ตุลาคม 02, 2566
ภูเขาที่ต้องข้าม ลูกแล้ว-ลูกเล่า
กันยายน 01, 2566
ชวนอ่านนิยายเก่า-เล่าใหม่
วันนี้มาชวนอ่านนิยายค่ะ
อย่างที่หัวเรื่องบอกไว้ว่า ชวนอ่านนิยายเก่า-เล่าใหม่ เพราะว่าต้นฉบับดั้งเดิมของเรื่องนี้ที่จริงเขียนไว้นานมากแล้ว. น่าจะเขียนในยุคเฟื่องฟูของตัวเองที่เขียนเอาไว้เยอะสุดๆ
ที่ว่าเยอะเพราะเคยเอาพวกต้นฉบับลายมือออกมากอง แล้วนับเล่นๆ. พบว่าน่าจะมีมากกว่า 20 เรื่อง
แต่ที่เขียนจบจริงๆอาจจะไม่ถึง 10 เรื่อง
เรื่องนี้ก้อเป็นเรื่องหนึ่ง. ในบรรดาเรื่องที่เขียนจบแล้ว....แถมน่าจะเป็นเรื่องที่ยาวที่สุดก้อว่าได้
คือสมัยนั้นผู้อ่านต้องเข้าใจก่อนนะคะว่า...เมื่อสามสิบปีที่แล้วยังไม่มีแม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์. และผู้เขียนเขียนระหว่างที่กำลังเรียนมัธยม. ไม่สามารถจะมีอุปกรณ์อะไรพิเศษล้ำหน้ามากไปกว่า ปากกา และสมุด
แปลว่าตอนที่เขียน ก้อเขียนไปเรื่อยโดยนับจำนวนคำไม่ได้ค่ะ
ประสาเด็กก้อคิดว่ายาวแล้ว. เยอะแล้ว. แต่ไม่รู้กี่คำ.
แถมเรียกได้ว่าเขียนแบบด้นสด. ไม่มีหลักการอะไรทั้งสิ้น จะเดินเรื่องหรือจบยังไงก้อคิดวันต่อวันไปเรื่อยค่ะ. แบบนี้เขียนแล้วมีความสุขดีประสาเด็ก. ไม่ได้ฝันเฟื่องไปไกลว่าวันนึงอาจจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มๆมั่ง มันไกลเกินฝันค่ะ
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี. ทางเลือกก็มีมากขึ้น. ไม่ต้องตีพิมพ์. แต่เราทำเป็นอีบุ๊คได้นะ. แถมเดี๋ยวนี้เขียนยังไม่จบก้อหาเงินได้จากการติดเหรียญอีกต่างหาก
อะไรๆมันเปลี่ยนไปแบบที่ผู้เขียนคิดไม่ถึง.
จึงได้เวลาแสดงผลงานอีกด้านหนึ่งซะที ฮ่าาา.
ตอนนี้เอาเรื่องมารื้อใหม่หมด. ที่จริงเรื่องนี้ผ่านการรื้อมาไม่รู้กี่รอบ. ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อตัวละคร. เปลี่ยนชื่อเรื่อง ปรับสำนวนภาษาใหม่ เป็นต้น
รื้อรอบนี้...รื้อหนักเลยค่ะ
เขียนเพิ่มเป็นบทๆเลย. ต่อเติมเพื่อให้เนื้อเรื่องมันแน่นขึ้น เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น (เท่าที่จะทำได้)
หลังจากตอนนี้พยายามทำตัวให้เขียนอย่างมีหลักการมากขึ้นกว่าเดิม มีการวางพลอต. ทำโครงเรื่องใหม่. คาดว่าจทำให้นิยายยืดดดดด....ยาวววววว ออกไปได้อีกค่ะ
และแอบคาดหวังว่าอยากจะพิมพ์เป็นเล่มกับเค้าซักเล่มนึงในชีวิต. 😅😂
ยอมควักทุนเองด้วย. คงขายได้นิดหน่อยหรอกค่ะ. 555.
