พฤศจิกายน 20, 2567

เพื่อนสนิทที่จะอยู่เคียงข้าง(อีก)หนึ่งคน

 



ตื่นเช้ามาวันนี้ได้รับรู้ถึงอากาศที่เย็นลงจนพอจะใช้คำว่า "หนาว" ได้อยู่เหมือนกันค่ะ

ที่จริงมันก็เป็นช่วงเวลาที่คนเมืองกรุงรอคอยกันมาตลอดทั้งปี ว่าปีนี้จะหนาวไหม จะหนาวเมื่อไหร่ หรือหนาวอยู่กี่วัน

เดี๋ยวนี้อากาศหนาวนี่ต้องนับหน่วยกันเป็นวันเลยทีเดียวค่ะ  คงอดจะเล่าไม่ได้ว่าสมัยผู้เขียนยังเด็ก ซึ่งก็ต้องถอยหลังไปเยอะๆหน่อยนะคะ  ประมาณ 40 ปีที่แล้วก็พอ 5555 ว่าหน้าหนาวนี่หนาวกันเป็นเดือนๆ ค่ะ หน้าร้อนก็ไม่ร้อนจนสุกเกรียมขนาดนี้  ไม่คิดเลยว่ากระทั่งฤดูกาลก็ยังต้องผันแปรและเปลี่ยนแปลงไป  ตอนยังเด็กๆยังคิดอยู่ว่า  จะอย่างไรชีวิตเราก็ต้องเจอกับฤดูกาลวนเวียนแบบนี้ไปจนกว่าจะตาย

ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดซะแล้วสิ...แม้แต่ฤดูกาลยังรวนเร  และเพี้ยนไปได้ขนาดนี้เลยค่ะ

อีกหน่อยหน้าหนาวของประเทศไทยอาจจะหายไป...ผู้เขียนคิดอย่างนี้จริงๆค่ะ

ที่เคยคิดตลกๆว่าอาจจะมีหิมะนั้นก็คงจะไกลเกินจริง  เพราะจากสภาพทางภูมิศาสตร์แล้ว ท่านนักอุตุนิยมวิทยาบอกว่าน่าจะยากเพราะตำแหน่งที่ตั้งของประเทศตามพิกัดที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มันยากที่หิมะจะตก   แต่ไหงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอากาศยังเพี้ยนจนมีหิมะตกได้เหมือนกัน

อันนั้นเขาอาจจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจค่ะ  อันนี้ผู้เขียนเริ่มจะแถ...5555

พาออกนอกเรื่องไปตามเคยนะคะ วันนี้อยากจะมาแนะนำเพื่อนสนิทให้รู้จัก เพื่อนสนิทที่ว่านั้นดันไม่ใช่คนซะอีก อ้าว...

เรียกเป็นเพื่อนสนิทเพราะสิ่งนี้อยู่คู่กับผู้เขียนมาตั้งแต่จำความได้  ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก "การวาดภาพ" และ "การเขียนนิยาย" เลยค่ะ  สิ่งนั้นก็คือ "ดนตรี" 

อย่าคิดเชียวว่าผู้เขียนจะลุกขึ้นมาเป็นศิลปินนักร้องเอาตอนอายุปูนนี้เลยค่ะ  คงไม่เอาแล้ว5555 แต่ว่าทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดนตรีที่ถูกจริตนี่มันเหมือนวิญญานถูกปลุกยังไงบอกไม่ถูก... ไม่ใช่แค่คำว่ารักดนตรี  หรือรักศิลปะ รักการเขียนนิยาย รักวาดรูป ....บลาๆๆ แบบที่คนชอบพูดกัน  

สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่งานอดิเรก แต่เรียกได้ว่าคือวิถีชีวิตจริงๆของผู้เขียนเลยต่างหาก คือตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วมันต้องทำ  อยากทำ โดยไม่มีเหตุผลรองรับ และสามารถทำได้ทั้งวัน หรือตลอดชีวิต หรืออาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อได้ทำสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ 

ไม่รู้ว่าฟลุ๊ค หรือบังเอิญ หรืออะไรดี  ผู้เขียนลองเขียนเพลงแบบที่ตัวเองอยากเขียนขึ้นมา แล้วดันมียอดขายขึ้นมาด้วย  คราวนี้เลยสงสัยในตัวเองขึ้นมาว่า...ฉันทำได้จริงๆเหรอเนี่ย

งานนี้ก็ต้องสานต่อกันไปอีกเหมือนทุกงานที่ทำอยู่ค่ะ  เริ่มจาก ฉันทะ แล้วก็ไปวิริยะ  ไปจิตตะ วิมังสา...

เลิกตั้งเป้าอะไรให้ปวดหัวกับชีวิตแล้วล่ะค่ะ  คิดแล้วก็ลงมือทำ ทำไปเรื่อยๆ ทุกอย่างจะดีชึ้นเอง  เหมือนอย่างการเริ่มต้นเป็นกราฟฟิกดีไซน์ในวัยขนาดนี้นี่หละ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก และเกิดกับตัวเอง

แรกๆมันเหนื่อยมาก ยากไปหมด มีแต่คำถาม ว่าไอ้นั่นอะไร ไอ้นี่อะไร เดี๋ยวนี้ชิลสุดๆค่ะ บูรณาการทุกอย่างได้เองแล้ว  กระโดดพลิกตีลังกาสามตลบแล้วกลับมายืนได้  ไม่ล้ม5555   มีปัญญาประดิษฐ์มาเราก็ไม่กลัวค่ะ  (ที่จริงจะไปกลัวทำไม  เค้าสร้างขึ้นมาให้มาคอยช่วยมนุษย์ค่ะ)

แต่สำหรับงานเขียนนิยาย ก็ยังยากอยู่นะคะ...ทว่าเรื่องที่สองที่กำลังเขียนอยู่นี่ก็รู้ฝึกว่าไม่ฝืด....ดดเท่าเรื่องแรก  เหมือนว่าได้เรียนรู้อะไรไปบางอย่างจากการเขียนเรื่องแรก

คงอยากจะบอกทุกคนที่บังเอิญมาผ่านพบ blog อันนี้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกคุณ  มองหาสัญชาตญานของตัวเองนะคะ  และอย่าข้ามผ่านมันไป  มองไปข้างหน้าเท่านั้น เวลาในชีวิตไม่ได้เหลือเยอะ เพราะไม่มีใครรู้ถึงวันสุดท้ายค่ะ  ใช้มันในแบบที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน รวมทั้งอย่าสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองด้วยการกดขี่ตัวเอง  เลิกค่ะ  เลิกประเมินตัวเองเหมือนกำลังเป็นพนักงานที่มีหัวหน้าคอยควบคุม

เป้าหมายมีไว้เป็นหลักชัยค่ะ  เดินทุกวันมันต้องถึงสักวันค่ะ  แต่ระหว่างทางมันสำคัญกว่าไหม...ตอนถึงเป้าหมายก็อาจจะสุขแค่แป็บเดียว  ว่าฉันถึงแล้ว...แต่ "ระหว่างทาง" นี่หละ ของจริงค่ะ...เชื่อผู้เขียนสิ



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น