ตุลาคม 10, 2567

การเขียนนิยายจบ คือการชนะตัวเอง

 


และแล้วก็มาถึงจุดนี้อีกแล้วค่ะ ...จุดท้อใจ

เมื่อวานนัดเจอกลุ่มเพื่อนๆได้ปาร์ตี้แบบเบาๆ ประสาคนวัยเลขห้า up ที่ประกาศตัวเป็นอิสระจากการทำงานลูกจ้างแล้ว 2 คน คนหนึ่งก็ผู้เขียนที่เข้าโครงการ early retire แบบฉุกละหุก กับเพื่อนอีกคนที่เพิ่งจะ early ออกมาได้ห้าเดือนกว่าๆแล้ว อันนี้นางสมัครใจ early และมีการวางแผนชีวิตเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะ retire ก่อน 60

คนเพิ่งเกษียณออกมาใหม่ๆดูมีความสุข  เหมือนกับผู้เขียนตอนโนันนน เลยค่ะ  

แต่เมื่อเวลาผ่านไปมากขึ้น นานขึ้น พอได้พบกับชีวิตจริงที่มีอะไรมากมายผ่านเข้ามา และทำให้เรายังหารายได้เข้ามาได้น้อยกว่าคาด จะเริ่มทุกข์5555

อะไรๆมันดูยากไปหมด และไม่คุ้มเหนื่อย มีแต่การลงทุน ลงแรงกาย แรงใจมหาศาล

ถ้ามองเรื่องความคุ้มตอนนี้ยังไม่คุ้ม  ว่ากันว่าต้องใช้เวลาหลายปี ไม่ใช่ปีสองปี  พอนี่ผ่านมาได้เกินห้าปีแล้วยังมีแสงสว่างเรืองๆรำไรๆ ก็คิดว่าคำนั้นไม่เกินจริงเลยค่ะ 

ยิ่งแตกแขนงสินค้าเพิ่ม ก็ต้องลงทุนเพื่ม เช่น หาความรู้เพิ่ม อุปกรณ์เพิ่ม และต้องให้เวลาในการฝึกฝนเพิ่ม ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม... มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นความหวังค่ะ 

ผู้เขียนยังยืนหยัดว่าต้องสร้างช่องทางหารายได้ให้มากกว่าหนึ่งช่องทาง  ด้วยเหตุผลว่ารายได้ยังไม่พอกับรายจ่ายประการหนึ่ง  และอีกอย่างคือต้องกระจายความเสี่ยงค่ะ ทำอย่างเดียวไม่ได้เด็ดขาด เพราะกว่าจะสร้างช่องทางที่สองหรือสาม สี่  มันต้องใช้เวลาอีก ถ้าไม่สร้างรอไว้ก่อนบ้างเพื่อศึกษาตลาด ทำความเข้าใจตลาด...คราวนี้ไม่ทันกินแน่

ออกนอกเรื่องไปเสียไกล...จุดท้อมันคือตรงไหน อย่างไร

ช่วงนี้ผู้เขียนท้อๆกับการเขียนนิยาย  ลุ้นยอดวิวรายตอนจนจิตตก  พาลอยากจะหยุดเขียนไปก่อนสักพักใหญ่จะดีกว่ามั้ย   ทั้งที่ก็ควรจะทำใจให้ได้ กับการเป็นนิยายแนวชีวิต  ที่คนไม่ค่อยอ่านกัน  

นี่เป็นบททดสอบกำลังใจเลยทีเดียว  ว่าเราควรต้องเอาชนะความท้อเล็กๆน้อยๆ ระหว่างเส้นทางนี้ให้ได้ ซึ่งนิยายเรื่องที่สองนี้ปัญหาต่างจากเรื่องแรก

เรื่อง ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว ความที่เป็นของเดิมเอามาปรับใหม่ และไม่มีโครงเรื่องชัดเจนในตอนแรกๆ ทำให้มีปัญหาเรื่องต้องใช้ความคิดอย่างหนัก(มากๆๆ) สุดท้ายก็โชคดีที่ทุกอย่างลงเอยอย่างลงตัว

เรื่อง เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ ไม่มีปัญหาข้างต้น...ทุกอย่างถูกวางเอาไว้หมด  แต่ก็ยังต้องใช้พลังงานความคิดเยอะอยู่ดีใน detail รายตอน

แต่รวมๆแล้วคงเป็นด้วยแนวเรื่องไม่ได้ตื่นเต้น หวือหวา  อาจจะทำให้คนอ่านส่วนใหญ่ไม่ชอบก็เป็นได้ค่ะ

แม้จะอยากลองเขียนแนวแต่งงานโดยไม่ได้รักกันมาก่อนในสไตล์ที่แตกต่าง ก็อาจยังขาดความน่าสนใจ

... 

สรุปว่าหากเขียนจบได้อีกสักเรื่องหนึ่ง ก็ถือว่าเอาชนะตัวเองได้ล่ะค่ะ

ซึ่งก็ต้องพยายามกันต่อไปอีกแหละ...เฮ้อ

....



ตุลาคม 03, 2567

ชื่อตัวละครนั้นสำคัญ...และชวนปวดหัว


 

ชื่อตัวละครสำหรับผู้เขียนสำคัญมากๆทีเดียวค่ะ...

ถ้าชื่อถูกใจละก้อ...จะทำให้มีแรงฮึดเขียนต่ออีกเยอะเลย

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...ก็ไม่รู้สิคะ 5555 เดี๋ยวจะหาว่าพูดจากวนโมโห  คือว่าเป็นจริตส่วนตัวค่ะ  สังเกตตัวเองจากที่ผ่านมา(ย้อนหลังไปไกลโพ้น จวบจนปัจจุบัน)  ก็พบว่าตัวเองให้ความสำคัญมากในการคิดชื่อ  บางทีคิดชื่อเอง เอาแบบตัวเองถูกใจ กับเดี๋ยวนี้ต้องเปิดตำราตั้งชื่อเลยก็มีค่ะ

ถ้าไปเห็นนิยายของนักเขียนท่านอื่นที่บังเอิญชื่อตัวละครไม่ถูกใจ ก็พาลไม่อ่านต่อไปเลยซะงั้นค่ะ  เช่น  บางชื่อที่เป็นตัวเอก แต่ตั้งมาธรรมดา เรียบๆ มาก ทั้งที่เป็นเนื้อเรื่องยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ยุคพีเรียดไทย ที่เข้าใจได้ว่าคนสมัยก่อนชื่อมักจะเป็นคำไทย  คำมูล คำเดี่ยวๆพยางค์เดียวหรือสองพยางค์เท่านั้น

อันนั้นเข้าใจว่าตัวละครเป็นชาวบ้าน คนทั่วไป

แต่ถ้าเป็นลูกเจ้าขุนมูลนาย  เดาว่าต้องให้พระสงฆ์ตั้งให้ ดังนั้นชื่ออาจจะมีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี-สันสกฤตนิดนึงป่าวคะ  คือชื่อจะวิจิตรพิสดารกว่าคนธรรมดา

เล่าให้ฟังเล็กน้อย ว่าก่อนจะมาเป็น "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" เวอร์ชั่น 2567 หรือ 2024 มีการเปลี่ยนชื่อพระเอก-นางเอกมาแล้วหลายรอบ  ดีนะยุคนี้ใช้ Microsoft Words พิมพ์ได้  การสั่ง Find and Replace เป็นเรื่องง่าย จึงไม่ยากต่อการแก้ไขค่ะ

ชื่อพระเอก โรมรัน ออกแนวทหารๆหน่อย เพราะพระเอกเป็นทหาร เหมาะสมดีค่ะ

ชื่อนางเอก กชชรีย์ อันนี้ไม่มีความหมาย หรือ หาความหมายไม่เจอ เพราะผู้เขียนชอบเสียงพยางค์ท้ายสุดของชื่อที่เป็นเสียงสระอี  คิดว่าเหมาะกับผู้หญิง

ส่วนเรื่องปัจจุบันที่กำลังเขียนอยู่ "เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ"  อยากให้ชื่อพระเอกนางเอกเค้าคล้องจองกันซะหน่อย  แหม...ก็เขาเป็นคู่กันนี่เนอะ  จึงมาเป็น ณทัต และ ภัสรวินทร์

ปัญหาเริ่มเกิดตอนชื่อนางเอกนี่ล่ะค่ะ  ตอนแรกตั้งเป็น ภัทร+รวินทร์ = ภัทร์รวินทร์  โอ้โห...เขียนมาได้ 5-6 ตอน คนเขียนเวียนหัวกับ "ทร์" ที่มีอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลังชื่อ รู้สึกมันรุงรังไปแล้วววว

เลยต้องเปลี่ยนค่ะ  เป็น "ภัสรวินทร์" อ่านว่า พัด-ระ-วิน  ถ้าอ่าน พัด-สะ-ระ-วิน ก็อ่านได้ค่ะ แต่มันสี่พยางค์ ดูยาวเยอะเกินไปอีก 55555😂

เขียนไปเขียนมา หันไปดูที่ตัวเองพิมพ์...ไหงเขียนเป็น ภัสวรินทร์  คือ ว กับ ร สลับที่กัน...กลายเป็น พัด-วะ-ริน

โอ๊ย...หัวจะปวดมั้ยล่ะ 55555 (หัวเราะอีก)


ทีนี้ไม่ใช่แค่ชื่อนางเอกที่ทำให้ยุ่ง ต่อมาเป็นชื่อคุณปู่ กับคุณพ่อพระเอก

เค้าพ่อลูกกัน  แถมคุณปู่เป็นต้นตระกูล เป็น Founder บริษัท คุณปู่ชื่อ เวคิน อัษฎางค์เวคิน

พอมารุ่นลูกคุณปู่ ซึ่งคือพ่อพระเอก ชื่อ วาคิน...

สรุปคือคนเขียนกลัวว่าคนอ่านจะงง  ซึ่งคนอ่านอาจจะไม่งงก็ได้ค่ะ5555 แต่คนเขียน...งงเอง

ฮ่าาาา  แต่คราวนี้ขอปล่อยเลยตามเลยนะคะ   ทั้งหมดนี่เอาเบื้องหลังของตัวเองมาเขียนให้อ่านสนุกๆค่ะ

ทว่า...ที่เล่าไปก็เรื่องจริงนะคะ 😍



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ



เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 





กันยายน 25, 2567

ชีวิตนี้จะเขียนได้กี่เรื่อง

 



เอาส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องใหม่ล่าสุดมาให้อ่านกันค่ะ... พยายามจะเขียนให้กระชับกว่าเรื่องก่อนหน้านี้  พอทำไปก็รู้สึกว่าไม่ง่ายเลย 

“ก็ใครมันจะอยากนอนโรงพยาบาล... แล้วว่าไง หน้าตาแกดูไม่ค่อยจะสดชื่นเลย”
ปู่คินทักขึ้นมากลางคัน หลังจากพินิจหลานชายคนเดียวตั้งแต่เขาเหยียบย่างเข้ามาในห้อง
“อ่า ครับ...ผมอยากคุยกับปู่”

ชายชราหยุดมอง เดินช้าๆไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้โยกตัวโปรด ปล่อยให้ณทัตยืนสงบนิ่งเหมือนกำลังพยายามตั้งสติอยู่ตรงที่เดิม 
“ผมคิดว่าจะแต่งงานซักทีครับ”

ไม่ผิดคาด ปู่คินเพียงแค่หันมามอง ไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจแต่อย่างใด ไม่ถามถึงรายละเอียดใดเลยด้วยซ้ำ ท่าทีเช่นนั้นบอกได้ยากว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ทำเอาณทัตต้องเป็นฝ่ายร้อนตัวรีบชี้แจง
“ปู่ครับ...คือ...ผมจะพา  เอ่อ...แฟนผมมาพบปู่ในไม่ช้านี้”

“ไม่ต้องมาหรอก แกจะแต่งก็เป็นเรื่องดี อายุก็สมควรจะสร้างครอบครัว”
“ปู่ไม่ถามเหรอครับ ว่าผมจะแต่งกับใคร...”

