ธันวาคม 02, 2564

Yearly Review 2021: ทบทวนชีวิตในปี 2564


 

เกร๋มั้ยล่ะคะ  ปีนี้จะมาทบทวนชีวิตให้ฟังกัน อิอิอิ.  ราวกับกำลังเขียน Executive summary ให้อ่านกันซะงั้น

อ่านกันเล่นๆ แต่คนเขียนเอาจริงนะ. หมายถึงตั้งใจเขียนจริงๆ เชื่อว่าจะเป็นตัวอย่างประสบการณ์ให้กับหลายคนที่คิดจะ early retire ออกมา หรือคนที่เกษียณออกมาแล้ว. อยากจะรู้ว่าชีวิต post-retirement นั้นมันเป็นยังไง

ท้าวความย่อๆเผื่อให้คนที่เพิ่งจะเข้ามาอ่านเป็นครั้งแรก ว่าผู้เขียน early retire มาได้สองปีแล้วค่ะ ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 2564 นี้ก้อถือว่าครบ 3 ปีพอดี. รายละเอียดการเดินทางตั้งแต่ต้นรบกวนอ่านย้อนหลังได้ค่ะ. หรือย้อนไปไกลโพ้นตั้งแต่ตอนผู้เขียนยังทำงานเป็นมนุษย์ลูกจ้างก้อยังได้อยู่.  เพราะว่า blog นี้อายุได้ 10 ปีแล้ว เขียนมาอย่าง..งงๆ ว่าเขียนอะไรดีวะเนี่ย.5555 แต่ก้อเขียนมาจนได้ถึงวันนี้ 

ปัจจุบันผู้เขียนทำงานอดิเรกให้เป็นงานประจำ คือ การวาดรูปเป็นหลัก. คำว่าเป็นหลักคือ ใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้มากที่สุดในบรรดาทั้งหมดค่ะ

แต่อย่าคิดนะคะว่า จะได้รายได้จากการวาดรูปนี้เป็นรายได้หลัก. เพราะจะบอกว่า. รายได้น้อยมาก (จนคิดว่าไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ยเนี่ย)

ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่มันน้อยค่ะ.  ผู้เขียนคิดเองคร่าวๆ น่าจะเป็นสาเหตุดังนี้

ปัจจัยภายใน (ตัวเอง)

