ธันวาคม 19, 2558

Thank You Card for คุณหมอที่เคารพ



"ขอบคุณทุกคนค่ะ"


หลังจากได้กลับมาพักฟื้นที่บ้านสักระยะนึงแล้ว  ก้อตั้งใจว่าจะส่งการ์ดไปขอบคุณคุณหมอท่านนึงซึ่งมีพระคุณอย่างมากมาย

คุณหมอเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้ตัดสินใจเข้าสู่การผ่าตัด  คอยเป็นกำลังใจ ใถ่ถาม และติดตามความคืบหน้าตลอดภาระกิจนี้  ...อันยาวนานถึงหกปี  ฮ่าาาา  จากผมดำๆจนผมหงอกเลย

การตัดสินใจเข้าสู่การผ่าตัดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนไข้อายุปูนนี้  5555 แต่ทว่ามันก้อเป็นเส้นแดง หรือเส้นตายอะไรซักอย่างที่ถ้าหากไม่ตัดสินใจทำตอนนี้  ก้อไม่ต้องทำไปอีกเลยชีวิตนี้  เพราะอายุมากก้อยิ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต  และก้อไม่มีหมอคนไหนกล้าทำการผ่าตัดให้ด้วย เพราะคงกลัวว่าคนไข้จะตายยย

เมื่อตัวเองตัดสินใจได้แล้ว  ต่อไปก้อต้องต่อสู้กับอุปสรรคอย่างอื่นอีก  แน่นอนว่าคนในครอบครัวโดยเฉพาะแม่  ซึ่งไม่เห็นด้วยอย่างมากในตอนแรก แบบว่าแม่พูดประโยคนึงออกมาแล้วทำเอาต้องฉุกคิด  แม่บอกว่าทำให้ฉันเกิดมาเป็นคนปกติครบสมบูรณ์ทุกอย่างแล้วทำไมจะไปให้คนอื่นเค้าผ่าทำไม

ในความปกติสมบูรณ์ที่แม่เข้าใจนั้น  เป็นความเข้าใจแบบคนทั่วไป เมื่อเพียรอธิบายว่าการตัดกระดูกชนิดแบนนั้นกระดูกติดง่ายกว่ากระดูกกลม (เช่น กระดูกแขน หรือ ขา เป็นต้น) ไม่งั้นคนผ่าตัดเปิดสมองคงแย่แน่  แต่เออนะ...คนผ่าตัดสมองไม่ต้องทำกายภาพบำบัดด้วย

อย่างว่านะ...ฉันเองไม่เคยเป็นแม่คน และอย่าเป็นเลย เพราะเป็นไม่ได้หรอก แม่ฉันคงเป็นห่วงและนึกภาพแบบเลวร้ายสุดเวลาลูกโดนหั่นกระโหลกเป็นชิ้นๆๆๆๆ

ตอนนี้ทุกอย่างเรียกได้ว่าสิ้นสุดลงแล้ว  ฉันผ่าตัดไปสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อปลายปี 2014 ผ่าใหญ่มากคือเข้าห้องผ่าตัดตั้งแต่แปดโมงเช้า  ออกมาอีกทีสี่โมงเย็นกว่าๆ  แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดบอกว่าพอใจผลการผ่าตัด ทุกอย่างเรียบร้อยดี เส้นเลือดและเส้นประสาทอยู่ครบ ไม่ได้รับความเสียหายเลย นับว่าแพทย์ท่านนี้เยี่ยมยอดมากๆในความคิดของฉัน เป็นฮีโร่ในดวงใจเลยแหละ

ถึงจะกลัวและทรมานยังไงก้อสู้ตายยย  ทำอะไรแล้วก้อต้องให้สุดๆ มาถึงขั้นนี้แล้วไม่ถอยแล้ว  แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดบอกว่าค่อยเจอกันใหม่นะคนไข้อีกหนึ่งปีข้างหน้านะครับ  คนไข้ต้องมาผ่าเอาเหล็กที่ดามไว้ออก  หมอไม่อยากให้เอาไว้  ถึงแม้มันจะอยู่ในร่างกายได้ตลอดชีวิต  แต่หมอบอกให้คนไข้เอาออกทุกราย ทีนี้ต้องมาผ่าใหม่  ดมยาสลบอีกรอบนะ  เหอออออ...

นั่งดูภาพเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์แล้วนึกภาพออกเลยว่า ทำไมต้องผ่าอีกรอบ... เหล็กที่ดามมันกระจายอยู่หลายที่  ใช้ยาชาใครจะไปทนไหวล่ะ

เมื่อการผ่าตัดครั้งที่สองสิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2015  ก้อมีแม่นี่แหละ ที่เฝ้าอยู่ด้วยตลอดห้าวันของการ admit แต่หนนี้แม่ดูฟินนน มาก ชิลลลล แต่ก้อแอบบอกว่า ไม่เอาอีกแล้วนะแก  อย่าผ่าอีกเลย

ภารกิจมารธอนตลอดหกปีสิ้นสุดลง  ด้วยความโอบเอื้อของครอบครัว และบุญวาสนาอันพอจะมีอยู่บ้าง ที่ได้พบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และคุณหมอผู้คอยให้กำลังใจ ขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง  พรใดอันประเสริฐขอมอบให้ทุกท่านนะคะ





ธันวาคม 07, 2558

หนึ่งปีที่ผ่านไป

From the window of สมิติเวช hospital

ภาพนี้ถ่ายเมื่อปีที่แล้ว...

ปีนื้กำลังจะผ่านไปอีกปีนึงแล้วเนอะ  วันนี้อยากเขียนแนวบ่น ฮ่าาาา  ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน จนเกือบจะหมดเดือนธันวาคมฉันยังอยู่ในความวุ่นวายหลังการผ่าตัดครั้งที่สอง ถึงแม้ว่าอาการจะดีขึ้นตามลำดับแต่ก็อดจะประสาทน้อยๆไปกับอาการต่างๆนานาที่ยังไม่หมดไป

ปีที่แล้วผ่าตัดใหญ่กว่านี้ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณแปดชั่วโมง  ส่วนครั้งนี้หมอบอกไม่มีอะไรมาก แต่ก้อใช้เวลาในการผ่าตัดไปเกือบหกชั่วโมงอยู่ดี

ร่างกายบอบช้ำไปตามสมควร ต้องนอนโรงพยาบาลไปห้าวัน  แต่ก้ออาจจะดีกว่าปีที่แล้วที่รวมๆแล้วนอนโรงพยาบาลสองแห่งต่อเนื่องกันรวมแล้วนอนไปสิบวัน

การนอนโรงพยาบาลนานๆนี่ให้อะไรกับชีวิตมากพอดู

จากความเชื่อแต่เดิมว่าตัวเองเป็นคนสุขภาพปกติเหมือนๆคนอื่น  ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่... ทำให้นึกถึงวันข้างหน้าว่าหากเป็นโรคเรื้อรัง หรือเป็นอะไรที่ร้ายแรงจะมีชีวิตอยู่อย่างไรหากวันหนึ่งพ่อ-แม่จากไปหมด