ที่เหลือจะทำบุญแจกให้ห้องสมุดประชาชน...แต่ใครอยากร่วมบุญ. ร่วมสนับสนุน. ให้ปูเสื่อ+นอนรอเลย. เพราะภาระกิจนี้ยาวไกล และโหด ประดุจวิ่งมาราธอน
ตามติด+ติดตาม การ update ที่ Fanpage Pakkavaleebooks ได้เลยค่ะ
เพราะกว่าจะรวมเล่มได้. ต้องเขียนให้ได้ประมาณ 150,0000 คำ เป็นอย่างน้อย เพื่อจะได้พิมพ์เป็นเล่มขนาด 300 หน้า
ตอนนี้เขียนไปได้ประมาณ 5 บทแล้วค่าาาาา.
รื้อเขียนใหม่จนตอนนี้เนื้อเรื่องมันวน+ขมวดกันจนผู้เขียนเริ่มจะคิดไม่ออกอีกล่ะค่ะ. ว่าเอาไงต่อดีเนี่ย....
สู้ต่อไปค่ะ
ขอไปวาดรูปก่อนแล้วอาจจะทำให้คิดออก...
ฝากติดตามและมาลุ้นไปด้วยกันนะคะ
ว่าจะเขียนจบมั้ย (แฮ่....ต้องจบค่ะ)
😁
เมษายน 12, 2566
โลกยังคงหมุนไป
ในขณะที่โลกยังคงหมุนไป...หญิงชราผู้เกษียณออกจากงานก่อนกำหนด ก้อยังก้มหน้าก้มตาสู้ชีวิตต่อไป. ด้วยสองมือและสองตาของเธอ
ร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปเนื่องด้วยต้องกินอยู่อย่างจำกัด. ปรับลดมาตรฐานชีวิตลงมาให้พออยู่พอกินไปได้นานๆ. ซึ่งมันจะนานแค่ไหนนั้น. หญิงชราแทบไม่อยากจะคิด
นับจากวันนี้ไปจนถึงวันไหนกันเล่า...ที่ชีวิตจะหมดลมหายใจ
ถึงวันนั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้เงิน. หรือมีเงิน
ทุกวันๆๆๆเธอนั่งวาดภาพ. อยู่กับสมุด sketch พู่กัน. ปากกาหลากสี กล่องสีต่างๆ และนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ.
หากงานอยู่บนเพียงสมุด sketch จะเกิดรายได้ได้อย่างไรเล่า...ในโลกยุคนี้
ต้องแปลงงานจากงาน analog ให้เป็น digital สิ
จ้องจอคอมพิวเตอร์จนปวดตา...และมือปวดไปหมดเพราะข้อมือถูกใช้งานเยอะ.
บางทีหญิงชราคิดว่าไม่มีงานไหนที่เธอรักจะทำจนลมหายใจสุดท้ายอีกแล้ว.
ไปเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่นาน. โหยหาที่จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่รักมาตลอด. พอมาได้ทำ...สังขารก้อพาลจะไม่ให้ความร่วมมือซะแล้วสิ
เคยกล่าวโทษโชคชะตา...
ทำไมฉันไม่ได้วาดรูป. ทำไมฉันถึงไม่ได้ทำในอาชีพที่ฉันอยากทำ
ตอนนี้ชักจะรู้สึกว่าโชคดี. หึ ๆ
ถ้าไม่มีวันเวลาอันโชติช่วงเหล่านั้น แม้ไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก...ก้อสามารถส่งต่อชีวิตให้พอจะยืนหยัดอยู่ได้ในตอนนี้...
เพื่อให้ได้ทำ "ในสิ่งที่รัก". ซะที
แม้จะเคยเหน็ดเหนื่อยอย่างมากมายในเวลานั้น. วันนี้ต้องมาขอบคุณตัวเอง
ที่ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่และทำให้อย่างดีที่สุดเสมอ. จึงมีวันนี้ได้...
