ตุลาคม 15, 2559

วันที่คนไทยร้องไห้กันทั้งแผ่นดิน : King Bhumibol Adulyadej

Painted by IPAD PRO with Apple Pencil on Procreate App

ทั้งที่ก้อคงจะเหมือนๆกับคนไทยคนอื่นๆทุกคน  ที่คิดว่าวันใดวันหนึ่งก้อต้องมาถึง  เพราะไม่มีใครหนีเรื่องนี้พ้น  ไม่ว่าจะเป็นคนรวย  คนจน  คนดี หรือคนชั่ว  ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได้

เพียงแต่ว่าเราแค่คิดว่า  มันไม่ควรจะเป็นวันนี้เท่านั้นเอง  วันไหนก็ได้  วันข้างหน้าไปเรื่อยๆๆๆ

วันที่พระเจ้าอยู่หัวที่รักของเราต้องจากไป  คงไม่มีใครอยากให้ถึงวันนี้เลย

ฉันมาทราบข่าวอย่างเป็นทางการตอนหัวค่ำของวันที่ 13 ตุลาคม  เห็นภาพข่าวแล้วชวนน้าตาไหล  คนที่ไปเฝ้าที่โรงพยาบาลศิริราชคงจะรู้ก่อนใคร  และคงต้องร้องไห้กันหนักมาก  

พระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จกลับสู่สวรรคาลัย  พสกนิกรทั่วทุกสารทิศต่างร่ำไห้  คนแต่งกายสีดำกันทั้งประเทศ  บรรยากาศกรุงเทพเงียบหงอยไปถนัดใจ  ตามห้างสรรพสินค้าผู้คนบางตา  บนถนนที่เคยมีรถรามากมาย  กลับหายโล่งไปจากถนน  เหมือนทุกคนหยุดหายใจไปด้วย  เศร้า และ อึ้งไปกับสิ่งที่พวกเราต้องเผชิญกันต่อจากนี้ไป

ฉันนั่งฟังรายการพิเศษพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลตลอดวันหยุด  สลับไปด้วยภาพยนตร์และเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ภาพเคลื่อนไหว  ภาพนิ่งมากมาย ตลอดพระชนม์ชีพของพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนกระทั่งเราก็เห็นพระองค์ท่านทรงชราภาพลงไปตามวาระสังขาร ไม่ได้ต่างไปจากพวกเรา

คนไทยรู้สึกใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัวราวกับว่าท่านเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือมากๆ  เมื่อท่านเสด็จสวรรคต  ประชาชนไทยทุกคนใจหาย  และรู้สึกคิดถึงพระองค์ท่านทุกๆวัน ตลอดเวลา อย่างที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

ฉันมีโอกาสอยู่ใกล้พระเจ้าอยู่หัวมากที่สุดตอนวันรับพระราชทานปริญญาบัตร

ครั้งนี้  ขอได้วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านเพื่อทดแทนความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทย  แทนความคิดถึง แทนความรักในฐานะประชาชนที่ได้เกิดมาในรัชสมัยของพระองค์  เติบโต และได้มีชีวติสงบสุขภายใต้พระบรมโพธิสมภาร

ข้าพระพุทธเจ้าจะน้อมนำความจงรักภักดีนี้ทำประโยชน์ให้ก้บสังคม  ดุจดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆไว้เป็นตัวอย่างตลอดพระชนม์ชีพ  ตลอดการครองราชย์ 70 ปี...







ตุลาคม 09, 2559

แสงและเงากับภาพเหมือนของพ่อ : Light and Shade

เมื่อหลายปีก่อน (เล่าเรื่องอดีตอีกละ)  ไฟแรงมาก...งานก้อเหนื่อย ยังดิ้นรนไปเรียนวาดรูปในวันหยุดต่อจนได้

เอาเป็นว่าเพราะไม่มีโอกาสได้วาดรูปทุกวันเพราะคงไม่มีเวลา  จึงไปเรียนวาดรูปก้อจะทำให้ได้วาดบ้าง  ก้อยังดีไม่ใช่เหรอ

อีกอย่างคือ...อาจารย์ท่านนี้เก่งงาน drawing มากกกก เขียนหนังสือ drawing หลายเล่ม ซื้อเก็บไว้เกือบหมด จะถือเป็นรางวัลของชีวิตมากถ้าได้เรียนกับท่านนี้ ท่านน่าจะมีเทคนิคดีๆมาสอน  และท่านคือ...ไม่บอกดีกว่า



บรรยากาศก้อเป็นการเรียนการสอนที่เป็นกันเองมากค่ะ   วันแรกๆนี่อาจารย์ให้ไล่เส้นให้ดู ขีดๆๆ เป็นทางเดียวกันให้เส้นและน้ำหนักสม่ำเสมอ  อาจารย์ดูพื้นฐานเราด้วย ว่าเรามีความมั่นใจในการใช้ดินสอยังไงบ้าง  แบบว่าก้อมั่นใจมากค่ะ  ฮ่าาาา อันนี้อาจารย์บอก อืม  เส้นของเราดูมั่นใจดีนะ  กล้าดี

สักพักอาจารย์ให้วาดรูปเหมือนให้ดูจากภาพต้นแบบ

เราก้อวาดๆไป  อ่าาา สักพัก  ภาพหน้าคนก้อเป็นหน้าแบบเบี้ยวๆ ไง เห็นเค้าวาดกันแบบมีโครงสร้าง มีสัดส่วนใบหน้า  เราไม่เลยยยย  วาดตามธรรมชาติจริง  มันก้อเบี้ยวสิ