ใครหนอจะอยากให้เรามีชีวิตอยู่  เรามีชีวิตอยู่เพื่อใคร หรือ เพื่ออะไรกันแน่

ตอนนอนที่สมิติเวชวาดรูปแก้เหงาไปได้  วาดลงบนสมุดเนื้อกระดาษธรรมดา ซึ่งไม่ได้เหมาะกับการใช้สีน้ำเท่าไหร่   บางที ณ เวลาที่มีเวลา  ก้อกลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะวาดได้ดีไปกว่าที่เห็นอยู่นี้  เพราะจิตใจไม่ได้ปลอดโปร่ง  จนบัดนี้รูปที่วาดยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี  ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่  เห็นทีไรทำให้นึกถึงคืนวันอันทรมานนั้นทุกทีไป



ถือโอกาสขอบคุณใครก้อไม่รู้  ที่เข้ามาอ่าน Blog เป็นคนที่ฉันไม่เคยรู้จักซักคน  ฮ่าาา เพราะถ้าเป็นคนที่รู้จักกันจะไม่ยอมบอกเด็ดขาดว่ามี Blog อิอิ






ตุลาคม 29, 2558

ไปเป็นนักเรียนศิลปะ ตอน วาดรูปดอกไม้ : Flowers Painting

วันนี้ก้อเป็นอีกครั้งนึงที่มาจุดประกาย+สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ด้วยการเข้า class เรียนวาดรูป

ทุกครั้งที่มาเรียนจะรู้สึกเหมือนได้มาชาร์จไฟชีวิตให้ตัวเอง รู้สึกมีความสุข ได้อยู้ในบรรยากาศของการวาดรูป  แวดล้อมไปด้วยหลอดสี  พู่กัน  และคนที่ชอบศิลปะเหมือนๆกัน

คราวนี้มาเรียนวาดรูปดอกไม้ กับ อาจารย์มาโนช  กิตติชีวิน  ผลงานสุดยอดดอกไม้สีน้ำอันประณีตของอาจารย์ได้เห็นบ่อยๆ ในพวกหนังสือแพรว หนังสือในเครืออมรินทร์  ชื่นชมผลงานอาจารย์มานาน  หนนี้เลยต้องมาเรียนกับอาจารย์ให้ได้




ห้องเรียนสีน้ำที่นี่มีแสงสว่างธรรมชาติเยอะ  ชอบมาก  อยากมีห้องแบบนี้ที่บ้านจัง 😁


อาจารย์มาโนชสอนเกี่ยวกับทฤษฎีสีเพื่อเป็นการปรับพื้นฐาน  มีกล่าวถึงเรื่องรูปทรง และการแสงที่เข้ามากระทบรูปทรง  สอนเกี่ยวกับการเคลือบชั้นสีแต่ละชั้นจนเกิดเป็นแสงเงา  ได้ความรู้คู่การปฏิบัติจริงๆ



ตกบ่ายถึงจะได้เริ่มวาดดอกไม้จากของจริง  โดยมีอาจารย์คอยให้คำแนะนำ สลับวาดให้ดู  เพลิดเพลินจำเริญใจเป็นอย่างมากเลย  โรงเรียนให้สั่งเครื่องดื่มมากินระหว่างวาดรูปได้ด้วย  ยิ่งเพลินไปกันใหญ่ค่ะ



เรียนกันทั้งวัน  กลับบ้านได้ผลงานกลับไปเก็บไว้เป็นที่ระลึก และเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการวาดรูปสี้น้ำ เวอร์ชั่น อาจารย์มาโนช  Happy กันทุกคนค่ะ



ตุลาคม 21, 2558

Digital Paint by App Procreate with PENCIL




อ่า...คือว่าได้ของเล่นใหม่มาค่ะ เป็น Stylus เทพๆ โดย Fifty Three PAPER รุ่น Walnut นะคะ  แหมอยากได้มานานแล้ว สั่งซื้อจาก Website ของ Fifty Three โดยตรงค่ะ ดีใจๆๆๆ





กำลังเห่อของใหม่นะคะ ลองระบายสีบน App Procreate ดูค่ะ เจ๋งมากเลย.

ตุลาคม 11, 2558

เปลี่ยนชื่อเป็น One Drawing a Week for Life ดีไหม


ความที่ว่าเป็นคนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก  บางทีในห้องเรียนก้อขอแอบวาดรูปเล่นขณะที่อาจารย์กำลังสอนอยู่หน้าชั้นเรียนอยู่เหมือนกัน  ตอนนี้ยังเห็นร่องรอยการวาดการ์ตูนลงไปในหนังสือเรียนเก่าๆอยู่บ้าง แต่ก้อไม่เยอะเท่าในสมุดปกอ่อนว่างๆที่ฉันชอบเรียกมันว่า "สมุดวาดรูปเล่น"  แทนที่จะเรียก "สมุดสเก็ต" อย่างที่พวกผู้ใหญ่เค้าเรียกกัน

โตมาเป็นผู้ใหญ่อยากจะแอบวาดรูปเล่นในเวลาทำงานบ้าง  (เวลาหัวหน้าเผลอๆ หรือ หัวหน้าไม่อยู่) กลับพบว่าไม่เคยจะสามารถทำได้เลย 555  ไม่รู้เพราะอะไร...

ตอนเด็กๆไม่รู้มาก่อนเวลาชีวิตในวัยทำงานมันช่างหาเวลาไม่ได้ซะขนาดนี้นะ  หรืออาจเป็นเพราะเป็นคนทำอะไรแล้วทำเต็มที่ โดยเฉพาะทำงาน ทั้งที่ก้อรู้ว่าไม่ได้รักอะไรมากมาย รักวาดรูปมากกว่า แต่ก้อกลับต้องปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามหนทางของมัน และปลอบใจตัวเองว่า...อย่างน้อย งานที่ทำอยู่ก้อไม่ได้น่าเกลียดอะไร  ทำมาได้ตั้งยี่สิบกว่าปี  ทำได้ดี  ไม่งั้นจะมีเหลือใช้มาซื้ออุปกรณ์ต่างๆ นานาได้อย่างไม่ต้อง  limit เหรอ

รูปสาวสวยข้างบนนี่ก้อใช้เวลาวาดและระบายสีไม่ถึงสิบนาที  วาดแบบสบายใจ  ไม่กดดัน ไม่กังวล  วาดเสร็จก้อรู้สึกอิ่มใจ มีความสุข และสงสัยต่อไปว่า...หากได้ทำงานวาดรูปเข้าจริงๆ จะมีความสุขได้ตลอดไหม  จะเบื่อไหม

เค้าถึงพูดกันเสมอว่าใครที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก  งานกับสิ่งที่รักจะอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ออก  ทำให้ทำงานอย่างมีความสุขอย่างน่าอิจฉาเลยทีเดียว

ฉันเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆ จากการวาดรูป พยายามจะวาดทุกวัน วันละหนึ่งภาพ แต่ยังทำไม่สำเร็จ สงสัยคงต้องเปลี่ยนเป็น One Drawing a Week for Life จะดีไหม  5555.



