ตุลาคม 13, 2564

ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง


อีกไม่นานปี 2564 กำลังจะผ่านพ้นไปอีกปี อีกสองเดือนก้อเป็นเดือนธันวาคมแล้วสิเนอะ

นับนิ้วได้ 3 นิ้ว. ผู้เขียนหยุดทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาได้ 3 ปี ในเวลาเดียวกันก้อเปลี่ยนอาชีพเป็นมนุษย์เกษียณแต่ยังเยาว์ได้ 3 ปีเหมือนกัน

นึกๆแล้วคำว่า "มนุษย์เกษียณแต่ยังเยาว์" นี่ฟังดูน่ารักดีนะ แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า   early retire 

เคยมีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า Dying Young (1991) พระเอกของเรื่องเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 28 เพราะเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว เลยเป็นที่มาของชื่อหนัง. สมัยนั้น (คิดดูว่ากี่ปีมาแล้ว) หนังค่อนข้างโด่งดังมาก น่าจะเข้าข่ายโรแมนติกดราม่า  มาแบบพระเอกตายตอนจบแบบนี้คนดูคงจะน้ำตาแตกท่วมจอ

จำได้ว่าเคยดูทางทีวีที่เขาเอามาฉายย้อนหลัง มีข้อคิดคมๆเยอะเกี่ยวกับคุณค่าของการมีชีวิตอยู่  แต่ว่าไม่ได้จดเอาไว้เลยอะจ้า

ที่พูดถึงหนังเรื่องนี้เพราะชื่อหนังมันเก๋ๆ เหมือนกับคำว่า เกษียณแต่ยังเยาว์นี่หละ

เกษียณก่อนวัยอันสมควร คงไม่ต่างอะไรไปจาก การเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่ทันแก่ 55555

สองเดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ ผู้เขียนยังจินตนาการถึงชีวิตเกษียณของตัวเองอย่างหยาบๆ ว่าตัวเองจะเป็นยังไงหนอ.  

มาถึงตอนนี้....บางอย่างก้ออยู่นอกเหนือจินตนาการไปเยอะ.

และ หลายอย่าง...ก้อพอจะคล้ายๆกับที่คิดไว้ ปนๆกันไป

เอาเรื่องดีๆ ก่อนละกันที่อยู่นอกเหนือจินตนาการ

1.  เกษียณแล้วหน้าตาจะดี. มีออร่าจับกันทุกคน  (ไม่เชื่อลองเกษียณดู) 

หน้าตาคนเกษียณก่อนกำหนดจะสดใส. เพราะได้นอนเต็มอิ่ม  อาการเครียดจากความรับผิดชอบท่วมท้นหัวสมองจะหายไป. เพราะไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบอีกต่อไป  กฎระเบียบและนโยบายอะไรต่างๆนานาจะเลือนหายไปจากสมอง  ไม่ต้องมี Goal ไม่ต้องมี KPIs มากดดันชีวิต.  ไม่มีคนมาคอยสั่งและจิกตามงานในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นจิกทาง line/email/โทรศัพท์  ไม่ต้องมีลูกน้องมาให้รับผิดแทน (เวลารับชอบต้องยกให้ลูกน้อง แต่เวลาลูกน้องทำผิดพลาด หัวหน้าโดนเต็มๆ)

2. เกษียณแล้วมีเวลาเยอะ. ไม่ต้องรอ weekend

เวลาจะมีมากโดยไม่ต้องคอยนับวันบนปฏิทินว่าเมื่อไหร่จะถึงวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดยาวๆ แบบ long weekend  หลับแล้วตื่นขึ้นมาไม่ต้องรู้ก้อได้ว่าวันนี้วันอะไร. เพราะทุกวันคือวันหยุดของเรา. จะทำอะไรก้อได้ตามใจเรา. ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเจอรถติดวันฝนตกแล้วไปทำงานไม่ทัน. หรือเจอฝนตกตอนเย็นรถติดหนักกว่าจะถึงบ้านก้อหมดแรง

3. เกษียณแล้วสุขภาพจะดี

สุขภาพจะดีได้เพราะไม่เครียดเป็นเหตุผลหลักๆ  ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เราจะนอนหลับได้ดีขึ้นเพราะว่าไม่ค่อยมีเรื่องงานให้กังวล  เป็นผลมาจากข้อ 1 เต็มๆ นอกจากผิวพรรณจะดีเปล่งปลั่งแล้วสุขภาพก้อดีไปด้วย


