ธันวาคม 01, 2565

ผู้รอดชีวิต

 


ใครจะไปรู้ว่า "ผู้รอดชีวิต"ในคราวนี้ จะรอดต่อไปได้ในภายภาคหน้า...อีกหรือไม่

ศรีนิลเป็นแมวตัวผู้ที่มีแววซุกซนมาตั้งแต่ตอนเป็นลูกแมวแล้วค่ะ.  ดูจากหน้าตาก้อคงจะรู้.😅   ผู้เขียนก้อสังเกตเห็นถึงความกระตือรือร้นและพละกำลังที่มีอยู่ในตัวศรีนิลอะค่ะ 

ยามกินก้อจะชอบเบียดและผลัก หรือเอาตัวมาขวางกันท่าศรีนวลให้เข้าถึงชามอาหารได้ลำบาก

ถ้าคุณผู้อ่านนึกไปถึงเวลาคนเราเล่นบาสเกตบอลแล้วฝ่ายตรงข้ามพยายามเอาตัวมากันอีกฝ่ายละก้อ. ยังไงอย่างนั้นแหละค่ะ

และผู้เขียนเห็นเช่นนี้ทุกมื้อ.  

แรกๆศรีนวลผู้อ่อนโยนเสมอจะนิ่ง  แม้จะเป็นตัวผู้เหมือนกันก้อเบียดกลับไม่ค่อยจะไหว. เพราะศรีนิลดูแรงเยอะกว่าค่ะ

พอผ่านมาสักระยะ. เมื่อศรีนวลเริ่มจะรู้ว่าสงสัยต้องออกแรงกันซะบ้าง.  ผู้เขียนเลยได้เห็นศึกแมวชนแมวกันหน้าชามอาหารล่ะค่ะ.  ศรีนิลเบียดมา. ศรีนวลก็ไม่ยอมแพ้ เรื่องกินนี่ไม่มียอม

แต่ก็คงเป็นการเบียดแบบยังมีความปราณีซึ่งกัน.  พอต่างคนได้มุมเหมาะๆแล้ว. ทีนี้เห็นว่าต่างคนต่างกินอย่างไม่สนใจอะไรในโลกนี้แล้ว

พอถึงเวลาเล่น. จะเห็นว่าลูกแมวสองพี่น้องก้อเล่นกันแบบสุดฤทธิ์. คือไล่ปล้ำกันจนเสียงตึงตังไปหมด  ผลัดกันวิ่งไล่.  พอยามพักเหนื่อย ศรีนวลและศรีนิลจะผลัดกันมาเลียหน้าเลียตา.  ดูแลซึ่งกันและกัน. 

ผู้เขียนดูแล้วก็รู้สึกซึ้งไปกับความรักที่สองพี่น้องนี้มีให้กันค่ะ เค้าทั้งคู่ไม่เคยแยกจากกันเลย


ณ วันนี้...

หลังจากการจากไปของศรีนวลอย่างถาวร...ศรีนิลนั่งหงอยๆ และครางเบาๆ พร้อมกับมาคลอเคลียใกล้ๆราวกับจะบอกว่าเค้ากลัว  เค้าเศร้า และเค้ารู้สึกเดียวดายมากๆ

ผู้เขียนเอาคลิบวีดีโอเก่าที่มีภาพเคลื่อนไหวของศรีนวลอยู่ให้ศรีนิลดู

ศรีนิลจ้องมองจอโทรศัพท์มือถือ....และร้องครางเบาๆด้วยค่ะ. 😭

ผู้เขียนเองก็รู้สึกสะท้อนใจไปด้วย

....

ยิ่งตอนผู้เขียนมาเก็บกรงเพื่อจะเก็บพับเป็นการถาวร.  เพราะไม่อยากจะมีภาพจำเกี่ยวกับร่างไร้ชีวิตของศรีนวล.   ขณะกำลังทะยอยพับทีละส่วน. ศรีนิลก้อจะเดินมาดมๆรอบๆกรง.  ดมเสร็จก้อนั่งลงไปทำเสียงหงิงๆอีกล่ะค่ะ.  เค้าคงจะยังได้กลิ่นของศรีนวลติดอยู่ตามกรงแน่ๆ

เศร้าค่ะ

มาติดตามกันต่อไปนะคะว่าศรีนิลจะ move on ต่อไปยังไง💔




🌺 ตามอ่านซีรีย์เกี่ยวกับหมาแมวและ "ครอบครัวสามศรี " ตาม Link ด้านล่างนี้ค่ะ :

พฤศจิกายน 24, 2565

วันคืนร้ายๆ

เมื่อคืนฝนตกหนัก เป็นฝนกลางฤดูหนาวที่ทิ้งช่วงมานาน ทำเอาอากาศเย็นนอนสบายไปทั้งคืน.  แต่ว่าเรื่องร้ายๆก้อบังเกิดในรุ่งเช้า