ตุลาคม 04, 2558

ถ้าคุณมีขวดโหลเปล่าๆซักใบ...


เห็นรูปวาดสีน้ำรูปขวดโหลเปล่าๆ ทำให้นึกอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาค่ะ

นึกถึงหนังสือเล่มนึงชื่อ เก็บเวลาไว้ในขวดแก้ว ที่เขียนโดย คุณประภัสสร เสวิกุล ผู้ซึ่งเพิ่งจะล่วงลับไปไม่นานมานี้

บทประพันธ์เรื่องนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคสมัยนั้น (พูดเหมือนนานมากเลย)  มีการนำบทประพันธ์มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ด้วย และก้อได้รับความนิยมไม่แพ้กับหนังสือ



ตามชื่อหนังสือบอกว่าอยากเก็บเวลาไว้ในขวดแก้ว  ฉันเองชอบชื่อหนังสือเล่มนี้มาก  ขอบอกว่าชอบชื่อหนังสือแต่ไม่กล้าเปิดอ่าน เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เนื้อเรื่องเป็นแนวสะเทือนอารมณ์ ยิ่งเป็นพวกบ่อน้ำตาตื้นอยู่ด้วย  

ส่วนที่ดีที่สุดของหนังไม่เพียงเนื้อหาที่เป็นที่จดจำของวัยรุ่นเท่านั้น เพลงประกอบก้อไพเราะสุดๆ ย้อนไปฟังเมื่อไหร่ก็อดจะน้ำตาซึมไม่ได้

หากฉันเก็บเวลาในขวดแก้ว 

สิ่งที่ฉันจะทำคือสะสมคืนและวัน
ที่ล่วงเลยมานิรันดร์ 
เพียงรอวันจะมอบมันแก่เธอ...


ฉันหวนนึกไปถึงชีวิตเมื่อครั้งยังเป็นวัยหวาน มีอะไรบ้างนะที่ยังจำได้จนถึงวันนี้  เวลายังคงเดินไปข้างหน้า ไม่สามารถถอยหลังกลับ  คิดถึงความสนุกสนานสมัยเรียนหนังสือ   เพื่อนร่วมชั้นเรียน  และเรื่องกุ๊กกิ๊กในวัยเรียน ฮ่าาา  หลายสิ่งอย่างยังจำได้ โดยเฉพาะเมื่อยังวนเวียนเจอเพื่อนเก่าๆ ใน  social media  วีรกรรมต่างๆของเพื่อนๆยังคงเป็นที่จดจำเสมอ

อาจารย์ท่านนึงเคยบอกประมาณว่า "เมื่อพวกเธอโตขึ้น พวกเธอจงรักกัน  ช่วยเหลือกันไว้  เพราะพวกเธอรู้จักกันและอยู่ร่วมกันตั้งแต่เด็กจนโต "

ฉันพบว่าหลายสิ่งอย่างในชีวิต  กว่าเราจะพบว่ามันจะยิ่งมีค่า  ก็ต่อเมื่อมันถูกบ่มเพาะด้วยกาลเวลาแล้วเท่านั้น .



กันยายน 20, 2558

วันนึงฉันจะเขียนนิยาย

ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่า  ทุกครั้งที่ไปเดินในห้างสรรพสินค้า ฉันจะต้องแวะเข้าไปเยี่ยมเยียนร้านหนังสือจนได้

ในห้องมีหนังสือมากมาย ที่เหมือนซื้อมาเก็บ แต่ไม่มีเวลามากพอที่ได้อ่าน ยิ่งเป็นพวกหนังสือที่ต้องเวลาในการดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ และต้องสร้างจินตนาการด้วยแล้ว เช่น หนังสือ Fiction นั้นไม่ต้องห่วงเลย...คือ แทบไม่ได้อ่านเลยตั้งแต่เข้าวัยทำงาน




เมื่อเข้าวัยทำงาน ฉันมักจะอ่านพวกหนังสือแนว Business เพราะว่าจะต้องใช้ประกอบการทำงาน  ระยะหลังมานี้ตามร้านหนังสือ มีหนังสือแนวพัฒนาตนเอง กับแนว  How to ทำยอดขายมาแรงมาก  ยิ่งแนวหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น การออม การเตรียมเกษียณ  รวมๆแล้วเรียกหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน  สอนให้คนทำไงให้รวยเร็ว รวยเป็นล้าน รวยๆๆๆ มีเยอะไปหมด

คิดแล้วน่าดีใจ เหมือนจะเป็นการบอกว่ามีคนอ่านหนังสือกันมากขึ้น  แต่สำหรับฉันแล้ว เดี๋ยวนี้ซื้อหนังสือน้อยลง  เพราะว่าเก็บเอาไว้เฉยๆที่บ้านโดนปลวกแอบมาแทะกินตอนเผลอ  ทำเอาฉันเสียใจ จิตตกไปหลายวัน ตอนมาหยิบหนังสือที่ชั้นว่างแล้วพบว่า โอ...แม่เจ้า ปลวกแทะหายไปครึ่งเล่มแล้ว

ถึงแม้ปลวกจะกินหนังสือไปหลายเล่ม (แถมดันกินพวกหนังสือศิลปะที่สั่งจาก amazon ซะด้วย)  ฉันก้อจะไม่ยอมแพ้  ตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นซื้อพวก E-book แทนหนังสือเล่ม คราวนี้ปลวกมารบกวนไม่ได้อีกต่อไป แถมไปที่ไหนๆ ก็เหมือนพกห้องสมุดที่บ้านไปด้วยทุกที่  ...มีความสุขจัง

กลับมาเรื่องเขียนนิยายก่อน... สมัยเป็นเด็กนอกจากวาดรูปแล้ว การเขียนเรื่องแต่ง เป็นงานอดิเรกอีกอย่างที่ฉันชอบ

จนถึงทุกวันนี้ ฉันยังเก็บต้นฉบับนิยายแบบที่เขียนด้วยลายมือเอาไว้อยู่หนึ่งลัง  แน่นอนว่าส่วนมากจะเป็นเรื่องที่เขียนค้างไว้  กำลังคิดว่าถ้าเขียนต่อในตอนนี้คงต้องปรับเนื้อเรื่องบางส่วนเพื่อให้ร่วมสมัย 2015