สามข้อข้างบนเป็นเรื่องดีๆของพวกเกษียณมือใหม่หัดขับ หมายความว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกของช่วงแรกๆของการเกษียณ  เรียกช่วงฮันนีมูนน่าจะเข้าใจง่ายกว่า

พอระยะถัดมาเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงของชีวิต5555 เช่น

-  ถ้าไม่ใช้เวลาให้เหมาะสม ว่างมากไป ทำให้ใช้พลังงานน้อย.พาลนอนไม่หลับ หรือหลับยาก 

-  ว่างมากไป ทำให้ฟุ้งซ่าน คิดเยอะ กังวลง่าย ทุกข์ง่าย 

-  มีเวลามากแต่รายได้เป็นศูนย์. ทุกวันเงินเดือนออกไม่มีเงินเข้าบัญชีซักกะบาทเดียว น่ากลัวไหมคะ

-  อยากถูกลอตเตอรี่ อยากรวย  กลัวจน กลัวเงินหมด กลัวติดโควิท ...สารพัดค่ะ

-  ไม่มีโอกาสสังสรรค์ พบปะกับใคร. เพราะเพื่อนๆเค้ายังทำงานกันอยู่. เพิ่งจะรู้ว่าที่ทำงานหายไป สังคมของเราก้อหายไปด้วย. แรกๆเหมือนชีวิตจะดีเพราะเงียบสงบ.  แต่พอนานไปรู้สึกว่าจะกลายเป็น "เงียบสงัด" จนน่าใจหาย

- รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นพวก "ไร้สังกัด" หรือ "nobody" ขึ้นมาซะอย่างนั้น คือแต่ก่อนเวลาใครถามว่าทำงานอะไร-ที่ไหนก้อตอบได้อย่างไม่ขัดเขิน. พอมาตอนนี้รู้สึกบาดใจขึ้นมาทันทีเวลาถูกถามว่าทำงานอะไร-ที่ไหน. เพราะว่าเป็นงานส่วนตัวที่อธิบายได้ยาก  ทำให้บางทีเหมือนความมั่นใจในตัวเองมันพร่องไปเหมือนกัน


สิ่งเหล่านี้คนเกษียณจะต้องพบเจอ. ไม่ว่าจะเกษียณก่อนอายุ 60 หรือหลังอายุ 60. จะช้าหรือเร็ว ตัวผู้เขียนคิดเองว่าโชคชะตา ฟ้ากำหนดให้ได้เจอเร็ว จะได้รับมือก่อนจะรับไม่ไหว. หากรอจนถึงอายุ 60

อย่างไรเสียชีวิตก้อเหมือนการโต้คลื่น. มีขาขึ้น ก้อมีขาลงแหละค่ะ. จงยอมรับกับสิ่งที่เราได้รับ ยอมรับกับสภาพในปัจจุบัน ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว. 

ทุกวันของชีวิตก้อต้องทำให้มันมีค่าเสมอ คำว่า "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" ช่างน่าซาบซึ้ง ตอนนี้มีเวลามาก แต่เงินก้อหายไป. 

เงินทองยังสะสมให้งอกเงยพอได้อยู่. แต่เวลาในชีวิตนั้นสะสมไม่ได้. หมดแล้วคือหมดเลย

บิดามารดาแก่เฒ่าลงไปตามกาลเวลา ถ้าผู้เขียนไม่ได้ออกจากงาน. คงจะไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว วันเวลาของผู้มีพระคุณลดน้อยลงไปทุกวัน  ถ้าเราจะไปนึกถึงท่านตอนท่านไม่อยู่แล้วก้อคงจะไม่มีประโยชน์ใช่ไหม

ปาฏิหาริย์อาจจะมีจริง. แต่คงจะต้องสำหรับคนที่ลงมือสร้างปาฏิหาริย์นั้นด้วยตนเอง  ผู้เขียนฝันอยากมีชีวิตที่ดี  อยากมีรายได้จากการทำงานในวิถีนักวาดให้เลี้ยงตัวเองได้  ก้อคงจะต้องลงมือทำต่อไป. ทำไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ.  สักวัน....และสักวัน วันไหนก้อไม่รู้