อาจารย์เปิดทางสว่าง สอนเรื่องโครงสร้างใบหน้า  โห....อาจารย์เป๊ะมากเลย  อาจารย์บอกผมฝึกมาเยอะ วาดมาเป็นร้อยๆ เคยไปรับวาดรูปเหมือนฟรีแถวสะพานพุทธด้วย เลยได้ฝึกเยอะ  ต้องฝึกเยอะๆนะครับพี่ (หมายถึงเรานี่แหละ  เพราะอาจารย์อายุน้อยกว่าเราเลยเรียกเราพี่)

สัปดาห์ต่อๆมาได้วิชามาอีกเพียบ  วาดตา  วาดจมูก  ลงแสงเงา  อาจารย์บอกว่า...พี่วาดเร็วไปป่าวครับ  ดูรีบๆเนอะ  เราบอกเปล่านี่   สรุปอาจารย์กำลังจะบอกว่า  ใจเย็นๆก้อได้ไง  ค่อยๆวาดไป  เราอาจจะติดนิสัยจากการทำงาน  แบบต้องโชว์ว่าทำเร็วๆ คิดเร็วๆ ไว้ก่อน  พอมาวาดรูปมันไม่เหมือนกัน  ต้องค่อยๆมอง สังเกตแสงและเงา  รูปทรงให้ดี  ลากเส้นนี่บรรจงๆ  เหมือนอาจารย์ทำให้ดู  ขีดเส้นขนานกันทุกเส้นเลย  ดินสอเหลาแหลมตลอด  เวลาเหลาดินสอยังปราณีตเลยค่ะ


อาจารย์ให้หาภาพต้นแบบคนที่เราอยากจะวาดมาด้วย  เราหยิบรูปพ่อบ้าง รูปหลานบ้าง  อาจารย์ช่วยวาดโครงสร้างใบหน้าให้  แล้วปล่อยให้เราลงรายละเอียดเอง  ลงแสงเงาเอง  ทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้นอีกเยอะ  

จากที่เคย drawing แบบที่คิดว่าวาดเสร็จแล้ว  ปรากฎว่าแบบนี้สำหรับอาจารย์เรียกยังไม่เสร็จนะ  เลยพบว่าเราเป็นคนไม่กล้าลงน้ำหนัก  ประเภทกลัวเละ  กลัวเจ็ง  

เราไม่เคยเข้าใจเรื่องน้ำหนักกลาง  พอลงเงาไม่ครบ หมายถึงระดับแสงเงามันมีประมาณ 1-9  เราคงไม่ครบภาพมันเลยแบน  ก่อนเรียนนี่ลงแค่เบาๆ  ตอนนี้อาจารย์บังคับอยู่ใกล้ๆเลย  ลงอีกๆๆๆ

ภาพออกมาดูชัดขึ้นอย่างที่เห็นค่ะ

รู้สึกมีกำลังใจนะ  อาจารย์บอกว่าถ้าพี่ได้วาดบ่อยๆ หรือฝึกเยอะๆนี่ พี่จะเป็นศิลปินที่ฝีมือน่ากลัวเหมือนกันนะ  โห...อาจารย์ชมใช่มั้ยเนี่ย

หลายปีตั้งแต่จบวิชา drawing ก้อเข้าสู่ mode เดิมค่ะอาจารย์ คือ ทำงาน และ ทำงาน

ยังคงเก็บภาพงานเก่าๆมาชื่นชมในคำสั่งสอนของอาจารย์  และหวังว่าวันหนึ่งจะเป็นศิลปินหญิงที่ฝีมือ "น่ากลัว" ให้จงได้นะคะ  





ตุลาคม 02, 2559

ไปเป็นนักเรียนศิลปะอีกแล้ว ตอน เรียนวาดรูปอาหาร : Food Illustration




เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ปี 2016  ไปเป็นนักเรียนศิลปะกับเค้าอีกละ  ทนไม่ได้ที่เห็นเค้า post รูปอาหารสวยๆ ที่วาดด้วยสีน้ำลงบน facebook และ social media ต่างๆ นานาไม่ไหว  ขอไปเรียนด้วยคน  ด้วยความอยากรู้ๆๆๆอีกตามเคย

เดี๋ยวนี้มีโรงเรียนสอนทำโน่น ทำนี่ วาดโน่น วาดนี่  เปิดเยอะมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก  คอร์สวาดรูปอาหารนี่ก้อต้องจองล่วงหน้า  แสดงว่าคงมีคนอยากเรียนกันเยอะ  ค่าเรียนต่อคนก้อหลักพันต้นๆ ไปจนถึงสามพันกว่าก็มีค่ะ คงจะขึ้นอยู่กับต้นทุนค่าเช่าสถานที่ และต้นทุนอื่นๆอีกหลายอย่างค่ะ  

เคยไปเรียนที่นึงโดนค่าจอดรถไปหลายร้อย   ค่าอาหารกลางวันต้องจ่ายเองอีกด้วย  นึกๆแล้วคำนวณเล่นๆ เหมือนกันว่าสอนกันวันเดียว น่าจะทำรายได้ให้กับทั้งครูและโรงเรียนไม่ใช่น้อยทีเดียว

จากที่ไปร่วมเป็นนักเรียนมาหลายครั้ง ดีใจที่ได้คุยกับคนชอบวาดรูปเหมือนกัน รู้สึกมีความสุขมากกกกก หันไปทางซ้าย ทางขวา  ก็เจอแต่คนวาดรูป  เห็นพวกอุปกรณ์  สี  กระดาษ และพู่กันรายล้อม  มันสุขใจอะเนอะ 

