มีนาคม 30, 2565

ก้าวเดินต่อไป (แม้จะเหนื่อย)

 


บนหนทางแห่งการเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆของตัวเองนั้นมันช่างแสนเหนื่อยจังเนอะ...

รู้สึกว่าที่เหนื่อย  ส่วนหนึ่งก้อน่าจะเป็นความคิดของตัวเองนี่หละ ที่ทำให้มันเป็นอย่างนั้น

ทำไมน่ะเหรอคะ... ความคิดของตัวเราเองที่จริงจังมุ่งมั่น. นี่หละทำให้เครียด

เพราะว่าเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมาก่อนหน้าอยู่แล้ว.  หมายถึงว่าตอนทำงานเป็นมนุษย์ออฟฟิศก้อเป็นพวกทำงานเยอะอยู่.   คล้ายๆพวกทำอะไรแล้วต้องทำให้ดี.  ใช้ความพยายามเท่าที่จะมีภายใต้สติปัญญาและความรู้ของตัวเอง เรื่อง Hard side จึงหายห่วง คือ ทำดะไปได้ทุกเรื่อง

แต่ตอนนั้นมันจะเหนื่อยเรื่องของวงการสังคม. การเมือง. ความสัมพันธ์ต่างๆนานาในโลกของมนุษย์เงินเดือน ความที่ว่าเนื้องานและตำแหน่งที่ทำงานอยู่ทำให้ต้องรู้เห็นอะไรหลายอย่างที่บางทีไม่ได้สวยงามไปซะทุกเรื่อง.  เอาเป็นว่าด้าน soft side ของงานทำให้เครียด

ทว่าตอนนี้ทุกอย่างถอยกลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้นซะงั้น

เหมือนทอยลูกเต๋าบนเกมเศรษฐีแล้วได้ใบที่บอกว่า "กลับไปจุดเริ่มต้น" 55555

นี่มันคือชะตาชีวิตของเรารึนี่

กลับไปเริ่มใหม่. โลกใบใหม่  เดินใหม่.... พยายามใหม่.  ก้อเหนื่อยอะสิคะ. 

รู้สึกทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมาต้องบอกตัวเองทุกวัน ว่าต้องอดทนนะ.  พยายามต่อไปนะ

มีคนพูดเอาไว้น่าฟังว่า "ถ้าหยุดตอนนี้ก้อเท่ากับ ศูนย์. แต่ถ้าทำต่อไปอาจจะสำเร็จนะ"

นั่นสิ... หยุดไม่ได้.  และไม่ได้อยากหยุดด้วย

เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ. เปิดรับตลอด. มันเลยเหนื่อยค่ะ.  เพราะว่าเห็นโอกาสอยู่ตลอดเวลา. และพยายามจะวิ่งตาม.  วิ่งตามหาตัวเลข5555

เศรษฐกิจชะลอตัว.  เงินเฟ้อสูงลิบลิ่ว.  น้ำมันแพง. ข้าวของแพง. สิ่งเหล่านี้เข้ามากดดันเข้าไปอีก

เราต้องต่อสู้. ต้องฝ่าฟัน. มีดาบอยู่ในมือแล้ว.  คือ Passion. ทำสิ่งที่รักที่ชอบทุกวัน

ฉันจะวาดรูปต่อไป. ฉันจะทำงาน art ต่อไป 

บอกตัวเอง. ถ้าเรากำลังเหนื่อย. เราก้อคงต้องพักบ้าง.  ไม่มีใครว่าอะไรหรอก เพราะเราคือเจ้านายตัวเอง

คิดๆดูแล้วบางทีเป้าหมายไม่ได้สำคัญเท่ากระบวนการระหว่างทาง. 

เพราะว่ากระบวนการนั้นใช้ระยะเวลายาวนาน.  หากเราอยู่กับมันแล้วมีความสุข. นั่นก้อน่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ.  