ทำมาแรมปีแล้ว....ไม่รู้ต้องทำไปอีกแค่ไหน. เหนื่อยก้อพัก. หายเหนื่อยแล้วลุกขึ้นไปต่อค่ะ

เอาเป็นว่าประเมินผลการปฏิบัติงานของตัวเองแล้วพบว่ายอดรายได้โตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา  แม้จะไม่ได้ตามเป้าใหญ่ที่ตั้งใจเอาไว้.  ก้อถือว่าสำเร็จในเป้าหมายเล็กๆอีกหนึ่งขั้น. ต้องไต่ระดับต่อไปอีกเรื่อยๆ 

เมื่อกี้เป็นเป้าหมายทางการเงิน. ส่วนเป้าหมายด้านปริมาณงานถือว่าตัวเองแย่กว่าปีที่แล้ว. เพราะผลิตชิ้นงานได้จำนวนต่ำกว่าเป้า. 

อย่างไรก็ตาม. ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ



ตุลาคม 02, 2564

ค่าของงานกับเงินเดือนของคน : Job Value and Basic Salary

บอกตามตรงว่าจริงๆแล้วไม่ค่อยอยากเขียนอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคลเท่าไหร่  แม้ว่าจะเคยอยู่ในวงการนั้นมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่เป็นมนุษย์เงินเดือน

ทำไมเหรอ...อาจจะมีคนสงสัย

กลัวว่าจะทำให้คนอ่าน blog เครียดไง. ตั้งใจทำ blog ให้เป็นสถานที่พักผ่อน เล่าเรื่องวาดๆเขียนๆ เรื่องศิลปะมากกว่าจะมาเล่าเรื่องงาน(ในอดีต)

แถมถ้าเล่าละก้อมีเล่ายาวววว...แน่. ไม่เชื่อก้อคอยดู. ฮ่าาาาาา

อาจจะต้องเปิด Tab Menu อีกสักหนึ่ง Tab ไม่ให้ปนไปกับเรื่องอื่น. ซึ่งเราก้อว่ามันเยอะหลายเรื่องอยู่แล้วนะ. ...ยังมีเพิ่มอีกเหรอเนี่ยยยยย

มันอดจะมีความเห็นไม่ได้สิคะ. เวลาได้พบเจอเรื่องราวที่มันเกี่ยวโยงกับประสบการณ์การทำงานเก่า. บางทีอาจจะมีประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง. หรืออ่านเอาเพลิดเพลินก้อยังได้อยู่ใช่ไหมคะ

เข้าเรื่องละนะ

เรื่องมีว่ามีคนรู้จักกันเพิ่งจะถูก "ดีดทิ้ง" จากองค์กรมาสดๆร้อนๆ.  องค์กรที่ว่าเป็นองค์กรใหญ่โตมีชื่อเสียง และเค้ามีนโยบาย "ผลัดใบ" เป็นปกติของเค้ามานานแล้ว. ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษ. หรือเจอวิกฤติอะไรในช่วงนี้จึงต้องมีนโยบายลดจำนวนพนักงาน

คนรู้จักที่ว่านั้นอายุไม่ใช่น้อย  และเงินเดือนที่ได้รับอยู่ก้อไม่ใช่น้อยเช่นเดียวกัน

แต่ที่น่าสนใจคือ ประวัติการขึ้นเงินเดือนที่ผ่านมาของเค้ามีประเด็นที่อยากจะแชร์ให้ฟังค่ะ

คุณ "เอ" (นามสมมุติ) สามปีที่แล้ว,เปลี่ยนงานสององค์กรภายในระยะเวลา 6 เดือน และได้ up เงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากในองค์กรล่าสุด  แถมด้วยตำแหน่งระดับผู้จัดการที่เจ้าตัวอยากได้มานาน. อยู่ในองค์กรล่าสุดด้วยอายุงานเพียง 3 ปี ก้อถูกเด้งออกมา. โดยองค์กรแจ้งว่าต้องการปรับลดค่าใช้จ่าย

ถึงแม้เจ้าตัวจะคาใจอยู่มาก และแน่ใจได้ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดวินัย หรือมีเรื่องทุจริตแน่นอน. แต่ "ทำไมถึงต้องเป็นเรา"...