  • Skill การใช้โปรแกรมยังไม่คล่อง (Adobe Photoshop, Lightroom, Illustrator, Indesign, PremierPro, After Effect, Procreate, ClipStudio, Vectornator, Affinity. ฯลฯ) 
  • มองภาพตลาด(Know your Market) ไม่ออก. ไม่รู้ว่างานวาดมีสไตล์ หรือการใช้งานที่แตกต่างกัน วาดอย่างที่คิดว่าวาดอะไรได้บ้างก็วาดไป. ไม่รู้ว่าคนที่ซื้องานเราเค้าเอาไปทำอะไร. ทำเช่นนี้ประดุจสร้างงานแบบเหวี่ยงแหค่ะ  5555. ก้อต้องเหวี่ยงล่ะ. เพราะมันไม่รู้นี่หว่า. เหวี่ยงไปโดนอะไรก้อไปวาดสิ่งนั้นเยอะๆ เพราะรู้ว่าสิ่งนี้มันขายได้ถึงแม้ไม่ได้ขายดี. แต่เราเป็นผู้มาใหม่. ก้อต้องเอาแบบนี้ไปก่อน
  • มีความคิดอินดี้ว่าไม่อยากวาดงานแนวที่เค้าขายดี. เพราะมันเกร่ออออ และในตลาดมีเยอะแล้ว. แข่งขันก้อสูง. สงสัยจะเหนื่อยเปล่า. ก้อเหนื่อยจริงๆค่ะ แฮ่กๆเลย. เป็นช่วงเวลาแห่งความเหนื่อยหนักและน่าท้อใจ
  • ไม่สามารถทำตาม timeline หรือ plan ที่ตั้งไว้ เช่น. ตั้งใจว่าจะ submit งาน เท่านั้นเท่านี้ ก้อทำไม่ได้ครบตามที่ตั้งใจค่ะ. มีผลทำให้จำนวนงานมัน growth น้อย ไม่สามารถจะทำยอดขายได้. แล้วก้อยังขัดแย้งในใจเกี่ยวกับเรื่องจำนวนงาน.  ว่าบางท่านที่ประสบความสำเร็จในการขายงานพวกนี้เค้าจะบอกว่าจำนวนไม่ใช่สิ่งที่เป็นหัวใจของรายได้.  บางคนมีงานไม่เยอะ แต่ขายถูกที่ถูกตลาดและถูกเวลา ก็ปังงงงได้.  คนที่งานเยอะๆเป็นหลักพันหลักหมื่นเค้าเริ่มมาก่อน ก้อเลยมีงานเยอะ. ยอดขายก็เลยดีกว่า
ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงภายนอกเข้ามากระทบ
  • ธุรกิจขายงานวาดของเราเป็นธุรกิจรักสามเศร้าดีๆนี่เองค่ะ.  สามเศร้าคือมี 3 ตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกัน คือ
    1. ตัวเราผู้สร้างงาน
    2.  Marketplace ที่เรานำงานไปวางขาย
    3. Payment Gateway ได้แก่ Paypal, Payoneer เป็นต้น
  • ปี 2563 ปีที่แล้ว marketplace รายใหญ่อย่าง ShutterStock ประกาศลดค่า commission จากเดิมอัตรตำ่สุดที่ผู้สร้างงานจะได้รับเหลือเพียง 0.1 USD ซึ่งทำให้ความ shock ในหมู่บรรดาผู้สร้างงานทั่วโลก บทเรียนนี้จึงสอนให้รู้ว่ามันมีความไม่แน่นอนในทางรายได้จริงๆค่ะ  แต่โชคดีที่รายอื่นๆเค้าไม่ได้ลดตามไปด้วยนะคะ. มันจึงเหมือนเป็นการบีบให้ผู้สร้างงานจะต้องหัดนำงานไปขายหลายๆที่เพื่อกระจายโอกาสในการขายไปโดยอัตโนมัติ
  • ปีนี้ 2564. จากการที่เกิดวิกฤตโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรน่า ทำให้ประเทศทั่วโลกเป็นหนี้สิน รัฐบาลแต่ละประเทศต้องพยายามหารายได้. สำหรับประเทศไทยจึงเกิดการเก็บภาษี vat กับพวกธุรกิจออนไลน์ทั้งหลาย. ทีนี้ทาง Paypal เค้าเป็นเจ้าใหญ่ระดับโลก  จึงต้องมาเปิดบริษัทในประเทศไทยและจัดการกฎระเบียบต่างๆให้สอดคล้องกับกฎหมายตัวใหม่ของไทย ทำให้ผู้สร้างงานแบบบุคคลธรรมดาไม่สามารถรับเงินที่ทาง marketplace โอนมาให้ได้. จะต้องไปเปิดบัญชีใหม่กับทาง Paypal แบบบัญชีพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งก้อไม่ใช่ทุกคนจะเปิดเปิดบัญชีแบบพาณิชย์กันได้ มันมีรายละเอียดข้อกำหนดลึกๆ อีกอะค่ะ.  สรุปว่าโชคดีที่มี Payoneer อยู่อีกหนึ่งแห่ง. แต่ก้อได้ข่าวว่าเก็บค่าธรรมเนียมโน่น-นั่น-นี่ เยอะแยะ  น่าสงสารบรรดาผู้สร้างงานทั้งหลาย. รวมทั้งตัวเอง.....กว่าจะได้เงินเข้ากระเป๋าาาาาา.  ซึ่งเงินมันก้อน้อยอยู่แล้วค่ะ

รักสามเส้า. หรือ รักสามเศร้า ก้อชักจะคล้ายๆกันล่ะค่ะ  ดึงกันไปกันมาระหว่าง 3 ตัวะคร ทำให้ยอดรายได้ได้รับผลกระทบ. คิดบ่อยๆว่าเลิกทำดีกว่ามั้ย.  

นี่นะหรือการทำตาม passion มันเจ็บปวดมิใช่น้อยนะคะเนี่ย มันเหมือนอิสรภาพเต็มเปี่ยม. ไม่ต้องมีเจ้านาย. ไม่ต้องมีนายจ้าง. คนที่เค้าทำแล้วประสบความสำเร็จก้อยังมีให้เห็นอยู่นะคะ. แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว...คงต้องเดินต่อไปอีกอะค่ะ

ไม่มีเหตุผลอะไรเลิศเลอในการไปต่อค่ะ.   เพียงแค่ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา...รู้สึกตัวอีกที. ก้อกลับมานั่งโต๊ะทำงานและสร้างสรรค์งาน.  มันเหมือนอัตโนมัติ. บางทีหยุดทำไปบ้างก็มักจะเป็นเพราะปวดหลัง แสบตา แต่ไม่ใช่หยุดทำเพราะคิดไม่ออกค่ะ.  