จุดเป้าหมายเป็นเพียงจุดเล็กๆหนึ่งจุด. หรือจะเรียกหลักไมล์ก้อได้. Milestone นั้นไม่ได้มีอันเดียวในชีวิตนี้   หมายความว่าไปถึงแล้วก้อต้องไปต่อจุดต่อไปอยู่ดี.  จนกว่าชีวิตจะสิ้นไป

คล้ายๆว่าคนเรามันก้อเหมือนไม่เคยจะพอหรือเปล่า.   เมื่อได้มา. ก้อต้องเหนื่อยรักษาไว้อีกแหละ. แล้วก้อตั้งเป้าให้มันสูงขึ้นไปอีก.  เหมือนกลัวว่าชีวิตจะไม่มีอะไรทำหรือไงเนี่ย5555

สรุป "รู้ว่าจะทำอะไร". ยังดีกว่า "ไม่รู้จะทำอะไร" นะคะ

เมื่อรู้แล้วก้อมุ่งหน้ากันต่อไป.  

...ไปต่อกันเถอะค่ะ. ทุกคน


สู้เนอะ


มีนาคม 23, 2565

แจ้งข่าวโปรโมชั่น ลดราคาหนังสือในงานสัปดาห์หนังสือที่บ้าน

 


😁 วันนี้มาบอกข่าวดีกับผู้อ่านที่อาจจะสนใจผลงานเรื่องสั้นอีกชิ้นหนึ่งค่ะ

จริงๆแล้วเรื่องนี้ทำเป็น ebook ออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปีที่แล้ว.  เป็นเรื่องสั้นที่ถือว่าค่อนข้างยาวแล้วนะคะ  อิอิ ก้อยาวแบบสั้นกว่าของคนอื่นอยู่ดี 55555

เอาเป็นว่าเขียนเอาไว้เนิ่นนานนนน.  อยากอนุรักษ์ของเก่าค่ะ. ฮ่าาา ไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนเนื้อหาอะไรเยอะ หวังไว้ว่าวันหน้าจะเขียนได้ยาวไปกว่านี้แล้วจะได้เอามาเปรียบเทียบกัน ว่าตัวเองมีพัฒนาการเป็นอย่างไร

ทำ. Banner มา Promote หนังสือตัวเองซะอีกนะ งานนี้ใช้วิทยายุทธ Photoshop ขั้นสุดล่ะค่ะ. เอาเป็นว่าได้ซาบซึ้งแล้วละว่าการทำภาพเพื่อการตลาดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง. 

ทำทุกอย่างเอง. ทำปก ทำรูปเล่ม ทำ layout 

ทำไปก้อสนุก. เหมือนตัวเองอยู่ในโลกแฟนตาซี.  Banner มีดาวกระพริบวิบวับ. มีทุ่งก้อนเมฆ. โอ้วววว ชอบค่ะ

"อีกครั้ง" เป็นเรื่องสั้นแนวน่ารัก กุ๊กกิ๊ก ที่ผู้เขียนชอบมากเป็นการส่วนตัว. 

 คงต้องชอบแหละ ไม่งั้นจะเขียนออกมาได้ไง.  

ลองนึกภาพสมัยยังอยู่ในวัยเรียน.  มันก้อมีกันบ้างล่ะคะ.  ชอบรุ่นพี่เท่ๆ. กรี๊ดดดด. 

เขียนจบมีอมยิ้ม.  ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ไปตามความรู้สึกแบบเด็กๆแแหละค่ะ

อย่าไปบอกใครเชียวค่ะ. ว่าเรื่องจริงมีแค่งานกีฬาที่โรงเรียน กับรุ่นพี่เป็นนักฟุตบอลโรงเรียน. ที่เหลือ....จินตนาการ....เดี๋ยวนี้เรียกว่า มโน. 555555

การ "มโน" เก่งนั้นเป็นลักษณะที่สำคัญของการเป็นนักเขียน ใช่มั้ยเอ่ย

ผู้เขียนคงจะเป็นมนุษย์ที่มีโลกหลายใบอยู่ในหัวสมอง.  ตราบชีวิตยังไม่สิ้น. คงจะได้เขียนเรื่องต่อๆไปอีกค่ะ. มี plot มากมายในหัวสมอง.  แต่ว่าเวลาในชีวิตมันมีจำกัด.   