“คงใครซักคนที่พ่อแกรับได้...ใครก็ได้ ที่ไม่ใช่ลูกนายเชิดยศ ใช่ไหม?” เวคินยิ้มมุมปาก ก่อนจะหัวเราะเบาๆอย่างสบายใจ ทำเอาณทัตต้องขมวดคิ้วในท่าทีที่เหมือนปู่จะรู้มาก่อน

 

(บางส่วนจากตอนที่ 9 เงิน เงิน เงิน)


อย่างแรก คือ ไม่ชิน 5555 คือจะบรรยายอะไรยืดยาวไม่ค่อยได้ กลัวว่าจะเสียจังหวะการดำเนินเรื่อง กลัวว่าจะรวบรัดไปป่าว กลัวว่าเดี๋ยวช่วงกลางถึงท้ายเรื่องจะปล่อยยาวจนเสียสมดุล คือตอนต้นเหมือนเร่ง ตอนท้ายกลับเป็นอีกอย่างซะงั้น

อาการข้างบนเรียกว่าคุมบาลานซ์ไม่ได้  ถ้าหลุดไปแล้วกลับมาแก้ก็แก้ยาก  มีแต่ต้องรื้อโครงสร้างใหม่  ซึ่งน่ากลัวค่ะ 

อย่างที่สอง...เป็นผลที่ตามมาจากข้อแรก  พอเดินเรื่องเร็วไป  บรรยายน้อย ก็กลัวว่าผู้อ่านจะไม่ได้ดูดซับถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอย่างเต็มที่ค่ะ

เรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงแค่ความรักหนุ่มสาว  ยังมีเรื่องราวระหว่างพ่อ-ลูก  ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นพ่อ 

นี่ก็เป็นความยากของการเขียนเรื่องนี้...พอเขียนๆไป ผู้เขียนก็เห็นว่าต้องเพิ่มตัวละคร เพื่อให้เนื้อเรื่องมันแน่นและสมเหตุผล  ทีนี้การเพิ่มตัวละครก็เป็นเรื่องที่ทำให้งานซับซ้อนเข้าไปอีกค่ะ

ตอนถัดๆไปพอพระเอกนางเอกแต่งงานกันเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องย้ายตัวเองไปอยู่บ้านพระเอกล่ะค่ะ

งานนี้บันเทิง...ในบ้านมีทั้งปู่คิน และ พ่อ กับอีกบรรดาบ่าวไพร่ใหญ่น้อย คือจะเติมต่อเรื่องราวยังไงดี ให้มันเดินเรื่องไปสู่จุดหมาย โดยที่ไม่หลุดธีม หรือหลุดแก่นเรื่อง

ตัวละครเยอะก็ต้องให้แต่ละตัวมีบทบาท โอ๊ย...ปวดหัวละงานนี้

ทว่า...ก็ต้องสู้กันอีกสักตั้งค่ะ

ช่วงนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวเองสมาธิไม่ค่อยดี มึนๆ ยังไงชอบกล ไม่รู้ว่าเป็นอาการตามวัยหรือว่า...เรากำลังป่วยกันแน่... คือ เราอายุมากขึ้นก็ต้องยอมรับในสังขารที่ต้องเสื่อมถอย  แต่ที่แน่ๆคือไม่ได้ไปออกกำลังกายเหมือนที่เคยทำ  หลายเดือนแล้วค่ะ...ทั้งที่เคยชนะตัวเอง  ออกกำลังกายสม่ำเสมอตลอด 8 ปีที่ผ่านมา

อาการมึนๆ บางทีอาจมาจากสายตาเปลี่ยนหรือเปล่าก็ไม่รู้สิคะ  ก็คิดว่าจะลองปรับพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพ  เช่น นอนดึก และงดทำงานซะบ้างเถอะ  

กว่ามีชีวิตมาจนถึงวันที่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ...ก็อายุป่านนี้
ฝากไว้ให้กับทุกคน ว่าจงทำทุกวันให้ดีที่สุดนะคะ  เวลามีน้อย เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ 

ผู้เขียนเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เขียนนิยายอีกสักกี่เรื่องค่ะ...เฮ้อ




ขอบคุณที่ติดตามนะคะ




กันยายน 18, 2567

อันนา คาเรนินา : นิยายเทศที่บาดใจ

 



ปกติผู้เขียนไม่ค่อยจะอ่านพวกวรรณกรรมแปล หรือนิยายที่แปลมาจากภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาไทยสักเท่าไหร่ค่ะ  ทำไมน่ะเหรอ...เพราะว่าเป็นคนจำชื่อตัวละครภาษาแปลกๆไม่ค่อยได้ค่ะ

ทีนี้พอจำไม่ค่อยได้  มันก็เลยไม่ค่อยจะอินกับตัวละคร  อ่านๆไป อ้าว พระเอกชื่ออะไรเนี่ย...จำไม่ได้ 5555

แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์ละก้อ...พอได้อยู่ ไม่มีปัญหา  อาจจะจำชื่อ-นามสกุลได้ไม่ครบถ้วน หรือเป๊ะ แต่ก็ถือว่าจำได้ค่ะ

วรรณกรรมต่างประเทศเนี่ย ในช่วงชีวิตหนึ่งของผู้เขียนก็อ่านแล้วหลายเล่มค่ะ  เช่น Animal Farm , Hotel สองเล่มนี้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย  ยังมี สิทธารถะ กับเล่มอื่นๆที่อ่านแล้วค่อนข้างจะหนักหน่วง คือ เนื้อหาหนักสมองสักหน่อย

ช่วงนั้นอาจจะเป็นช่วงแสวงหาหนทางชีวิตก็เป็นได้  เป็นคำที่ใครๆชอบพูดกันค่ะ

พอเข้าวัยเริ่มต้นทำงานแล้ว ก็มีคนแนะนำพวกวรรณกรรม พวกนิยาย ที่เกี่ยวกับความรักหนุ่มสาวมาให้  "อันนา คาเรนินา" ก็เป็นเล่มนึงที่ไม่ได้อ่าน  5555 อ้าว  แล้วมาเล่าทำไม

"อันนา คาเรนินา" ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อยู่ค่ะ  ดาราสาวหรือตัวเอกของเรื่องสวยทุกคน555

เรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นแนวดราม่าชีวิตสุดฤทธื์  ดูไปก็น้ำตาซึม  สมัยก่อนชอบแนวๆนี้ค่ะ  คือมันขุดลึกถึงจิตวิญญาณความเป็นคนเหลือหลาย  ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด  ความรักก็ไม่ได้ทำให้คนเราสุขกันจริงๆหรอกค่ะ

อย่างในเรื่อง "อันนา คาเรนินา" แต่งงานแล้ว และมีบุตรชายหนึ่งคน กับผู้ชายที่อายุมากกว่า มีหน้าที่การงานที่มีเกียรติ  มีฐานะร่ำรวย  ทว่า...มันก็ไม่ได้เติมเต็มช่องว่างๆในหัวใจของเธอได้

ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงเราต้องการอะไรกันแน่เนอะ อันนี้ผู้เขียนพูดเองนะคะ  ไม่มีในเรื่อง5555

บางทีผู้หญิงก็ต้องการความเข้าใจ ต้องการ ฯลฯ

สงสัยจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการจากสามี  ก็เลยพลัดหลงทางใจไปหาชายอื่นซะงั้นค่ะ

ไปๆมาๆ นางก็จงรักภักดีต่อชายอื่นอยู่คนเดียว...ชายคนนั้นไม่ได้รักเธอมากสักเท่าไหร่  บางทีความรักกับความเสน่หามันก็ห่างกันแค่เส้นบางๆ  กว่าจะรู้สัจธรรมว่าความรักมันไม่ได้เติมเต็มชีวิต  เธอก็เข้าขั้นใจสลาย

สุดท้ายก็จบชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดให้รถไฟทับ....เศร้าไหมล่ะคะ  โหดดดดดค่ะ

ความดิ่งสุดติ่งของเรื่องคืออารมณ์รัก อารมณ์เศร้า อารมณ์สารพัดที่เราสัมผัสจากตัวละครแต่ล่ะตัวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ต้องแอบซ่อน  ความลับที่ถูกเปิดเผย  การสารภาพ...

เพราะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ผิดขนบ  ก็นางเอกมีชู้กับชายอื่น 

ฉากของเรื่องอยู่ในประเทศรัสเซียนะคะ  คนแต่งนิยายก็เป็นชาวรัสเซียค่ะ  ลีโอ ตอลสตอย นั่นเอง


ใครสนใจอยากอ่าน  หา link มาให้ตามนี้นะคะ (Affiliate Link)  อันนา คาเรนินา  เผื่อว่าจะอยากอ่านเอง  หนังสือหนามากๆๆๆ 


ผู้เขียนว่าจะซื้อมาเก็บไว้สะสมสักเล่มค่ะ  นานๆจะมีการพิมพ์ออกมาสักที 

เรื่องนี้มีชื่อเสียงมาก ติดอับดับยอดนิยมของนิตยสารไทม์ซะด้วยแน่ะ  จัดพิมพ์ครั้งแรก ปี พ.ศ. 2420 โอ๊ย...ยังไม่เกิดเลย


วันนี้อยากจะเล่าเรื่องหนังสือที่น่าอ่าน น่าสนใจบ้างค่ะ  ที่จริงได้อ่านวรรณกรรมต่างประเทศแล้วก็เปิดโลกดีนะคะ  แต่ว่า...ต้องอดทนมากกว่าจะอ่านจบ คือ มันเหนื่อย 5555

วันหลังจะมาเล่าใหม่นะคะ



#inspired by movie



กันยายน 10, 2567

Goodbye Summer

 


และแล้วแม่สามสีก็ทิ้งลูกไปจริงๆค่ะ...

ตั้งแต่แม่สามสีทิ้งซัมเมอร์ไป  ศรีส้มก็ช่วยดูแลซัมเมอร์ค่ะ  เห็นเค้าเริ่มคุ้นกัน เวลาศรีส้มอยู่บ้าน ซัมเมอร์เค้าก็จะนิ่งๆไม่ซุกซน  แต่ถ้าเมื่อไหร่ต้องอยู่คนเดียว  เค้าก็ติดคน  ชวนเล่นโน่นนี่  วิ่งตามตลอดเวลา และแถมยังขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง  คุณพ่อคุณแม่ผู้เขียนท่านก็บ่นเลยค่ะ

ขนาดว่าเตรียมกะบะทรายไว้ให้  น้องก็นั่งถ่ายข้างกะบะ  ไม่ยอมลงไปในกะบะซะงั้น😅

ซัมเมอร์ก็คงน่ารักไร้เดียงสา ประสาแมวเด็กนั่นแหละค่ะ  ยังไม่แน่ใจว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย  ยังเตรียมว่าจะพาไปทำวัคซีนในไม่ช้าค่ะ  กะว่าให้ซัมเมอร์อายุซัก 5 เดือนก่อน

แล้วซัมเมอร์มีผลงานจับแมงสาบได้เยอะอยู่นะคะ  5555

...