ทำด้วยใจที่ยังอยากทำ.  ก็ทำกันต่อไปค่ะ....

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ.  

ตุลาคม 13, 2564

ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง


อีกไม่นานปี 2564 กำลังจะผ่านพ้นไปอีกปี อีกสองเดือนก้อเป็นเดือนธันวาคมแล้วสิเนอะ

นับนิ้วได้ 3 นิ้ว. ผู้เขียนหยุดทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาได้ 3 ปี ในเวลาเดียวกันก้อเปลี่ยนอาชีพเป็นมนุษย์เกษียณแต่ยังเยาว์ได้ 3 ปีเหมือนกัน

นึกๆแล้วคำว่า "มนุษย์เกษียณแต่ยังเยาว์" นี่ฟังดูน่ารักดีนะ แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า   early retire 

เคยมีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า Dying Young (1991) พระเอกของเรื่องเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 28 เพราะเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว เลยเป็นที่มาของชื่อหนัง. สมัยนั้น (คิดดูว่ากี่ปีมาแล้ว) หนังค่อนข้างโด่งดังมาก น่าจะเข้าข่ายโรแมนติกดราม่า  มาแบบพระเอกตายตอนจบแบบนี้คนดูคงจะน้ำตาแตกท่วมจอ

จำได้ว่าเคยดูทางทีวีที่เขาเอามาฉายย้อนหลัง มีข้อคิดคมๆเยอะเกี่ยวกับคุณค่าของการมีชีวิตอยู่  แต่ว่าไม่ได้จดเอาไว้เลยอะจ้า

ที่พูดถึงหนังเรื่องนี้เพราะชื่อหนังมันเก๋ๆ เหมือนกับคำว่า เกษียณแต่ยังเยาว์นี่หละ

เกษียณก่อนวัยอันสมควร คงไม่ต่างอะไรไปจาก การเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่ทันแก่ 55555

สองเดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ ผู้เขียนยังจินตนาการถึงชีวิตเกษียณของตัวเองอย่างหยาบๆ ว่าตัวเองจะเป็นยังไงหนอ.  

มาถึงตอนนี้....บางอย่างก้ออยู่นอกเหนือจินตนาการไปเยอะ.

และ หลายอย่าง...ก้อพอจะคล้ายๆกับที่คิดไว้ ปนๆกันไป

เอาเรื่องดีๆ ก่อนละกันที่อยู่นอกเหนือจินตนาการ

1.  เกษียณแล้วหน้าตาจะดี. มีออร่าจับกันทุกคน  (ไม่เชื่อลองเกษียณดู) 

หน้าตาคนเกษียณก่อนกำหนดจะสดใส. เพราะได้นอนเต็มอิ่ม  อาการเครียดจากความรับผิดชอบท่วมท้นหัวสมองจะหายไป. เพราะไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบอีกต่อไป  กฎระเบียบและนโยบายอะไรต่างๆนานาจะเลือนหายไปจากสมอง  ไม่ต้องมี Goal ไม่ต้องมี KPIs มากดดันชีวิต.  ไม่มีคนมาคอยสั่งและจิกตามงานในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นจิกทาง line/email/โทรศัพท์  ไม่ต้องมีลูกน้องมาให้รับผิดแทน (เวลารับชอบต้องยกให้ลูกน้อง แต่เวลาลูกน้องทำผิดพลาด หัวหน้าโดนเต็มๆ)

2. เกษียณแล้วมีเวลาเยอะ. ไม่ต้องรอ weekend

เวลาจะมีมากโดยไม่ต้องคอยนับวันบนปฏิทินว่าเมื่อไหร่จะถึงวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดยาวๆ แบบ long weekend  หลับแล้วตื่นขึ้นมาไม่ต้องรู้ก้อได้ว่าวันนี้วันอะไร. เพราะทุกวันคือวันหยุดของเรา. จะทำอะไรก้อได้ตามใจเรา. ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเจอรถติดวันฝนตกแล้วไปทำงานไม่ทัน. หรือเจอฝนตกตอนเย็นรถติดหนักกว่าจะถึงบ้านก้อหมดแรง