ตอนนี้ให้เวลากับงานวาดรูปเป็นหลักอยู่ค่ะ.  ใช่ว่างานวาดรูปจะทำเงินอะไรมากมายหรอกค่ะ  เปล่าเลยจริงๆ(พูดแล้วเศร้า) ....เพียงแต่ว่าเป็นช่วงเวลาของการสะสมงานใน  portfolio และงานเขียนเป็นงานที่ใช้พลังงานมาก. เขียนๆหยุดๆ ไม่น่าจะได้ค่ะ.  เลยยังจัดระบบตัวเองให้กลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ไม่ได้ซะที. จึงต้องรบกวนคนอ่านให้อ่านเท่าที่เขียนจบไปแล้วไปก่อนนะคะ

เผื่อว่านักอ่านท่านไหนสนใจตามไปอ่านได้ตาม link ของ MEB Ebook Store ด้านล่างได้ค่ะ

"อีกครั้ง"

เรื่องราวความรักวัยเรียนของสาวน้อยที่แอบรักรุ่นพี่  


นิยายรักขนาดกระชับ อ่านรวดเดียวก้อจบ ฟินแล้ว ฟินอีก รักรุ่นพี่แบบนี้ต้องจิกหมอนนอนอ่านให้หายกรี๊ดสิคะ


รอมอายุมากกว่าสามปี  ตัวสูงแต่ไม่ถึงกับผอมบางอย่างที่เด็กหนุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นกัน.  ร่างหนาแต่ก็ไม่ได้เกินเลยจนถึงขั้นล่ำ. 

ยิ่งไปกว่านั้น รอมชอบทำตัวผู้ใหญ่เกินวัย ชอบนำคนอื่น ชอบสั่งสอน และพูดเท่าที่จำเป็นกับคนที่ไม่ได้สนิทสนมด้วย เหมือนจะเป็นชายหนุ่มขรึมๆ แต่แอบซ่อนความซนเอาไว้ในนัยน์ตาสีเหล็กคู่นั้นเสมอ


เรื่องราวของสาวน้อยและหนุ่มน้อยจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามต่อไปในเล่มค่ะ 








....ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมค่ะ.....









มีนาคม 09, 2565

ปีนี้ (2565) จะออก Ebook นิยายเรื่องใหม่ให้ได้ซักหนึ่งเล่ม


ความตั้งใจที่ออกนิยายเล่มใหม่ซักทีนั้นมีมาตั้งแต่ปีที่แล้วค่ะ  ทว่าก้อไม่สามารถบริหารจัดการตัวเองให้ทำได้สำเร็จ  จึงต้องมีการเลื่อนเป้าหมายมาเป็นปีนี้

ท่ามกลางสิ่งใหม่ๆที่ต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง กับสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำเพื่อสะสมชิ้นงานเพิ่มพูนเพื่อรอวันเก็บดอกผล มันก้อใช้เวลาแบบว่าเจ็ดวันต่อสัปดาห์ และทำงานกันวันละประมาณ 12-14 ชั่วโมง  จนรู้สึกว่าใช้สายตากับจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป และรู้สึกปวดตาเป็นพักๆแล้วล่ะคะ

ทีนี้งานเขียนก้อเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยังอยากจะทำอยู่ต่อไป  เคยดึงตัวเองออกมาจากการวาดรูปพักนึง  นั่งตั้งหลักอยู่พักใหญ่เลย  กว่าจะคิดออกว่าควรจะเริ่มจากสะสางโครงเรื่องให้เรียบร้อยก่อนจะดีไหม  เพราะไม่งั้นก้อจะเขียนแบบดั้นด้น หรือแบบไปตายเอาดาบหน้าเหมือนสมัยยังเป็นเด็กไงล่ะคะ