อยู่มาวันหนึ่งซัมเมอร์บังเอิญเจอคุณแม่สามสีเข้าจังๆ เพราะว่าแม่สามสีเค้าอยู่ประจำคือบ้านข้างๆนี่เอง เค้าก็คงคิดถึงแม่เค้ามากนั่นแหละ  เห็นซัมเมอร์วิ่งเข้าไปหาแม่สามสีทันที ขณะนั้นพอดีผู้เขียนยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่ค่ะ  เลยยืนดูอยู่

แต่ปรากฎว่าคุณแม่สามสีกลับคำรามใส่แบบพร้อมกัด ขู่ฟ่อๆ เลยค่ะ  ซัมเมอร์ก็พยายามจะวิ่งไปหาอีก  แม่ก็ขู่ใส่อีก จนผู้เขียนต้องบอกให้แม่สามสีไปซะก่อน  แม่สามสีเค้าก็เหมือนฟังรู้เรื่องค่ะ เพราะช่วงนางมานอนอยู่ที่บ้านผู้เขียนตอนซัมเมอร์ยังเล็ก เราก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี 

พอแม่สามสีกระโดดหนีไป  ซัมเมอร์เดินคอตกกลับมาหาผู้เขียนเลยค่ะ  เค้าแหงนหน้าขึ้นมาสบตาผู้เขียนด้วย  จำได้เลยว่าเค้าดูเศร้ามาก และไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงไล่เค้า...

ใครว่าสัตว์ไม่มีหัวใจ  คงไม่จริงแน่  ซัมเมอร์เค้าคงจะเสียใจที่ตลอดเวลาเค้าคิดถึงแม่

แล้วก็มีครั้งอื่นอีกค่ะ ที่เหตุการณ์เป็นทำนองนี้   ซัมเมอร์เกือบโดนแม่กัด  เพราะว่าจะวิ่งเข้าไปหาแม่

ทุกครั้งซัมเมอร์เค้าก็มองมาหาผู้เขียนอีก  คงจะถามว่า...ทำไมนะ ทำไมแม่ไม่รักซัมเมอร์

เศร้าเนอะ...😓


ซัมเมอร์ก็โตขึ้นทุกวัน  ผู้เขียนก็ชอบพูดว่าให้ซัมเมอร์อยู่กับศรีส้มแทนแม่เถอะ  พี่ศรีส้มเค้าไม่เคยทิ้งใคร ...

...

ซัมเมอร์ แปลว่า ฤดูร้อน  ตั้งชื่อให้แบบนี้ก็เพราะได้เจอซัมเมอร์ในช่วงเดือนเมษายนของ 2567 อากาศกรุงเทพกำลังร้อนสุดโหดเลยค่ะ  ขนาดศรีส้มยังนั่งหอบลิ้นห้อย หรือ heat stroke ขึ้นมาจนผู้เขียนตกใจ

ตอนนั้นซัมเมอร์ตัวเล็กนิดเดียว ก็กลัวว่าจะไม่รอดซะแล้ว  แต่ก็ภูมิใจมาก ที่ซัมเมอร์อยู่กับผู้เขียนมาได้เกือบ 6 เดือนแล้ว 

ผู้เขียนเตรียมซื้อกรงกระเป๋าหิ้วใบใหม่ กะว่าจะพาซัมเมอร์ไปทำวัคซีน...

ไม่นึกว่าอยู่ๆเค้าจะไม่กลับมากินอาหารอีก  น้องหายไปคงช่วงกลางคืน  ซึ่งเค้าน่าจะเคยออกไปเดินเที่ยว  ทุกทีพอเช้ามาเค้าก็จะมารอกินข้าวเช้าค่ะ   

ทีนี้เช้านี้ทำไมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับ... 

"ซัมเมอร์ ๆ  ๆ"...เงียบสนิทเลย

ซึ่งปกติถ้าเรียกเค้าจะรีบวิ่งมาแบบสุดชีวิตเลยค่ะ ฮืออออ... เอาแล้วสิ  

อยู่ๆก็หายไป มันก็โหดร้ายหน่อยนึงนะ  พยายามเรียกหาแถวบ้าน  ก็ไม่มีวี่แววเลย...

สองวันผ่านไปแล้ว...ผู้เขียนก็ต้องทำใจค่ะ

แถวบริเวณมีป่าหญ้า  ก็ไม่รู้ว่าจะมีงู หรือมีตัวสัตว์เลื้อยคลานประเภทอื่นอีกหรือไม่  ที่จริงก็น่าจะมี เพราะเคยเห็นออกมาเดินค่ะ   ส่วนงูเหลือมก็เคยเลื้อยเข้ามากินน้องศรีนวลถึงในกรงไปแล้ว ฮือออ


...

แต่ยังไงก็เศร้ามากอยู่ดี...พยายามคิดในแง่ดีว่า เค้าอาจมีคนใจดีเก็บไปเลี้ยง เพราะคิดว่าเป็นแมวหลงมา หรือ ไปอยู่กับแม่สามสี (ซึ่งก็คงยาก  ไปมองหาแล้วก็ไม่เจอค่ะ)

 ผู้เขียนยังมองไปรอบๆที่ๆเค้าอยู่  ชามข้าว  ของเล่น... แล้วก็คิดถึงเค้าจริงๆ


...คิดถึงอะค่ะ   มันก็เป็นเรื่องเจ็บปวดสำหรับคนที่เลี้ยงแมวอย่างเราๆเนอะ

ผู้เขียนยังคิดว่าจะถ่ายรูปตอนซัมเมอร์อายุ 6 เดือนเก็บไว้ดู  ก้อไม่ทันจะได้ถ่ายเอาไว้เลยค่ะ  เหลือแค่คลิบวีดีโอสั้นๆคลิปเดียวเท่านั้น


เศร้ามาก...ต้องทำใจอีกแล้ว...แงงงง

...Goodbye Summer  ถ้ายังไม่กลับดาวแมวก็ขอให้เจอคนโชคดีพาไปอยู่ด้วยนะ ...ลาก่อน


สิงหาคม 29, 2567

Outcome กับ Income



วันนี้จะยกบทสนทนาระหว่างผู้เขียนกับเพื่อนมาให้อ่านกันค่ะ


เพื่อน : เป็นไงมั่งล่ะ (คงตั้งใจถามสารทุกข์สุขดิบเช่นเคย)

ผู้เขียน : ก็อย่างเดิมแหละ ทำไปเรื่อยๆ มีความสุข แต่ก็แอบเครียดว่ะ

เพื่อน : ยังไงวะ ตกลงสุขหรือทุกข์

ผู้เขียน : สุขมากกว่ามั้ง (ปลายเสียงชักไม่แน่ใจ 555)

เพื่อน : ชิลนักนะ  แบบนี้เค้าเรียกชิลๆเว้ย

ผู้เขียน : จริงเหรอ แล้วอนาคตจะดีมั้ย จะรอดมั้ยเนี่ย

เพื่อน :  บ่นทำไม  บอกแล้วให้กลับไปทำงานออฟฟิศ  เกษียณเร็วไปแล้วโว๊ย

ผู้เขียน :  ไม่เอาแล้ว สังขารไม่ไหว ตั้งแต่ออกจากงานมา ไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงพยาบาลเลย

เพื่อน : เออดีแล้ว  ยังไม่จนตรอกก็งี้แหละ ชิลๆไป

ผู้เขียน : (ตกลงเพื่อนมันกำลังหลอกด่าอยู่หรือเปล่าวะ 5555) ผลงานคือได้ความสบายใจเว้ย  รายได้ว่ากันอีกเรื่อง มันคนละเรื่องเลยว่ะ

เพื่อน : ไม่ต้องกังวล  เงินหมดก็เอาที่ดินไปขายเลย 5555


ตอนจบฟังแล้วยังไงพิกลเนอะ  แต่ก็นั่นแหละค่ะ เพื่อนก็หวังดีและเป็นห่วงมากกว่า  ตกลงตั้งแต่ออกจากงานมามีเพื่อนสนิทๆเท่านั้นที่โทรมาหาเรื่อยๆ  ส่วนผู้คนจำนวนมากที่เราเคยร่วมงานที่ทำงานนั้นก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยค่ะ

มีปีที่แล้วนัดกินข้าวกัน ก็เป็นกลุ่มที่ early retire ออกมาพร้อมกัน กับน้องๆในทีมที่เคยทำงานด้วยกันค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมานะคะ (หน่วยงานที่ผู้เขียนเคยรับผิดชอบมีทีมทั้งหมด 8 คน)  จะมีอยู่สามสี่คนที่เหมือนยังนึกถึงเราอยู่  ก็จะมีทั้งเพียรส่งข้อความมาทักทายในวันปีใหม่ วันเกิด หลายคนยังส่งขนมมาให้ทานอีกด้วยค่ะ

นี่ก็เป็นสัจธรรมที่ต้องพบเจอค่ะ  เราอยู่ในฐานะที่ให้ประโยชน์อะไรกับใครไม่ได้แล้ว  คนที่ยังนึกถึงเราก็แสดงว่าไม่ได้หวังอะไรจากเรา  นึกถึงก็เพราะอย่างอื่นมากกว่า

หลายคนที่เจอก็มักจะถามว่าผู้เขียนทำอะไรอยู่

ผู้เขียนก็จะตอบกว้างๆ ว่าทำหลายอย่างไปหมด (จะถือเป็นรายได้ก็พูดไม่ได้เต็มปากค่ะ) ทุกอย่างที่ทำมันก็ออกดอกออกผลนิดๆหน่อยๆ บ่อยครั้งก็มีท้อ มีเศร้า เฉกเช่นปุถุชนค่ะ

ผลลัพธ์กับรายได้มันคนละเรื่องจริงๆ มีความสุขที่ได้วาดรูป  ได้เขียนหนังสือ ดูแลผู้มีพระคุณตามสมควร  ยังมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ค่ะ  ทุกวันนี้ไม่เคยไม่มีอะไรทำจริงๆ....สาบาน

...

ไม่อยากคิดให้ไกลค่ะ  ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน นี่มันก็ถือว่าบั้นปลายชีวิตล่ะ 

 เพี้ยง! เงินทองคือของมายา  ข้าวปลาสิของจริง !

ฮ่าาาาา หัวเราะปลอบใจตัวเอง


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  แล้วเจอกันใหม่ vlog หน้า :)


สิงหาคม 22, 2567

หัวใจไม่อาจยอมแพ้

 



เมื่อความรักและทิฐิมานะปะทะกัน ใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามหัวใจ?

ณทัต อัษฎางค์เวคิน ซีอีโอหนุ่มไฟแรงผู้แข็งกร้าว กับ ภัทร์รวินทร์ เลขาสาวสวยผู้มีภาระครอบครัว ต้องมาพัวพันกันในการแต่งงานที่เริ่มต้นด้วยข้อตกลงทางธุรกิจ แต่เมื่อความใกล้ชิดเริ่มก่อตัว ความรู้สึกที่ไม่คาดฝันก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา

ท่ามกลางสายลมแห่งอำนาจและเงินตรา พวกเขาต้องเผชิญกับคลื่นลมแห่งอารมณ์ที่ปั่นป่วน ความลับที่ถูกซ่อนไว้ และการต่อสู้กับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง 

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหัวใจเริ่มส่งเสียงดังกว่าเหตุผล? พวกเขาจะกล้าทิ้งทิฐิและเปิดใจให้กันหรือไม่? หรือจะปล่อยให้โอกาสแห่งรักแท้หลุดลอยไป?