3. เกษียณแล้วสุขภาพจะดี

สุขภาพจะดีได้เพราะไม่เครียดเป็นเหตุผลหลักๆ  ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เราจะนอนหลับได้ดีขึ้นเพราะว่าไม่ค่อยมีเรื่องงานให้กังวล  เป็นผลมาจากข้อ 1 เต็มๆ นอกจากผิวพรรณจะดีเปล่งปลั่งแล้วสุขภาพก้อดีไปด้วย


สามข้อข้างบนเป็นเรื่องดีๆของพวกเกษียณมือใหม่หัดขับ หมายความว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกของช่วงแรกๆของการเกษียณ  เรียกช่วงฮันนีมูนน่าจะเข้าใจง่ายกว่า

พอระยะถัดมาเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงของชีวิต5555 เช่น

-  ถ้าไม่ใช้เวลาให้เหมาะสม ว่างมากไป ทำให้ใช้พลังงานน้อย.พาลนอนไม่หลับ หรือหลับยาก 

-  ว่างมากไป ทำให้ฟุ้งซ่าน คิดเยอะ กังวลง่าย ทุกข์ง่าย 

-  มีเวลามากแต่รายได้เป็นศูนย์. ทุกวันเงินเดือนออกไม่มีเงินเข้าบัญชีซักกะบาทเดียว น่ากลัวไหมคะ

-  อยากถูกลอตเตอรี่ อยากรวย  กลัวจน กลัวเงินหมด กลัวติดโควิท ...สารพัดค่ะ

-  ไม่มีโอกาสสังสรรค์ พบปะกับใคร. เพราะเพื่อนๆเค้ายังทำงานกันอยู่. เพิ่งจะรู้ว่าที่ทำงานหายไป สังคมของเราก้อหายไปด้วย. แรกๆเหมือนชีวิตจะดีเพราะเงียบสงบ.  แต่พอนานไปรู้สึกว่าจะกลายเป็น "เงียบสงัด" จนน่าใจหาย

- รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นพวก "ไร้สังกัด" หรือ "nobody" ขึ้นมาซะอย่างนั้น คือแต่ก่อนเวลาใครถามว่าทำงานอะไร-ที่ไหนก้อตอบได้อย่างไม่ขัดเขิน. พอมาตอนนี้รู้สึกบาดใจขึ้นมาทันทีเวลาถูกถามว่าทำงานอะไร-ที่ไหน. เพราะว่าเป็นงานส่วนตัวที่อธิบายได้ยาก  ทำให้บางทีเหมือนความมั่นใจในตัวเองมันพร่องไปเหมือนกัน


สิ่งเหล่านี้คนเกษียณจะต้องพบเจอ. ไม่ว่าจะเกษียณก่อนอายุ 60 หรือหลังอายุ 60. จะช้าหรือเร็ว ตัวผู้เขียนคิดเองว่าโชคชะตา ฟ้ากำหนดให้ได้เจอเร็ว จะได้รับมือก่อนจะรับไม่ไหว. หากรอจนถึงอายุ 60

อย่างไรเสียชีวิตก้อเหมือนการโต้คลื่น. มีขาขึ้น ก้อมีขาลงแหละค่ะ. จงยอมรับกับสิ่งที่เราได้รับ ยอมรับกับสภาพในปัจจุบัน ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว. 

ทุกวันของชีวิตก้อต้องทำให้มันมีค่าเสมอ คำว่า "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" ช่างน่าซาบซึ้ง ตอนนี้มีเวลามาก แต่เงินก้อหายไป. 