ทุกครั้งที่หยิบสมุดนิยายเก่าๆของตัวเองมาอ่าน  ยังนึกอยากจะเอามาเขียนต่อให้จบ  ยังอยากจะเขียนเรื่องใหม่ๆ มี Plot ใหม่ๆในหัว  โดยเก็บจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเองหรือคนรอบข้างก้อตาม

วันนึงฉันจะเขียนนิยาย ...(ให้จบอีกซักเรื่อง) :)


สิงหาคม 24, 2558

ระหว่างนั่งรออาหาร

ช่วงนี้มีอะไรให้ต้องคิดเยอะ

กำลังตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆที่ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับซะด้วยสิ... การวาดรูปน่าจะช่วยให้สบายใจขึ้นบ้าง เพราะเป็นสิ่งที่ชอบทำเป็นลำดับต้นๆ ในบรรดาหลายอย่างมากที่อยากจะทำ

ยิ่งยามโดดเดี่ยว จะยิ่งรู้สึกรักตัวเอง และมีพลังอย่างมากมายจากสัญชาติญาณ ว่าฉันต้องทำได้ ฉันต้องผ่านมันไปได้เหมือนทุกเรื่อง  ยิ่งใหญ่แค่ไหนฉันก้อจะฝ่ามันไป (แม้เพียงลำพัง)

อะไรๆที่ไม่ใช่ของเรา  แปลว่าเราควบคุมมันไม่ได้
และ  อะไรที่เป็นของเรา  เราต้องควบคุมมันได้  เช่น  ตัวเราเอง  ถ้าเราขึ้เกียจ  ไม่สู้  ท้อแท้  ในที่สุดก้อจะต้องแพ้ตัวเอง แล้วไปไม่ถึงเป้าหมายแน่ๆ

หรือ  ถ้าตัวเองยังบังคับตัวเองไม่ได้เนี่ย...  ใครจะมาช่วยได้ล่ะ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนเน้อ

...นั่งวาดรูปแก้วแอ๊ปเปิ้ลปั่นระหว่างรออาหารหนัก จริงๆแล้ววาดรูปมันก้อใช้เวลานิดเดียวนี่หว่า  ทำไมเราถึงวาดบ่อยๆไม่ได้ซะที  

แล้วนี่จะผิดหรือถูก ก้อดูเป็นแก้วนะ  อาจจะเป็นแก้วชาเขียวปั่นก้อได้ แต่นี่นะ มันคือ แอ๊ปเปิ้ลปั่นล่ะค่ะ

love love Samsung Galaxy Note มากๆ เพราะมี  stylus ที่เขียนง่ายนี่แหละ

มิถุนายน 01, 2558

My discovery in weekend

"ารค้นพบในวันหยุดมันก้อคือค้นพบชีวิตแบบที่ตัวเองอยากจะมี  ได้นั่งวาดรูปบ้าง ออกไปทานข้าวนอกบ้านแถวชานเมือง  ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือดีๆ  ได้คุยกับคุณพ่อ-คุณแม่  นั่งมองหมานอนเล่น  ดูแสงแดด ดูนก ดูใบไม้ และสัมผัสโลกนอก...."






ชอบวันหยุดค่ะ  ใครๆก้อคงจะชอบเหมือนกันใช่ไหมคะ  ฉันมักจะพบอะไรใหม่ๆในช่วงได้พักวันหยุดยาวๆ เสมอเลย  เมื่อสมองได้พักยาว  ไม่ต้องคอยคิด หรือกังวัลถึงแต่สิ่งที่น่าปวดหัว  เช่น Timeline ต่างๆ , แผนการทำงาน หรือ Project อะไรก้อตามว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว และควรจะต้องทำอะไรต่อไป พอสมองโล่ง ก้อนึกถึงตัวเองได้มากขึ้น

บอกตรงๆ ว่าเบื่อสังคมที่ทำงาน ทุกวันนี้อะไรที่ที่ทำงานจะกองไว้ที่ทำงานให้หมด  เวลาไปทำงานเหมือนต้องเป็นอีกคนนึง  ฉันคงเบื่อเข้าจริงๆ  ทำงานมาน๊านนน นาน อีกประมาณนึงคิดว่าจะ early retire ตัวเองออกมาดีไหมนะ  การทำงานก้อมีอะไรดีเยอะ  นอกจากรายได้จะเข้ามาสม่ำเสมอแล้ว ก็เหมือนจะมีสังคม  ทำให้ชีวิตไม่เงียบเหงาจนเกินไป  แม้ว่าบางทีสังคมเหมือนจะปลอมๆ  เก๊ๆ บ้าง จริงบ้าง หลอกกันเองบ้างก็ตามที ตั้งสติไม่ทันเมื่อไหร่มีเจ็บปวด มีเครียดเหมือนกันแหละ

วันหยุดฉันแบ่งเวลาออกไปเดิน shopping ซื้อของที่อยากได้  มีทั้งของจำเป็นในชีวิต กับของที่ซื้อมาเยียวยาอาการป่วยทางใจ  ฮ่าาาา แบบว่า อายุปูนนี้ของที่อยากได้ก้อมีเกือบหมดแล้ว  เต็มบ้าน  ถ้าจะซื้ออะไรอีกก้อเป็นเพราะซื้อหนุกๆไปอย่างนั้นก้อซื้อพวกของเล็กๆ ดีหว่า  ไม่รกบ้าน  ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า การเอาของที่เกินความจำเป็น ออกไปจากบ้านเนี่ยมันยุ่งยากกว่าตอนซื้อเข้ามาเยอะนะ

คือจะทิ้งอะไรก้อเสียดาายยยไปหมด  อยากจะเก็บไว้หมด  แต่มันเกะกะ ห้องรกๆของเยอะๆทำให้จิตเราวุ่นไปด้วย เวลาไปพักโรงแรมสวยๆ  จะนึกออกทันทีว่า ทำไมบ้านเราของเยอะวะ  อยู่โรงแรมห้องสวยเลิศ  แต่พอกลับบ้านมาเจอความเป็นจริงของตัวเอง ก็เซ็งงง 

ฉันเดินเข้าร้านหนังสือทุกครั้งที่เข้าห้างสรรพสินค้าแหละค่ะ  เป็นคนชอบอ่าน  และมักจะพบหนังสือดีๆเสมอ  มี ebook มากมายใน ipad สุด love ในบ้านก้อมีหนังสือเยอะไปหมด  เวลาหนังสือที่บ้านโดนปลวกแทะนี่ทำเอาแค้นปนเศร้าไปหลายวันเลย

ที่บอกไว้ตอนต้นว่าการค้นพบในวันหยุดมันก้อคือค้นพบชีวิตแบบที่ตัวเองอยากจะมี  ได้นั่งวาดรูปบ้าง ออกไปทานข้าวนอกบ้านแถวชานเมืองกับหวานใจ  ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือดีๆ  ได้คุยกับคุณพ่อ-คุณแม่  นั่งมองสัตว์เลี้ยงนอนเล่น  ดูแสงแดด ดูนก ดูใบไม้ และสัมผัสโลกนอก.... สัมผัสสายลม  สัมผัสไอแดดที่มันแรงๆ เพราะนี่เป็นฤดูร้อนไง 