ร่วมอิ่มเอมไปกับ ’ณทัต’ และ ‘ภัทร์รวินทร์’ ในเส้นทางรักที่คดเคี้ยว เต็มไปด้วยอุปสรรคและการเรียนรู้ ค้นพบว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการที่สุดอาจอยู่ตรงหน้าเรามาตลอด เพียงแต่เราไม่กล้ามองเห็นมัน

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ นิยายรักโรแมนติกที่จะทำให้คุณเต็มตื้นหัวใจ และเชื่อว่าความรักยังเกิดขึ้นได้ แม้ในโลกธุรกิจที่โหดร้าย

 

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite :  https://www.readawrite.com/a/3fee2a0c76adb67b63a9cdaac05002aa 

อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakkavalee/story/view.php%3Fid=2575342  



กลับมาเปิดนิยายเรื่องใหม่อีกครั้งล่ะค่ะ  หลังจากที่เหนื่อยและหมดแรงไปพักหนึ่งกับ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" อันมีความยาวแสนคำเศษๆ และยังอยู่ในระหว่างการเตรียมพิมพ์เล่มเป็นที่ระลึก

เรื่องนี้คงจะสั้นกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ค่ะ  ที่จริงคืออยากเรียนรู้เรื่องการกระชับโครงเรื่องแบบที่นิยายมันไม่ยาวมากนัก  ว่านักเขียนจะต้องทำงานอย่างไร


นี่ก็เป็น    Learning Curve ที่ผู้เขียนคิดว่าจะต้องผ่านด่านไปให้ได้ค่ะ  ตามประสาคนสูงวัยใจสู้ เพราะไม่สู้ก้อจะอยู่ไม่ได้555  รู้เพียงว่ายังอยากเขียนอยู่ แล้วก็มีคนอ่านงานอยู่จำนวนหนึ่งค่ะ 

เคยเพ้อเจ้ออยู่สักพักนึงว่าจะพอได้เงยหน้าอ้าปากบ้าง เห็นเค้าว่ากันว่านักเขียนไม่ไส้แห้ง  สรุปก็คือ ไม่แห้งเฉพาะนักเขียนที่สามารถเขียนตามกระแสนิยมได้  อย่างในเวลานี้ก็มักจะเป็นนิยาย boy love นิยายจีนพีเรียด นิยายอีโรติก หรือนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ เป็นต้น

ที่ไม่ได้มาแนวข้างบน หรือแนวนอกกระแส  ก็ไส้แห้งเหมือนเดิมแหละค่ะ  อืมห์...แนวที่เราทำได้ก็ไม่ใช่แนวที่จะมีคนมาอ่านเยอะๆอีกล่ะ   ขนาดเราคิดว่าเราพอเขียนได้  ที่จริงก็ต้องเรียนรู้อีกมากในเรื่องโครงเรื่องค่ะ และมีเรื่องที่เราต้องศึกษากันต่อไปอีกเยอะ  ท่ามกลางโลกปัจจุบันที่มีข้อมูลมากมายกว่ายุคก่อนอย่าง มากๆ  ไหนจะเครื่องมือใหม่ๆที่เราอาจจะใช้เพื่อมาช่วยอีก  ขอเพียงหัวใจเราอย่ายอมแพ้ !

นึกๆแล้วท่านนักเขียนรุ่นก่อนๆ นี่อึดมาก  ไม่มีอินเตอร์เนต  ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มี  google เค้ายังเขียนกันได้เป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง  ขอกราบค่ะ

นักเขียนรุ่นใหม่นี่ชีวิตดุจโรยกลีบกุหลาบ  บางคนเขียนถูกแนว ถูกนำนิยายไปเป็นภาพยนตร์  เป็นละคร  เดี๋ยวนี้ streaming TV มาแรงแซงทางโค้ง  บรรดาผู้จัดละครวิ่งหาบทประพันธ์ไปสร้างสรรค์ต่อ  นักเขียนไม่จำเป็นต้องรอสำนักพิมพ์มาซื้องาน  อยากพิมพ์ก็ส่งโรงพิมพ์เอง  ขายเอง  ยิ่งถ้ามีฐานแฟนคลับเยอะๆ ก็แทบไม่ต้องง้อสำนักพิมพ์เลยค่ะ  

ไหนจะมี Youtube มีนิยายเสียง นิยายขายรายตอนบน platform นิยายอีบุ๊ค ไปจนถึงทำเป็น webtoon เป็นเกมส์  เป็น animation ฯลฯ อีกสารพัด  ที่นิยายเรื่องหนึ่งจะสามารถสยายปีกเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประพันธ์ค่ะ  

ที่พูดไปทั้งหมดเป็นภาพกว้างๆของโลกการเป็นนักเล่าเรื่อง (ที่ขายดี)  ส่วนผู้เขียนคนนี้ก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเองต่อไปอีกเยอะค่ะ

แม้ว่าการเริ่มต้นของผู้เขียนมันจะยาวนานมาแล้ว  เป็นช่วงที่เขียนได้เยอะมากคือ ปี 2527-2529 ทางโรงเรียนเห็นแววเคยส่งผู้เขียนไปเข้าร่วมค่ายเยาวชนนักเขียนในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ  ตอนนั้นส่งเรื่องสั้นประกวดก็ได้รางวัลชมเชยมาซะด้วย5555 

ทว่า...เราชอบเขียนนิยายมากกว่า  แต่ก็ไม่มีโอกาสได้อ่านนิยายเลย...เชื่อมั้ย  เพราะทางบ้านสั่งห้ามผู้เขียนไม่ให้อ่านนิยายค่ะ (ห้ามอีกแล้ว)

ผู้เขียนก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องห้าม  (ขนาดว่าห้ามก็ยังอุตส่าห์เขียนได้อยู่นะ) พอได้มาอ่านนิยายที่บ้านของเพื่อนจึงพอจะเข้าใจค่ะ  ผู้ใหญ่อาจจะมองว่าในนิยายมันมีแต่เนื้อหารักๆใคร่ๆ นั่นแหละ

แต่นิยายมันก็มีหลายกลุ่มเป้าหมาย  ผู้เขียนเคยอ่านนิยายที่บ้านเพื่อน  คือคนทำงานบ้านที่บ้านเพื่อนเค้าซื้อมาอ่าน  เลยไปเอามาอ่านเล่นๆ  ก็งงๆค่ะว่านิยายมันเดินเรื่องรวบรัดมาก เล่มละ 5-10 บาท แล้วก็มีแต่ฉากจีบกัน  ฉากเข้าพระเข้านาง 5555  สรุปว่าไม่สนุก  ชอบอ่านนิยายที่ภาษาสละสลวย และให้แง่คิดมากกว่าค่ะ

...ไม่ได้เขียนนิยายอีกเลยนับแต่นั้นมา คือ หลังจากสอบเอนทรานซ์แล้วก็เข้ามหาวิทยาลัย จนทำงานยาวรวดยี่สิบหกปี  เพิ่งกลับมาเขียนอีกค่ะ  ท่ามกลางเสียงด่า...5555 ของเพื่อนๆว่าแกทำไรวะเนี่ย  ทำไมไม่กลับไปหางานบริษัททำต่อ  ยังเหลืออีกหลายปีกว่าจะอายุ 60 ปีเน้อออออ

ก็บอกเพื่อนว่า...อยากทำสิ่งที่ตัวเองรักว่ะ  โอ๊ยยย...แล้วเป็นไง อันนี้พูดกับตัวเอง

เฮ้อ...จบแค่นี้ก่อนค่ะ5555










สิงหาคม 13, 2567

Hello Summer

 



ที่จริง summer คือชื่อลูกแมวตัวล่าสุดค่ะ   แม่แมวชื่อคุณสามสีเอามาให้เลี้ยง  นางหอบหิ้วลูกน้อยมาหนึ่งตัวเป็นสลิดส้มทั้งตัว  ซึ่งก็เป็นสลิดส้มเหมือนกับน้องศรีส้มที่เคยเล่าไปก่อนหน้า

ศรีส้มยังอยู่ดีค่ะ  เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว น่าจะอายุเกือบหกปีได้กระมัง (อ่าน story ของศรีส้มย้อนหลังได้ค่ะ)

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าศรีส้มนี่เผลอๆจะเป็นคุณพ่อของซัมเมอร์หรือเปล่าเนี่ย !  คุณแม่สามสีนี่เป็นแมวข้างบ้าน เป็นแมวที่ไปๆมาๆแต่เห็นอยู่ประจำที่บ้านติดกันค่ะ  แต่ทางข้างบ้านก็บอกไม่ได้เลี้ยง !

ผู้เขียนก็งงๆอยู่กับความสัมพันธ์แบบซับซ้อนอย่างนี้เหมือนกัน  ตกลงว่าให้มานอนเล่นได้ แต่คาดว่าคงไม่ได้ให้อาหารเป็นจริงเป็นจังกระมัง

ต่อไปนี้จะขอเรียกว่าคุณแม่สามสีนะคะ  มีลายส้ม ดำ และ ขาวอยู่บนตัว  ใครๆก็เรียกหล่อนว่าสามสี

อยู่มาวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2567 คุณแม่สามสีหอบลูกมานอนแอบซ่อนที่ระเบียงบ้านผู้เขียน  นางซ่อนลูกที่คาดว่าเหลือตัวสุดท้ายเอาไว้ใต้ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ที่บ้านของผู้เขียน ใครมาเข้าใกล้ก็จะขู่ฟ่อเลยทีเดียว

นางหวงลูกมาก  และประคบประหงมลูกเป็นอย่างดี  ไม่ยอมห่างไปไหนเป็นเดือนๆเลยค่ะ  ผู้เขียนหาน้ำไว้ให้ กับให้อาหารทั้งคุณแม่คุณลูก ประดุจเป็นแมวเลี้ยงเอง

ลองคิดดูว่าถ้าแมวมีลูกเล็กๆ จะไปหาอาหารยังไงได้   ไม่กล้าทิ้งลูกไว้ แล้วตัวเองไม่มีอะไรกิน ไม่ว่าจะอาหารหรือน้ำ  แมวจรจัดก็ต้องออกหากินเองใช่ป่าวคะ

นี่สามสีคงมีลูกมากกว่าหนึ่งตัว  แต่คงไม่รอดไปทีละตัวสองตัว  จนเหลือตัวสุดท้าย  เลยต้องหนีตายมาพึ่งบ้านผู้เขียนนี่หละ

เห็นคลิบในสื่อสังคมออนไลน์เยอะแยะ  แม่แมวผอมโซนอนหมดแรง ท่ามกลางลูกแมวล้อมวงดูดนมจากอกแม่ซึ่ง...กำลังจะตาย

น่าสงสารมากจริงๆค่ะ

ตลอดสี่เดือนเห็นสามสีดูแลซัมเมอร์แล้วก็ซึ้งใจค่ะ  นางตามลูกไม่ห่างเลย มีการพาลูกไปสอนการล่าสัตว์อีกด้วยค่ะ   ล่าจิ้งเหลนมากินกันสองแม่ลูกที่ระเบียงบ้านด้วย  ผู้เขียนสยองมาก ! 5555

กระนั้น...พอย่างเข้าเดือนที่สี่ปลายๆ นางเริ่มหายไปสองสามชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาดูลูก  ซัมเมอร์ยังเด็กมาก  ก็วิ่งร้องหาแม่เวลาหาแม่ไม่เจอแหละค่ะ  

ท้ายสุดคุณแม่สามสีก็หายตัวไปเลย  ผู้เขียนก็หลงเป็นห่วงว่าสามสีจะยังมีชีวิตอยู่ไหม  แต่ก็เอาซัมเมอร์มาเลี้ยงเป็นเพื่อนกับศรีส้มค่ะ  ให้ศรีส้มเลี้ยงน้องซัมเมอร์  

ผ่านไปอีกเป็นเดือนๆ กลับเห็นคุณแม่สามสีเดินเล่นอยู่บ้านข้างๆ !  อ้าว...ตกลงนางทิ้งลูกหรือนี่ !