และ...
โลกยังคงหมุนไป
มีคนหวังดีสร้างปัญญาประดิษฐ์ให้วาดรูปแทนมนุษย์ได้ซะงั้น. เพื่อนๆในหมู่คนสร้างงานศิลปะพากันเลิกอาชีพนักสร้างสรรค์ไปหลายคนด้วยความท้อใจ
โลกยังคงหมุนไป
คืนนี้เวลานอนยังต้องสวมแผ่นพยุงข้อมือต่อไปอีกสักเดือนสองเดือน.
และต้องหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆเพื่อรักษาอาการตาแห้ง. เพราะจ้องจอคอมพิวเตอร์นานต่อเนื่องเกินไป. ...อันนี้พฤติกรรมไม่สมกับวัยซะเลยค่ะ
หลายครั้งยังเจ็บปวดในใจ
แม้ว่าจะผ่านไปหลายปี....
เคยได้เริ่มทำงานประจำตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยได้สามปีครึ่ง. หางานเอง. ไม่ต้องรบกวนใคร...ไม่ต้องให้พ่อแม่มาเลี้ยงดูนับจากมีงานทำ
ไม่เคยไม่มีรายได้....หรือ. ไม่เคยรายได้น้อยเท่านี้มาก่อน...
เอาเถอะนะ...
สักวันหนึ่ง
วันหน้าจะต้องดีขึ้นกว่าวันนี้.
อย่างน้อยวันนี้...ก้อดีกว่าวันก่อนโน้นใช่มั้ยล่ะ
...
โลกยังคงหมุนไปค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
เมษายน 05, 2566
ชีวิตคือของขวัญอันบอบบาง
ภาพทุ่งดอกไม้. ฝีมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai ค่ะ |
ช่วงนี้ผู้เขียนเหมือนจะอยู่ในโหมดปิดสวิทซ์ตัวเองเพื่อพักร้อนแบบยาวๆค่ะ
ตั้งแต่ project ขายของออนไลน์กับเพื่อนถูกปิดสวิทซ์. เพราะมีน้องในทีมที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งของและเป็นเสมือนผู้ช่วยได้งานใหม่. เพื่อนเลยบอกหยุดไปก่อนดีกว่า. เดี๋ยวหาคนแทนได้ค่อยมาว่ากันใหม่....5555.
แต่ก้อผ่านไปแล้ว 3 เดือน. ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท.
คงจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าป่านนี้เพื่อนอาจจะไปลุยโปรเจ็คอื่นแล้วแหละค่ะ. เห็นว่าทำหลายอย่างมากอยู่
ส่วนตัวผู้เขียนเลยต้องเข้าโหมดตั้งหลักใหม่อีกครั้งนึง
ซึ่งจะว่าไปแล้วรู้สึกว่าต้องเข้าโหมดตั้งหลักไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วเนี่ย5555ตั้งแต่ไม่ได้ทำงานประจำ
นึกๆไปแล้วคนที่เป็น freelance เต็มตัวตั้งแต่เรียนจบมาเลยเนี่ย...ช่างแข็งแกร่งและใจเด็ดเสียจริงๆเนอะ
ผู้เขียนรู้จักรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยบางคนที่เรียนจบมาแล้วทำงานลักษณะกึ่งๆทำงานอิสระสลับไปๆมาๆกับทำงานบริษัทอยู่หลายคนค่ะ. คือหมายถึงว่าบางทีทำงานบริษัทได้แป๊บๆก็กลับไปเป็น freelance. พอสักพักเจอหน้ากันอีกทีก้อกลับไปทำงานบริษัทอีกล่ะค่ะ
