กุมภาพันธ์ 14, 2566

โลกของแมว


 

เวลาเครียดๆเมื่อไหร่...ถ้าคุณผู้อ่านมีแมวอยู่ในบ้าน.  ลองไปคุยกับเค้าดูสิคะ


ผู้เขียนเริ่มจะพูดกับแมวบ่อยๆแล้วล่ะค่ะ.  55555

เค้าก้อจะคุยกับเรา เหมือนจะรู้เรื่องไปกับเราเนอะ5555.

เราพูดภาษาคน. เช่น.  "ทำไรอยู่ศรีส้ม.  นอนทั้งวันเลยนะ"

ศรีส้ม : เมี้ยวววว. เมี้ววววๆๆๆ

เรา :  กินข้าวหรือยังเนี่ย

ศรีส้ม :  (ทำท่าตะกายข้างฝา. เอาขาหน้าสองขายืนแล้วเอาเล็บขูดข้างฝา ครืดๆๆ) เมี้ยวว

เรา :  (เอามือไปเกาพุงให้) 

ศรีส้ม :  (นอนหงายท้องให้เกาอย่างสบายใจ)


5555


ศรีส้มน่าจะรักการกินเป็นชีวิตจิตใจค่ะ. กับอีกอย่างหนึ่งที่เห็นศรีส้มชอบทำคือการเลียทำความสะอาดขน 


....เลียตัวเองไม่พอ.  จะตามไปเลียให้น้องศรีนิลอีกด้วย.  เลียแบบจริงจังเลยทีเดียว


ตั้งแต่ศรีนวลจากไปอย่างกระทันหัน  ศรีส้มก็ต้องมารับบทเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลศรีนิลค่ะ

ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าศรีส้มไม่แยแสเจ้าแมวรุ่นเด็กเล็กอย่างศรีนวลกับศรีนิลเลยค่ะ.  ถึงจะอยู่ชายคาเดียวกันศรีส้มจะเดินหนีตลอด. และแยกตัวนั่งเล่นเงียบๆคนเดียว

ศรีส้มเคยมีพี่น้องชื่อสามศรี(แม่ของศรีนวล+ศรีนิล). อยู่ๆวันหนึ่งสามศรีก็หายไปไม่กลับมาบ้าน...

สามศรีโตมาด้วยกันกับศรีส้ม.  เป็นคู่วิ่งไล่และวิ่งเล่นมาตลอด. นับจากนั้นศรีส้มก็ซึมๆไปพักใหญ่. เหมือนจะรับรู้ว่าสามศรีคงไม่กลับมาแล้ว. แต่ไม่รู้หายไปไหน. เศร้าค่ะ.  ผู้เขียนเดาว่าสามศรีอาจจะถูกตัวอะไรกินเหมือนกับศรีนวลก็เป็นได้

ศรีส้มไม่กล้าออกไปเล่นไกลบ้าน.  แถวบ้านมีแมวเกเรสีดำชอบมาไล่กัดศรีส้มค่ะ.  ต้องคอยวิ่งหนีเป็นประจำ. ท้ายสุดคงรู้ว่าที่บ้านปลอดภัยที่สุดแล้ว.  

ผู้เขียนชอบดูศรีส้มกับศรีนิลนั่งเล่นด้วยกัน.  เค้าเป็นแมวเค้าก็ดูแลซึ่งกันและกัน ไม่เคยแย่งอาหารกัน. นอนก็นอนด้วยกัน.  ดูแล้วอบอุ่นหัวใจค่ะ

เวลาศรีนิลออกไปเดินเที่ยวนอกบ้าน.   ศรีส้มจะนั่งรอหน้าประตูบ้านเลยทีเดียว. 

ผู้เขียนเองต้องคอยทำใจค่ะ. ไม่รู้ว่าวันไหนศรีนิลอาจจะหายไปไม่กลับมาหรือเปล่า

แต่นี้คือธรรมชาติของสัตว์โลก.  ให้เค้าได้วิ่งเล่น. ได้ผจญภัยบ้างนิดๆหน่อยๆ. สัมผัสแดดอุ่น กลิ่นของใบไม้...ฯลฯ

วันนี้ที่ยังได้อยู่ด้วยกันคือวันที่ดีที่สุดแล้วค่ะ...