...😅😅😅


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

สิงหาคม 05, 2567

คิดถึงวันเก่าๆ (บางที)

 


ผู้เขียนเจอรูปเก่าๆสมัยที่ถ่ายเอาไว้เล่นๆ อยู่หลายรูปเลยค่ะ  รูปนี้ก็เป็นรูปหนึ่งที่อุตส่าห์เอากล้องถ่ายรูป เน้น กล้องถ่ายรูป ไม่ใช่ถ่ายด้วยมือถือนะคะ  ถ่ายภาพนี้ด้วยกล้องพกพาค่ะ

แล้วมันยังไง พกกล้องถ่ายรูปไว้ติดรถเล่นๆ ค่ะ สมัยนั้นมีกล้องถ่ายรูปหลายอันมาก  เลยเอามาแปะไว้ในรถสักอัน เผื่อหยิบใช้ง่ายๆ เพราะว่าอยากจะศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายภาพ  แต่ไม่มีเวลาออกไปไหนไกลๆค่ะ

เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ว่าการจะถ่ายภายสวยๆต้องออกไปเดินทางท่องเที่ยวให้ลำบาก  มาเข้าใจเอาตอนนี้เองแหละว่า  ของใกล้ๆตัวเอามาถ่ายให้ดูสวยก็ไม่ได้ลำบากเลย  ไม่ต้องเสียเงินออกไปนอกบ้านให้เสี่ยงนี่นั่นโน่นด้วย  นี่เป็นคำแก้ตัวของคนที่ไม่ชอบเที่ยว  และอีกทีก็คือไม่รู้จะไปไหนค่ะ5555

หัวใจคือความเข้าใจการทำงานของกล้อง  เลิกถ่ายโหมดอัตโนมัติให้ได้ก่อน  ฮ่าาา ตอนนี้ก็ทำเป็นแล้วล่ะค่ะ และไปได้ดีกับงานนี้พอสมควร

คิดถึงวันเก่าๆที่เราต้องนั่งบนรถที่ติดแน่นขนัดทุกๆเช้าวันทำงาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันจันทร์

รถติดบนทางด่วน  ขนาดว่าขับรถไปด้วย  ยังมีเวลายกกล้องมาเล็งได้ขนาดนั้นเลย แสดงว่ารถติดแน่นิ่งสนิทและนานขนาดไหน

รูปนี้ก็พยายามจัด composition ให้เห็นเส้นวิ่งทะแยงของถนน ขัดไปกับเส้นราวเหล็กของทางด่วนค่ะ  เห็นมั้ยล่ะ  รถติดก็ยังเห็นถึงความงดงามได้  ฮ่าาาา  แต่ ณ วันนั้นขอบอกว่าเซ็งสุด  ยิ่งหากวันไหนมีประชุมเช้ารออยู่ด้วยละก็  ยิ่งเครียดพาลเส้นเลือดขมับปูดเลยทีเดียว

จะไปทันมั้ยวะ

ข้าวก็ยังไม่ได้กิน  ฯลฯ  สารพัดค่ะ  แต่มันก็ได้พ้นไปจากชีวิตผู้เขียนหลายปีแล้ว...ชีวิตแบบนั้น

บางทีก็อดคิดถึงไม่ได้นะคะ  จะอย่างไรมันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต  คือความทรงจำ  การดิ้นรนเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน สุดท้ายมันก็สำเร็จละ  แล้วมันก็ต้องจบไปอีกหนึ่งช่วง  เหมือนซีรีย์จบตอน  แล้วขึ้นต้นบทใหม่...

บทใหม่แต่เรื่องเดิม...คือ...หาเงิน(อีกแล้วค่ะ)555

ตกลงเกิดมาเพื่อหาเงินกันหรือไง  มวลมนุษยชาติเค้าก็ต้องหากันแบบนี้แหละ หาใช่เธอคนเดียว  จะมาบ่นไปไยเล่า  ใช้สำนวนหนังจีนหน่อย  

ว่าแล้วจะลองเขียนนิยายจีนให้ได้สักเรื่องค่ะ  เผื่อจะได้เกิดดดด....ที่จริงคือสนองความอยากเขียนของตัวเองอีกละ   

บ่นแล้วก็ต้องสู้ต่อไปค่ะ

ฝากติดตามผลงานนะคะ  ถ้ายังไม่ตายเสียก่อนก็ต้องสู้กันให้ตายกันไปข้างนึงละ ...สู้โว๊ย

สิงหาคม 01, 2567

หากมันเหนื่อยก็หยุดพัก

 


เขียนนิยายจบเรียบร้อยแล้วค่าาาา ✌

ต้องรีบมาแจ้งข่าวเผื่อว่าจะมีใครรอสนับสนุนกันอยู่นะคะ อิอิ


📌 สนันสนุนนักเขียนได้ตาม Link ด้านล่างเลยค่าาาา


https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMTgzMDg0IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NjoiMzEyMjI5Ijt9


มีความสุขในการเขียนมากๆค่ะเมื่อเรื่องใกล้จบ  ...แต่ว่าก็สุขอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ (ก็นานอยู่นะ) จากนั้นต้องนั่งหลังขด-หลังแข็ง ในการจัดหน้า/จัดรูปเล่ม ในโปรแกรม Adobe Indesign ค่ะ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้คล่องแคล่วอะไร  เลยทำให้เครียด...ดดด เพราะไม่รู้คำสั่งอะไรยังไง ต้องไปตั้งค่าตรงไหน

จากนั้นพอจะดำผุด ดำโผล่อยู่อีกหนึ่งสัปดาห์ ก็พอจะคลำๆได้บ้าง ค่อยยังชั่วหน่อย

ยังชื่นชมไม่หายว่าเป็นโปรแกรมที่เทพจริงๆ คือ จัดออกมาสวยเป๊ะเว่ออ 

หลังจากได้ไฟล์ที่หน้าตาเรียบร้อยสวยงาม เท่านั้นยังไม่พอ...ต้องมานั่งตัดคำ  แก้ไขเครื่องหมายวรรคตอนต่างๆให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย  เพราะตอนเขียนในโปรแกรม Microsoft Word ก็ไม่ทันคิด หรือไม่ทันมองให้ถี่ถ้วน  เช่น เครื่องหมายอัญญประกาศ เครื่องหมายคำพูด เป็นต้น ไหนจะพวกจุดที่โปรแกรมใส่มาให้โดยไม่รู้ตัวอีก

สรุปคือต้องมานั่งลบ และตัดช่องวรรคตอนที่มันเกินมา โอ๊ยยย...สารพัดค่ะ หมดไปอีกสามสี่วัน

เหนื่อยค่ะ...

กว่าจะเกือบเสร็จก็ท้อแล้ว... เพราะน่าจะมีจุดที่ต้องแก้อีก แต่หาไม่เจอ  เพราะตั้ง 500 หน้า โอ้วววว 

สุดท้ายก็ upload เข้าระบบและวางขายเรียบร้อย

คนเขียนก็ถึงกับแทบสลบด้วยความเหนื่อย เพราะแก่แล้ว  55555

เท่านั้นยังไม่พอสิ....ต้องทำสื่อส่งเสริมการขายอีก  อันได้แก่พวก  ภาพเพื่อการโฆษณา วีดีโอสั้นโปรโมทอีกค่ะ  จะเป็นลมอีกรอบละ

คลิปโปรโมท


มิเสียทีที่อุตส่าห์ฝึกวิชากราฟฟิกดีไซน์มาตลอดนะคะเนี่ย  คือพอจะทำได้ก็ทำไปค่ะ ขืนไปจ้างก็คงจะงบประมาณบานปลายแน่ๆ  

หวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักอ่านทั้งหลายนะคะ  ทว่า...ไม่อยากใจคอห่อเหี่ยวเหมือนตอนที่ยอดวิวรายตอนไม่เป็นอย่างที่หวังค่ะ  ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ  ก็ต้องลองผิด ลองถูก สู้ไปแหละค่ะ

เมื่อทำเต็มที่แล้วก็หยุดความคาดหวังไว้แค่ตรงนั้น  ถือว่าได้ทำสำเร็จตามตั้งใจแล้วนะคะ 

เหลืออีกอย่างคือการพิมพ์เล่มค่ะ  ซึ่งต้องมาจัดหน้ากันใหม่อีกรอบค่ะ เพราะว่ารูปแบบการเป็นนิยายเล่ม กับ นิยายอีบุ๊คเพื่อการอ่านบนมือถือจะใช้ประโยชน์ต่างกัน

คืออ่านบนมือถือตัวหนังสือควรต้องใหญ่ๆ เว้นย่อหน้าห่างๆ เพื่อให้อ่านง่าย

แต่บนเล่มกระดาษไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ค่ะ กลายเป็นว่าต้องมาตรวจกันใหม่ทั้งหมดอีกรอบ 500 หน้าเนี่ยนะ โหด.....ดดดด

ทำเองทั้งหมดนี่ก็เหนื่อยล่ะค่ะ  ...เหนื่อยจนต้องคิดว่าจะขอพักก่อนนะคะ  

เฮ้อ...แล้วจะได้เริ่มเขียนเรื่องใหม่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้สิคะเนี่ย


🌺++++++++++++🌺












มิถุนายน 12, 2567

หากว่านักเขียนต้องวาดปกนิยายของตัวเอง

 



เคยได้ยินมาจากที่ไหนซักแห่ง ซึ่งก็จำไม่ได้จริงๆค่ะว่าจากที่ไหน  ว่ากันว่าคนที่มีทักษะเกี่ยวกับศิลปะนั้นมีจำนวนเฉลี่ยเพียง 10% ของประชากรในโลกใบนี้

หากมาคิดต่อเล่นๆว่า แล้วคน 10% นั้นอยู่ที่ภูมิภาคไหนมากที่สุดล่ะคะ  คงไม่ใช่ประเทศไทยมั้ง 5555

เจ้าความสามารถทางศิลปะเนี่ยมันส่งต่อผ่านทางพันธุกรรมป่าวคะ สงสัยอีกละ 5555

สรุปว่าไม่รู้จะถามใคร และไม่มีคำตอบใน vlog นี้...

เอาเป็นว่ามีอยู่ตรงนี้หนึ่งคน คือ ผู้เขียนค่ะ ด้วยต้องตาต้องใจกับพวกรูปวาดสวยๆมาตั้งแต่เด็ก อย่างที่หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไม

สมัยเด็กๆก็ได้แค่ชื่นชมการ์ตูนญี่ปุ่น  อนิเมะต่างๆนานา ซึ่งยุคนั้นสามารถเสพย์ได้ผ่านทางกระดาษ  หมายถึงการพิมพ์เล่ม กับพวกรายการทีวีเท่านั้นค่ะ 

จำได้ว่าเคยดิ้นรนอยากได้ Artbook ของการ์ตูนเรื่อง คำสาปฟาโรห์  จนคุณพ่อต้องพานั่งรถเมล์ไปซื้อถึงสำนักพิมพ์  ด้วยว่าเราเป็นเด็ก มีความไม่สะดวกมากมายหากว่าจะสั่งซื้อแล้วให้จัดส่งทางไปรษณีย์  ความไม่สะดวกสมัยนั้นได้แก่ การจ่ายเงิน ซึ่งต้องซื้อธนานัติ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ (เป็นเด็กทำธุรกรรมไม่ได้) และที่อยู่ของผู้เขียนซึ่งอาศัยในค่ายทหาร  แปลว่าการได้รับจดหมายหรือพัสดุอะไรสักอย่างมันเป็นเรื่องยุ่งมาก  อารมณ์ประมาณว่าพัสดุของทุกคนในค่ายจะถูกนำมารวมกันไว้ที่เดียว  ไม่มีการนำส่งแยกเป็นบ้านๆ นะคะ  เฮ้อ...ช่างลำบากเนอะ

นั่นน่ะเป็นสภาพของ ปี พ.ศ. 2525-2530 ประมาณนั้น 

เล่าย้อนยาวไปขนาดนั้น...ตกลงอยากจะบอกว่าผู้เขียนพอจะวาดการ์ตูนได้อยู่ค่ะ ผนวกกับจินตนาการเยอะ เลยเขียนมันทั้งการ์ตูนเป็นเรื่องๆ และแต่งนิยายไปพร้อมๆกันได้ 

