กันยายน 22, 2564

จากหนังสือ สู่อาชีพในชีวิต

 โลกของผู้เขียนพันพัวและผูกพันอยู่กับหนังสือมาตลอด. อย่างที่เล่าไปคราวก่อนว่า นอกจากอาหารที่หล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว. ยังมีอาหารสมองที่ผู้เขียน "หิว" อย่างไม่เสื่อมคลาย

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าโลกของเด็กยุคก่อน ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มีอินเตอร์เนต มีเพียงทีวีขาว-ดำ จะไปมีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากการอ่านหนังสือ

จริงๆก้อคงจะไม่ใช่. มีอะไรให้ทำมากมาย แต่รักความรู้ จึงต้องอ่าน



นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว ผู้เขียนอ่านการ์ตูน  นอนวาดรูป  แต่งการ์ตูนอ่านเอง  นั่งประดิดประดอยของเล่น  เช่น เย็บผ้า. เย็บชุดตุ๊กตา. หรือ ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แถวบ้านบ้าง. แค่นั้นไม่เคยพอสำหรับเวลายามว่าง

ค่าขนมที่เหลือมาบ้างก็จะเอาไปซื้อหนังสือ. 

สมัยนั้นมีรถเร่มาขายหนังสือหน้าโรงเรียนด้วย.  ไม่ได้มาบ่อยๆ. ผู้เขียนจึงตั้งตารอ. เพราะเหมือนราคาจะถูก (เข้าใจแบบเด็ก ว่าราคาถูก555 ที่จริงอาจจจะแพง) วิธีการขายจะมีคนมาแจกใบปลิวล่วงหน้า  เป็นกระดาษบางๆพิมพ์หน้า-หลัง มีรายชื่อหนังสือและราคาพร้อมสรรพ.  ผู้เขียนจะนั่งอ่านใบปลิวอย่างมีความสุขว่ารอบนี้เราจะซื้อเล่มไหนบ้างหนอ

นอกจากนี้มีร้านขายหนังสือการ์ตูนทางเข้าประตูโรงเรียนอีกหนึ่งร้าน. ที่ผู้เขียนเป็นลูกค้าประจำ

ห้องสมุดโรงเรียนก้อเป็นสถานที่ที่ผู้เขียนไปอย่างสม่ำเสมอ 

ตอนช่วงมัธยม ชอบอ่านหนังสือตอบปัญหาชีวิตของ นายแพทย์วิทยา นาควัชระ ซึ่งท่านเป็นจิตแพทย์. ท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่มมาก. สมัยนี้เรียกว่าเป็นซีรีส์ได้เลย. แต่ละเล่มจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ที่มาพบ. และแฝงแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาชีวิตเอาไว้มากมาย.  อ่านแล้วรู้สึกว่าอยากจะเป็นคนช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้ผู้คนได้.  ทำให้ผู้คนมีความสุขแบบคุณหมอ

...แต่ว่า.....ผู้เขียนเรียนคณิตศาสตร์ได้แย่สุดๆ. คาดว่าไปเรียนสายวิทย์เพื่อสอบเข้าเป็นแพทย์. ไปสู่การเป็นจิตแพทย์นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ 5555

เอาความเป็นจริงดีกว่า.  ว่าผู้เขียนมีความถนัดด้านการเรียนภาษามากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน. 

ทำอย่างไรกับอุดมการณ์อันสวยงามดีหนอ....ทำไงฝันจะเป็นจริง. จะได้ช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์

ในที่สุดแรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือก้อทำให้เราสอบเข้าเรียนคณะศิลปศาสตร์ได้. และเมื่อถึงตอนเค้าให้เลือกวิชาเอก. เอกอื่นมากมายดันไม่เลือก. เลือกเอกวิชาจิตวิทยาอย่างไม่ต้องลังเล

55555 ขอหัวเราะอีกที

เพราะเจ้าอุมการณ์ดีนัก...แย่ละงานนี้.  ผู้เขียนไม่รู้ว่าถ้าจบเอกจิตวิทยา. มหาวิทยาลัยบางแห่งเค้าให้วิทยาศาสตร์บัณฑิตเลยแหละ

แต่มหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเรียน. จบแล้วได้ศิลปศาสตร์บัณฑิต  