นักเรียนส่วนใหญ่ก้อจะอายุน้อยกว่าเราแหละ  รวมทั้งครูด้วย อายุน้อยกว่าเราหมด อายนะเนี่ย(ฮ่าาาา)

งานนี้ว่าด้วยใจรัก อายุไม่เกี่ยว

ครูเริ่มต้นด้วยเรื่องอุปกรณ์  กระดาษ และ สีน้ำ  และตามด้วยเทคนิคการใช้สีน้ำ  
  • เปียก ปน เปียก 
  • เปียก บน แห้ง
  • แห้ง  บน  แห้ง
  • การไล่เฉดสี
  • การผสมสีเบื้องต้น
  • ฯลฯ

ตามด้วยทฤษฎีสีอีกนิดหน่อย

ครูบอกว่าส่วนใหญ่คนมาเรียนอยากลงมือระบายสี   พูดเรื่องทฤษฎีเยอะเดี๋ยวเบื่อกันหมด  อ่าาาา...เราว่าไอ้วาดแบบไม่มีทฤษฎีเลยเนี่ย   มันจะออกมาเป็นยังไงล่ะ  เอาเป็นว่าเรียนกันแบบสบายใจแล้วกันเนอะ  แบบพักผ่อน คลายเครียด อะไรทำนองนี้ใช่ป่าว

แค่ร่างภาพด้วยดินสอก่อนลงสี  มันก้อเป็นงานหนักสำหรับคนไม่เคยวาดรูปมาก่อนเลยแล้วนะ

อันนั้นเนี่ยความรู้สึกส่วนตัวของเรา  แต่ช่างเหอะ ครูว่ายังไงก้อยังงั้นค่ะ ลุยเลยนะคะ


ช่วงเช้าวาดจากภาพต้นแบบก่อนนะคะ   อืมห์ ไอติมเป็นไอติมเลย  นั่งมองรูปไปนานๆ รู้สึกหิวเลย รู้สึกอยากกิน  วาดไปเรื่อยๆๆๆๆ  แหม ที่จริงเราก้อพอวาดได้นี่เนอะ  ทำไมต้องออกมาเสียตังค์เรียนด้วยเนี่ย ฮ่าาาา

ช่วงบ่ายคราวนี้วาดจากของจริง  ครูเอาขนมปังหลายแบบมามาวางกองตรงกลาง มีเค้กตัดเป็นชิ้นๆ ด้วย  แต่ให้นักเรียนเลือกหยิบมาวาดนะ  ไม่ใช่เป็นอาหารว่างสำหรับกิน  วาดกันสนุกสนานกันมาก 



อยากจะสารภาพตรงนี้เลยว่า  นั่งมองไปนานๆ รู้สึกขนมปังตรงหน้ามันช่างน่ากินมากขึ้นทุกทีๆ  เดี๋ยวเลิกเรียนเสร็จแล้วจะไปซื้อมากินซักชิ้นเลย 

วันนั้นวาดได้หลายรูปอยู่เหมือนกันค่ะ  ดีใจที่ได้ผลงานกลับบ้านไปหลายชิ้น  ได้เรียนรู้จากการลงมือวาดซะที และน้องๆ พี่ๆ คุณครู ที่ไปเรียนน่ารักทุกคนเลย  ที่จริงคนชอบวาดรูปคงมีอยู่ไม่ใช่น้อย  ที่จริงโลกนี้มันก้อสวยงามเนอะ  ได้คุยกับหลายๆคน มาจากหลายๆอาชีพ ผู้ชายมาเรียนก้อเยอะ บางคนก้อมาถามว่าทำไมเราต้องทำสีแต้มๆไว้ตรงข้างล่างภาพทุกภาพด้วย ...



ตอบเค้าไปว่า จะได้มีไว้กันลืมไงคะ  ว่ารูปที่วาดเนี่ยเราใช้สีอะไรบ้าง  

เค้าทำหน้าอ๋อขึ้นมา  โห  พี่นี่มีเทคนิคเนอะ พี่คงจะวาดบ่อยล่ะสิ เรานึกในใจว่า ไม่เห็นบ่อยเลย นี่ถ้าไม่ได้ออกมาเรียนข้างนอก อยู่บ้านก็ไม่ได้วาดซักรูปหรอกค่ะ

พอวาดทื้งไว้นานๆ กลับมาดู  เฮ้ย เราวาดเองเหรอเนี่ย (สวยจังเนอะ ฮ่าาา) อ่าาาแล้วจะวาดใหม่อีกรอบคราวก่อนทำไงนะ ใช้สีอะไรไปบ้าง จำไม่ได้ ลืมหมดแล้ว  อะไรผสมกับอะไรบ้างก้อไม่รู้  สียี่ห้ออะไรจำไม่ได้เลย  (สีชื่อเดียวกัน แต่คนละ brand สีก้อไม่เหมือนกันนะคะ) กระดาษรุ่นไหน ยี่ห้ออะไร ลืมมมมสิ้นนนน

...

สรุปว่าวันนั้นเป็นวันที่มีความสุขมากๆค่ะ...:)


กันยายน 04, 2559

Draw from tablet : วาดรูปเยียวยาชีวิต

ฉันห่างหายไปจากการวาดรูปหลายเดือน อาจจะไม่ต่ำกว่า 3 เดือนหรือมากกว่านั้น  แล้วก้อด้วยเหตุผลเดิมคืองานประจำทำจนหมดแรง จิตไม่เปิด ไม่สามารถวาดรูปหรือทำงานเชิงสร้างสรรค์ได้เลย

นี่ป็นรูป sketch เก่าๆ บน Galaxy tablet ที่วาดทิ้งๆ กะว่าจะนำมาเขียน blog นานจนจำไม่ได้


กลับมานั่งดูงานวาดรูปเก่าๆ แล้วทำให้คิดต่อไปได้ว่า  ฉันพอจะวาดรูปได้  ทำไมถึงไม่จริงจังกับสิ่งเหล่านี้ให้มากเพียงพอที่ต่อไปมันอาจจะสร้างรายได้  ไม่ละ  ฉันเบื่อคำว่าอะไรๆก้อรายได้  ชีวิตคนเราต้องการแต่รายได้เท่านั้นจริงหรือ?

