สิงหาคม 31, 2565

บางทีเราเห็นตัวเองจากการเห็นคนอื่นเหมือนกันนะ




เคยได้ยินมั้ยว่าคนเรามี "ตาใน" กับ "ตานอก"

แต่คนเรามักจะลืมใช้ "ตาใน" เพราะคุ้นเคยกับการใช้ "ตานอก" มากกว่า

คำว่า "ตาใน" ที่กำลังพูดถึงอยู่ หมายถึง ความคิดหรือสติสัมปชัญญะน่ะแหละค่ะ

วันนี้นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่าน. เลยจะมาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการมองตัวเองกันบ้าง

ส่วนมากการใช้ชีวิตของคนเราใช้ ตาเนื้อ หรือ ตานอก หรือ การใช้สายตา ถ้าเป็นทางธรรมมะก็จะบอกว่าเป็นการเห็นด้วยประสาทสัมผัส. ทำให้บางทีเราก็ไม่ค่อยจะได้มีเวลามานั่งสำรวจตัวเอง หรือมองตัวเองกันบ้างว่าตัวเราเองเป็นอย่างไร

ข้อเสีย ข้อบกพร่อง ของตัวเองบางทีเราก็ไม่ค่อยอยากจะรับรู้. 

แต่พอเราเห็นคนอื่นกำลังมีพฤติกรรมเดียวกันกับเรา. เราจะรับรู้ได้ทันทีว่า "เฮ้ย. เหมือนเราเลยว่ะ" หรือ "ถ้าเป็นเรา เราก็จะทำอย่างเดียวกันอย่างนั้นแหละ"

พอมาถึงจุดนี้ จิตจะสว่างแวบขึ้นมา. 

คือ. นั่นมันเหมือนตัวเราเลยเนอะ.  

เหมือนเอาจิตตัวเองไปส่องกระจกได้ยังไงยังงั้น. 

ปกติส่องกระจกกันใช่ป่าวคะ.  เราเห็นกันแต่ภายนอกเนอะ

แต่ส่องกระจกจิตด้านในนี่เราต้องหมั่นใคร่ครวญ ตรวจทานตัวเองเรื่อยๆเหมือนกันนะคะ. แหม...วันนี้เขียนออกแนวจิตวิทยาไปซะแล้วสิ

เห็นอะไรแล้วก็ต้องรีบวาง

หมายถึงว่า. ไม่เก็บไปเป็นอารมณ์. 

ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนคิดมากเกิน5555  หรือคนหมกมุ่น. ซึ่งก้อไม่ดีค่ะ

วันนี้มาฝากไว้แค่นี้ล่ะค่ะ คุณผู้อ่าน :)


สิงหาคม 24, 2565

เปิดร้านขายของออนไลน์อย่างงงๆ

 


หลังจากที่เวลาเริ่มจะผ่านไปนานมากขึ้น.  รู้สึกว่าตัวเองเจ็บปวดน้อยลงกับสิ่งที่มีและเป็นอยู่ในปัจจุบัน

เป็นเพราะว่าถ้าทำดีที่สุดแล้ว. มันก้อได้แค่ไหนก้อต้องแค่นั้นจริงๆแหละชีวิต

หลายอย่างที่ทำไปอาจจะดูไม่รุ่งโรจน์ซะเท่าไหร่  แต่ก็เป็นการทำในสิ่งที่อยากทำ ทุ่มเทจิตใจและแรงกายไปกับสิ่งเหล่านั้น.  เรียกได้ว่าทุ่มหมดทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เลยทีเดียว

ในวันนี้เริ่มจะมีเรื่องดีๆเกิดกับชีวิตศิลปินอย่างเราบ้างซะแล้ว.  ได้รับโอกาสในการทำงานแนวใหม่ๆ.  นำเอาความรู้และทักษะที่พอจะมีมาทำงานเชิง commercial แบบเต็มตัว

โปรเจ็คที่ว่าคือการทำร้านขายสินค้าออนไลน์นั่นแหละค่ะ.   ตอนที่ตอบรับงานนี้ไปก็นึกกลัวๆอยู่บ้างเหมือนกันว่าจะทำได้ป่าววะเรา.  เคยแค่เป็นฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลมาซะนานหลายปี.  ไม่เคยขายของกับเค้าแบบจริงๆจังๆ  แต่ก็เอาล่ะนะ. ประเมินสถานการณ์แล้วน่าจะพอไหว. 