กำลังจะบอกว่า....หลักสูตรจิตวิทยาเนี่ย.   เค้ามีวิชาบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์แบบโหด.  คือวิชาสถิติ และพวกวิชาชีววิทยาด้วยนะ.  ขำไม่ออกละงานนี้

ต้องเรียนสถิติพื้นฐาน และสถิติขั้นสูง. รวมถึงชีววิทยาอีก. สรุปว่าอาศัยบุญเก่า+กรรมเก่า. รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด มีเศร้าเคล้าน้ำตาเลยทีเดียว (ก้อชั้นไม่ใช่เด็กสายวิทย์อะจ้า)

สุดท้ายพอเรียนจบ.  คิดว่าจะไปเป็นนักจิตวิทยา. พอมีโรงพยาบาลเรียกไปสัมภาษณ์งานตำแหน่งนักจิตวิทยาในโรงพยาบาล.  กลับไม่แน่ใจซะงั้นแหละ. เพราะว่าพอถามอัตราเงินเดือนเริ่มต้นแล้วมันน้อยนิดจนต้องคิดหนัก.  และทำงานในโรงพยาบาลคงไม่น่าสนุกเท่าไหร่  อีกอย่างโรงพยาบาลที่เรียกมาก้ออยู่ไกลบ้านด้วย. จึงตัดสินใจทำงานด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทเอกชนดีกว่า (ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องว่าฝ่ายบุคคลทำอะไรบ้าง5555. รู้แต่ว่าตำแหน่งนี้เค้ารับจบเอกจิตวิทยา)

นั่นหละนะ. ไม่รู้บุญหรือกรรม. ที่นำหนุนให้ต้องเป็นฝ่ายบุคคลอยู่ยี่สิบกว่าปี

ชีวิตก้อเอวังด้วยประการฉะนี้จ้า.  ตอนนี้หมดบุญวาสนา+หมดหน้าที่การเป็นฝ่ายบุคคลซะที.  ผู้ที่กุมความลับขององค์กร(รู้เงินเดือนของทุกคน) รักษาความลับยิ่งชีพ (ใครเคยทำอะไรมาบ้างในบริษัท. ดีหรือร้าย. รู้หมด) รู้มากแต่บอกใครไม่ได้5555


จบเห่








กันยายน 14, 2564

จากหนังสือ สู่การพัฒนาจิต

 

เราเป็นคนรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก  ชอบอยู่ใกล้ๆหนังสือ ตอนสมัยยังเรียน ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยม จนมหาวิทยาลัย เวลาว่างจากการเข้าชั้นเรียน. หรือทานข้าวกลางวันเสร็จ มักจะเหลือเวลานิดหน่อยก่อนเข้าเรียนภาคบ่าย. เราก็จะเข้าห้องสมุด หาหนังสืออ่าน ราวว่า...อาหารสมองเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้พอๆกับอาหารที่ให้กับร่างกาย อะไรประมาณนั้นเลย



ตอนเรียนมหาวิทยาลัย. เพื่อนๆชอบชวนไปอ่านนิยายที่ห้องสมุด บอกพิกัดตู้หนังสือและพิกัดที่นั่งอ่านที่บรรยากาศดีที่สุดมาเสร็จสรรพ ว่านั่งโต๊ะริมระเบียงนะ ลมพัดจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาพอดี เย็นสบายชื่นใจ. เหมาะแก่การนอน...ฮ่าาา

เคยทำตามเพื่อนบอกอยู่ไม่กี่ครั้งเหมือนกัน. ไม่เคยลิ้มรสการได้หลับในห้องสมุด ว่ามันเป็นยังไง อยากรู้...เพราะเป็นคนไม่เคยหลับระหว่างการอ่านหนังสือ. สำหรับเราหนังสือทำให้ตื่นเต้นได้ตลอดเวลาไง  ผลที่ได้จากการพยายามทำตามเพื่อนบอก คือ มันก้องั้นๆนะ อาจจะอายบรรณารักษ์​ถ้าเค้ามาเจอ. หรือไม่ก้ออายนักศึกษาคนอื่นๆมากกว่า  เราว่า,ห้องสมุดไม่ใช่ที่นอน. ไม่ใช่ที่บ้าน