อยากทำสิ่งที่เป็นความสุข  ไม่ต้องสนเรื่องรายได้ แต่ก้อนั่นละ  เป็นสิ่งที่ใครๆก้ออยากจะมีชีวิตเป็นอย่างนั้น 

หรือว่าเป็นระบบการศึกษา  ระบบการทำงานแบบมนุษย์เงินเดือน  หล่อหลอมให้เราเชื่อในสิ่งเหล่านี้  ทำให้ตัวเราเชื่อโดยไม่มีข้อแม้มาตลอดว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้  คือ  การเป็นลูกจ้าง รับคำสั่ง ทำทุกอย่างให้ได้ตามกรอบนโยบาย  ภายในเวลาที่นายจ้างกำหนด รอนายจ้างเป็นผู้กำหนดอัตราค่าจ้าง และความเป็นอยู่ในองค์กร  

ส่วนแบ่งผลกำไรจากการประกอบธุรกิจเพียงน้อยนิดจากองค์กรมาขึ้นเงินเดือนให้ลูกจ้างมนุษย์เงินเดือนเพียงปีละไม่กี่เปอร์เซนต์  แค่ล้นอัตราเงินเฟ้อมาเพียงนิดหน่อย ก็หลอกให้ลูกจ้างทำงานแบบถวายชีวิต แต่คุณภาพชีวิตค่อยๆหายไปตามสังขาร...

นั่งนาน  ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งวัน  ประชุม ๆๆๆ รถติด  ไม่ได้กินข้าวเช้า และต้องยอมรับในสิ่งที่บ่อยครั้งไม่เห็นด้วย
Post ของวันนี้ดูเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีหัวคิดขบถอย่างมากเลย  

มีงานที่ต้องรับผิดชอบมากมายจนสมองล้นมาจนถึงวันหยุด  ไม่วาย deadline หลอกหลอนข้ามวันข้ามคืน เหมือนขยะที่พยายาม delete ออกไปจากสมองแล้ว แต่มันยังอยู่ใน trash แต่กด empty เท่าไหร่มันไม่ยอมออกไปจากสมอง  เป็นอาการสมองล้า สมองถดถอยเข้าขั้นสมอง lock ตัวเองซะอย่างนั้น

.....เฮ้อ  พรุ่งนี้ก้อวันจันทร์อีกแล้ว

จบ







มิถุนายน 19, 2559

การทำมัฟฟินครั้งแรกในชีวิต : My first time Blueberry Muffin

และแล้วการผจญภัยเกี่ยวกับการทำอาหารก้อได้เริ่มต้นขึ้น ...

หลังจากวนเวียนดู Clip สอนวิธีการทำมัฟฟินอยู่หลายเที่ยวมากๆ เลยตัดสินใจว่าวันนี้จะต้องลองลงมือทำมั่งสักครั้งล่ะ

รู้สึกตัวเองกล้าหาญมาก  ฮ่าาาา  ดูใน clip นี่มันดูทำง่ายดายมาก แป้งก้อไม่ต้องร่อน เพราะเนื้อมัฟฟินไม่ต้องละเอียดเหมือนเนื้อเค้กก้อได้  เน้นผสมเร็ว แล้วเข้าเตาอบเลย ประมาณว่าเป็นอาหารแบบด่วนๆของฝรั่งเค้า  แถมใช้เครื่องตีแบบมือถือ หรือถ้าใครแรงดีก้อใช้เพียงตะกร้อมือก้อใช้ได้เหมือนกัน ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์มากมายอะไร

เห็นมัฟฟินมักจะอยู่ในถ้วยกระดาษสวยน่ารัก  แต่เห็นทีไรไม่รู้ทำไมชอบนึกถึงเค้กกล้วยหอมแบบไทยๆของเราทุกทีไป

ส่วนผสมของสูตรนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน  มีแป้งเค้ก ผงฟู  เบคกิ้งโซดา วิปครีม โยเกิรต ไข่ เนย น้ำตาลทรายขาว กลิ่นวานิลา และบลูเบอร์รี่สดเท่านั้น

เจ้าบลูเบอร์รี่สดนี่แพงมากกล่องนิดเดียวราคาเกือบสองร้อยบาทแน่ะ

และสูตรตาม youtube นี่ก้อต้องทำใจเผื่อไว้ เนยนี่เนยจืดหรือเค็มก้อไม่บอก  และไม่มีการใส่เกลือด้วย  ฉันก้อเลือกใช้เนยจืดธรรมดาละกัน  เพราะเห็นจากหลายๆสูตรชอบบอกว่าทำขนมอย่าใช้เนยเค็ม เพราะมันจะเค็มเกินไง

ตั้งท่าอุ่นเตาอบล่วงหน้า  แต่ว่ากว่าจะชั่งตวงของต่างๆผสมกันและเริ่มตีด้วยเครื่องตีมือถือ  เวลาก้อผ่านพ้นไปจนเตาอบได้อุณหภูมิ  ฉันก้อยังตีส่วนผสมไม่เสร็จ  สงสัยจะเปลืองไฟกันใหญ่ล่ะคราวนี้  เลยต้องหมุนปุ่มตั้งเวลาให้ยืดออกไปจนกว่าส่วนผสมทั้งหมดจะเข้ากันและเนียนพอดี