ชอบนั่งดูพวกต้นไม้ที่แม่เพาะชำเอาไว้ในกระถาง เวลาดินชุ่มๆหลังจากได้น้ำมารด  สีของดินดำสนิทตัดกับสีเขียวของใบดูสดชื่นจริงๆ  คลื่นความสงบแห่งชีวิตไหลเข้ามาในใจ เหมือนได้พบความว่างซะบ้าง  เพราะชีวิตตอนต้องออกไปทำงานมันวุ่นจนหาจังหวะความว่างไม่ได้  มันทุกข์  มันเหนื่อย  ทำเป็นลืมๆเพื่อวันทำงานจะได้ผ่านไปเร็วๆ  ทำมาปีแล้วปีเล่า  นี่เราเกิดมาเพียงเพื่อทำสิ่งเหล่านี้เหรอไง? เออ...ชักงง

ฉันใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง ไม่รวมพักเที่ยงทานข้าว 1 ชั่วโมง และไม่รวมเวลาเดินทางไป-กลับอีกนะ แต่ทำเท่าไหร่  อุทิศมากแค่ไหน งานก้อไม่เคยหมด จนรู้สึกว่าเก็บชีวิตและสุขภาพไว้เผื่อตอนทำงานไม่ได้ดีกว่ามั้ย? เหมือนจะประสบความสำเร็จแล้ว  และรู้สึกพอใจ  พอกับจุดที่ยืนอยู่  ต่อไปนี้แค่อยากเดินไปข้างหน้าตามปกติ  ไม่ต้องวิ่ง  ไม่ต้องไต่อีกต่อไป

งานที่ทำมีทั้งแบบที่ตัวเองชอบและไม่ชอบ ของที่ไม่ขอบทำแล้วจะเบื่อมาก  เอียน  และ....อยากไปทำงานที่อื่นมั่งว่ะ  แต่อยู่จนรากงอกแล้วก้อกลัวว่าจะอยู่ที่อื่นได้เหรอเนี่ย...ทน ทน ไป

Entry ของวันนี้ดูออกแนวบ่นๆ เนอะ 



พฤษภาคม 24, 2558

How to make it real, one drawing a day project.


นั่งๆนอนๆ คิดไปคิดมา และคิดแล้วคิดอีก ว่าทำอย่างไร จะวาดรูปให้ได้วันละหนึ่งรูปอย่างที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้  คืนวันผ่านเลยไปเรายังไม่สามารถจะทำอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ซักทีหนอ...

จริงๆแล้วมานึกวิธีจัดการกับตัวเองได้ก้อเป็นเพราะจุดประกายมาจากการเข้าเรียนพูดภาษาอังกฤษกับครูที่เป็นคนจริงๆ ผ่านระบบ online นั่นเอง

ที่จริงระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษยุค online นี่มันมีข้อดีมาก ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และไม่ต้องเลือกวันเวลาสถานที่ด้วย  เหมาะกับวัยทำงานที่ไม่ค่อยจะมีเวลาอย่างเรา  เอาเป็นว่าวันนี้จะคุยเรื่องทำไงให้วาดรูปได้วันละรูป ขอกลับมาเรื่องนี้ก่อนละกัน...นะ

ที่เล่าเกี่ยวโยงไปเรื่องเข้าเรียนพูดภาษาอังกฤษ คือ การเข้าเรียนพูดภาษาอังกฤษกับครูผ่านระบบ online  นี้แต่ละวัน แต่ละสัปดาห์เค้าจะมีตารางชัดเจนว่าแต่ละวันจะสนทนาหัวข้ออะไร   ตารางจะหมุนเวียนกันไป  เดือนสองเดือนหรือสามเดือน ตารางเก่าก้อจะวนมาใหม่  ทำให้เราได้ฝึกในหัวข้อต่างๆ ที่อาจจะเคยเข้าไปสนทนาในหัวข้อนั้นๆแล้ว ได้วนกลับมาให้เราได้ฝึกฝนใหม่อีกรอบ  ถ้าเราเอามาใช้กับการฝึกนิสัยอยากวาดรูปให้ได้ทุกวัน แต่ไม่รู้จะวาดอะไร   จึงน่าจะไม่ต่างกัน เพราะว่าเวลาเร่ิมต้นจะวาดรูปทุกครั้งมักจะเริ่มที่ว่า  วาดรูปอะไรดี? เป็นคำถามอันดับแรก และอาจจบลงไปกับความถามนี้ เพราะสุดท้ายคือ ไม่รู้จะวาดอะไร  อยากวาดไปหมด แล้ววาดอะไรก่อนละวันนี้  เฮ้ย วาดปากกาสิ  ดินสอ ของใกล้ตัว  อ้าว...วันก่อนก้อวาดไปแล้ว ทำไมไม่วาดตัวเอง  วาดหมาที่บ้าน  วาดจากรูปถ่ายที่ไปเที่ยวมา หรือ วาดอื่นๆอีกมากมาย

เมื่อได้จุดประกายแล้ว สิ่งต่อไปคือ เอาละ ฉันจะทำตารางวาดรูปมั่งล่ะทีนี้




ตอนนี้นึกออกเท่านี้หละค่ะ คิดว่าควรจะมีตารางชุดเอาไว้สักสองสามชุดหรือมากกว่า เพื่อจะได้นำมาวนๆหลายๆแบบ แก้เบื่อ...

หวังว่าจะได้ทำตามตารางด้วยนะ  แล้ววันหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อไปว่าเป็นไงบ้าง  หรือว่ามีแต่ตารางอย่างเดิม  ฮ่าาาา.



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




เมษายน 17, 2558

My Self Portrait = SELFIE

       อย่าแปลกใจที่เข้ามาเห็นภาพ self portrait อันบูดเบี้ยว และเส้นโย้เย้ไปมา เพราะว่านี่เป็นการอุ่นเครื่องก่อนเอาจริง ด้วยการทำ contour ใบหน้าตัวเอง ซึ่งกฎของการ contour นี้คือห้ามยกปากกา และให้มองแต่หน้าตัวเองในกระจกเท่านั้น เพื่อฝึกให้วาดจากการมองเห็นเพียงอย่างเดียว  
     
      เป็นไปได้ว่าตัวเองคิดเยอะเกินไป ทำให้รูปที่ออกมามันออกมาจากความคิด มากกว่าจะเกิดจากการมองเห็นด้วยตา...  ความรู้นี้ได้จากการเป็นนักเรียนของ sketchbookskool.com มาระยะเวลาหนึ่ง  การทำ contour จะช่วยฝึกการมองให้มองได้อย่างถูกต้อง ถ้าใครอยากจะเอาดีด้านศิลปะ คงต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ให้มือกับตาสัมพันธ์กันให้ได้  เพราะการ sketch เป็นพื้นฐานทางศิลปะที่สำคัญมาก เอาเป็นว่าจะมาฝึกตอนอายุขนาดนี้ก็ทำได้ยากอยู่  แต่ก็จะพยายามต่อไปค่ะ...