เงินทองยังสะสมให้งอกเงยพอได้อยู่. แต่เวลาในชีวิตนั้นสะสมไม่ได้. หมดแล้วคือหมดเลย

บิดามารดาแก่เฒ่าลงไปตามกาลเวลา ถ้าผู้เขียนไม่ได้ออกจากงาน. คงจะไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว วันเวลาของผู้มีพระคุณลดน้อยลงไปทุกวัน  ถ้าเราจะไปนึกถึงท่านตอนท่านไม่อยู่แล้วก้อคงจะไม่มีประโยชน์ใช่ไหม

ปาฏิหาริย์อาจจะมีจริง. แต่คงจะต้องสำหรับคนที่ลงมือสร้างปาฏิหาริย์นั้นด้วยตนเอง  ผู้เขียนฝันอยากมีชีวิตที่ดี  อยากมีรายได้จากการทำงานในวิถีนักวาดให้เลี้ยงตัวเองได้  ก้อคงจะต้องลงมือทำต่อไป. ทำไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ.  สักวัน....และสักวัน วันไหนก้อไม่รู้


ทำมาแรมปีแล้ว....ไม่รู้ต้องทำไปอีกแค่ไหน. เหนื่อยก้อพัก. หายเหนื่อยแล้วลุกขึ้นไปต่อค่ะ

เอาเป็นว่าประเมินผลการปฏิบัติงานของตัวเองแล้วพบว่ายอดรายได้โตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา  แม้จะไม่ได้ตามเป้าใหญ่ที่ตั้งใจเอาไว้.  ก้อถือว่าสำเร็จในเป้าหมายเล็กๆอีกหนึ่งขั้น. ต้องไต่ระดับต่อไปอีกเรื่อยๆ 

เมื่อกี้เป็นเป้าหมายทางการเงิน. ส่วนเป้าหมายด้านปริมาณงานถือว่าตัวเองแย่กว่าปีที่แล้ว. เพราะผลิตชิ้นงานได้จำนวนต่ำกว่าเป้า. 

อย่างไรก็ตาม. ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ



ตุลาคม 02, 2564

ค่าของงานกับเงินเดือนของคน : Job Value and Basic Salary

บอกตามตรงว่าจริงๆแล้วไม่ค่อยอยากเขียนอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคลเท่าไหร่  แม้ว่าจะเคยอยู่ในวงการนั้นมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่เป็นมนุษย์เงินเดือน

ทำไมเหรอ...อาจจะมีคนสงสัย

กลัวว่าจะทำให้คนอ่าน blog เครียดไง. ตั้งใจทำ blog ให้เป็นสถานที่พักผ่อน เล่าเรื่องวาดๆเขียนๆ เรื่องศิลปะมากกว่าจะมาเล่าเรื่องงาน(ในอดีต)

แถมถ้าเล่าละก้อมีเล่ายาวววว...แน่. ไม่เชื่อก้อคอยดู. ฮ่าาาาาา

อาจจะต้องเปิด Tab Menu อีกสักหนึ่ง Tab ไม่ให้ปนไปกับเรื่องอื่น. ซึ่งเราก้อว่ามันเยอะหลายเรื่องอยู่แล้วนะ. ...ยังมีเพิ่มอีกเหรอเนี่ยยยยย

มันอดจะมีความเห็นไม่ได้สิคะ. เวลาได้พบเจอเรื่องราวที่มันเกี่ยวโยงกับประสบการณ์การทำงานเก่า. บางทีอาจจะมีประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง. หรืออ่านเอาเพลิดเพลินก้อยังได้อยู่ใช่ไหมคะ

เข้าเรื่องละนะ

เรื่องมีว่ามีคนรู้จักกันเพิ่งจะถูก "ดีดทิ้ง" จากองค์กรมาสดๆร้อนๆ.  องค์กรที่ว่าเป็นองค์กรใหญ่โตมีชื่อเสียง และเค้ามีนโยบาย "ผลัดใบ" เป็นปกติของเค้ามานานแล้ว. ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษ. หรือเจอวิกฤติอะไรในช่วงนี้จึงต้องมีนโยบายลดจำนวนพนักงาน

คนรู้จักที่ว่านั้นอายุไม่ใช่น้อย  และเงินเดือนที่ได้รับอยู่ก้อไม่ใช่น้อยเช่นเดียวกัน

แต่ที่น่าสนใจคือ ประวัติการขึ้นเงินเดือนที่ผ่านมาของเค้ามีประเด็นที่อยากจะแชร์ให้ฟังค่ะ

คุณ "เอ" (นามสมมุติ) สามปีที่แล้ว,เปลี่ยนงานสององค์กรภายในระยะเวลา 6 เดือน และได้ up เงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากในองค์กรล่าสุด  แถมด้วยตำแหน่งระดับผู้จัดการที่เจ้าตัวอยากได้มานาน. อยู่ในองค์กรล่าสุดด้วยอายุงานเพียง 3 ปี ก้อถูกเด้งออกมา. โดยองค์กรแจ้งว่าต้องการปรับลดค่าใช้จ่าย

ถึงแม้เจ้าตัวจะคาใจอยู่มาก และแน่ใจได้ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดวินัย หรือมีเรื่องทุจริตแน่นอน. แต่ "ทำไมถึงต้องเป็นเรา"...