มือใหม่อย่างฉันพอจะมีประสบการณ์จากการลองผิด-ลองถูกมาพอสมควร  ทว่าเคยมั่วๆทำเค้กกินเองหลายปีมาแล้ว  มันก้อกินได้นะ  คนกินยังบอกอร่อยเลย  ตอนนั้นไม่มีอุปกรณ์อะไรเท่าไหร่  แถมสถานที่ก้อไม่สะดวกมากขึ้นเหมือนอย่างตอนนี้  ฉันยังอุตส่าห์เพียรทำจนได้เลย

เรื่องการดูว่าส่วนผสมเข้ากันเนียนหรือยังนี่ก้ออาศัยการสังเกตเอา  ถ้าเอาพายยางปาดๆดูแล้วน้ำตาลทรายไม่เป็นเม็ด และสีของเนย ไข่ แป้ง ที่อยู่ในอ่างผสมสีกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนครีมข้นละก็  ฉันก็ว่าน่าจะใช้ได้แล้วนะ (เดาเอา)

งานหนักนี่ก้อเอาบลูเบอรี่ออกมาซับน้ำก่อนลงผสมกับแป้ง  เพราะมีข้อควรระวังว่าน้ำที่ละลายจากการเอาบลูเบอร์รี่ออกมาจากตู้เย็นนั้นอาจจะซึมเข้าไปในมัฟฟิน และทำให้เนื้อมัฟฟินแฉะ เละ  เสียโครงสร้างมัฟฟินได้  ฉ้นจึงต้องเอาทิชชูหนาๆมาคลึงบลูเบอร์รี่ก่อนใส่ลงไปในส่วนผสมซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย

เดี๋ยวอบออกมาก้อรู้เอง  คิก ๆๆๆ

เทส่วนผสมใส่ในพิมพ์สามส่วนสี่  เหลือขอบประมาณหนึ่งส่วนตามตำราเป๊ะๆๆๆๆๆ

เอาเข้าเอาอบและนั่งชิลรอดูผลงาน   ลัลล้าาาา ผ่านไปสิบนาทีมัฟฟินฉันเริ่มพองขึ่น  จนผ่านไปสิบห้านาทียิ่งพองขึ่นไปอีก  แถมส่งกลิ่นหอมเย้ายวนน่ากินออกมาด้วย




ครบยี่สิบนาทีตามสุตรเอาออกมาจากเตาอบ เอาไม้แหลมจิ้มเพื่อเช็คว่าสุกหรือยัง  ดูจากสีของมัฟฟอินแล้วรู้เลยว่าความร้อนในเตาอบไม่สม่ำเสมอแฮะ  เห็นได้ว่าด้านในจะร้อนกว่าด้านติดกระจก  มัฟฟินด้านในจึงสุกทั่ว  แต่ด้านนอกมีไม่สุก  ดูจากสีก้อรู้  สีของสองฝั่งไม่เหมือนกัน 



พอชิมมัฟฟินอันแรก  รู้สึกไม่อร่อยอย่างที่คาดหวัง  ทำไมมันจืดๆเหมือนพวกเค้กรักสุขภาพ แบบหวานน้อยอะไรทำนองนั้น ซึ่งรสนิยมตัวเองจะชอบหวานมันกว่านี้

ลองเอาอันที่ดูแล้วเหมือนสุกไม่หมดอบต่อรอบ  พอดีมีแป้งส่วนที่ผสมแล้วอีกสองถ้วยมัฟฟินที่เหลืออยู่  เลยลองไม่ใส่บลูเบอร์รรี่  แบบเอาเป็นเนื้อมัฟฟินล้วนๆ  จะได้ชิมแป้งด้วยว่าเป็นอย่างไรนะสูตรนี้

ผ่านไปอีกยี่สิบนาที  คราวนี้มัฟฟินที่โดนอบรอบสองหน้าเหลืองกรอบมาเลย  ชอบนะแบบกรอบๆเนี่ย ไม่ได้กรอบแบบจะไหม้นะคะ  กรอบนิดๆแบบกำลังดีเลย  แต่ว่าอาจจะผิดหลักหน้าตาที่ถูกต้องของมัฟฟินเค้าหรือเปล่าไม่รู้สิ  

ชอบอันที่ไม่ได้ใส่บลูเบอรี่มากๆเลยค่ะ  เนื้อมัฟฟินนุ่มมากๆ  ขาดแต่รสหอมหวานเค็มอะไรทำนองนี้ (ตามรสนิยมส่วนตัว)




คาดว่าทำอีกรอบหน้าจะแก้มืออีกค่ะ  จะเปลี่ยนเป็นเนยเค็มแทน และเพิ่มน้ำตาล  หรือไม่ก้อเปลี่ยนเป็นเนยยี่ห้ออื่นที่เกรดไฮโซไปเลย  อยากรู้ว่ารสจะเปลี่ยนไปแบบไหน

และจะไม่ใส่บลูเบอร์รี่แล้วจ้าาาา  ....  