มาจนถึงวันนี้ที่เริ่มจะแก่ตัว ฮ่าาาาา ทุกวินาทีต้องแสวงหาทางรอดให้กับชีวิต  คือมีความสามารถอะไรก็งัดออกมาทำมาหากินค่ะ

ระหว่างที่เขียนนิยายของตัวเองไป ก็แอบส่องหาปกของนักวาดสวยๆไปด้วย  บ้างก็ซื้อไม่ทัน ส่วนคนที่ผู้เขียนเพิ่งจะทักไปคุยด้วยล่าสุดเป็นนักวาดในดวงใจ คือ งานสวยมากกกกกก 

คุยไปคุยมาเหมือนจะพอสู้ราคาไหว คิดราคาต่อ charactor เลยทีเดียว เช่น ปกมีภาพนางเอกกับพระเอก นับเป็น 2 คน แล้วขนาดหัวถึงเข่า ไม่รวมฉาก ประมาณสามพันกว่าบาท  ถ้ารวมฉากอีกก็ปาเข้าไปหกเจ็ดพัน พอเป็นลิขสิทธิ์แบบใช้เพื่อการพาณิชย์เท่านั้นแหละ...แม่เจ้า   นักวาดขอคูณ 2

พอได้ยินดังนั้นนักเขียนวัยเกษียณคนนี้ถึงกับจะเป็นลม....หลักหมื่นแล้วเนี่ย

สรุป...วาดเองเหอะ  ฝึกๆไปก่อน วันนี้ยังวาดไม่สวย  เดี๋ยววาดไปเรื่อยๆจะค่อยๆดีขึ้นแหละน่า

โอ๊ย ไหนจะวาดหน้า ทรงผม เสื้อผ้า  ฉาก โอ๊ย...ลงสีอีก  เครียดล่ะค่ะ  จะสวยพอใช้ได้ไม่รู้เมื่อไหร่

แต่ก็เอาเถอะค่ะ ที่จริงเป็นส่ิงที่ชอบอยู่แล้ว...การวาดรูปน่ะ




เอามาแปะโชว์ให้นักอ่านได้ชม  เผื่อติดตามกันไปนานๆ จะได้เห็นพัฒนาการฝีมือบ้าง  ไม่เชื่อนักอ่านไปดู post เก่าๆ ตอนช่วงผู้เขียนยังทำงานอยู่สิคะ  วาดแย่กว่าตอนนี้อยู่พอดูนะคะ


ไหนๆก็มาไกลโขแล้ว ต้องไปให้สุดทาง...ฮึบๆๆๆ สู้ๆ


มิถุนายน 05, 2567

ถึงจะบ่นว่าเหนื่อย แต่ก็ยังจะต้องทำต่อไป

 


วันนี้นิยายเรื่องแรกที่ใส่พลังเข้าไปแบบเต็มพิกัด ก้าวเข้าสู่การเผยตัวออนไลน์บนแพลตฟอร์ม top 5 ของประเทศไทย และใกล้เขียนถึงบทสุดท้ายเข้าไปทุกที... เกือบจะจบเรื่องแล้วจ้า

แหมเกริ่นนำเสียสวยหรูยิ่งใหญ่ขนาดนี้  top 5 ที่ว่าก็หนีไม่พ้น เด็กดีดอทคอม กับ รี้ดอะไรท์ นั่นแหละค่ะ

อย่าถามว่าผ่านไปเกือบสิบเดือน ยอดวิว ยอดรายได้เป็นไง

😓ก็อย่าไปเอาอะไรมากกับเรื่องแรก  ชาวบ้านเค้าเขียนกันมาก่อนเราเป็นสิบๆเรื่องก็ไม่ได้โด่งดังในชั่วข้ามคืน  อันนี้ก็ปลอบใจตัวเองตามเคยค่ะ

นิยายรักชายหญิงพล็อตเรื่องแบบ everyday life บางคนเรียก slice of a life คือไปเรื่อยๆสายชิล จะไปสู้นิยายรักผู้ใหญ่ 18+ หรือนิยายจีนโบราณ  มันเป็นไปไม่ได้

ทุกวันนี้ผู้เขียนทำหลายอย่างมาก หากใครติดตามอ่าน blog มาตลอดจะทราบค่ะ  5555

เหนื่อยก็ต้องหยุดค่ะ  วัยนี้มันไม่ใช่วัยสร้างฐานะ  เลยมาไกลมากแล้ว  ฝืนสังขารแล้วเกิดต้องเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลขึ้นมามันจะยุ่งและเดือดร้อนคนอื่นค่ะ

อนิจจา...รายได้จากงานสร้างสรรค์ทั้งปวง (ไม่เกี่ยวกับที่เรียนจบและทำงานมาเลยสักนิด) เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย  และเมื่อเทียบกับรายได้สุดท้ายก่อน early retire มันคือ 1:10:100 (รายได้:ค่าใช้จ่าย:รายได้ในอดีต)

ข่าวดีก็มีค่ะ

คือผลประกอบการช่วง 2-3 ปีแรก อัตราส่วนเป็นดังนี้  1:100:1,000  

ผ่านมา 6 ปี ดังนั้นอัตราการเติบโตของรายได้คือ 10 เท่า ใช้เวลาถึง 6 ปี อยากจะเขียนตัวโตๆๆๆๆๆๆ

ตัวอย่างเช่น ช่วง 2-3 ปีแรก มีรายได้ประมาณเดือนละ 10 บาท แต่ตอนนี้ได้ประมาณเฉลี่ยเดือนละ 100 บาท

ดูน่าดีใจใช่ป่าวคะ  ...ก็นั่นหละ ผู้เขียนพยายามจะมองแค่จุดนี้ คือจุดที่เราสบายใจ ไม่งั้นจะท้อมาก เพราะกว่าจะได้มาต้องทำหลายอย่างเลยค่ะ  ทั้งนี้ผู้เขียนมองเรื่องการสร้างกระแสรายได้ หรือ income stream ที่ต้องมีรายได้จากหลายทิศทางค่ะ  กระจายความเสี่ยง กระจายเจ๊งด้วยค่ะ ก็เหนื่อยหน่อย แต่เชื่อว่าจะมั่นคงค่ะ

อย่างที่เห็นว่าเป้าหมายคือรายได้ที่ควร cover ค่าใช้จ่าย ยังไม่เป็นไปตามเป้า ห่างไกลมากถึง 10 เท่า  ความฝันที่อยากจะกลับไปมีเงินเหลือเก็บออมบ้างก็ไม่ได้เลย

ไม่ต้องไปดูตัวหลังสุดคือ รายได้ในอดีต... คือ เหนื่อยค่ะ  อยากกลับไปมีชีวิตชิลๆ ได้กินได้เที่ยว ได้ shopping บ้างคงจะไม่ได้อยู่ดี  ยังไงก็ต้องผ่านด่านที่ว่าทำให้มีเงินเหลือออมจะดีกว่า  เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่ค่ะ ยังไงต้องแบ่งออมไว้ก่อนปลอดภัยที่สุด

บ่นเรื่องผลประกอบการให้ฟังเสียยาวยืด  หวังว่าคุณผู้อ่านจะได้ไอเดียกับการจัดการชีวิตวัยเกษียณไปบ้างนะคะ  5555 สาธุค่ะทุกคน

ว่าแล้วก็ต้องไม่ลืมขายของ อ้าว...ฮ่าาาาา


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272


เขียนมาใกล้จบล่ะค่ะ  ทะยอยปิดปมต่างๆที่สร้างเอาไว้ แฮบปี้เอนดิ้งกันทุกคู่  แต่จะอย่างไรต้องไปติดตามอ่านกันนะคะ  ระหว่างนี้ขอแจ้งว่าจะมีการรวบรวมเป็น ebook แน่นอน  ส่วนจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มนั้นตัวผู้เขียนจะทำไว้อ่านเป็นที่ระลึก  คาดว่าจะสั่งพิมพ์เล่มมาไม่เยอะ ลองขายดูค่ะ5555 ดังนั้นพิมพ์จำนวนน้อย คงไม่ได้กำรี้กำไรอะไรมากมาย  ขายไม่หมด-เหลือก็บริจาคทำบุญให้ห้องสมุดประชาชนหรือไม่ก็ห้องสมุดพร้อมปัญญาสำหรับผู้ต้องขังค่ะ  รับรองว่าอ่านแล้วไม่มีพิษ ไม่มีภัย สายโลกสวยยย

เรื่องใหม่ถัดไปก็มีโครงเรื่องรออยู่เหมือนกันค่ะ ทว่า...ยังมีหลายจุดที่ไม่ลงตัว  คิดไม่ออก  แก้ไม่ตก  ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้เขียนเรื่องใหม่ในช่วงไหน 

ถึงจะบ่นว่าเหนื่อย และไม่ได้อะไรเท่าไหร่  แต่ก็ยังจะต้องทำต่อไปค่ะ 

เพราะน่าจะอยากทำ...นั่นแหละค่ะ ข้อสรุป



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ




มีนาคม 06, 2567

ทุกความสำเร็จ มักมีเรื่องเล่า

 




ช่วงนี้หันมาจริงจังกับการวาดรูปมากขึ้นค่ะ  คือความที่ตัวเองทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน  ทำให้เกลี่ยเวลาไปทำทุกสิ่งอย่างไม่ค่อยทั่วถึง  ทำทุกอย่างสลับไปสลับมาในหนึ่งวันเลยค่ะ

ทว่าทำอย่างนั้นแล้วมันเยี่ยม!

เพราะอะไรน่ะหรือคะ  

คือกลายเป็นว่าทำให้หัวสมองได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แถมได้ยังกระจายความเสี่ยงในเรื่องทักษะความสามารถอีกด้วย  ยุคนี้จะมานั่งทำอะไรอย่างเดียวหรือทีละอย่าง เห็นจะไม่รอดดดด  มันต้อง Agile ปรับตัวให้ไวเข้าไว้  

ทีนี้การจะปรับตัวให้ไวได้ต้องมีฐานมากพอจะโฉบไปตรงนั้นตรงนี้ได้ค่ะ  ถ้าไม่มีพื้นความรู้ หรือฐานที่ว่าสักนิดสักหน่อย  มันก็ไปต่อกับชาวบ้านเค้าไม่ได้

ดังนั้นความเข้าใจในงานวาด  งานระบายสี  มันบูรณาการร่วมกัน  ถ้ามัวไปทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เนี่ย  ไปส่งผลต่องานอื่นอย่างไรบ้าง  เหมือนเรามีฐานค่ะ  จะไปต่องาน digital หรือ ระบายมือ ก็ทำได้หมด เปลี่ยนแค่เครื่องมือเท่านั้น

ทว่าการใช้เครื่องมือ หรือใช้โปรแกรมก็ต้องฝึกฝนอีกแหละค่ะ

เมื่อได้เข้าใจว่าทุกอย่างส่งผลต่อกัน  หรือสัมพันธ์กันอย่างไร  จุดไหน...พัฒนาการจะเกิดเองค่ะ

รู้สึกพอใจผลงานมากขึ้นมาอีกนิดค่ะ  แม้ว่าจะยังวาดไม่เสร็จร้อยเปอร์เซนต์ ก็พร้อมอวด55555 ดูรวมๆแล้วน่าจะผ่านอยู่นะคะ  รายละเอียดอื่นยังต้องฝึกกันต่อค่ะ เช่น  รอยยับบนเสื้อ  การลงสีดวงตา  ใบหู  กับลงแสงเงารวมๆยังต้องปรับอีก

อยากจะฝึกฝีมือเอาไว้วาดปกนิยายของตัวเองค่ะ

เพราะค่าจ้างวาดโหดมาก งานสวยๆนี่ราคาประมาณหกพันกว่าบาทขึ้นไปเลยทีเดียว  ลองคิดดูว่านักเขียนหน้าใหม่ ไก่กาอาราเร่ อย่างดิฉันเนี่ยยยย  ขืนไปจ้างวาดก็ทุนหายกำไรหดแน่