เงินปลอบใจที่ได้มาก้อคงไม่พอ.  หากว่าหางานใหม่ไม่ได้.  และเท่าที่คุณเอลองไปสัมภาษณ์งานมาก่อนหน้านี้บ้าง. ก้อพบว่าถูกปฏิเสธเพราะเงินเดือนปัจจุบันสูงเกินกว่าที่จะจ่ายได้. และคุณสมบัติด้านประสบการณ์การทำงานก้อไม่ได้สอดคล้องกับเงินเดือน. 

พูดง่ายๆ คือ ลักษณะงานที่เคยทำมาไม่สมควรที่จะได้เงินเดือนสูงขนาดนี้ !!!

อาจมีคำถามอีกว่า คุณเอตำแหน่งถึง "ผู้จัดการ" ทำไมถึงไม่คู่ควรกับเงินเดือนสูงๆล่ะคะ

ตอบตามนี้นะคะ

1.   "ผู้จัดการ" ขององค์กรแห่งหนึ่ง. อาจจะเนื้องานไม่เหมือนกับอีกองค์กรนึงนะคะ

2.   คำเรียก "ผู้จัดการ" เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกตำแหน่งงานระดับหัวหน้างาน แต่ในบางครั้งก้อใช้เรียกคนที่อายุงานสูงหน่อย อาวุโสหน่อย แต่ไม่ได้เป็นหัวหน้างาน

ซึ่งมีให้เห็นทั่วไปในหลายองค์กรนะคะ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่จำนวนพนักงานมากๆ และเป็นองค์กรที่เก่าแก่. 

เรียกว่าเป็น "ยศ" ผู้จัดการละกันค่ะ

3.  ผู้ที่มียศเป็นผู้จัดการมักจะมีไม่มีลูกน้อง. หรืออาจจะมีลูกน้อง แต่ไม่มีอำนาจสิทธิขาดในการประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง. หรือ พิจารณาอัตราโบนัส หรือ ไม่มีอำนาจอนุมัติอื่นใด เช่น. อนุมัติซื้อวงเงินเยอะๆ. หรือ งบประมาณโครงการ เป็นต้น

คุณเอก็เป็นผู้จัดการตามข้อ 3 เนี่ยล่ะค่ะ  

เงินเดือนสูงๆที่ได้มาเป็นเพราะแรงกดดันภายในองค์กร. ระหว่าง Line Manager ที่เป็นเจ๊ดัน. ดันคุณเอเข้ามา. กับ HR แน่นอน. ชักกะเย่อกันไปกันมา สุดท้าย Line Manager ชนะ คุณเอเลยเข้ามาในองค์กรแบบเงินเดือนติดลมบน หรือ ติดเพดานสุดๆ 

แถมพอเข้ามาแล้ว คุณเอแกก้อเป็นพวก "ติดสุข" ไม่ค่อยอยากจะพัฒนาตัวเอง. ชอบทำงานแบบเดิมๆ เรียกว่าแกจะขอโต "แนวดิ่ง" อย่างเดียว. แบบนี้องค์กรเค้าจะปั้นต่อให้เป็นระดับผู้จัดการตัวจริงเสียงจริงก้อไม่โอเคอีก. 

เป็นแบบนี้แล้วจะเหลือเรอะ... 

ลางสังหรณ์เริ่มมาตั้งแต่ปีที่สองของการทำงานแล้วล่ะค่ะ

คือ...ขึ้นเงินเดือนแค่ประมาณสองสามเปอร์เซ็น  (ภาษา HR เรียกว่า โดน Freeze เงินเดือน) หัวหน้าคงทำใจลำบาก เพราะเงินเดือนระดับคุณเอจ้างเด็กจบใหม่ได้สามหรือสี่คน ทำงานเนื้องานเดียวกันกับเด็กจบใหม่เป๊ะ.  