ตอนนี้ร้าน Go Live ออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว.  แบบว่าเหนื่อยขาดใจ...5555 แต่สนุกและภูมิใจมาก

ไถๆดูหน้าร้านแล้วเป็นปลื้มมมมม

ทำทุกอย่างคนเดียว. ตั้งแต่ถ่ายภาพสินค้า.   รีทัชแสง. ลบจุด ลบรอยต่างๆนานา จนประกอบเข้าเป็นภาพกราฟฟิก ซึ่งต้องมีทั้งงานทำตัวอักษร. คิดคำบรรยายสินค้า. ทำ Banner ร้านค้า ฯลฯ และต้องร้อยเรียงภาพเป็นร้อยๆภาพ upload ขึ้นระบบ. ปรับแต่งทุกอย่างให้สวยงามเข้าที่เข้าทาง

ถือเป็นโปรเจ็คขนาดใหญ่ทีเดียวค่ะ

สินค้า 1 ชิ้น ต้องใช้ภาพอย่างน้อย 6-8 ภาพ. คิดดูว่าสินค้ามีเป็นหลักร้อยชิ้น....ต้องบริหารจัดการภาพและงานกราฟฟิกต่างๆอย่างมหาศาล

และต้องคุมการใช้สีและองค์ประกอบต่างๆ หรือที่เรียกว่า CI Coporate Identity หรือว่า Branding ด้วยล่ะ. ให้งานออกมามันดูเป็น set เดียวกัน 

ตอนที่ทำมีทั้งแบบที่ลองแล้วไม่ work ต้องทำใหม่. ถ่ายรูปใหม่ทั้งหมด แก้ใหม่. ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสิ่งที่ไม่เคยทำ 

ช่วงที่ผ่านมาเลยหักโหมไปหน่อย. ออกอาการปวดหลัง. เพราะว่านั่งนาน

ไปๆมาๆเลยจับพลัดจับผลูต้องเปิดร้านเองไปด้วย.  ด้วยความที่ว่าจะได้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลยว่ามันเป็นยังไง. 55555 เป็นการเปิดร้านแบบงงๆ  ยังไงก้อจะได้ประสบการณ์ไปในตัว. เพราะไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกการจัดส่ง  การแพคกิ้ง  การบริหารสินค้าคงคลัง. การบริการหลังการขาย. และการทำการตลาด

เคยแต่เป็นคนซื้อจ้าาา

ผู้อ่านอยากรู้หรือยังคะว่าผู้เขียนขายอะไร5555

ผู้เขียนขายหนังสือมือสองค่ะ.  คือที่บ้านไม่มีที่จะเก็บหนังสือเพราะขยันซื้อ  จึงต้องเอามาปล่อยของซะบ้างงง.  ทั้งที่มันก็บาดใจอยู่ลึกๆ. ผู้เขียนเป็นคนรักหนังสือ  ต้องเอาหนังสือมาขายนี่ไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่หรอกค่ะ

แต่พอมาคิดใหม่ว่าอาจจะมีคนอยากได้หนังสือที่สภาพยังดีและราคาถูกกว่าราคาปก. บางเล่มเป็นหนังสือภาษาอังกฤษภาพสวยๆ กว่าจะได้มาก็ยาก. ส่วนใหญ่แต่ก่อนจะสั่งมาจากทาง amazon.com สมัยนั้นยังไม่มีการเก็บภาษีต่างๆนานามากมาย.  ค่าเงินก็ยังไม่แพงเท่าเดี๋ยวนี้.  บางทีหนังสือไม่ได้พิมพ์ขึ้นมาใหม่อีกแล้วด้วย