กุมภาพันธ์ 08, 2566

ความสุขที่จับต้องได้

 



แล้วๆเล่าๆวันนี้วาดรูปเสร็จไปหนึ่งรูป.  ทันทีที่รู้สึกว่า "จบ". และ "พอแล้ว" แปลว่าเสร็จละค่ะ

ไม่ได้วาดรูปเป็นชิ้นเป็นอันมานาน.  มีโพสต์ก่อนๆที่บ่นให้คุณผู้อ่านฟังว่าอยากกลับไปวาดรูปสีน้ำมัน.  แต่ก้อกลับมาวาดด้วยสี acrylics 

คือ สี acrylics มันแห้งเร็ว. จบงานได้เร็วกว่าเยอะค่ะ

และที่สำคัญ  คือ. กลิ่นไม่มี

สีน้ำมันที่ต้องดมกลิ่นพวกน้ำมัน. พวกทินเนอร์. จึงคิดว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า

ไม่รู้แต่ก่อนก็ทนดมอยู่ได้ตั้งหลายปี. ฮ๋าาาาา.  แต่ก่อนวาดสีน้ำมันเป็นงานหลักเลยค่ะ.   อาจเป็นเพราะเข้าใจว่าการวาดสีน้ำมันมันแพร่หลายกว่า.  และตอนนั้นก้อไม่ค่อยรู้จักสี acrylics  เท่าไหร่  

คือไม่เข้าใจว่ามันต้องผสมอะไร.  รู้ว่าใช้น้ำได้.  แต่เคยลองๆแล้ว. พอผสมน้ำ. สีออกมาบางมาก.  หลายอย่างไม่ได้อย่างใจแลยยยย.   เพราะไม่เข้าใจนั่นเอง

ไม่เข้าใจแต่ก้อแอบซื้อสะสมสี acrylics ไว้เป็นลังเลยนะคะ. ไหนจะพวก medium ต่างๆนานา. ขนาดใช้ไม่เป็นก้อซื้อมาซะงั้น

โชคดีสมัยตอนทำงานมีรายได้. จึงเลือกซื้อเลือกใช้ของดีๆ. เข้าใจว่าแพงนิดแต่น่าจะอยู่ทนนาน.  เพราะไม่รู้จะมีเวลาเอามาใช้เมื่อไหร่.   ก็สมพรปากตามนั้นเลยค่ะ....ซื้อมาเก็บไม่ต่ำกว่าสิบปี หรือใกล้ๆนั้น

แม้ว่าจะเก็บเอาไว้เฉยๆได้นานขนาดนั้นกลับพบว่าสีเกรดอาร์ตติสนั้นทนถึกมากมายค่ะ

ยังบีบออกจากหลอดได้อยู่.  บางหลอดอาจจะมีการแยกเนื้อ-แยกน้ำบ้าง. แต่ยังพอจะเอามาระบายได้

เมื่อวานระบาย background เอาไว้แล้ว.  ระบายไปเรื่อยเปื่อย. เรียก free flow painting คือนึกจะระบายอะไรก้อไม่ต้องคิดเยอะ.  ไม่ต้องคิดว่าสวย.  อยากทำอะไรก้อทำ

วันนี้เอามาวาดต่อ. คือเสร็จเร็วเพราะเป็นงานชิ้นไม่ใหญ่ค่ะ. วาดเพื่อ warm up ประมาณนั้น

คือเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว.  ผ่านไปอย่างรวดเร็ว.  ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง....อิ่มเอมใจ

ทำงานพวก digital art ต้องใช้สายตามองจอคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน.  พักนี้แสบตาและปวดตาไปหมดเลยค่ะ  ถ้าไม่ถนอมสายตาและมือ.   หรือกล้ามเนื้อหลัง.  เดี๋ยวซักวันร่างเสื่อมไปจนวาดรูปไม่ได้จะทำยังไง

ต้องการจะพักสายตา.  ไม่ต้องจ้องจอคอมพิวเตอร์ค่ะ

มันก้อเป็นการตอกย้ำตัวเองค่ะ.  ย้ำแล้วย้ำเล่า

ว่าเราอยากอยู่ในโลกของการวาดรูปและศิลปะ

ไม่จำเป็นต้องถามว่าทำไม....เพราะไม่มีคำตอบค่ะ. ชอบก้อคือชอบ

นี่ละค่ะ   ความสุขที่จับต้องได้


...