แล้วสุดท้ายเขียนไปเขียนมาก้อจบไม่ลง  ส่วนมากจะเป็นอาการที่ว่าย้ายไปเขียนเรื่องใหม่ เรื่องที่สาม เรื่องที่สี่ห้าหกไปเรื่อย   พอจะกลับมาเขียนเรื่องที่หนึ่งต่อ  ...อ้าว  เขียนไงต่อดีละเนี่ย

ไปรื้อค้นนิยายเก่าๆสมัยก่อนที่เคยเขียนค้างเอาไว้มาให้ผู้อ่านดูตามภาพข้างล่าง   ดูๆไปแล้วเรานี่มีนิยายที่ยังเขียนไม่จบเยอะเป็นตั้ง  


สมัยยังเป็นเด็กเขียนด้วยปากกาหมึกสี เขียนลงบนสมุดนี่หละค่ะ  จะเห็นได้ว่ากระดาษเหลืองไปตามกาลเวลา แน่ล่ะ  เวลาน่าจะผ่านมาเกินสามสิบปีแล้ว

จริงๆสมัยนั้นมีเครื่องพิมพ์ดีดแล้วล่ะค่ะ  แต่ว่าพิมพ์ดีดแบบเร็วๆไม่เป็น และพิมพ์ไปพอไม่ถูกใจมันก้อลบไปลบมา ลบยากด้วย  ลบแล้วก้อเลอะเทอะไปหมด ทำให้ไม่ลื่นไหลเหมือนการเขียนด้วยมือหรอกค่ะ  

แล้วอาจจะมีนิยายที่เขียนเอาไว้มากกว่านี้  แต่ว่าเป็นคนย้ายบ้านบ่อย  สมุดเก่าๆสูญหายไปมาก อย่าว่าแต่สมุดเก่าๆเลย  หนังสือการ์ตูนที่รักมากๆยังหาย  บางทีปลวกก้อแทะไปหมด  รู้สึกเสียดายแต่ก้อไม่รู้จะทำอย่างไรได้  หลงเหลือมาจนถึงวันนี้เท่านี้ก้อบุญแล้วเนี่ย5555

สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นตัวเองได้อย่างดี

สิ่งใดที่เราเคยชอบทำตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก  หมายถึงว่า เราทำโดยที่เป็นตัวเราจริงๆ ไม่ได้ต้องการเงินหรือค่าจ้าง   ไม่ได้มีใครบังคับให้ทำ และเราไม่เคยจะหยุดคิดถึงสิ่งเหล่านั้น   มันก้อคือ passion ของเราจริงๆ  

และจงซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตัวเอง  เพราะชีวิตมันแสนสั้น  ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนเราจะอยู่หรือไป  อยากทำอะไรก้อจะทำให้สุดใจเลยค่ะ

ตอนนี้ขาย ebook กับเค้าเหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยรุ่งเรืองเท่าไหร่ค่ะ ฮ่าาาา เอาเป็นว่า มันเหมือนเป็น Project ที่ต้องศึกษากันต่อไปอีกยาวๆ  คิดว่าจะประสบความสำเร็จในงานเขียนได้คงจะต้องเขียนให้ถูกใจตลาด (หรือเปล่าเนี่ย) และมีงานเขียนออกมาเยอะๆ อย่างต่อเนื่อง. อีกอย่างนึงคือ ส่วนใหญ่นิยายของเราสั้นเกินไปไหม. สังเกตว่าท่านอื่นๆที่เขียนกันเค้าเขียนเป็นหลักหลายหมื่นนนนนนนคำ. โอ้วววว....