ความใฝ่ฝันที่ว่าอยากจะได้มีห้องหนังสือใหญ่ๆเป็นของตัวเองก้อคงจะเป็นฝันสลายล่ะค่ะ

หลายๆอย่างเป็นฝันสลายตั้งแต่ early retired จากงานมาแล้วนั่นแหละ

ตั้งแต่วันนั้น. จนถึงวันนี้ก้อได้ผ่านอะไรมามากมาย. พยายามไม่คิดมาก. ลงมือทำดีกว่า

ชีวิตไม่ต้องอะไรกับมันมากมาย....เพราะพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว.  

ทุกอย่างต้องผันผ่านไปค่ะ...สู้ๆๆๆๆๆ


 

สิงหาคม 17, 2565

สายมูต้องมา...ว่ากันว่าต่อจากนี้ชีวิตจะดีขึ้น

 


ตั้งแต่ออกจากงานมาก็เพิ่งจะได้ดูดวงไปครั้งสองครั้ง  คุณผู้อ่านดูดวงกันบ่อยมั้ยคะ

ผู้เขียนชอบดูดวงเพื่อจะเป็นกำลังใจให้ตัวเอง.  แต่ก้อเคยเจอหมอดูที่ไปดูแล้วทำให้รู้สึกแย่ลงกว่าเดิมเหมือนกันค่ะ

จะไปว่าหมอดูเค้าก้อไม่ได้เนอะ. เค้าอาจจะพูดตามตำรา. ซึ่งมันไม่ตรงกับความคาดหวังของเรา งานนี้คงไม่ได้เป็นความผิดของใคร

เดี๋ยวนี้ศาสตร์หมอดูแผ่ขยายไปกว้างขวาง  มีการดูไพ่ชื่อแปลกๆมากมาย. ซึ่งในยุคที่ผู้เขียนเติบโตมาก้อจะรู้จักแค่ไพ่ยิบซี.  กราฟชีวิต.  ดูลายมือ. เพียงประมาณนี้เท่านั้น

สมัยก่อนจะต้องไปดูหมอด้วยตนเอง. เดี๋ยวนี้ก้อดูแบบวีดีโอคอลได้ด้วยซะอีก. แสนสะดวกสบาย

ดูมาแล้วหลายหมอ. บางมิติของชีวิตผู้เขียน.  หมอดูทุกคนเกือบจะพูดเหมือนกันหมดว่า "แย่".  แต่ในอีกมิติชีวิตเช่น เรื่องการงาน. หลายหมอดูบอก "ไปได้ดี แต่ต้องเหนื่อยก่อนนะ"

ไม่เห็นมีใครเคยพูดเรื่องต้องมีการตกงานนานๆอย่างนี้ซักคน

มีเพื่อนสมัยเรียนหนังสือด้วยกันคนนึง. นางก้อตกงานเนื่องจากวิกฤตการณ์โควิทนี่หละ. ชีวิตพลิกผันไปเป็นหมอดูซะงั้น.  เลยถือโอกาสอุดหนุนกิจการหมอดูของเพื่อน ให้เพื่อนดูดวงให้

พูดไปนางก้อดูเรื่องเหตุการณ์ในอดีตแม่นซะจนน่าตกใจ  ภาวนาว่าเรื่องที่นางทายอนาคตผู้เขียนเอาไว้. ก้อขอให้แม่นด้วยละกัน5555

ตอนนี้นางได้กลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง. ได้ทำงานที่นางชอบซะแล้ว.  ดีใจกับนางด้วยจริงๆ

นอกจากจ่ายค่าครูให้นางแล้ว. ผู้เขียนยังออกแบบ banner facebook fanpage ให้นางใช้สำหรับโปรโมทตัวเองอีกด้วย. ตามภาพด้านบนนั่นแหละค่ะ.  นางชอบใจยกใหญ่