หกโมงเช้ากว่าๆแล้ว. คุณพ่อมาเคาะประตูเรียกแต่เช้า. ผู้เขียนใจคอไม่ดีเลย ตอนออกไปเปิดประตู

พ่อบอกว่าน้องศรีนวลไปแล้ว.....งูเหลือมเข้ามากินน้องถึงในกรง

แม้ว่าจะคายน้องออกมาก่อน เพราะว่ากลัวจะหนีคุณพ่อไม่ทัน.  คุณพ่อหันหลังจะไปหยิบไม้จับงูในบ้าน. พอออกมาอีกที.  งูเหลือมคายร่างไร้ชีวิตของศรีนวลออกมาแล้ว  แต่งูก้อเลื้อยหายลับไป. 

ผู้เขียนวิ่งตามคุณพ่อขึ้นไปชั้นบน.  เห็นเพียงศรีนวลนอนหลับตานิ่งสนิท.  สภาพลำตัวน่าจะถูกบีบจนลีบ. ขาหน้าลู่ติดไปกับลำตัว.  

ผู้เขียนได้แต่เจ็บจุกอยู่ในใจ. พูดออกมาได้แค่ว่า "ไปสวรรค์นะ.  ไม่น่าอายุสั้นขนาดนี้เลยศรีนวล"

คุณแม่เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ฟัง. บอกว่าศรีนิลคู่พี่น้องของศรีนวลที่อยู่ในกรงเหมือนกันนั่งกลัวตัวสั่นอยู่สุดมุมของกรง.  คงได้แต่นั่งดูภาพสยองของพี่น้องที่เคยอยู่ด้วยกันค่อยๆถูกกลืนกิน

พอคุณแม่ไปเปิดกรงเพื่อจะไล่งู.  ศรีนิลเหมือนจะนั่งตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก.  สักพักหนึ่งถึงจะกระโจนหนีออกมาทางประตูกรงได้

ศรีนิลวิ่งหนีหายไปทางหลังบ้านด้วยความกลัวสุดชีวิต

คู่พี่น้องนี้เคยใช้ชีวิตแต่ในกรงเป็นส่วนใหญ่.  เพราะความที่ยังเป็นแมวเด็ก ตอนนี้ก็น่าจะอายุแค่ 4-5 เดือนเท่านั้น ที่บ้านเพิ่งจะปล่อยให้ออกวิ่งเล่นนอกกรงในช่วงเวลาเย็นบ้าง.  พอค่ำจึงพากลับเข้าไปอยู่ในกรง. เพราะในกรงจะป้องกันอันตรายจากแมวเกเรแถวบ้านที่ชอบมาเดินวนเวียนไล่กัดแมวเล็กอยู่เป็นประจำ

เรื่องงู....เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของผู้เขียน

และแมวเด็ก ก้ออาจจะไม่เคยรู้จัก+ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกว่างู 

เพราะเข้าใจว่าแมวอยู่ในกรงเหล็กดูแข็งแรงซะอย่างนั้น 

คุณแม่เล่าว่างูมันหาช่องทางลอดเข้าไปได้.  ส่วนคุณพ่อบอกว่าตัวงูเหลือมใหญ่ขนาดเท่าแขนคุณพ่อ.  ถ้ามันไม่ชิงคายน้องศรีนวลออกมาก่อน.  มันจะลอดกลับออกไปไม่ได้

.....





ผู้เขียนนิ่งมองศรีนวลในสภาพนั้นอยู่พักใหญ่

ในหัวใจแตกสลาย...

ถึงแม้ศรีนวลเป็นแค่แมวน้อยหนึ่งตัว  แต่ศรีนวลมีความน่ารัก.  เรียบร้อย. ไม่ค่อยจะซุกซน มีความแสนรู้ประสาสัตว์ที่รู้ว่าใครคือเจ้าของ.  รู้จักที่จะขอความรักความเมตตา  

ภาพเมื่อวันก่อนที่ศรีนวลมาร้องเรียกผู้เขียนที่หน้าห้องทำงานย้อนเข้ามาในความคิดอีกล่ะค่ะ

ศรีนวลเป็นแมวตัวโปรดของผู้เขียน.  

คงจะเก็บเรื่องราวของศรีนวลเอาไว้ในหัวใจเสมอ   วันนี้รู้สึกเศร้ามากๆ...ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานเลยค่ะ

ทั้งที่เมื่อคืนยังบ่นใน Vlog ของตัวเองอยู่เลย ว่าชีวิตเราต้องทำงานๆๆๆๆๆมากๆๆๆๆ แต่วันนี้หมดแรงแล้ว

.....