เอาเป็นอันว่าขอจบตอนเรื่องผจญภัยไปกับการทำอาหารละค่ะ ทำมัฟฟินก้อเหมือนได้กิน cup cake แทนมัฟฟิน  แล้วมาพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ อิ อิ


พฤษภาคม 07, 2559

Julie & Julia ชีวิตคู่กับการทำอาหาร : Inspired by Movie



ฉันได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรกทาง cable TV เมื่อสองสามเดือนก่อน  รู้สึกประทับใจถึงภาพอาหารสวยๆ กับเนื้อเรื่องที่เล่าเรื่องของผู้หญิงสองคนที่อยู่ต่างยุคกัน  แต่สองสาวสองรุ่นมาเกี่ยวโยงกันด้วยการทำอาหารนั่นเอง

อย่างที่ไม่เคยได้สนใจการทำอาหารมาก่อน และเพิ่งมาเริ่มสนใจเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เคยรู้จัก Julia Child (1912-2004) (https://g.co/kgs/gdCVX) ว่าเธอคือสาวอเมริกันที่ได้ไปใช้ชีวิตในฝรั่งเศสจนกระทั่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารซึ่งตีพิมพ์ซ้ำๆกันถึงปัจจุบัน 50 ครั้ง เมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ทำให้รู้สึกมีแรงบันดาลใจในการทำอาหารขึ้นมาทีเดียว

Julie เป็นหญิงสาวที่เกิดต่างยุคกับ Julia  ความเกี่ยวโยงของคนทั้งสองเกิดขึ้นเมื่อ Julie รู้สึกอยากจะมีตัวตนขึ้นมาในโลก cyber เธอจึงเขียน blog เล่าประสบการณ์ของเธอในการทำอาหารตามวิถีของ Julia ผ่าน Cook Book อันโด่งดัง Mastering the Art of French Cooking

จากภาพยนตร์  Julia เองไม่ได้เป็นคนมีพื้นฐานการทำอาหารมาก่อน จับมีดยังไม่เป็นด้วยซ้ำ เมื่อได้ย้ายตามสามีไปอยู่ที่ฝรั่งเศส อยากหาอะไรทำ จึงได้ไปเรียนด้านการทำอาหารที่ Le Cordon Bleu สถาบันสอนทำอาหารที่มีชื่อเสียงมาก (ปัจจุบันมีสาขาในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย)  เรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับการผจญภัยจึงเกิดขึ้น ตลอดการเรียนรู้เรื่องการทำอาหารที่นั่น

แน่นอนว่าแม้เราจะไม่ได้ทำสิ่งใดได้ดีมาตั้งแต่ต้น  ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก้อสามารถทำได้  หากเราตั้งใจจริง

ความสำเร็จของ Julia ไม่เพียงกลายมาเป็นแม่ครัวที่เก่งกาจ  แต่เธอยังได้เขียนหนังสือ Cook book ที่ยังคงโดดเด่น และโด่งดัง ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียนอีกด้วย  ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการมีพรสวรรค์  ดังนั้นถ้าคิดจะทำอะไรแล้วอย่าบอกตัวเองว่า "ฉันคงไม่มีพรสวรรค์ "เป็นข้ออ้างของคนที่ไม่มุ่งมั่น จริงจังกับสิ่งที่จะทำ  

สาว Julie เป็นสาวอเมริกันรุ่นหลาน เกิดในปี 1973 (https://g.co/kgs/U5mH9) ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน หน้าที่การงานไม่ได้โดดเด่น  แต่งงานและอยู่ร่วมกับสามีใน apartment เล็กๆ แต่เธอก็มีความสุขในการทำอาหารหลังจากเลิกงาน และในวันหยุด

มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองขึ้นมา  ฉันเป็นมนุษย์เงินเดือนที่แทบไม่เคยกลับบ้านหลังห้าโมงเย็น  ต้องกินอาหารนอกบ้านแทบทุกมื้อ  แต่ก็รู้ว่ารสชาติอาหาร Home made ทำกินเองที่บ้านนั้นมันอร่อยล้ำเลิศแค่ไหน แต่ว่า...ก้อมันไม่มีเวลา และ ไม่มีพรสวรรค์  5555

วันนี้ได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง  ฉันดูอย่างตั้งใจ ซึมซับอย่างประทับใจ

ตลอดทั้งเรื่องชีวิตสองสาวดำเนินคู่กันไปราวกับเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน  ความสำเร็จ และเสียงหัวเราะไม่ได้เป็นด้านเดียวของชีวิต

ในอีกด้านหนึ่งมีความผิดหวัง  อุปสรรค  ความผิดพลาด และ การก้าวข้ามจากความไม่รู้ ไปสู่ความรู้

สามีของทั้งสองสาวเป็นผู้คอยให้กำลังใจ และสนับสนุนในทุกสิ่งที่เธอพยายามจะทำ  นั่นเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดของชีวิตคู่

ภาพยนตร์จบลงด้วยความสมหวัง  Julia ได้จัดพิมพ์หนังสือสมความตั้งใจ และ Julie กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงจาก Blog ของเธอ

สองความสำเร็จของสองสาวสอนฉันในหลายเรื่องทีเดียว...: )









เมษายน 10, 2559

Passion in Cooking

จริงๆแล้วขอบอกเลยว่าเป็นคนไม่ได้พิศมัยเรื่องอาหารมาก่อนเลย  เรียกได้ว่าเป็นพวกกินเพื่ออยู่จริงๆ ก้อเลยมีร่างกายที่ผอมเพรียวเป็นที่น่าอิจฉา  5555  กว่าคนวัยเดียวกันซึ่งมักจะท้วม-อวบ-อ้วนไปตามวัย

การเป็นคนผอมเลยทำให้ดูไม่ค่อยจะแก่  ฮ่าาาา แต่เมื่ออายุมากขึ้น ทำไมจึงคิดมาสนใจเรื่องอาหารมากขึ้นก้อไม่รู้   หรือจะเป็นเพราะสื่อสมัยนี้ชอบพาไปดูรูปอาหารที่ถ่ายภาพออกมาสวยๆ  คนวาดรูปก้อวาดรูปอาหาร Post  โชว์กันตาม  social media อย่างแพร่หลาย  กลายเป็นว่าเกิดอยากจะวาดรูปอาหารบ้าง  และอยากจะกินขึ้นมาเวลาเห็นรูปอาหารสวยๆ ซะแล้วสิ