แม้คุณเอจะเก๋าเกมส์.+ รอบรู้กว่า. แต่ว่า....กรอบของงานไม่ได้ต้องการค่ะ. 

เรื่องนี้กำลังให้ข้อคิดว่าค่าของงานเกี่ยวโยงกับอัตราเงินเดือนนะคะ.  แม้ว่าจะมีความซับซ้อนอยู่สักหน่อยว่าในอัตราเงินเดือนที่แต่ละคนได้รับนั้นมี factor ที่เกี่ยวข้องอยู่หลายตัว เช่น อายุงาน, ผลการปฏิบัติงานที่สะสมมา, demand-suply ในตลาดแรงงาน ฯลฯ แต่ที่มีน้ำหนักมากที่สุดคืองานที่ทำอยู่มีค่างานเป็นอย่างไร

วันหลังค่อยมาเล่าต่อเรื่อง "ค่างาน" ให้ฟังอีกทีนะคะ. 

รู้สึกวันนี้เขียนยาวแฮะ. ชักจะเหนื่อยแล้ว 55555

สุดท้ายคุณเอแกไม่ยอมมาเป็นพวก #เกษียณโลกสวย เหมือนกับผู้เขียนนะคะ. แกยืนยันจะหางานเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไปให้ได้

ผู้เขียนก้อขอเอาใจช่วยค่ะ เหนื่อยใจหน่อยนะคะ หางานตอนอายุมากขนาดนี้

บางทีเรื่องบุญ/กรรม/วาสนา มันก้อมีจริงนะคะ. แต่อย่าลืมว่ามีขึ้นต้องมีลง. คุณเออาจจะได้งานใหม่ก้อได้หากมีโชคอยู่.

และขอให้คุณเอสมหวังนะคะ.

ใครที่ยังมีงานทำอยู่ก้อขอให้เต็มที่กับงานนะคะ. อาชีพมนุษย์เงินเดือนเป็นอาชีพที่ดีที่สุดในโลกแล้วค่ะ. คุณจะไม่รู้ว่ามันดีขนาดนี้.  จนกว่าคุณจะออกมาจากมัน ทั้งที่บางทีคุณอาจจะยังไม่ได้ต้องการค่ะ.










กันยายน 22, 2564

จากหนังสือ สู่อาชีพในชีวิต

 โลกของผู้เขียนพันพัวและผูกพันอยู่กับหนังสือมาตลอด. อย่างที่เล่าไปคราวก่อนว่า นอกจากอาหารที่หล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว. ยังมีอาหารสมองที่ผู้เขียน "หิว" อย่างไม่เสื่อมคลาย

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าโลกของเด็กยุคก่อน ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มีอินเตอร์เนต มีเพียงทีวีขาว-ดำ จะไปมีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากการอ่านหนังสือ

จริงๆก้อคงจะไม่ใช่. มีอะไรให้ทำมากมาย แต่รักความรู้ จึงต้องอ่าน



นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว ผู้เขียนอ่านการ์ตูน  นอนวาดรูป  แต่งการ์ตูนอ่านเอง  นั่งประดิดประดอยของเล่น  เช่น เย็บผ้า. เย็บชุดตุ๊กตา. หรือ ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้านบ้าง. แค่นั้นไม่เคยพอสำหรับเวลายามว่าง

ค่าขนมที่เหลือมาบ้างก็จะเอาไปซื้อหนังสือ. 

สมัยนั้นมีรถเร่มาขายหนังสือหน้าโรงเรียนด้วย.  ไม่ได้มาบ่อยๆ. ผู้เขียนจึงตั้งตารอ. เพราะเหมือนราคาจะถูก (เข้าใจแบบเด็ก ว่าราคาถูก555 ที่จริงอาจจจะแพง) วิธีการขายจะมีคนมาแจกใบปลิวล่วงหน้า  เป็นกระดาษบางๆพิมพ์หน้า-หลัง มีรายชื่อหนังสือและราคาพร้อมสรรพ.  ผู้เขียนจะนั่งอ่านใบปลิวอย่างมีความสุขว่ารอบนี้เราจะซื้อเล่มไหนบ้างหนอ

นอกจากนี้มีร้านขายหนังสือการ์ตูนทางเข้าประตูโรงเรียนอีกหนึ่งร้าน. ที่ผู้เขียนเป็นลูกค้าประจำ