ยังมีรูปถ่ายกับวีดีโอคลิปไม่กี่อันที่บังเอิญบันทึกเอาไว้ตอนพาสองศรีพี่น้อง (ศรีนิลและศรีนวล) ไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีน

เปิดคลิบดู....ยิ่งร้าวรานใจ

ทำไมโชคชะตาถึงได้พัดพาให้สิ่งที่เรารักจากไปหมดล่ะ....

ที่ผ่านมาก้อว่าเป็นวันร้ายๆแล้ว

เหมือนวันนี้จะร้ายยิ่งกว่า...

ฉันคิดถึงเธอ แมวน้อย...เราเคยได้ใช้เวลาดีๆร่วมกัน...คิดถึงเสียงเล็กๆที่เธอร้องเรียก 

คิดถึงเธอมากมาย   ขอให้เธอไปดีนะ...

😭






📌------- อ่านเพิ่มเติม-------- 📌 

สิงหาคม 31, 2565

บางทีเราเห็นตัวเองจากการเห็นคนอื่นเหมือนกันนะ




เคยได้ยินมั้ยว่าคนเรามี "ตาใน" กับ "ตานอก"

แต่คนเรามักจะลืมใช้ "ตาใน" เพราะคุ้นเคยกับการใช้ "ตานอก" มากกว่า

คำว่า "ตาใน" ที่กำลังพูดถึงอยู่ หมายถึง ความคิดหรือสติสัมปชัญญะน่ะแหละค่ะ

วันนี้นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่าน. เลยจะมาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการมองตัวเองกันบ้าง

ส่วนมากการใช้ชีวิตของคนเราใช้ ตาเนื้อ หรือ ตานอก หรือ การใช้สายตา ถ้าเป็นทางธรรมมะก็จะบอกว่าเป็นการเห็นด้วยประสาทสัมผัส. ทำให้บางทีเราก็ไม่ค่อยจะได้มีเวลามานั่งสำรวจตัวเอง หรือมองตัวเองกันบ้างว่าตัวเราเองเป็นอย่างไร

ข้อเสีย ข้อบกพร่อง ของตัวเองบางทีเราก็ไม่ค่อยอยากจะรับรู้. 

แต่พอเราเห็นคนอื่นกำลังมีพฤติกรรมเดียวกันกับเรา. เราจะรับรู้ได้ทันทีว่า "เฮ้ย. เหมือนเราเลยว่ะ" หรือ "ถ้าเป็นเรา เราก็จะทำอย่างเดียวกันอย่างนั้นแหละ"

พอมาถึงจุดนี้ จิตจะสว่างแวบขึ้นมา. 

คือ. นั่นมันเหมือนตัวเราเลยเนอะ.  

เหมือนเอาจิตตัวเองไปส่องกระจกได้ยังไงยังงั้น. 

ปกติส่องกระจกกันใช่ป่าวคะ.  เราเห็นกันแต่ภายนอกเนอะ

แต่ส่องกระจกจิตด้านในนี่เราต้องหมั่นใคร่ครวญ ตรวจทานตัวเองเรื่อยๆเหมือนกันนะคะ. แหม...วันนี้เขียนออกแนวจิตวิทยาไปซะแล้วสิ

เห็นอะไรแล้วก็ต้องรีบวาง

หมายถึงว่า. ไม่เก็บไปเป็นอารมณ์. 

ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนคิดมากเกิน5555  หรือคนหมกมุ่น. ซึ่งก้อไม่ดีค่ะ

วันนี้มาฝากไว้แค่นี้ล่ะค่ะ คุณผู้อ่าน :)


สิงหาคม 24, 2565

เปิดร้านขายของออนไลน์อย่างงงๆ

 


หลังจากที่เวลาเริ่มจะผ่านไปนานมากขึ้น.  รู้สึกว่าตัวเองเจ็บปวดน้อยลงกับสิ่งที่มีและเป็นอยู่ในปัจจุบัน

เป็นเพราะว่าถ้าทำดีที่สุดแล้ว. มันก้อได้แค่ไหนก้อต้องแค่นั้นจริงๆแหละชีวิต

หลายอย่างที่ทำไปอาจจะดูไม่รุ่งโรจน์ซะเท่าไหร่  แต่ก็เป็นการทำในสิ่งที่อยากทำ ทุ่มเทจิตใจและแรงกายไปกับสิ่งเหล่านั้น.  เรียกได้ว่าทุ่มหมดทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เลยทีเดียว

ในวันนี้เริ่มจะมีเรื่องดีๆเกิดกับชีวิตศิลปินอย่างเราบ้างซะแล้ว.  ได้รับโอกาสในการทำงานแนวใหม่ๆ.  นำเอาความรู้และทักษะที่พอจะมีมาทำงานเชิง commercial แบบเต็มตัว

โปรเจ็คที่ว่าคือการทำร้านขายสินค้าออนไลน์นั่นแหละค่ะ.   ตอนที่ตอบรับงานนี้ไปก็นึกกลัวๆอยู่บ้างเหมือนกันว่าจะทำได้ป่าววะเรา.  เคยแค่เป็นฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลมาซะนานหลายปี.  ไม่เคยขายของกับเค้าแบบจริงๆจังๆ  แต่ก็เอาล่ะนะ. ประเมินสถานการณ์แล้วน่าจะพอไหว. 