นางเล่าประสบการณ์ในอาชีพหมอดูให้ฟังยาวเหยียด. ฟังแล้วน่าสนุก. คนเป็นหมอดูนี่คงต้องจำเก่งเนอะ.  จำตำราเล่มหนาๆได้.  ซึ่งผู้เขียนคงจะไม่เหมาะหรอก5555. เพราะไม่ชอบท่องจำ. ชอบการ improvise 555

ไม่แค่เพื่อนหมอดูจะบอกว่าตอนนี้ดวงชะตาจะเริ่มดีขึ้นแล้ว. เพราะราหูคลี่คลาย.  จะมีลาภะ ดาวนี่นั่นมาเจอกัน.  ฯลฯ และดูจากในช่อง youtube อาจารย์ทั้งหลายช่องก้อพูดสอดคล้องกันว่า  ชาวราศีเราชีวิตจะดี+โดดเด่น เฮงๆๆๆสุดๆในปีนี้

เฮ้อ....คงจะขอให้มันเป็นจริงนะคะ

แล้วจะเล่าให้คุณผู้อ่านฟังถ้ามีอะไรดีๆในชีวิตเข้ามาจริงๆ

อย่างไรก้อแล้วแต่...ผู้เขียนคิดว่าเราควรต้องหาเรื่องดีๆในสิ่งร้ายๆให้เจอ. 

ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะขอบคุณวันนี้ที่ชีวิตเราต้องลำบาก. มันทำให้เราแข็งแกร่ง. และต้องปรับตัว-ปรับใจมากมาย

มันจะนำพาเราไปสู่สิ่งใหม่ดีๆที่เราไม่เคยคิดก้อเป็นได้

และเมื่อเราเหลียวมองกลับมาเห็นตัวเราในวันนี้....เราคงจะหัวเราะความบ้าบิ่นของตัวเอง. ที่กระโจนเข้าสู่เส้นทางสายอาร์ตๆ แบบหลังชนฝาอย่างนี้

สู้แบบหมดใจ. เต็มที่. แม้บางทีท้อแท้. และความหวังเริ่มริบหรี่

ชีวิตคงจะดีขึ้นไม่ได้.  ถ้าเราอยู่เฉยๆค่ะ.  

เพราะฉะนั้น..."ลิขิตฟ้า หรือจะสู้น้ำมือตน"

:)






สิงหาคม 10, 2565

เมื่อคนเราอิ่มใจ...แต่ไม่อิ่มท้อง



ชีวิตมันก้อเป็นซะอย่างนี้เนอะ... พอได้ทำงานที่ชอบ. ก้อกลับต้องมาปวดหัวกับเรื่องกินเรื่องใช้

ตอนนี้เริ่มจะกลายเป็น graphic designer เต็มตัว เพราะว่ารับทำงานวาง layout ทำ artwork แล้วได้เงินเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาบ้าง

อย่างไรแล้วคงจะดีกว่าทำแต่งาน stock photo แต่เพียงอย่างเดียว

คือจริงๆก้อต้องขอบคุณงาน stock photo ด้วยล่ะค่ะ. ที่เป็นจุดเริ่มต้นของผู้เขียน. ในการก้าวเดินเข้ามาในสายอาชีพใหม่.  

ทำให้มีความรู้เรื่องของ Photoshop และ Lightroom  อีกทั้งเข้าใจเรื่องแสงและเงา ขึ้นมา ทั้งที่แต่ก่อนไม่รู้เรื่องเลยก้อว่าได้. 