มีนิยายเรื่องใหม่เก็บไว้ในมือเกือบได้เวลาคลอดสู่ตลาดแล้วล่ะค่ะ.  คราวนี้จำนวนคำหลักหมื่นอยู่เหมือนกัน.  คงจะยาวพอที่จะเรียกว่านิยายได้.  หากจะแก้ไขให้ถูกใจคงจะไม่เสร็จหรอกค่ะ. เพราะว่าคงจะแก้อยู่อีกนานนนนน. จนสุดท้ายไม่เสร็จซักที (คนอ่านเลยจะไม่ได้อ่านละทีนี้)

เฮ้อ. (ถอนหายใจกับตัวเอง)😅

จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรและอย่างไรนั้น โปรดติดตามกันต่อไปนะคะ อิอิ😚



ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม blog ค่ะ. 

---------------------------------------

Link งานเขียน Ebook

MEB : เรื่องสั้น "ความสุขสุดขอบฟ้า"




กุมภาพันธ์ 23, 2565

ฉันจะรอวันดอกไม้บาน


ในบรรดางานกราฟฟิกที่ผู้เขียนกำลังหัดเรียนรู้แล้วรู้สึกว่ามีความรู้เกี่ยวกับมันน้อยที่สุดตอนนี้คือ งานประดิษฐ์ตัวอักษรค่ะ

บางคนเรียก อักษรวิจิตร. แต่ technical term ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Typography อะค่ะ

จะว่าไปตอนเด็กๆ สมัยเรียนศิลปะเป็นวิชาโทในโรงเรียน (น่าจะช่วงมัธยมต้น-ปลายนี่หละ) ก้อได้เรียนอยู่เหมือนกันค่ะ. ทว่าเป็น project เล็กๆที่เรียนอยู่แค่ประมาณคาบถึงสองคาบเรียนเท่านั้น

ผู้เขียนเลยรู้สึกว่าต้องคลำทางหนักหนาอยู่แฮะ.  เพราะหลังจากเข้าสู่การวาดรูปแบบเต็มตัวและหัวใจ.  แบบว่ามันปะติดปะต่อระหว่างการวาดตัวหนังสือ , hand lettering, Calligraphy, Font และเรื่องการเลือกใช้  Font ไปจนการสร้าง Font

พยายามวาดออกมา.....สุดท้ายก้อออกมาแบบงงๆ. และประหลาดหน่อยๆอยู่ดี 5555😅

ผู้เขียนน่ะสนใจเรื่องงานวาดเป็นส่วนมากค่ะ.  เรื่องงานตัวอักษรนี่ชักจะรู้สึกว่ามันสำคัญมากเหมือนกัน ทำไปทำมาเลยต้องมาเจาะลึก.  และอยากทำออกมาให้สวย. แต่ดูแล้วก้อคงจะต้องใช้เวลาไปอีกสักพักนะคะ. กว่าจะตกผลึก. คือ. ....สวยมากไปกว่าอันนี้. 

ทำไงได้.  เราไม่ได้เรียนมาทางนี้ตั้งแต่สมัยปริญญาตรี. จึงต้องพยายามเยอะๆ. เพราะว่า skill นี้มันต้องใช้  

งานวาดมันจะโผล่ขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา.  หากมีงานตัวอักษรเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนแล้วละก้อ. มันจะเติมเต็มซึ่งกัน. ทำให้งานดูน่าสนใจขึ้นมาอีก

"ฉันจะรอวันดอกไม้บาน"  ที่เขียนประโยคนี้ขึ้นมา. ก้อมีความหมายแอบแนบอยู่ในนั้น

คือสักวันหนึ่งเราคงจะเก่งกว่านี้.  เราคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราตั้งใจกับมัน

ประหนึ่งว่าเรากำลังเพียรปลูกต้นไม้. สักวันที่ถึงเวลามันคงจะเจริญเติบโต. มีผลให้เก็บกิน หรือออกดอกให้เราได้ชื่นชมบ้างละนะ. 

คนเรามันต้องให้ความหวังกับตัวเองกันซะบ้าง.  

เอิ่ม...แต่ว่าจะอีกนานไหม.   กว่าดอกไม้จะเบ่งบาน. ความฝันจะเจิดจรัส. 

เฮ้อ...รอกันต่อไป

✌☺