ตอนนี้ร้าน Go Live ออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว.  แบบว่าเหนื่อยขาดใจ...5555 แต่สนุกและภูมิใจมาก

ไถๆดูหน้าร้านแล้วเป็นปลื้มมมมม

ทำทุกอย่างคนเดียว. ตั้งแต่ถ่ายภาพสินค้า.   รีทัชแสง. ลบจุด ลบรอยต่างๆนานา จนประกอบเข้าเป็นภาพกราฟฟิก ซึ่งต้องมีทั้งงานทำตัวอักษร. คิดคำบรรยายสินค้า. ทำ Banner ร้านค้า ฯลฯ และต้องร้อยเรียงภาพเป็นร้อยๆภาพ upload ขึ้นระบบ. ปรับแต่งทุกอย่างให้สวยงามเข้าที่เข้าทาง

ถือเป็นโปรเจ็คขนาดใหญ่ทีเดียวค่ะ

สินค้า 1 ชิ้น ต้องใช้ภาพอย่างน้อย 6-8 ภาพ. คิดดูว่าสินค้ามีเป็นหลักร้อยชิ้น....ต้องบริหารจัดการภาพและงานกราฟฟิกต่างๆอย่างมหาศาล

และต้องคุมการใช้สีและองค์ประกอบต่างๆ หรือที่เรียกว่า CI Coporate Identity หรือว่า Branding ด้วยล่ะ. ให้งานออกมามันดูเป็น set เดียวกัน 

ตอนที่ทำมีทั้งแบบที่ลองแล้วไม่ work ต้องทำใหม่. ถ่ายรูปใหม่ทั้งหมด แก้ใหม่. ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสิ่งที่ไม่เคยทำ 

ช่วงที่ผ่านมาเลยหักโหมไปหน่อย. ออกอาการปวดหลัง. เพราะว่านั่งนาน

ไปๆมาๆเลยจับพลัดจับผลูต้องเปิดร้านเองไปด้วย.  ด้วยความที่ว่าจะได้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลยว่ามันเป็นยังไง. 55555 เป็นการเปิดร้านแบบงงๆ  ยังไงก้อจะได้ประสบการณ์ไปในตัว. เพราะไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกการจัดส่ง  การแพคกิ้ง  การบริหารสินค้าคงคลัง. การบริการหลังการขาย. และการทำการตลาด

เคยแต่เป็นคนซื้อจ้าาา

ผู้อ่านอยากรู้หรือยังคะว่าผู้เขียนขายอะไร5555

ผู้เขียนขายหนังสือมือสองค่ะ.  คือที่บ้านไม่มีที่จะเก็บหนังสือเพราะขยันซื้อ  จึงต้องเอามาปล่อยของซะบ้างงง.  ทั้งที่มันก็บาดใจอยู่ลึกๆ. ผู้เขียนเป็นคนรักหนังสือ  ต้องเอาหนังสือมาขายนี่ไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่หรอกค่ะ

แต่พอมาคิดใหม่ว่าอาจจะมีคนอยากได้หนังสือที่สภาพยังดีและราคาถูกกว่าราคาปก. บางเล่มเป็นหนังสือภาษาอังกฤษภาพสวยๆ กว่าจะได้มาก็ยาก. ส่วนใหญ่แต่ก่อนจะสั่งมาจากทาง amazon.com สมัยนั้นยังไม่มีการเก็บภาษีต่างๆนานามากมาย.  ค่าเงินก็ยังไม่แพงเท่าเดี๋ยวนี้.  บางทีหนังสือไม่ได้พิมพ์ขึ้นมาใหม่อีกแล้วด้วย

ความใฝ่ฝันที่ว่าอยากจะได้มีห้องหนังสือใหญ่ๆเป็นของตัวเองก้อคงจะเป็นฝันสลายล่ะค่ะ

หลายๆอย่างเป็นฝันสลายตั้งแต่ early retired จากงานมาแล้วนั่นแหละ

ตั้งแต่วันนั้น. จนถึงวันนี้ก้อได้ผ่านอะไรมามากมาย. พยายามไม่คิดมาก. ลงมือทำดีกว่า

ชีวิตไม่ต้องอะไรกับมันมากมาย....เพราะพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว.  

ทุกอย่างต้องผันผ่านไปค่ะ...สู้ๆๆๆๆๆ