เงินปลอบใจที่ได้มาก้อคงไม่พอ.  หากว่าหางานใหม่ไม่ได้.  และเท่าที่คุณเอลองไปสัมภาษณ์งานมาก่อนหน้านี้บ้าง. ก้อพบว่าถูกปฏิเสธเพราะเงินเดือนปัจจุบันสูงเกินกว่าที่จะจ่ายได้. และคุณสมบัติด้านประสบการณ์การทำงานก้อไม่ได้สอดคล้องกับเงินเดือน. 

พูดง่ายๆ คือ ลักษณะงานที่เคยทำมาไม่สมควรที่จะได้เงินเดือนสูงขนาดนี้ !!!

อาจมีคำถามอีกว่า คุณเอตำแหน่งถึง "ผู้จัดการ" ทำไมถึงไม่คู่ควรกับเงินเดือนสูงๆล่ะคะ

ตอบตามนี้นะคะ

1.   "ผู้จัดการ" ขององค์กรแห่งหนึ่ง. อาจจะเนื้องานไม่เหมือนกับอีกองค์กรนึงนะคะ

2.   คำเรียก "ผู้จัดการ" เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกตำแหน่งงานระดับหัวหน้างาน แต่ในบางครั้งก้อใช้เรียกคนที่อายุงานสูงหน่อย อาวุโสหน่อย แต่ไม่ได้เป็นหัวหน้างาน

ซึ่งมีให้เห็นทั่วไปในหลายองค์กรนะคะ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่จำนวนพนักงานมากๆ และเป็นองค์กรที่เก่าแก่. 

เรียกว่าเป็น "ยศ" ผู้จัดการละกันค่ะ

3.  ผู้ที่มียศเป็นผู้จัดการมักจะมีไม่มีลูกน้อง. หรืออาจจะมีลูกน้อง แต่ไม่มีอำนาจสิทธิขาดในการประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง. หรือ พิจารณาอัตราโบนัส หรือ ไม่มีอำนาจอนุมัติอื่นใด เช่น. อนุมัติซื้อวงเงินเยอะๆ. หรือ งบประมาณโครงการ เป็นต้น

คุณเอก็เป็นผู้จัดการตามข้อ 3 เนี่ยล่ะค่ะ  

เงินเดือนสูงๆที่ได้มาเป็นเพราะแรงกดดันภายในองค์กร. ระหว่าง Line Manager ที่เป็นเจ๊ดัน. ดันคุณเอเข้ามา. กับ HR แน่นอน. ชักกะเย่อกันไปกันมา สุดท้าย Line Manager ชนะ คุณเอเลยเข้ามาในองค์กรแบบเงินเดือนติดลมบน หรือ ติดเพดานสุดๆ 

แถมพอเข้ามาแล้ว คุณเอแกก้อเป็นพวก "ติดสุข" ไม่ค่อยอยากจะพัฒนาตัวเอง. ชอบทำงานแบบเดิมๆ เรียกว่าแกจะขอโต "แนวดิ่ง" อย่างเดียว. แบบนี้องค์กรเค้าจะปั้นต่อให้เป็นระดับผู้จัดการตัวจริงเสียงจริงก้อไม่โอเคอีก. 

เป็นแบบนี้แล้วจะเหลือเรอะ... 

ลางสังหรณ์เริ่มมาตั้งแต่ปีที่สองของการทำงานแล้วล่ะค่ะ

คือ...ขึ้นเงินเดือนแค่ประมาณสองสามเปอร์เซ็น  (ภาษา HR เรียกว่า โดน Freeze เงินเดือน) หัวหน้าคงทำใจลำบาก เพราะเงินเดือนระดับคุณเอจ้างเด็กจบใหม่ได้สามหรือสี่คน ทำงานเนื้องานเดียวกันกับเด็กจบใหม่เป๊ะ.  

แม้คุณเอจะเก๋าเกมส์.+ รอบรู้กว่า. แต่ว่า....กรอบของงานไม่ได้ต้องการค่ะ. 

เรื่องนี้กำลังให้ข้อคิดว่าค่าของงานเกี่ยวโยงกับอัตราเงินเดือนนะคะ.  แม้ว่าจะมีความซับซ้อนอยู่สักหน่อยว่าในอัตราเงินเดือนที่แต่ละคนได้รับนั้นมี factor ที่เกี่ยวข้องอยู่หลายตัว เช่น อายุงาน, ผลการปฏิบัติงานที่สะสมมา, demand-suply ในตลาดแรงงาน ฯลฯ แต่ที่มีน้ำหนักมากที่สุดคืองานที่ทำอยู่มีค่างานเป็นอย่างไร

วันหลังค่อยมาเล่าต่อเรื่อง "ค่างาน" ให้ฟังอีกทีนะคะ. 