จากเรื่องงานภาพถ่าย ผู้เขียนยังทำพวกงานภาพประกอบอีกด้วย คราวนี้เลยมีทักษะการใช้โปรแกรม Illustrator และทำไป-ทำมา. ลองเอางานภาพถ่ายมาผสมกับงานภาพประกอบ. คราวนี้เลยมีอะไรสนุกๆตามมาอีกเยอะไปหมด. รวมแล้วประมาณว่ามันคืองาน graphic design แหละค่ะ

เปรียบประดุจว่างานพวก stock ทั้งหลายแหล่เป็นดั่งชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน. ผลิตวัตถุดิบออกมาสู่ท้องตลาดเป็นภาพถ่าย เป็นภาพ elements ต่างๆนานามากมาย ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข อิ่มเอมใจ. ยิ่งเวลาขายได้ละก้อจะมีความสุขมากขึ้นไปอีก

ทว่าถ้าไม่ได้ขายผลผลิตออกไปสู่ท้องตลาดด้วยตนเองเราก้อจะได้ราคาผ่าน Agent คือผ่าน platform ที่เค้ามารับเหมาโหลงานเราไปสู่ลูกค้าตัวจริง. 

ซึ่งราคาผ่านนายหน้า หรือผ่านตัวกลางเราก้อจะได้เงินเพียงน้อยหนึ่งเท่านั้น

เค้านึกจะปรับลดโครงสร้างราคา หรือจะทำยังไงกับผลผลิตเราก้อได้ 

คนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จก็มีอยู่นะคะ. แต่ไม่ใช่เราในตอนนี้5555

อาจจะเพราะเราเป็นพวกอินดี้. ไม่ชอบทำตามกระแสขายดี.  5555 

จริงๆแล้วที่ไม่อยากทำแนวที่คนอื่นทำแล้วรวยเพราะรู้สึกว่ามันเหมือนลอกกันยังไงชอบกลค่ะ.  เวลาลองไปเปิดดู portfolio ของคนที่ทำงานด้านนี้.  บางทีภาพมันดูคล้ายๆกันไปหมด ราวกับเป็นแนวประจำชาติไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย

ก้อเลยทำตามแนวที่คิดว่าตัวเองชอบไปก่อน.  สุดท้ายได้แต่ความอิ่มใจ....รายได้ไม่เพียงพออยู่ดี ถือว่าเป็นข้อคิดสำหรับคนอีกหลายคนในวงการนี้  ว่าอยากจะทำแนวไหนค่ะ

คราวนี้พอมานั่งคิดดูใหม่. เอาทักษะที่บ่มเพาะมาใช้ในงานแปรรูปผลผลิตจะดีกว่าไหม  ตัวอย่างเช่น. เกษตรกรเอาพืชผลมาแปรรูป. เช่น จากมะนาว  ไปเป็นมะนาวดองใส่ขวด  จัดทำหีบห่อให้ดูดี  จะขายได้ราคาดีกว่าขายพืชผลแบบเหมาเป็นคันรถ

ฉันใดก้อฉันนั้น...จึงคิดว่ามาทำงานด้าน graphic design ด้วยอีกทางหนึ่งไปซะเลย. ไหนๆก้อมาทางนี้เต็มตัวแล้วเนี่ย


มีเรื่องงงๆขำๆตามประสาคนเพิ่งเข้าสู่การเป็น graphic designer คือ การตั้งราคาชิ้นงานนี่แหละ.  ไม่รู้จะตั้งอย่างไรให้เหมาะสม. 555

เมื่อล่าสุดรับงานของเพื่อนมาทำ. บอกราคาเพื่อนไป.  ก้อราคาแบบเพื่อนด้วยส่วนนึง. กับอีกส่วนคือเรารู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรเยอะ. เพราะมันง่ายยยยยแสนง่ายในแบบของเราไง

พอถึงเวลาส่งงานและรับเงิน. เพื่อนโอนมาให้ซะแบบทำไมเยอะจังงงง. ฮ่าาาา

เพื่อนบอกเคยจ้างคนอื่นมามันไม่ใช่ราคาที่เราบอกอะสิ.  เลยจ่ายมาให้ตามที่ควรจะเป็น

สรุปว่าปัญหาใหม่คือเรื่องการกำหนดราคางานนี่หละ.  คงจะต้องคิดให้เหมาะสมต่อไป

เฮ้อ....สู้กันต่อไปค่ะ

:)