ด้วย Life Style ที่ต้องทำงานเต็มเวลา อาหารเช้าไม่ต้องพูดถึง แทบไม่เคยรู้จัก  อาหารเย็นกินตอนประมาณสองทุ่มก้อบ่อย  พอเสาร์อาทิตย์ก้อเหนื่อยล้ามากมาย ตื่นมาทำอาหารเช้าไม่ไหว  ได้แต่ซดกาแฟปรุงสำเร็จอยู่กับบ้าน  ไม่อยากจะกระดิกขับรถออกไปตะเวณที่ไหนอีก  เบื่อรถติด

นานๆทีก้อจะลุกขึ้นมาทำอาหารกินเองบ้าง  ยิ่งตอนออกจากโรงพยาบาลหลังจากผ่าตัด จำได้ดีว่าหมอห้ามเคี้ยวสองเดือน  กินอะไรกับชาวบ้านเค้าไม่ได้  ต้องทำอาหารกินเอง  ถึงได้รู้รสชาติของชีวิตว่าต้องพึ่งตัวเองให้ได้

ความสนใจไม่ได้มีเพียงเรื่องอาหาร  ยังสนใจไปถึงวัตถุดิบการทำอาหาร โดยเฉพาะพวกพืชผักต่างๆ ก้อรู้สึกตื่นเต้นเวลาได้เห็นพวกผักเขียวๆบนแปลง หรือผักสดตามซุปเปอร์มาร์เกต  รู้สึกว่ามันมีอีกโลกนึงที่ฉันไม่เคยรู้จัก  เป็นโลกใหม่  จากเดิมที่เข้าร้านหนังสือทุกครั้งที่เข้าห้างสรรพสินค้า  เดี๋ยวนี้พยายามเข้าซุปเปอร์มาร์เกตให้บ่อยขึ้นเหมือนกัน  เพื่อจะได้รู้จักพวกเครื่องปรุงต่างๆ กับพวกวัตถุดิบแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือของนอก  ให้เหมือนกับเวลาเดินเข้าร้านขายเครื่องเขียน  ซึ่งฉันจะรู้เยอะเกี่ยวกับพวกสี หรือดินสอ ปากกา




คนทำกับข้าวเก่งๆอาจจะนึกขำกับรูป วิธีอุ่นข้าวด้วยไมโครเวฟข้างบนที่นั่งทำจากรูปที่ถ่ายด้วย Iphone แล้วเอามาทำต่อใน Photoshop อีกที เพื่อเตือนความจำตัวเอง  เพราะชอบลืม  โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องกิน  คือว่านานๆทำทีนึงไง  ต้องมาเริ่มทดลองใหม่ทุกที ว่าคราวก่อนนั้นทำยังไง จำไม่ได้ซะงั้น

ทำไว้เตือนตัวเองคงไม่เป็นไร   เดี๋ยวอีกสองวันยังต้องไปทำงานก่อนหยุดยาวช่วงสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงหาของกินยาก  เพราะพ่อค้าแม่ค้ากลับต่างจังหวัดกันหมด  ร้านปิด ไม่มีไรกินล่ะทีนี้

เอาเป็นว่าต้องรอดตายให้ได้ก่อนช่วงสงกรานต์นี้ละกันนะจ๊ะ.




กุมภาพันธ์ 27, 2559

หัดเขียน Hand lettering


วันนี้ลองเอาสี gouache หรือไทยแลนด์บ้านเราชอบเรียกสีโปสเตอร์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าตกลงเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า  สมัยเด็กๆ สีโปสเตอร์ที่รู้จักขายเป็นขวดๆ ที่โรงเรียนจะบอกว่าให้ไปซื้อแม่สีมา  แล้วค่อยมาผลมให้เป็นสีต่างๆ ตามวงจรแม่สี  ตอนนั้นทำตามๆที่อาจารย์สอน ผสมสีมั่วไปมั่วมา  สีออกมาดำๆเป็นสีเน่าซะส่วนใหญ่ ฮ่าาา

สี gouache ต่างกับสีน้ำ ทั้งที่มันมาในรูปแบบที่คล้ายกันมาก เวลาเราซื้อสีก้อนๆอยู่ในหลุมถาด ที่ขายเป็น palett แบบเป็น set ทำให้บางทีแยกไม่ค่อยออก ถ้าไม่อ่านฝากล่องดีๆ ว่าเค้าเขียนว่าอะไร อาจจะซื้อมาผิดได้  สีน้ำจะมีความใสโปร่งแสงกว่าสี gouache และสีน้ำเกรดดีๆหน่อยราคาจะแพงกว่ามากๆ  และสีน้ำมีในแบบหลอดและแบบเป็นก้อน  ส่วนสี gouache ยังไม่เคยเห็นแบบหลอดนะโดยเฉพาะในเมืองไทย

เนื่องจากสี gouache มีความทึบแสงกว่า จึงสามารถระบายทึบได้ดี  วันนี้เลยเอามาลองเขียนตัวหนังสือเล่นๆ  เขียนออกมาแล้วสีสดมาก  สีกล่องนี้ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากน้องๆที่ทำงาน ซึ่งเค้าให้มาหลายปีมากๆ สงสัยว่าคนให้คงลืมไปแล้วด้วยว่าเคยให้  จำได้ว่าตอนนั้นดีใจมาก เพราะแบรนด์นี้แพงสุด  น้องๆเค้าคงสงสัยเหมือนกันว่าสีอะไรหนอ ทำไมมันช่างแพงอย่างนี้