รู้สึกวันนี้เขียนยาวแฮะ. ชักจะเหนื่อยแล้ว 55555

สุดท้ายคุณเอแกไม่ยอมมาเป็นพวก #เกษียณโลกสวย เหมือนกับผู้เขียนนะคะ. แกยืนยันจะหางานเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไปให้ได้

ผู้เขียนก้อขอเอาใจช่วยค่ะ เหนื่อยใจหน่อยนะคะ หางานตอนอายุมากขนาดนี้

บางทีเรื่องบุญ/กรรม/วาสนา มันก้อมีจริงนะคะ. แต่อย่าลืมว่ามีขึ้นต้องมีลง. คุณเออาจจะได้งานใหม่ก้อได้หากมีโชคอยู่.

และขอให้คุณเอสมหวังนะคะ.

ใครที่ยังมีงานทำอยู่ก้อขอให้เต็มที่กับงานนะคะ. อาชีพมนุษย์เงินเดือนเป็นอาชีพที่ดีที่สุดในโลกแล้วค่ะ. คุณจะไม่รู้ว่ามันดีขนาดนี้.  จนกว่าคุณจะออกมาจากมัน ทั้งที่บางทีคุณอาจจะยังไม่ได้ต้องการค่ะ.










กันยายน 22, 2564

จากหนังสือ สู่อาชีพในชีวิต

 โลกของผู้เขียนพันพัวและผูกพันอยู่กับหนังสือมาตลอด. อย่างที่เล่าไปคราวก่อนว่า นอกจากอาหารที่หล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว. ยังมีอาหารสมองที่ผู้เขียน "หิว" อย่างไม่เสื่อมคลาย

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าโลกของเด็กยุคก่อน ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มีอินเตอร์เนต มีเพียงทีวีขาว-ดำ จะไปมีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากการอ่านหนังสือ

จริงๆก้อคงจะไม่ใช่. มีอะไรให้ทำมากมาย แต่รักความรู้ จึงต้องอ่าน



นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว ผู้เขียนอ่านการ์ตูน  นอนวาดรูป  แต่งการ์ตูนอ่านเอง  นั่งประดิดประดอยของเล่น  เช่น เย็บผ้า. เย็บชุดตุ๊กตา. หรือ ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้านบ้าง. แค่นั้นไม่เคยพอสำหรับเวลายามว่าง

ค่าขนมที่เหลือมาบ้างก็จะเอาไปซื้อหนังสือ. 

สมัยนั้นมีรถเร่มาขายหนังสือหน้าโรงเรียนด้วย.  ไม่ได้มาบ่อยๆ. ผู้เขียนจึงตั้งตารอ. เพราะเหมือนราคาจะถูก (เข้าใจแบบเด็ก ว่าราคาถูก555 ที่จริงอาจจจะแพง) วิธีการขายจะมีคนมาแจกใบปลิวล่วงหน้า  เป็นกระดาษบางๆพิมพ์หน้า-หลัง มีรายชื่อหนังสือและราคาพร้อมสรรพ.  ผู้เขียนจะนั่งอ่านใบปลิวอย่างมีความสุขว่ารอบนี้เราจะซื้อเล่มไหนบ้างหนอ

นอกจากนี้มีร้านขายหนังสือการ์ตูนทางเข้าประตูโรงเรียนอีกหนึ่งร้าน. ที่ผู้เขียนเป็นลูกค้าประจำ

ห้องสมุดโรงเรียนก้อเป็นสถานที่ที่ผู้เขียนไปอย่างสม่ำเสมอ 

ตอนช่วงมัธยม ชอบอ่านหนังสือตอบปัญหาชีวิตของ นายแพทย์วิทยา นาควัชระ ซึ่งท่านเป็นจิตแพทย์. ท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่มมาก. สมัยนี้เรียกว่าเป็นซีรีส์ได้เลย. แต่ละเล่มจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ที่มาพบ. และแฝงแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาชีวิตเอาไว้มากมาย.  อ่านแล้วรู้สึกว่าอยากจะเป็นคนช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้ผู้คนได้.  ทำให้ผู้คนมีความสุขแบบคุณหมอ

...แต่ว่า.....ผู้เขียนเรียนคณิตศาสตร์ได้แย่สุดๆ. คาดว่าไปเรียนสายวิทย์เพื่อสอบเข้าเป็นแพทย์. ไปสู่การเป็นจิตแพทย์นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ 5555

เอาความเป็นจริงดีกว่า.  ว่าผู้เขียนมีความถนัดด้านการเรียนภาษามากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน. 