กุมภาพันธ์ 01, 2566

หยุดและวาง(ซะบ้าง)


เหมือนเดือนนี้จะเป็นเดือนแห่งความอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยค่ะ

นั่งมองชีวิตย้อนหลังไป  ชีวิตที่เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยชีวิต

ประสบการณ์ชีวิตบางช่วงเป็นเหมือนวิชาง่ายๆ ที่เราผ่านมันไปได้ง่าย.  และในบางวิชาที่เราไม่ถนัด เราก้อต้องเข็นตัวเองมากมายเพื่อเก็บหน่วยกิตให้สำเร็จ.  บางครั้งมันเต็มไปด้วยคราบน้ำตา 

และแล้วมันก็ผันผ่านไปดุจคืนและวัน. ดุจเดือนและปี.  วิชาแล้ว วิชาเล่า

จุดสูงสุดของการเรียนวิชาชีวิตคือการสอบ

บางทีมันมีจุดตัดสินอยู่ในปัญหาที่เราเผชิญ

ชีวิตพลิกได้....ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา.  ว่าจะเลือกเดินไปทางไหน

ซึ่งมันจะทำให้เราต้องเปลี่ยนชีวิตไปโดยสิ้นเชิง

เราจะทำอย่างไรต่อไปหากสอบไม่ผ่านขึ้นมา

สอบไม่ผ่านคือจบปัญหาไม่สวย.  ช้าก่อนนนน...

แม้จะสอบไม่ผ่านในวันนี้.  แต่วันหน้ายังมีหวังนี่นะ

คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก.  ต้องสอบวิชา "ผิดหวัง" และ วิชา "ล้มเหลว" ให้ผ่านค่ะ

ไม่มีใครทำอะไรครั้งแรกแล้วจะประสบความสำเร็จได้หรอก


อีกวิชาที่สำคัญ คือ

วิชา "อดทน". และวิชา "รู้จักที่จะรอคอย"


ผู้เขียนบอกกับตัวเอง...ชีวิตต้องเดินต่อไปเหมือนการต่อจุด dot to dot

 เราน่าจะได้เจออะไรดีๆในวันข้างหน้าบ้าง.  เพียงถ้าวันนี้เราไม่หยุดเดินซะก่อน

เดินอยู่ในครรลองที่ดี.  ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน. ไม่เอาเปรียบใคร


วันนี้เลยต้องหยุดคิดเรื่องงานซะบ้าง.   วางทุกอย่าง.  ปล่อย....ปลง และประคับประคองจิตใจ

นี่หละค่ะ... ชีวิต


มกราคม 26, 2566

ชีวิตการทำงาน...มีวันหมดอายุ

 


ของทุกอย่างในโลกใบนี้. เหมือนจะอยู่บนเส้นสัจธรรมเดียวกัน คือ เข้ามา...และจากไป

อยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา. เพราะได้รับรู้เรื่องราวของคนที่บริษัทที่เคยร่วมงานกันมา.   และแม้จะเป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ต่างหน่วยงาน และเป็นรุ่นน้องผู้เขียนหลายปี. แต่ก้อรู้จักและคุ้นเคยกัน

ตั้งแต่ผู้เขียนมีเหตุอันต้องเกษียณก่อนวัยอันสมควรออกมา. ก้อไม่ได้มีโอกาสติดต่อกับใคร.  มีหลายเหตุผลที่เราต้องวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นศิษย์เก่าไปซะแล้ว.   ไม่ควรจะไปรับรู้แล้วจะมีความคิดเห็นต่างๆนานาในหัวสมองขึ้นมา. แล้วมันไม่ได้มีประโยขน์อะไรกับชีวิตเรา 

หลายครั้งยังนอนหลับฝันเห็นชีวิตตอนยังอยู่ในออฟฟิศด้วยซ้ำไป.  ก้อแน่ล่ะ.  โลกเกินครึ่งชีวิตของผู้เขียนอยู่ในนั้น. ทั้งผู้คนที่เคยร่วมงานกัน. ก้อคนที่บริษัททั้งนั้น.  ชีวิตนี้คงลบออกไปไม่ได้หรอกค่ะ

ย้อนมาเข้าเรื่องค่ะ

ผู้เขียนได้รับมาว่าน้องคนนี้ซึ่งยังทำงานอยู่. อยู่ดีๆนั่งทำงานแล้วคงจะวูบคาโต๊ะทำงาน.  พอส่งโรงพยาบาลคราวนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแต่สภาพไม่เหมือนเดิม

เข้าใจได้ทันทีว่าน้องงานหนัก. เพราะทำงานเป็นผู้บริหารทางด้านการเงินของบริษัทด้วยล่ะค่ะ. 