สิ่งที่รุ่นพี่มักจะบ่นมากๆคือเรื่องระบบการทำงานในบริษัท. เรื่องความขัดแย้งกับหัวหน้างานบ้าง. บางคนก้อมีปัญหาเรื่องไม่อยากใส่ uniform. บางคนเกลียดการรูดบัตรเข้าออก. บางคนไม่ชอบมาทำงานตามเวลาของบริษัท. เป็นต้น
คนที่เป็น freelance จะมีปัญหาเรื่องไม่มีหลักฐานทางด้านรายได้. และรายได้ไม่สม่ำเสมอ. คือเวลาถ้าจะซื้อรถ หรือซื้อบ้านโดยกู้เงินกับสถาบันการเงินเนี่ยจะยากมาก
อย่างนี้แล้วคนเหล่านี้จะวางแผนทางการเงินให้กับชีวิตกันยังไงล่ะเนี่ย
รุ่นพี่บางคนที่เป็นคล้ายๆ freelance มาเจอกันตอนอายุเยอะๆแล้วนี่บางคนก็เดินสายทำบุญตลอด. ดูชีวิตมีความสุขดีเหมือนจะไม่ขาดแคลนอะไร. แต่ก้อย่างว่าค่ะ...เรื่องเงินๆทองๆนี่เป็นเรื่องค่อนข้างจะส่วนตัวไปสักนิด. เป็นมารยาทที่ไม่ควรจะไปถามว่าเป็นไงมาไงบ้าง. และปกติแล้วก้อไม่มีใครบอกใครถ้าไม่ได้ไว้ใจกันมากๆอีกด้วย
ผู้เขียนเองไม่เคยเป็น freelance มาก่อนในชีวิต. พอต้องมาเป็นคล้ายๆ freelance ในตอนแก่แล้วเนี่ยมันช่างทรมานจริงๆค่ะ.
โหมดตั้งหลักนี่เรียกอีกอย่างได้ก็คือโหมดตั้งสติ
คือไม่งั้นจิตจะตก. 55555
นอกจากจะหยุดโปรเจ็คแล้วทำให้รายได้ประจำหายไป. ยังต้องต่อสู้กับกระแสปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเข้ามาแทนที่อาชีพของเราด้วยค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสรรค์งานเขียน. งานภาพวาด. หรืองานภาพถ่าย ที่ทำแทนมนุษย์ได้ด้วยการเขียน prompt สั่งการ. ก้อใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการสร้างงานสวยๆออกมาได้แล้วค่ะ
แบบนี้จะไม่มีที่ยืนสำหรับคนทำงานอย่างผู้เขียนแล้ววววว.
ไหนจะพวกบริษัทตัวกลางที่ทำหน้าที่รับ/จ่าย/แปลงสกุลเงินเวลาเราเบิกถอนพวกรายได้ที่เราทำได้จากนอกประเทศอีกล่ะ. พวกนี้ก้อค่อยๆขึ้นค่าธรรมเนียมชนิดสุดโหดเลยค่ะ.
คือกว่าเงินจะถึงมือเราได้เนี่ยโดนตัดหัวคิวจากตรงนั้นตรงนี้ไปจนเหลือนิดเดียวล่ะค่ะ
แล้วนี่ตกลงว่าจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย.
คุณค่างานศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์นี่ไร้ค่าซะแล้วเหรอ. .... แล้วต้นทุนค่ากล้องถ่ายรูปกับอุปกรณ์ต่างๆนานาที่เราซื้อมาแล้วเพื่อการทำงานล่ะ...เท่ากับจะไม่มีประโยชน์เลย. ถ้าใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างงานได้แล้วก้อคงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมืออะไรให้มันเปลืองเงิน
เศร้าอ่ะ
บ่นนนนนค่ะ. ได้แต่บ่น
เราก้อยังต้องประคับประคองชีวิตน้อยๆอันแสนจะบอบบางของเราต่อไปค่ะ.
ตอนนี้ยังคิดไม่ตก...ว่าจะหนีไปทำมาหากินอะไรดีเนี่ย. ที่ไม่ต้องถูก disruption
.....ให้กำลังใจตัวเองกันไปวันต่อวันละค่ะทีนี้....