ทำอย่างไรกับอุดมการณ์อันสวยงามดีหนอ....ทำไงฝันจะเป็นจริง. จะได้ช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์

ในที่สุดแรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือก้อทำให้เราสอบเข้าเรียนคณะศิลปศาสตร์ได้. และเมื่อถึงตอนเค้าให้เลือกวิชาเอก. เอกอื่นมากมายดันไม่เลือก. เลือกเอกวิชาจิตวิทยาอย่างไม่ต้องลังเล

55555 ขอหัวเราะอีกที

เพราะเจ้าอุมการณ์ดีนัก...แย่ละงานนี้.  ผู้เขียนไม่รู้ว่าถ้าจบเอกจิตวิทยา. มหาวิทยาลัยบางแห่งเค้าให้วิทยาศาสตร์บัณฑิตเลยแหละ

แต่มหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเรียน. จบแล้วได้ศิลปศาสตร์บัณฑิต  

กำลังจะบอกว่า....หลักสูตรจิตวิทยาเนี่ย.   เค้ามีวิชาบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์แบบโหด.  คือวิชาสถิติ และพวกวิชาชีววิทยาด้วยนะ.  ขำไม่ออกละงานนี้

ต้องเรียนสถิติพื้นฐาน และสถิติขั้นสูง. รวมถึงชีววิทยาอีก. สรุปว่าอาศัยบุญเก่า+กรรมเก่า. รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด มีเศร้าเคล้าน้ำตาเลยทีเดียว (ก้อชั้นไม่ใช่เด็กสายวิทย์อะจ้า)

สุดท้ายพอเรียนจบ.  คิดว่าจะไปเป็นนักจิตวิทยา. พอมีโรงพยาบาลเรียกไปสัมภาษณ์งานตำแหน่งนักจิตวิทยาในโรงพยาบาล.  กลับไม่แน่ใจซะงั้นแหละ. เพราะว่าพอถามอัตราเงินเดือนเริ่มต้นแล้วมันน้อยนิดจนต้องคิดหนัก.  และทำงานในโรงพยาบาลคงไม่น่าสนุกเท่าไหร่  อีกอย่างโรงพยาบาลที่เรียกมาก้ออยู่ไกลบ้านด้วย. จึงตัดสินใจทำงานด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทเอกชนดีกว่า (ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องว่าฝ่ายบุคคลทำอะไรบ้าง5555. รู้แต่ว่าตำแหน่งนี้เค้ารับจบเอกจิตวิทยา)

นั่นหละนะ. ไม่รู้บุญหรือกรรม. ที่นำหนุนให้ต้องเป็นฝ่ายบุคคลอยู่ยี่สิบกว่าปี

ชีวิตก้อเอวังด้วยประการฉะนี้จ้า.  ตอนนี้หมดบุญวาสนา+หมดหน้าที่การเป็นฝ่ายบุคคลซะที.  ผู้ที่กุมความลับขององค์กร(รู้เงินเดือนของทุกคน) รักษาความลับยิ่งชีพ (ใครเคยทำอะไรมาบ้างในบริษัท. ดีหรือร้าย. รู้หมด) รู้มากแต่บอกใครไม่ได้5555


จบเห่








กันยายน 14, 2564

จากหนังสือ สู่การพัฒนาจิต

 

เราเป็นคนรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก  ชอบอยู่ใกล้ๆหนังสือ ตอนสมัยยังเรียน ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยม จนมหาวิทยาลัย เวลาว่างจากการเข้าชั้นเรียน. หรือทานข้าวกลางวันเสร็จ มักจะเหลือเวลานิดหน่อยก่อนเข้าเรียนภาคบ่าย. เราก็จะเข้าห้องสมุด หาหนังสืออ่าน ราวว่า...อาหารสมองเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้พอๆกับอาหารที่ให้กับร่างกาย อะไรประมาณนั้นเลย



