องนี้เอาไว้เมื่อหลายปีก่อนโน้นแล้วละก้อ.  .... ต้องควักเงินมาทำในตอนนี้เป็นแน่.  แล้วมาควักเงินในยามที่ไม่มีรายได้แล้วนั้นมันเจ็บปวดดดดนะคะ


บางทีผู้เขียนออกไปเดินแถวละแวกบ้านในตอนเย็นๆ.  เห็นท้องฟ้าหน้าร้อนสีสวยดีเหมือนกันค่ะ.  เลยถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น.   เผื่อเอามาเขียน blog ไว้ด้วย



สีของฟ้าแบบนี้เรียกว่า สีน้ำเงิน indigo.  ซึ่งผู้เขียนชอบค่ะ  มันน้ำเงินแบบเคร่งขรึม.  สงบและเยือกเย็น เวลาเอาไปผสมกับสีอื่นจะทำให้เป็นโทนมืดๆลงมาหน่อยๆค่ะ.  สวยค่ะ


ยามโพล้เพล้แบบนี้ก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดีล่ะค่ะ...ไปหาอะไรทานก่อนนะคะ.  แล้วพบกันใหม่ค่ะ