สมัยตอนยังอยู่ที่บริษัท.  เจอน้องหน้าตาเหน็ดเหนื่อย. และมาบ่นให้ฟังประจำว่าน้องเครียด. น้องงานเยอะมากกก. ส่วนผู้เขียนเป็นฝ่ายบุคคลที่แสนใจดีก้อจะรับฟังเป็นอย่างดี.  และนึกไปว่า  พี่ก้องานเยอะเหมือนกัน. เจอหน้าใครโดยเฉพาะพวกผู้บริหารด้วยกันก้อจะบ่นเรื่องงานเยอะเหมือนกันหมด

น้องเป็นเด็กรุ่นน้องที่ทำงานดี. วินัยดี และจิตดี.  จึงได้รับการโปรโมทให้เป็นเหมือน sucessor ของผู้บริหารอีกท่านนึงที่เกษียณไปตามอายุขัยไปแล้ว

แน่ล่ะ.  เป็นผู้บริหารแล้วดูเหมือนจะได้ค่าตอบแทนมากขึ้น. สิทธิประโยชน์ต่างๆที่ไม่ใช่เพียงตัวเงินก้อมากขึ้น

แต่ใครจะเอาไหม ....ถ้า

เราต้องรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายเรารับไม่ไหว

ความเครียด. ความกดดัน   โปรเจ็คต่างๆมากมายนอกเหนืองานในความรับผิดชอบ.  การบริหารลูกน้อง แรงเสียดทานระหว่างการทำงาน.  ทุกอย่างจะพุ่งตรงมาทางเรานี่หละ

ผู้เขียนเองตอนทำงานก้อป่วยจนค่ารักษาพยาบาลเกิน limit. 

เพราะชีวิตไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ.  ต้องเหนื่อย ต้องพยายาม. ต้องฝึกฝนตัวเอง. ต้อง ฯลฯ

ทั้งไมเกรน. ปวดหัวปวดท้อง  ทั้งลำไส้แปรปรวน. กรดไหลย้อน. นอนไม่หลับ. ปวดหลัง กล้ามเนื้อตึง.  มาเป็นขบวนเลยค่ะ

ได้ยิน ได้อ่านและได้ฟังว่า. พออายุมากขึ้นหลายๆอย่างมันจะไม่เหมือนเดิม. มันจะเสื่อมถอย

เราก้อนึกภาพไม่ค่อยออกค่ะ.  ตอนยังทำงานอยู่มัวแต่คิดถึงความรับผิดชอบ

แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ


ปัจจุบันทราบว่าน้องไม่เหมือนเดิมแล้ว.กึ่งๆว่าทุพพลภาพ  ทำงานในตำแหน่งเดิมไม่ได้.  บริษัทโอนย้ายน้องไปทำหน้าที่อื่นที่พอให้น้องประทังชีวิตต่อไปได้บ้าง.   เพราะน้องต้องรักษาตัวอีกเยอะ.   และน้องเป็นสาวโสดตัวคนเดียว.  อยู่คนเดียว.  เหมือนคุณพ่อคุณแม่ก้อเสียชีวิตหมดแล้ว.  พี่น้องก้อไม่มี

เดชะบุญ. บุญเก่าน้องยังมี.  มีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องผู้หญิงพาไปอุปการะที่บ้าน. พาไปอยู่ด้วยและดูแล.  

อะไรจะจิตใจประเสริฐขนาดนี้.  ในโลกนี้ยังมีเรื่องดีๆอยู่เหมือนกันนะ

ผู้เขียนได้รับทราบถึงตรงนี้น้ำตาจะไหลไปด้วยเลยค่ะ สาธุ...🙏


ทุกวันนี้ผู้เขียนรู้สึกตัวว่าทำงานตลอดเวลา.  คิดอยู่ตลอดเวลา. ถึงเรื่องงาน. การทำมาหากินของตัวเอง  ซึ่งไม่ได้ใช้ชีวิตแบบชิลๆ.  เพราะว่าเรายังต้องหาเลี้ยงชีวิตอยู่. 

แถมช่วงนี้รู้สึกปวดตามาก. และนอนไม่หลับ. ไม่รู้ว่าเคมีในร่างกายมันไม่สมดุลย์ หรือว่าเครียดเกินไปกันแน่

อายุที่มากขึ้นมันทำให้เราทำอะไรไม่ได้เท่าเดิมอีกต่อไปค่ะ

แล้วจะอยู่ต่อไปยังไงดีคะเนี่ย...ขำไม่ออก

 ยังคิดต่อไปว่าตอนนั้นหากผู้เขียนไม่ได้ตัดสินใจเกษียณอายุก่อนกำหนดออกมา...อาจจะมีเหตุการณ์สลบคาโต๊ะทำงานเหมือนกับน้องก้อได้


เลือกชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก

...จริงๆนะคะ🍓