ห้องสมุดโรงเรียนก้อเป็นสถานที่ที่ผู้เขียนไปอย่างสม่ำเสมอ 

ตอนช่วงมัธยม ชอบอ่านหนังสือตอบปัญหาชีวิตของ นายแพทย์วิทยา นาควัชระ ซึ่งท่านเป็นจิตแพทย์. ท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่มมาก. สมัยนี้เรียกว่าเป็นซีรีส์ได้เลย. แต่ละเล่มจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ที่มาพบ. และแฝงแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาชีวิตเอาไว้มากมาย.  อ่านแล้วรู้สึกว่าอยากจะเป็นคนช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้ผู้คนได้.  ทำให้ผู้คนมีความสุขแบบคุณหมอ

...แต่ว่า.....ผู้เขียนเรียนคณิตศาสตร์ได้แย่สุดๆ. คาดว่าไปเรียนสายวิทย์เพื่อสอบเข้าเป็นแพทย์. ไปสู่การเป็นจิตแพทย์นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ 5555

เอาความเป็นจริงดีกว่า.  ว่าผู้เขียนมีความถนัดด้านการเรียนภาษามากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน. 

ทำอย่างไรกับอุดมการณ์อันสวยงามดีหนอ....ทำไงฝันจะเป็นจริง. จะได้ช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์

ในที่สุดแรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือก้อทำให้เราสอบเข้าเรียนคณะศิลปศาสตร์ได้. และเมื่อถึงตอนเค้าให้เลือกวิชาเอก. เอกอื่นมากมายดันไม่เลือก. เลือกเอกวิชาจิตวิทยาอย่างไม่ต้องลังเล

55555 ขอหัวเราะอีกที

เพราะเจ้าอุมการณ์ดีนัก...แย่ละงานนี้.  ผู้เขียนไม่รู้ว่าถ้าจบเอกจิตวิทยา. มหาวิทยาลัยบางแห่งเค้าให้วิทยาศาสตร์บัณฑิตเลยแหละ

แต่มหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเรียน. จบแล้วได้ศิลปศาสตร์บัณฑิต  

กำลังจะบอกว่า....หลักสูตรจิตวิทยาเนี่ย.   เค้ามีวิชาบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์แบบโหด.  คือวิชาสถิติ และพวกวิชาชีววิทยาด้วยนะ.  ขำไม่ออกละงานนี้

ต้องเรียนสถิติพื้นฐาน และสถิติขั้นสูง. รวมถึงชีววิทยาอีก. สรุปว่าอาศัยบุญเก่า+กรรมเก่า. รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด มีเศร้าเคล้าน้ำตาเลยทีเดียว (ก้อชั้นไม่ใช่เด็กสายวิทย์อะจ้า)

สุดท้ายพอเรียนจบ.  คิดว่าจะไปเป็นนักจิตวิทยา. พอมีโรงพยาบาลเรียกไปสัมภาษณ์งานตำแหน่งนักจิตวิทยาในโรงพยาบาล.  กลับไม่แน่ใจซะงั้นแหละ. เพราะว่าพอถามอัตราเงินเดือนเริ่มต้นแล้วมันน้อยนิดจนต้องคิดหนัก.  และทำงานในโรงพยาบาลคงไม่น่าสนุกเท่าไหร่  อีกอย่างโรงพยาบาลที่เรียกมาก้ออยู่ไกลบ้านด้วย. จึงตัดสินใจทำงานด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทเอกชนดีกว่า (ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องว่าฝ่ายบุคคลทำอะไรบ้าง5555. รู้แต่ว่าตำแหน่งนี้เค้ารับจบเอกจิตวิทยา)

นั่นหละนะ. ไม่รู้บุญหรือกรรม. ที่นำหนุนให้ต้องเป็นฝ่ายบุคคลอยู่ยี่สิบกว่าปี

ชีวิตก้อเอวังด้วยประการฉะนี้จ้า.  ตอนนี้หมดบุญวาสนา+หมดหน้าที่การเป็นฝ่ายบุคคลซะที.  ผู้ที่กุมความลับขององค์กร(รู้เงินเดือนของทุกคน) รักษาความลับยิ่งชีพ (ใครเคยทำอะไรมาบ้างในบริษัท. ดีหรือร้าย. รู้หมด) รู้มากแต่บอกใครไม่ได้5555


จบเห่