ตอนเรียนมหาวิทยาลัย. เพื่อนๆชอบชวนไปอ่านนิยายที่ห้องสมุด บอกพิกัดตู้หนังสือและพิกัดที่นั่งอ่านที่บรรยากาศดีที่สุดมาเสร็จสรรพ ว่านั่งโต๊ะริมระเบียงนะ ลมพัดจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาพอดี เย็นสบายชื่นใจ. เหมาะแก่การนอน...ฮ่าาา

เคยทำตามเพื่อนบอกอยู่ไม่กี่ครั้งเหมือนกัน. ไม่เคยลิ้มรสการได้หลับในห้องสมุด ว่ามันเป็นยังไง อยากรู้...เพราะเป็นคนไม่เคยหลับระหว่างการอ่านหนังสือ. สำหรับเราหนังสือทำให้ตื่นเต้นได้ตลอดเวลาไง  ผลที่ได้จากการพยายามทำตามเพื่อนบอก คือ มันก้องั้นๆนะ อาจจะอายบรรณารักษ์​ถ้าเค้ามาเจอ. หรือไม่ก้ออายนักศึกษาคนอื่นๆมากกว่า  เราว่า,ห้องสมุดไม่ใช่ที่นอน. ไม่ใช่ที่บ้าน

เดี๋ยวนี้ห้องสมุดเก่าน่าจะถูกปรับเลี่ยนไปใช้งานอย่างอื่นแล้ว.  ห้องสมุดใหม่ใหญ่โตกว่าเดิม ฝังเสาเข็มฐานรากลึกลงในในแม่น้ำเจ้าพระยากระมัง. เป็นตึกใหญ่โดดเด่นริมน้ำ  ติดเครื่องปรับอากาศทั้งตึก. มีหลายชั้น. คงจะเก็บหนังสือและความรู้ได้มากขึ้น. เราเคยไปเยี่ยมเยียนใช้บริการในฐานะศิษย์เก่าเมื่อหลายปีก่อน. ห้องสมุดดูทันสมัย โอ่อา. แต่ไม่มีส่วนที่เป็น outdoor อีกแล้ว. เสียดายจัง

เล่าไปไกล...ที่จริงเราไม่ค่อยจะได้อ่านนิยายมากเท่าไหร่. ส่วนใหญ่จะอ่านพวกหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคโบราณซะมาก.   หนังสือเกี่ยวกับศิลปะ ฯลฯ เพราะรูปสวย. ยิ่งหนังสือต่างประเทศ ภาพถ่ายที่ประกอบจะถ่ายมาอย่างดี. จะชอบมาก. ส่วนหนังสือนิยายจะตัวหนังสือเป็นพรืดดดด แถมหนา. สมัยเราหนังสือนิยายจะทำเป็น hard cover ซะหมด คือปกแข็ง. หนักมาก เวลายืมจากห้องสมุดเอากลับบ้านใส่กระเป๋าแล้วหนักจนเจ็บไหล่เลย

ที่น่าสนใจคือ เราไม่เคยเห็นภาพปกจริงๆของนิยายเหล่านั้นเลย เพราะเมื่อมาอยู่ในห้องสมุด. ปกที่เป็นกระดาษอ่อนจะถูกเก็บไปไว้ที่อื่น. สิ่งที่เราสัมผัสคือ ปกแข็งที่หุ้มด้วยผ้าสีเข้มๆ

เดี๋ยวนี้ไปเดินร้านหนังสือ จะเห็นว่านิยายทำเป็นปกอ่อนกันหมด. เหมือนว่าจะสามารถทำราคาได้ถูกลง คนซื้อจะได้ซื้อง่ายขึ้น.  ซึ่งก้อน่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ. เราเห็นว่านิยายใหม่ๆออกมาเยอะมาก.  ทว่าเราอาจจะยังเป็นคน generation ดั้งเดิมที่จริตการอ่านยังคุ้นเคยอยู่กับวิถีการเล่าเรื่องแบบนักเขียนยุคโน้นมากกว่า. คือ....