Contour drawing on Molenskine Notebook

สองภาพด้านล่างนี้เกิดจากการอยากจะวาดๆๆๆอย่างเดียว ไม่สามารถจะอดทนนั่ง contour drawing  ต่อไปได้ เพราะใจมันร้อนนนนน 



      บทเรียนต่อจากการ contour drawing ก็มาเป็นการสังเกตบริเวณที่เป็นแสงและเงา  การวาดใบหน้าตัวเองถือเป็นการวาดสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด คือ ถ้าไม่รู้จะวาดอะไรก็วาดตัวเองไปก่อนนะ  วาดจากภาพในกระจก ดูกระจกไป วาดไป วาดออกมาไม่ค่อยจะเหมือนก้อไม่เป็นไร  เพราะเราต้องการให้เข้าใจเรื่องแสงและเงาก่อน

       เมื่อเห็นแสงและเงาก็ต้องหัดทำ cross hatching ไปด้วย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการสานเส้นทับไปทับมา (อย่างสวยงาม) จะช่วยให้ภาพของเราดูมีฝีมือขึ้นมาอีกนิดค่ะ ฮ่าา

       ฝีมือ cross hatching ของเรายังไม่ได้เรื่อง โปรดอย่าทำตาม  วาดๆๆไปไม่รู้จะเอาเส้นไหนทับไปทางไหน ก็เลยออกมาดูรกไปหน่อย



        และนี่ถือเป็นการ selfie อย่างหนึ่ง  เป็นแบบที่สมัยโบราณเค้าทำกันก่อนหน้าที่จะเกิดการคิดประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปขึ้นมาไงคะ .

เมษายน 15, 2558

Happy Birthday Card for CEO in 2013

       หยิบการ์ดเก่ามาเล่าเรื่องอีกตามเคย  ก้อนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ทำการ์ดสุขสันต์วันเกิดให้กับ boss ใหญ่สุดขององค์กรอีกครั้ง (และอีกหลายๆๆๆครั้ง)

        ครั้งนี้เกิดอาการคิดไม่ออกขึ้นมา ก็เหมือนทุกครั้งที่เวลาต้องคิด กลับคิดไม่ออกเสียอย่างนั้น จึงหาหนทางหนีตาย ฮ่าาา แบบว่าเอาตัวรอดสุดๆ คือการแปะ sicker สวยๆลงไปแทนการ design ทุกอย่างใหม่ หรือ ทำพวก embellishment ต่างๆเอง


            Sticker ที่เลือกมาติดนี่ก้อสวยสุดๆ แบบเสียดายมาก แทบไม่อยากจะเอามาใช้ด้วยซ้ำไป บรรจงติด gems หรือเพชรเทียมเข้าไปอีกเพื่อให้งานดูแน่นมากขึ้น ไม่อย่างนั้นจะโล่งไปสักนิด ซึ่งติดยากเหมือนกัน มันคอยละหลุดออก 




           โจทย์ที่คิดว่ายากทุกครั้งคือ ความที่ผู้รับการ์ดใบนี้เป็นผู้ชาย จึงทำให้ไม่กล้าทำออกมากุ๊กกิ๊ก หวานแหวว หรือมีดอกไม้เยอะๆ และตัวเองไม่ใช่ผู้ชาย กับไม่เคยเป็นผู้ชาย เลยไม่ทราบว่าผู้ชายจะชอบแบบไหน  ทางรอดคือเอาสีมืดๆไว้ก่อน  เช่น  น้ำตาล  น้ำเงิน เทา อะไรพวกนี้  ดังนั้นงานที่ออกมาดูมืดๆตลอด  ตั้งใจทำสุดๆแล้ว  หวังว่าผู้รับจะชอบนะคะ .

เมษายน 13, 2558

One drawing a day for Life


        เคยย้อนกลับไปนึกถึงชีวิตในวัยเด็กบ่อยๆว่าช่างเป็นช่วงเวลาที่มีเวลาเยอะเสียจริงๆ และฉันยังเก็บสมุดวาดรูปเล่นสมัยเด็กๆ กับพวกงานวาดรูปสีน้ำเอาไว้จนถึงวันนี้

        ในวัยเด็กมีเวลามาก เพราะเรียนหนังสืออย่างเดียว โรงเรียนเลิกบ่ายสามโมงครึ่ง มีช่วงปิดเทอมเล็กหนึ่งเดือนและปิดเทอมใหญ่สองเดือน รวมเป็นหยุดสามเดือนต่อปีไม่รวมวันหยุดประจำปีอีกสิบสี่ถึงสิบห้าวันต่อปี คิดเป็นสัดส่วนการเรียนสามส่วน และหยุดพักอีกหนึ่งส่วน

        ชีวิตวัยผู้ใหญ่นับตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยไม่มีปิดเทอมอีกเลย
     
       เมื่อสมัยยังเป็นพนักงานระดับ  junior ก็ไม่เคยได้กลับบ้านเร็วเหมือนคนอื่น อาจจะสนุกกับงานจนไม่รู้ตัวว่าวันเวลาผ่านไปเหมือนติดปีกบิน เมื่อกลายเป็นหัวหน้าคนมีตำแหน่งหน้าที่เหมือนจะดูดี ขอบเขตของงานกว้างขวางมากขึ้นและรายได้มากขึ้น กลับยิ่งหาเวลาได้ยากมากขึ้นทุกที

       สมุดวาดรูปเล่นในวัยเด็กกลายเป็นสิ่งเตือนความจำถึงความฝันและตัวตน  ทุกวันนี้พูดได้ว่าต้องใช้ความพยายามในการจะวาดรูปให้ได้ทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งรูป  เป็นที่มาของ One drawing a day Project ซึ่งทำไม่สำเร็จซะทีนึง

         อาจจะสามารถมีสีน้ำคุณภาพดีๆ และสมุด sketch สวยๆ ไว้มากเท่าที่อยากจะได้  แต่กลับพบว่าหลายๆ หน้ายังคงว่างเปล่า  รอวันหยุดยาวๆ เพื่อจะได้มีเวลานั่งระบายสี หรือ ประดิษฐ์ของน่ารักๆ ไว้เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ


                    One drawing a day Project  สำหรับฉันจะยังดำเนินต่อไป แม้ว่ามันจะย๊ากกกก...ยาก ที่จะทำเหลือเกินนะนี่....555
Original image
         ความสุขไม่ได้อยู่ตรงที่ผลงานศิลปะของฉันจะออกมาเป็นอย่างไรอีกต่อไป  แต่มันอยู่ที่ตอนได้ลงมือทำต่างหาก  หลายครั้งฉันใช้ความคิด และ ตรรกะมากเกินไปจนกระทั่ง หวาดกลัวที่จะลงมือทำ กลัวความไม่สมบูรณ์แบบ คิด คิด คิด ว่าจะวาดอะไรดี  เพราะอยากวาดไปหมดเลย จนทุกอย่างอยู่ได้เพียงแค่ในความคิด  และสุดท้ายเลือกที่จะมีความสุขเพียงแค่ได้คิดถึงศิลปะและมองเห็นงาน sketch และงานศิลปะของคนอื่น

          สงสัยในตัวเองว่าจะรอจนถึงเวลา retire จากงานจริงๆเหรอ แล้วค่อยจะทำในสิ่งที่ตัวเองหลงไหลมาตลอดชีวิต.