อืมห์ ไม่แพงได้ไง  ก้อแบรนด์ carandache สิคะ  แต่ว่าคุ้มมากนะคะ เพราะทนทานมาก ไม่มีขึ้นรา สีสดใสดังเดิม แม้ว่ากล่องพลาสติกจะเริ่มเหลืองแล้วก็ตาม

 
 
ยังไงก็ตาม " Practice makes better " เสมอนะจ๊ะ  ฝึกเขียนกันต่อไปค่ะ
 


 

กุมภาพันธ์ 24, 2559

Brush Pen from Pentel


เมื่อวานฤกษ์ดีได้ไปเดินเที่ยวที่ร้านสมใจ สาขาเซนทรัลพระรามเก้า ตั้งใจไปซื้อสีน้ำยี่ห้อง Holbein ก้อได้สีน้ำมาสองหลอด แถมด้วยซื้อ Brush Pen ของ Pentel ไว้สำหรับเขียน calligraphy อีกสามด้าม ด้ามนึงสีดำ อีกสองด้ามเป็นสีทอง และ สีเงิน

มาลองเล่นหมึกสีดำกันเป็นอันดับแรก....หลังจากแกะกล่องและประกอบร่างหลอดหมึกเสียบเข้าไปแล้วก้อปรากฏว่าต้องรออยู่นานหมึกจึงจะค่อยๆไหลออกมา  แต่ก้อต้องทั้งบีบ และ เค้นตัวหลอดอยู่พักใหญ่เหมือนกัน กว่าหมึกจะเริ่มดันตัวออกมา


ลองเขียนลงบนกระดาษธรรมดา หมายถึงกระดาษรีม A4 แบบที่ใช้ในสำนักงานทั่วๆไป มาลองเขียนดู ก็พบว่าหมึกสีดำ ดำสนิทดี ดำได้ใจ  อย่าลืมว่าเส้นที่เขียนลงไปบนกระดาษนั้นจะเส้นคมหรือไม่ขึ้นอยู่กับกระดาษมากกว่าขึ้นอยู่กับหมึกนะคะ  ถ้าเขียนลงบนกระดาษผิวหยาบ เส้นจะออกมาไม่คม แตกๆ ฟุ้งๆ นิดนึง ไม่เหมือนเขียนลงบนกระดาษผิวเรียบเส้นจะคมกว่า   แต่ถ้าเขียนลงบนกระดาษผิวมัน อาจจะเขียนไม่ค่อยติดด้วยซ้ำไป   ผลจากการเขียนลงบนกระดาษผิวต่างๆ กัน ออกมาตามภาพ  อ้อ รุ่นนี้กันน้ำด้วยแหละ เหมาะจะใช้ในการ  sketch แล้วลงสีน้ำตามได้เลย ไม่มีซึมค่ะ เยี่ยมยอด น่าใช้จริงๆ



นอกจาก Brush Pen สีดำที่ซื้อมาแล้ว  ยังซื้อสีทองกับสีเงินมาด้วยอย่างที่บอกไว้แล้วข้างต้น  วันหน้า-วันหลังจะเขียนริวิวให้อ่านกันอีกทีเมื่อมีโอกาส.


มกราคม 24, 2559

ลอง Hand Lettering กับเค้าเหมือนกัน

หลังจากฝึกหัดเขียนตัวหนังสือเองด้วยมือแทนการพิมพ์ตัวอักษรด้วย  fonts ในเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่พักนึง ก้อเลยได้ค้นพบวิธีฝึกสมาธิแบบใหม่...ซะงั้น (อ้าววว...)

หลายครั้งพบว่ากำลังพยายามจะทำอะไรอย่างหนึ่ง มันอาจจะทำให้เราได้มากกว่าสิ่งที่เรากำลังอยากจะทำเสมอ..จริงๆ

ศิลปะคือกระบวนการ มากกว่า ชิ้นงานที่สำเร็จ  อันนี้จำไม่ได้ว่าไปจำใครเค้า Ouote มา แต่กำลังจะบอกว่ามันเป็นเช่นนั้น  เห็นด้วยอย่างยิ่ง  ยกตัวอย่างตัวเองชอบทำอะไรเกี่ยวกับพวกประดิษฐ์ พวกวาด งานฝีมือ หรืออะไรก็ตามซึ่งขอเรียกรวมๆว่าศิลปะน่ะแหละ  ความสุขที่เกิดก้อเกิดจากกระบวนการขณะสร้างสรรค์งาน หรือคิดมากที่สุด  ตัวชิ้นงานสำเร็จบางทีออกมาโอเคก้อยิ่งมีความสุข ทว่ามันแป๊บๆนะ พอดูจนเบื่อๆ แล้วก็งงว่ามันสวยจริงเหรอ  ฮ่าาา



ลองขีดๆเขียนๆ ลงบน Galaxy Note 8.0 สุดที่รักแล้วพบกว่ามันไม่รองรับการกดน้ำหนักมือ  แต่รุ่นใหม่ที่เป็น Galaxy Tab A 8 inch with S Pen นี่แจ๋วกว่ามากในเรื่องนี้

เอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่อยากเสียตังค์  ขอใช้แบบเดิมไปก่อน

มาใช้ปากกาพูกันเขียนตัวอักษรดูบ้าง  สนุกดี

ปากกาพู่กันที่มีวางขายตามร้านเครื่องเขียนมีหลายแบรนด์อยู่  เช่น Pilot ,  KOI , Tachikawa , Copic เป็นต้น