เล่าเรื่องแบบอย่าหวือหวามาก. เราอาจจะไม่ชอบแนวตลก คอมเมดี้ แบบที่เค้าชอบเอามาทำละคร หรือภาพยนตร์. แบบที่นางร้ายกับนางเอกปะทะคารมกัน  บางทีกรี๊ดใส่กันเวลาโดนคำพูดเจ็บแสบ  เสียดสีกันแบบเชือดเฉือน หรือตบตีต่อหน้าพระเอก. แบบที่นางเอก นางร้ายมีตัวผู้ช่วย เช่น เพื่อนนางเอกหรือบ่าวไพร่แนวลูกขุนพลอยพยัก. คือว่า....มันเบื่อ. และไม่ได้ให้อะไรที่เป็นสาระ. และที่สำคัญ. เรื่องทำนองนี้ยังวนเวียนเอามาทำละคร ทำหนัง  อยู่อีกไม่รู้กี่เวอร์ชั่นจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นที่นิยมอยู่ (เราเลยหนีไปดู Series บน streaming platform แทน)

ได้ข่าวมาว่าคุณทมยันตี นักเขียนในยุคที่เราเติบโตมา ได้ถึงแก่อนิจกรรมลงแล้ว. เราก็ใจหาย. 

นักเขียนในรุ่นๆ ที่มีชื่อเสียงสำหรับรุ่น gen เรากำลังโต. ก้อเช่น. ว.วินิจฉัยกุล,  กฤษณา อโศกสิน. เป็นต้น เรานั่งนับนิ้ว ท่านเหล่านี้ป่านนี้ก้อคงอายุมากขึ้นไปตามลำดับ.  

คุณสุเทพ วงศ์กำแหง นักร้องขวัญใจพ่อเรา ก้อเสียชีวิตไปแล้ว. กลายเป็นระดับตำนานไป. ค่อยๆปลิดปลิวตามกับไปทีละคน สองคน. ตามวันและเวลาที่ผันไปตามธรรมชาติ

ชีวิตเกษียณแต่ยังเยาว์ (Early retire) ของเราทำให้เรามีเวลา. ฮ่าาาา.เลยไปซื้อหานิยายคุณทมยันตีมาอ่านแบบ non-stop  เพราะที่ไม่อยากอ่านนิยายเป็นเพราะว่าอ่านแล้ว. ไม่จบ. ไม่หยุด. ....

พอๆกับนิสัยการดู Series ของเรา  ดูแบบยาวววววว สองวันสามคืนไม่เลิก ถ้าไม่หมดแรง

นิยายคุณทมยันตีที่เราชอบมากๆ มีหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง พิษสวาท ที่คุณนุ่นเล่นเป็นนางเอก ตอนนั้นดูแต่ละคร. แล้วค่อยย้อนมาอ่านหนังสือในภายหลัง.  

นิยายเรื่องนี้เอาเรื่องความรัก ความแค้น มาผูกโยงและเชื่อมต่อแบบเนียนๆไปกับแนวคิดเกี่ยวกับศาสนา เรื่องชาติก่อนชาติเก่า. เรื่องนรกสวรรค์ ประวัติศาสตร์  ปรุงรวมเรื่องรักๆใคร่ๆตามแบบปุถุชนกับเรื่องละเอียดอ่อนของพุทธศาสตร์ จนอร่อยและมีความคลาสสิคระดับตำนานสมกับเป็นงานของศิลปินแห่งชาติเลยจริงๆค่ะ

ความสนใจของเราวิวัฒน์ไปตามช่วงวัย... 

หลังจากชีวิตได้ผ่านประสบการณ์อะไรมากมาย. เรารู้แล้วว่า. มันก้อแค่นั้นหนอ. ชีวิต. ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง. หน้าที่การงาน. ความรัก. อาชีพของเรา มันไม่มีความยั่งยืน. เมื่อถึงเวลาของมัน. มันก้อสลายหายไปหมด ทำให้เราได้คิดถึงความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น  ดังนั้นนิยายที่เราอยากอ่าน. คงไม่ใช่แนวความรักอีกต่อไป


และคราวนี้เราเลยใช้ฝีมือในการประกอบภาพด้วย photoshop มาใช้ซะหน่อย. ด้วยการทำภาพประกอบ blog post อันนี้ขึ้นมาเอง. ขอขอบคุณภาพ elements จาก unsplash.com ด้วยนะคะ