An Education : inspired by movie

          อาจจะเมื่อสองถึงสามปีก่อน มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ผ่านทาง  cable tv  ทีแรกก็คิดว่าจะดูแค่ปล่อยผ่าน แต่พอดูไปเรื่อยๆก็ติดใจที่นางเอกหน้าตาคมเข้มและเล่น shello ซะด้วย เลยลองติดตามต่อไปเรื่อยๆ คราวนี้ดูไปเพลินๆจนจบ แอบมีน้ำตาซึม เพราะหนังดราม่าเรื่องนี้มีบางช่วงบางตอนเหมือนกับช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของเราพอดี


             เนื้อเรื่องเล่าถึงชีวิตของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพื้นฐานดี เรียนเก่ง หน้าตาสวย และมีอนาคตไกล แต่ทางบ้านอาจจะไม่ได้เป็นครอบครัวที่มีฐานะมากนัก  เมื่อได้พบกับพระเอกซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่ ภาพลักษณ์ดูดี ดูฉลาด ดูร่ำรวย ทำให้นางเอกหลงรัก  จนท้ายสุดต้องทิ้งการเรียน ลาออกจากโรงเรียนและเกือบจะหมดอนาคต  เมื่อมารู้ความจริงในภายหลังว่าชายหนุ่มที่มอบความรักให้จนสุดหัวใจ ที่จริงคือผู้ชายที่ไม่มีอะไร สร้างภาพหลอกลวงเธอและครอบครัวมาตลอด  ที่ร้ายที่สุด...คือเขามีครอบครัวแล้วและยังไม่ได้หย่าร้าง

           นางเอกของเรื่องจะทำอย่างไรต่อไปดี  ความเสียใจที่มีไม่ได้เกิดกับเพียงแค่ตัวเธอเท่านั้น  พ่อและแม่ของเธอก็พบกับความผิดหวังไปด้วย คือถูกผู้ชายคนนี้หลอกทั้งครอบครัว แล้วกับอนาคตที่นางเอกกำลังจะได้ไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Oxford `ก็จะจบลงไปด้วย...หรือไม่

          เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดมาได้ (ตอนดูหนังก็รู้สึก in ไปกับเธอ สงสารตอนที่พ่อกับแม่รู้เรื่องหมดแล้ว) เธอก็ตั้งต้นหวนกลับมาตามหาความฝันของเธออีกครั้ง นั่นคือ การได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย

            เจนนี่ นางเอกของเรื่อง กลับไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา เธออยากจะกลับเข้าไปเรียนในโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาไม่สามารถช่วยเธอในข้อนี้ได้  ทำให้เจนนี่ก็ต้องเสียใจและรู้ซึ้งถึงชีวิตจริงว่าความรักหลอกลวงนั้นได้ทำลายชีวิตเธอมากขนาดไหน  ในที่สุดเธอใช้ความพยายาม ความสามารถทุกอย่าง สอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เธอใฝ่ฝันได้สำเร็จ  เธอพูดว่า "ชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ต้องการ...มันไม่ได้มีทางลัด   ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง "  นี่เป็นประโยคที่รู้สึกประทับใจมาก

             เชื่อว่าความเจ็บปวด และบทเรียนชีวิตช่วงที่ผ่านมาเธอก็ไม่อาจจะลืมมันไปได้

            ในฉากท้ายๆก่อนปิดเรื่อง ฉันเห็นแววตาของเจนนี่เข้มแข็งมากขึ้น ไม่ใช่แววตาของเด็กสาวอ่อนประสบการณ์ชีวิตอีกต่อไป  เธอพร้อมจะเร่ิมต้นมีความรักกับใครซักคนอีกครั้ง  เพราะความรักก็คือบทเรียนชีวิตบทหนึ่งที่ต้องพบ 

             นี่แหละชีวิต.



          

มกราคม 31, 2558

My Palette with 26 Watercolour ( Mixed Brand )


ฉันใช้สีน้ำทั้งแบบหลอดและแบบก้อนจากหลายแบรนด์  สะสมมาหลายปีทีเดียว ได้เรียนรู้มาเรื่อยๆว่าแต่ละแบบมีลักษณะที่เหมาะสมต่างกันไปตามหน้างาน  แบบหลอดให้เนื้อสีชุ่มฉ่ำมาก เพราะละลายน้ำได้ดี แต่ว่าก้อพกไปใช้นอกสถานที่ไม่ค่อยสะดวก

แบบก้อนก่อนใช้ควรฉีดน้ำพรมนิดนึง ทิ้งไว้สักพัก  เนื้อสีด้านที่โดนน้ำจะชุ่มชื้นขึ้น  เวลาเอาพู่กันปาดลงไปสีจะติดพู่กันได้ดี  แต่ถ้าต้องการระบายบนพื้นที่กว้าง  เราต้องถูเอาเนื้อสีออกมาเยอะๆ แล้วมาละเลงบนจานสี หรือบนฝากล่องอีกที  สีน้ำก้อนจึงน่าจะเหมาะกับการระบายงาน sketch บนสมุด และพกพาไปไหนต่อไหน
Sketch on Moleskine
สำหรับกล่องสีอันนี้บีบสีหลอดจากแบรนด์  Holbien, Schminke, Sennelier และ Winsor&Newton  ตัวกล่องเป็นกล่องเหล็ก และ ซื้อพลาสติกที่เค้าทำขึ้นมาเพื่อใช้หยอดสีน้ำลงไปโดยเฉพาะจาก ebay

ขอบอกว่ากล่องสีพกพาฉันมีหลายกล่อง  มีทั้งแบบชุดเล็ก-ชุดใหญ่  เวลาเข้าร้านอุปกรณ์เครื่องเขียนทีไรมันอดใจไม่ได้จริงๆ  อิ อิ.