เพราะคาดเดาไม่ได้เลยค่ะ  ว่าเมื่อรวมเล่มขายแล้วจะมีนักอ่านสนับสนุนขนาดไหน

เอาไว้นิยายใกล้ออกเล่มเป็น ebook เมื่อไหร่จะมาอ้อนนักอ่านแถวๆนี้อีกทีนะคะ  อิอิอิ

ส่วนการพิมพ์เป็นเล่มนั้นมีแน่นอน เพราะต้องการเก็บไว้เป็นทีระลึกสำหรับตัวเอง 55555  ขึ้นอยู่กับนักอ่านว่าจะตอบรับ ebook ดีไหม  จะได้พิมพ์เล่มเผื่อไว้สักเล็กน้อย 

ว่าไปแล้วอย่าลืมตามไปอ่านกันนะคะ  พีคคคคคแล้ว  ตอนที่ 60 กว่าแล้วค่ะ


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272


เขียนต่อไป  ยังเขียนอยู่ค่าาา




ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  ไว้พบกันใหม่ vlog หน้าค่ะ





กุมภาพันธ์ 21, 2567

กลับไปสู่จุดเริ่มต้น (บ้าง)

 


วันนี้ขอกลับไปจุดเริ่มต้น เพื่อเป็นการพักสมองบ้างค่ะ  

คือการเขียนนิยายนี่มันเหนื่อยจุง...ฮ่าาาา ปวดหัว เวลาคิดไม่ออกนี่มันสุดๆค่ะ อย่างไรก็ตามเขียนได้จบเรื่องแน่นอน  งานนี้จะจบประมาณตอนที่ 80-84  ถือเป็น Masterpiece ของชีวิต Post-Retirement เลยทีเดียว  ใช้เวลาไปเกือบ 8 เดือนแล้วเนี่ยสำหรับนิยายเรื่องนี้

พอเริ่มเขียนไปสักพักใหญ่ คือล่วงเลยมาจนตอนที่ประมาณ 6  จะเริ่มเข้าสู่ภาวะลื่นไหล  อ๊าาา...ที่จริงเราก็เขียนได้นี่หว่า  จากที่เคยคิดมาตลอดว่าจะรอดมั้ย  เพราะช่วงที่ยังทำงาน หมายถึงตอนก่อนเกษียณนะคะ  พยายามกลับมาเขียน  มักจะเขียนไม่ออก  ช่วงเขียนออกก็มีค่ะ แต่เอาแน่ไ่ม่ได้  จับทางตัวเองไม่ถูกว่าต้องทำยังไงจึงจะทำให้เขียนได้อย่างลื่นไหลไปแต่ละย่อหน้าได้

ตอนนี้นิยายกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น  และคนเขียนเหนื่อยมาก  ฮ่าาาา  ขอกลับมาพักวาดรูปค่ะ

เพราะที่จริงแล้วงานวาดรูปเป็นสิ่งที่มาก่อนงานเขียนนิยาย และงานอื่นทั้งปวง

จากตอนเด็กๆก็วาดไปบนกระดาษเหลือใช้จากที่ทำงานของพ่อ... ซึ่งพ่อขนกลับมาบ้านเพราะตั้งใจให้ลูกใช้ทดเลข5555 

ปรากฎว่าลูกเอามาวาดรูปเล่นค่ะ

แล้วก็เอาตัดเล่น เป็นตุ๊กตาบ้าง  พับนกบ้าง  ตามประสาเด็กยุค 70

พอร้องจะให้พ่อซื้อสีน้ำหลอดสังกะสีเป็นชุดๆให้หน่อย  ก็โดนดุอีก  แต่สุดท้ายก็ได้มาแหละค่ะ  แต่พอเอามาระบายสีเท่านั้นก็โดนตีมืออีก   เพราะว่าผู้เขียนระบายออกนอกเส้น5555

เอาเป็นว่าผู้ใหญ่ในสมัยโน้นเค้าก็ไม่เข้าใจเรื่องศิลปะอะไรมากมายหรอกค่ะ  ช่างไม่รู้เล้ยยยย  ว่าผู้เขียนน่ะมีความสามารถพิเศษทางนี้  เพราะพอโตมาอีกหน่อย ครูที่โรงเรียนเอาภาพเขียนสีเทียนไปส่งประกวดยังต่างประเทศ  ผู้เขียนได้รางวัลซะงั้น  และได้รางวัลเกี่ยวกับการประกวดภาพวาดอีกเรื่อยๆจนโต (ขออวดหน่อย)

แต่สรุปว่า...เวลาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย  ห้ามเลือกคณะเกี่ยวกับการวาดรูป  

เอาเถอะค่ะ  อะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันดีเสมอ  เพราะว่าเป็นศิลปินวาดรูปในยุคนั้นกินเกลือแน่นอน  

ตั้งแต่เกษียณมาก็ได้วาดรูปมากขึ้นค่ะ  ก็รู้สึกว่าฝีมือพัฒนาขึ้นเหมือนกัน  ที่จริงพัฒนามากขึ้น เพราะผู้เขียนไปเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพ  ทีนี้เลยเข้าใจเรื่องธรรมชาติของแสงค่ะ

กับอีกทักษะที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ ทักษะของการเป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์  คือการใช้โปรแกรมแต่งภาพ ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Lightroom โปรแกรมวาดเวคเตอร์ Illustrator , Indesign , Procreate ฯลฯ ตอนนี้ผู้เขียนทำได้หมดอย่างชำนาญพอตัวเลยทีเดียว

จึงเป็นที่มาของการบูรณาการทักษะทั้งหมดมาใช้ประโยชน์  

เพราะว่าค่าจ้างนักวาดมาทำภาพปกนิยาย หรือวาดภาพตัวละคร แพงงงงมากค่ะ หรืออย่างน้อยใช้ภาพจาก Ai ก็ต้องมีการปรับแต่งอยู่ดี

มีประโยขน์ก็ตอนนี้แหละค่ะ วาดปกเอง ทำ Artwork ส่งโรงพิมพ์เอง  จัดหน้า+ทำรูปเล่มเอง  ประหยัดค่ะ ยังไม่รู้เลยว่าเขียนนิยายจบแล้วทำเป็น E-Book จะพอมีคนอุดหนุนบ้างหรือไม่  นักเขียนหลายคนขาดทุนยับเพราะจ้างวาดปกมาแพง แต่ขายอีบุ๊คไม่คุ้มค่าปกค่ะ

ภาพข้างบนยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี  เอามาใช้เล่าเรื่องให้ทุกคนได้อีกเรื่องนึงค่ะ...



ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ สู้ๆๆๆ






กุมภาพันธ์ 07, 2567

ศิลปกรรมแห่งความน่ากลัว : Art of Horror

 




ขออวดภาพวาดด้วยสีอะคริลิคฝีมือตัวเองกันสักหน่อยนะคะ

ใครอยากสนับสนุนนักวาดวัยเกษียณคนนี้ติดต่อทักมาได้ อิอิ  ได้ไอเดียว่าขายเป็น Art Print ก็น่าจะพอไหวอยู่นะคะ (ตามไปเปย์ได้ใน Shopee ค่ะ เปิดร้านรอไว้ปล่อยของแล้วค่ะ 5555)

ตัวผู้เขียนเองก็สั่งทำเป็นภาพพิมพ์บนผืนผ้าใบไว้ติดข้างฝาห้องแบบหนุกๆ ค่ะ  คือติดแทนรูปภาพสีน้ำอันเก่าที่วาดเอง(อีกเหมือนกัน) ซึ่งติดไว้นานจนชักจะชินตาเกินไปแล้ว  ขอเปลี่ยนอารมณ์หน่อย5555

คือชอบคู่สีในภาพมากค่ะ  ชอบสีเขียวอมฟ้าแบบนี้ พอจับคู่กับโทนชมพูละก็ สวยดี

ทว่าเนื้อหาของภาพออกจะดูไม่โรแมนติก ออกแนวน่ากลัว ผสมหลอนนิดๆ  

มานั่งนึกดูก็สงสัยตัวเองว่ามีรสนิยมจริงๆแล้วชอบงานหลอนๆแบบนี้เหรอ😓

น่าคิดค่ะ...คือว่าชอบดูหนังผี หนัง thriller มากกว่าหนังรัก  หนังสอบสวนก็ดูบ้างนะคะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ คือดูแล้วต้องคิดเยอะ  ปวดหัวค่ะ  เอาสมองมาใช้ทำงานดีกว่า

ทุกวันนี้เพิ่งค้นพบว่าการเป็นนักเขียนนี่ใช้ความคิดเป็นอย่างมาก  คือ ต้องคิดทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แถมจินตนาการว่าตัวละครจะพูดอย่างไร และมีอารมณ์แบบไหน

แล้วมาเป็นนักเขียนเอาตอนอายุมากแล้วนี่...เหนื่อยค่ะ  สุขภาพจะไม่ไหวเอาล่ะ 

คือพอใช้สมองเยอะ  ก็ออกอาการปวดหัว และอ่อนเพลียมาก เวลาคิดไม่ออกแต่มันต้องเขียนแล้วอะค่ะ  เพราะตั้งใจว่าจะ upload ตอนใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละสองตอน

บางช่วงยอดอ่านขึ้นสูง มีคนมากดหัวใจให้ ก็รู้สึกฮึดๆๆๆ  จะเขียนให้ได้สามตอนต่อสัปดาห์

ปรากฏว่า...แทบจะป่วย 

ตกลงว่าชีวิตนี้จะเขียนนิยายได้กี่เรื่อง

เดี๋ยวต้องไปพักร่าง พักใจด้วยการกลับไปวาดรูปดีกว่าค่ะ  มันคือการปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง  ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อนักอ่าน5555  และ....การเลี้ยงชีวิต


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ




#Art of Horror  #ศิลปกรรมแห่งความน่ากลัว



มกราคม 24, 2567

นับหนึ่งแล้วกว่าจะไปต่อได้ถึงสิบ

 


เส้นทางที่เดินอยู่นั้นช่างแสนยาวไกล  อาจจะเป็นเพราะหักโหมมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น  เพราะว่าตัวเองนั้นอายุมิใช่น้อย

การเกษียณนั้นผ่านมานานหลายปี จนไม่อยากจะนึกถึงแล้วค่ะ อยากจะมองไปข้างหน้าเท่านั้น

แต่ดูแล้วว่าพลังแห่งความวิริยะอุตสาหะทำให้ผู้เขียนสุขภาพแย่ลง

จากช่วงแรกๆทำงานวันละ 15 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้ต้องลดเหลือวันละ 12 ชั่วโมง ไม่งั้นลากสังขารไม่ไหว

ทั้งนอนไม่หลับด้วยอาการตามวัย  ทำให้เวลาที่อยากนอนก็นอนไม่หลับ พอนอนคิดงานไปด้วย ตื่นมาก็สมองตื้อ เวียนหัวไปทั้งวัน

บางช่วงแอบมีจิตตก  รู้สึกว่าพยายามแค่ไหนก็เหมือนคลานเป็นเต่า...ไม่ได้ตามเป้าหมายซะที

แต่ว่าถ้าไม่เริ่ม...ก็ยิ่งไปต่อ 3,4,5...ได้ยาก

อันนี้เรื่องจริงค่ะ...มัวแต่รอทำอย่างหนึ่งให้เก่ง แล้วไม่เริ่มหัดทำอย่างอื่นไปด้วยพร้อมๆกัน  ต่อไปถ้าเกิด trend เคลื่อนมา เราก็ต้องวิ่งตาม trend แบบกระหืดกระหอบ เพราะว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ+ทำไม่เป็น+ไม่มีทักษะ

เหมือนตอนนี้เทรนด์นิยายวาย กับนิยายจีน มาแรงมาก  แต่เราไม่ get และ no idea มากๆกับนิยายแนวนี้

เราโตมากับนิยายรัก นิยายสะท้อนสังคม อะไรเทือกนี้แหละค่ะ  ก็แน่ล่ะ...สมัยก่อนไม่มีเรื่องเสรีทางเพศ หรือเรื่อง LGBTQ

ส่วนนิยายจีนนี่ที่จริงอยากเขียน  แต่ต้องสะสมข้อมูลอีกสักพักค่ะ  พักใหญ่...สงสัยป่านนั้นตลาดเลิกสนใจไปเรียบร้อย 55555

นั่นเป็นตัวอย่างของ trend ที่มีผลมากต่อการสร้างรายได้ค่ะ  แต่ถ้าไม่แคร์เรื่องรายได้ก็จะมีความสุขในการเขียนมากขึ้นนะคะ


อยากมีความสุข แต่ก็แคร์เรื่องรายได้ค่ะ 5555


ถือซะว่าตอนนี้ได้นับ หนึ่ง แล้วนะคะ  .... ก็คงจะต้องคลานกันต่อไปอีกค่ะ  แค่ไหนแค่นั้น รู้สึกว่าชีวิตอาจไม่ได้ยืนยาว  ไม่รู้ว่าวันไหนจะหมดเวลา  เราก็ใช้ชีวิตมาเกินครึ่งแล้วนี่


ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตนะคะ.