มกราคม 30, 2558

ดินสอคือสิ่งแรกที่คนวาดรูปทุกคนคุ้นเคย


ดินสอเป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกที่คุณรู้จักหรือเปล่าคะ

แน่ล่ะ  ... เค้าว่ากันว่าศิลปินระดับโลกอย่าง Picaso  ใช้ดินสออย่างเชี่ยวชาญก่อนทำอย่างอื่นได้ซะด้วยซ้ำนะ




นั่งหยิบจับดินสอแท่งนี้อยู่พักนึง เขียนแล้วลื่นมือดี และรู้สึกเป็นธรรมชาติมากที่สุดเวลาใช้ดินสอแบบดินสอไม้อย่างนี้   ดินสอกดมีข้อดีตรงที่ไม่ต้องเหลา คงความแหลมทำให้งานร่างภาพออกมาเส้นเล็กและบางแลดูปราณีต   แต่ว่า feeling เวลามันลากลงบนกระดาษนั้นมันต่างกับดินสอไม้จริงๆ ขอบอก

ดินสออีกแบบที่ชอบใช้ก็คือดินสอแบบที่มันต่อไส้ครงก้นได้  ซึ่งยุคนี้ก้อยังเห็นเด็กๆบางคนยังใช้อยู่  ตอนเด็กๆ ชอบมากเหมือนกัน เวลาทู่เมื่อไหร่ก้อเสียบอันใหม่เข้าไปแทนที่  สะดวกดีจริงๆ ใครหนอช่างคิดประดิษฐ์ออกมา

แล้วในที่สุดก้อวาดได้อีกหนึ่งรูปละวันนี้  มีความสุขจัง.




มกราคม 24, 2558

"Sweet Dream" : Digital Art by Fifty Three App on IOS



My painting via IPAD. 
       

วันนี้ขอเอาผลงานวาดโดย sensu brush ซึ่งเป็น stylus สุดกิ๊บเก๋หัวเป็นพู่กัน ใช้บน IPAD มาอวดกันซักหน่อย  น่ามหัศจรรย์ที่เทคโนโลยียุคนี้สามารถสร้างสรรค์ของแปลกๆมาให้เล่นกันอยู่เสมอ  หลังจากคิดว่าการวาดแบบ manual บนกระดาษบางทีมันก้อไม่ตื่นเต้น  และเมื่อนึกอยากจะ  share หรือ  show กับเค้าบ้างก็ต้องมาถ่ายรูป แต่ถ้าจะต่อยอดเอาไปรูปไปทำอย่างอื่นต่อ  เช่น ทำ Banner บน Blog ก้อต้องคำนึงถึงคุณภาพของภาพอยู่พอดู  แม้ว่าคุณภาพภาพจากกล้องบนโทรศัพท์มือถิอจะยังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งก็ตาม  แต่ ณ วันนี้  ถึงอย่างไรโดยส่วนตัวยังคิดว่าเลนส์ของกล้อง  DSLR ยังคงให้คุณภาพดีกว่าอยู่ดี

       App Fifty Three เป็นที่ถูกใจของนักวาดทั่วโลก  แต่ถ้าจะให้เลิศศศ ก้อต้องซื้อปากกาเทพของเค้ามาใช้ด้วย  ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ซื้ออะค่ะ  มีแต่ sensu brush ที่คิดว่าใช้ได้เหมือนกันนะ


        
          เอาเป็นว่าได้วาดรูปซักรูปก็มีความสุขแล้วค่ะ  จะวาดด้วยอะไรก็ช่างเถอะ  จริงๆตัวเองเป็นนักสะสม stylus อยู่เหมือนกัน  มีใช้อยู่หลายอัน หลายแบรนด์ ลองมาแล้วหลายแท่ง พังไปแล้วก้อมี รุ่นหลังๆมาต้องใส่ถ่านบ้าง ต้องชาร์จแบตเตอรี่บ้าง  รู้สึกไม่สะดวกเลยค่ะ  คือเวลาจะใช้ทีไร ชอบแบตหมดทุกทีสิ  สู้อันนี้ไม่ได้ คือ sensu ไม่ต้องใส่ถ่าน ใช้มือนี่แหละค่ะ

         แท่งนี้ราคาพอสมควร หาซื้อในเมืองไทยไม่ได้ ไม่เคยเห็นเลย  กว่าจะได้อันนี้มาก้อต้องดิ้นรนไปซื้อจาก ebay ขนแปรงเป็นพู่กันเหมือนพู่กันวาดรูป จำลองความรู้สึกเหมือนว่ากำลังวาดรูปอยู่บนกระดาษยังไงยังงั้น  นับเป็นของเล่นสุดโปรดอันนึงของเราเลย.



มกราคม 03, 2558

Sphygmomanometer เครื่องวัดความดันโลหิต และวันปีใหม่

ฉันเข้าสู่ปี 2015 / 2558 ตอนมานอนเฝ้าแม่อยู่ที่โรงพยาบาลพอดีเลย.

ตอนแรกก้อลุ้นๆอยู่ว่าแม่น่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลก่อนช่วงคริสมาสต์แน่ๆ  แต่ว่าความไม่แน่นอนเป็นของแน่นอนเสมอ  ไม่มีใครอยากนอนโรงพยาบาล ไม่มีพยาบาลคนไหนอยากได้รายได้พิเศษมาเฝ้าไข้ตอนช่วงปีใหม่  สุดท้ายจึงมาลงเอยที่คนไม่มีครอบครัว...มานอนค้างเป็นเพื่อนแม่ในคืนข้ามปี หุ หุ


แม่เองคงเซ็งเหมือนกันหากนอนแกร่วคนเดียวในวันปีใหม่ในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้าน  สองคนแม่ลูกได้ยินเสียงผู้คนนอกตึกจัดงานฉลองโห่ร้องจนเสียงนับถอยหลังดังทะลุกระจกห้องพิเศษ  เอาเหอะนะ...หนึ่งปีมีหนเดียว  ปล่อยให้ผู้คนเค้ามีความสุขกันไป


ฉันเห็นเครื่องวัดความดันโลหิตเครื่องนี้ตั้งมาหลายวันตั้งแต่วันที่แม่นอนโรงพยาบาลวันแรกๆ  ทำให้นึกถึงเมื่อสองเดือนที่แล้วที่ฉันเองผ่าตัดและนอนโรงพยาบาลสองแห่งต่อกันสิบวัน  

ก้อแม่นี่หละที่เป็นคนอยู่ด้วยตลอดสิบวัน และในห้องผู้ป่วยของทั้งสองโรงพยาบาลก็มีเครื่องวัดความดันโลหิตอยู่ในห้องเหมือนกัน ทว่าเป็นแบบ digital 

ฉันนั่ง sketch เครื่องวัดความดันเพราะแม่เข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม  ทีวีต้องปิด เหลือเพียงแสงไฟกลางห้องที่สว่างเพียงพอจะวาดรูปได้ วาดออกมาแล้ว อืม...ถ้าไม่บอก  จะดูออกไหมว่าคืออะไร.





มกราคม 01, 2558