มกราคม 10, 2567

ปรัชญาลุงแสง

 



ตอนที่ 33 นี่ผู้เขียนไปเขียนที่โรงพยาบาลขณะที่กำลังเฝ้าคุณแม่ไปด้วยค่ะ 

คุณแม่ผู้เขียนพอดีต้องไปผ่าตัด ประสาผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวนั่นหละ  ผู้เขียนนอนกับคุณแม่ที่โรงพยาบาลก็เลยพยายามหาเวลามาเขียนนิยายในช่วงคนป่วยหลับบ้าง ทานอาหารบ้าง  คือตั้งแต่เข้าปี 2567 มา ผู้เขียน upload นิยายได้แค่สัปดาห์ละครั้ง

แน่นอนว่ายอด view ค่อยๆร่วง 5555 ใจหายเลย แต่ไม่รู้จะทำไง

คือต้องเฝ้าคุณแม่ กับเทียวพาไปโรงพยาบาลหลายรอบ กว่าจะเข้าสู่กระบวนการผ่าตัด แล้วจนผ่าเสร็จก็ยังต้องมีกระบวนการพาไปให้คุณหมอดูแผล นี่  นั่น โน่น จิปาถะ ไหนในช่วงแรกต้องดูแลใกล้ชิดหน่อย  ท่านจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เต็มที่อีกต่างหาก

โชคดีที่ยอดเก็บเข้าชั้นยังปกติ คือมีนักอ่านบางท่านเอาออก 1 ราย  แต่ก็มีท่านใหม่เก็บเข้าชั้นเพิ่มเข้ามาแทนที่  ถือเป็นนักอ่านที่ผู้เขียนต้องทนุถนอมไว้ให้ได้ค่ะ

ยอดเก็บเข้าชั้นเพียงแค่ตัวเลข 2 หลัก และเพิ่มขึ้นทีละนิดตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา

นี่ก็เข้าเดือนที่ 5 ล่ะค่ะ  แต่อย่าไปเทียบกับนักเขียนท่านอื่นเด็ดขาดดดดด 

เพราะสู้เค้าไม่ได้  5555555

คิดว่าจะสู้เพื่อเขียนให้จบแน่นอนค่ะ

แต่หลังจากนั้นขอคิดอีกที  เพราะ...โหดมาก กว่าจะเขียนให้จบ  ก้อนึกไม่ออกเลยว่าท่านนักเขียนท่านอื่นๆเค้ามีวิธีการกันอย่างไร

บางคนเขียนได้หลายเล่มพร้อมกันในเวลาเดียวกัน

เฮ้อ...ขอถอนหายใจหนึ่งที  555


บางส่วนจากบทที่ 33


           ชายชราผู้เคยเป็นทหารเก่า ท่าทางทะมัดทะแมง ฉะฉานทั้งในคำพูดและกริยา เผยสีหน้าเหมือนกับเข้าใจบางอย่างแจ่มชัดมากขึ้น แม้ว่าเขาเพียงเห็นกชชรีย์ในระยะไกล และไม่มีโอกาสได้พูดคุยอะไรเกินกว่าคำทักทายหรือคำตอบรับสั้นๆ แต่ที่เขาเห็นชัดมากกว่าคือความเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าของบ้านหนุ่มรูปงามคนนี้

           “ชวนเธอมาเที่ยวบ้านบ่อยๆ สิครับ เวลาเธอมา…” เขากลืนเสียงตัวเองลงคอไปเฉยๆ อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อหรือไม่ แต่ประสาที่เป็นคนตรงไปตรงมา และมักถูกติงจากภรรยาว่าเป็นคนพูดขวานผ่าซากอยู่แล้ว เขาจึงสะดุดคิดก่อนพูดต่อ “เวลาเธอมาบ้านดูสดชื่นดีครับ”

            เขาปรับคำพูดแทบไม่ทัน ที่จริงในใจเขาอยากจะพูดว่า ‘เวลาเธอมา คุณโรมดูสดชื่นดีครับ’

           “งั้นเหรอครับ”

            โรมรันยิ้มน้อยๆ  พลางทอดสายตา พร้อมกับถอนใจราวกับหัวใจกำลังแบกรับของหนัก  คล้ายมีบางสิ่งจุกแน่นจนไม่รู้ว่าจะพูดออกไปอย่างไรดี

            ชายหนุ่มไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจุดยืนของตัวเอง และสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ท้ายที่สุดก็กลับมาไร้ซึ่งคำตอบ

            “ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืดยาวอะไรหรอกครับ คิดอยากทำอะไร...ต้องรีบทำ”

               ลุงแสงเผยลอยๆ ถึงประโยคปรัชญาชีวิตที่โรมรันมักอ่านพบเกลื่อนไปในหนังสือ ซึ่งสิ่งที่แกพูดมันเป็นคนละเรื่องกับที่เอ่ยถามถึงกชชรีย์เมื่อครู่นี้  โรมรันมีแววสนเท่ห์ในความหมายที่แฝงในประโยค ไม่แน่ใจถึงสิ่งที่ชายสูงวัยต้องการจะบอก กระนั้นแล้ว หลังแกพูดจบ ก็ขอตัวไปเดินตรวจตรารอบบ้านต่อแบบดื้อๆเสียอย่างนั้น



ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272






มกราคม 03, 2567

ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้

 



ใครที่เพิ่งเข้ามาอ่าน blog อาจจะไม่รู้ว่าภาพประกอบใน blog นี้มันอาจจะดูตื่นตาตื่นใจไปหน่อย ทั้งนี้ก็เป็นไปตามหัวเรื่องแต่ละอันที่จะเขียนแหละค่ะ  มาวันนี้อยากเล่าเรื่องการขี่หลังเสือของผู้เขียน จึงได้ทำรูปนี้มาประกอบ

ท่านใดได้ไปตามดูใน facebook instagram youtube ก็อาจมีการขัดใจบ้าง เพราะผู้เขียนไม่ได้ update อะไรใหม่ๆลงไปเลย คือว่าตอนนี้ยังนึกไม่ออก ไปไม่ถูก ว่าจะจัดการเนื้อหาอย่างไรดี  เรียกว่ายังไม่ "ตกผลึก" ก็ว่าได้ค่ะ

เอาเป็นว่า main หลักมาตามอ่านที่นี่ไปก่อนนะคะ

เข้าเรื่องว่าทำไมจะมาบ่นเรื่องขี่หลังเสือ

คำพูดนี้ผู้เขียนชอบใช้เวลาเล่าให้คนอื่นฟังเรื่องตอนสมัยก้าวจากตำแหน่ง officer เป็น Manager  ค่ะ ว่าเวลาได้เลื่อนตำแหน่งเนี่ยมันแสนจะภูมิใจเนอะ แต่พอผ่านไปได้สักระยะ คือจาก Manager ก็เลื่อนต่อไปเรื่อยเป็นโน่น นั่น นี่ ในสายบริหาร ตาม  career path ของสาย Management แหละค่ะ  คราวนี้ความรับผิดชอบมันมากขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง 5555 ควบหลาย function ทำเกือบทุกอย่าง ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน และไม่ถนัดก็ต้องทำ 

ไหนจะต้องดูแลน้องๆในทีมอีกหลายคน ปัญหาของงานกลายเป็นปัญหาชีวิตอย่างแยกไม่ออกละนั่น

แม้จะเหนื่อย แต่ดูเหมือนผลงานจะออกมาดี  ก็เลยเจริญรุ่งเรืองดีแบบไปไหนไม่รอด คือ กลัวไปทำอย่างอื่นแล้วคงจะไม่รุ่งเท่าอันนี้แล้ว

บางทีมันเหนื่อยมากจนอยากขอคืนตำแหน่ง 5555

ขอเป็นเจ้าหน้าที่เหมือนเดิมได้ป่าว  สบายใจกว่า เงินเดือนน้อยลงมานิดนึงก็ได้

เรื่องขอลดตำแหน่งตัวเองไม่มีบริษัทไหนเค้าอนุมัติให้ผ่านหรอกค่ะ  ผู้เขียนจึงต้องสู้ต่อไป

อาการนี้ไม่ต่างอะไรกับขี่หลังเสือ  ขึ้นแล้วลงไม่ได้

บนหลังเสือนั้นมันน่ากลัว  มาทำงานเหมือนมาออกรบ  แก้ปัญหาโน่นนี่ทุกวันไป  ไม่รู้ใครเป็นใคร บางคนหน้าเนื้อใจเสือ ปากหวาน ก้นเปรี้ยว แต่ทั้งรู้ก็ต้องทำเหมือนไม่มีอะไร

เรื่องทำให้ปากไม่ตรงกับใจนี่หละ ทำให้เครียด เพราะต้องคอยพลิกไปพลิกมา แต่ถ้าพูดตรงไปคงโดนเทล่ะค่ะ  หมายถึงสังคมรับความจริงไม่ได้หรอก เลยต้องทำตัวกลางๆเข้าไว้

ที่พูดไปนั่นก็บ่นเรื่องสมัยทำงานอีกละ

คราวนี้มารู้สึกว่าตัวเองขี่หลังเสืออีกก็ตอนมาเขียนนิยายแบบจริงจังนี่ละค่ะ

เริ่มจะมีแฟนคลับกับเค้าบ้าง  ช่วยมาเปย์จ่ายตังค์ให้ผู้เขียนเพราะจะเปิดอ่านรายตอน  ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อผู้อ่านเลยค่ะ แม้ว่าจะเป็นรายได้ที่ไม่ได้มากอะไร  ทว่ามันให้ความสุขเล็กๆน้อยๆกับผู้เขียนว่า...มีคนอ่านงานเราอยู่นะ

บนหลังเสือยังคงเหมือนการต่อสู้  คือ ต้องคิด ต้องเขียน ทำให้ออกมาอย่างดีที่สุดค่ะ

ตอนนี้มาไกลถึงตอนที่  33 แล้วล่ะค่ะ

เฮ้อ....

สู้ต่อไป

ฝากไว้ในอ้อมใจของทุกท่านด้วยนะคะ  เขียนจบเมื่อไหร่จะฉลองใหญ่...555


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272








มกราคม 01, 2567

สวัสดีปีใหม่ 2567 / 2024

 



❤ สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้เป็นปีแห่งความสุขและสมหวังสำหรับทุกท่านนะคะ 🥰❤

ทางเพจขอขอบคุณการสนับสนุนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และต่อไปในอนาคตค่ะ