เดี๋ยวนี้ห้องสมุดเก่าน่าจะถูกปรับเลี่ยนไปใช้งานอย่างอื่นแล้ว.  ห้องสมุดใหม่ใหญ่โตกว่าเดิม ฝังเสาเข็มฐานรากลึกลงในในแม่น้ำเจ้าพระยากระมัง. เป็นตึกใหญ่โดดเด่นริมน้ำ  ติดเครื่องปรับอากาศทั้งตึก. มีหลายชั้น. คงจะเก็บหนังสือและความรู้ได้มากขึ้น. เราเคยไปเยี่ยมเยียนใช้บริการในฐานะศิษย์เก่าเมื่อหลายปีก่อน. ห้องสมุดดูทันสมัย โอ่อา. แต่ไม่มีส่วนที่เป็น outdoor อีกแล้ว. เสียดายจัง

เล่าไปไกล...ที่จริงเราไม่ค่อยจะได้อ่านนิยายมากเท่าไหร่. ส่วนใหญ่จะอ่านพวกหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคโบราณซะมาก.   หนังสือเกี่ยวกับศิลปะ ฯลฯ เพราะรูปสวย. ยิ่งหนังสือต่างประเทศ ภาพถ่ายที่ประกอบจะถ่ายมาอย่างดี. จะชอบมาก. ส่วนหนังสือนิยายจะตัวหนังสือเป็นพรืดดดด แถมหนา. สมัยเราหนังสือนิยายจะทำเป็น hard cover ซะหมด คือปกแข็ง. หนักมาก เวลายืมจากห้องสมุดเอากลับบ้านใส่กระเป๋าแล้วหนักจนเจ็บไหล่เลย

ที่น่าสนใจคือ เราไม่เคยเห็นภาพปกจริงๆของนิยายเหล่านั้นเลย เพราะเมื่อมาอยู่ในห้องสมุด. ปกที่เป็นกระดาษอ่อนจะถูกเก็บไปไว้ที่อื่น. สิ่งที่เราสัมผัสคือ ปกแข็งที่หุ้มด้วยผ้าสีเข้มๆ

เดี๋ยวนี้ไปเดินร้านหนังสือ จะเห็นว่านิยายทำเป็นปกอ่อนกันหมด. เหมือนว่าจะสามารถทำราคาได้ถูกลง คนซื้อจะได้ซื้อง่ายขึ้น.  ซึ่งก้อน่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ. เราเห็นว่านิยายใหม่ๆออกมาเยอะมาก.  ทว่าเราอาจจะยังเป็นคน generation ดั้งเดิมที่จริตการอ่านยังคุ้นเคยอยู่กับวิถีการเล่าเรื่องแบบนักเขียนยุคโน้นมากกว่า. คือ....

เล่าเรื่องแบบอย่าหวือหวามาก. เราอาจจะไม่ชอบแนวตลก คอมเมดี้ แบบที่เค้าชอบเอามาทำละคร หรือภาพยนตร์. แบบที่นางร้ายกับนางเอกปะทะคารมกัน  บางทีกรี๊ดใส่กันเวลาโดนคำพูดเจ็บแสบ  เสียดสีกันแบบเชือดเฉือน หรือตบตีต่อหน้าพระเอก. แบบที่นางเอก นางร้ายมีตัวผู้ช่วย เช่น เพื่อนนางเอกหรือบ่าวไพร่แนวลูกขุนพลอยพยัก. คือว่า....มันเบื่อ. และไม่ได้ให้อะไรที่เป็นสาระ. และที่สำคัญ. เรื่องทำนองนี้ยังวนเวียนเอามาทำละคร ทำหนัง  อยู่อีกไม่รู้กี่เวอร์ชั่นจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นที่นิยมอยู่ (เราเลยหนีไปดู Series บน streaming platform แทน)

ได้ข่าวมาว่าคุณทมยันตี นักเขียนในยุคที่เราเติบโตมา ได้ถึงแก่อนิจกรรมลงแล้ว. เราก็ใจหาย. 

นักเขียนในรุ่นๆ ที่มีชื่อเสียงสำหรับรุ่น gen เรากำลังโต. ก้อเช่น. ว.วินิจฉัยกุล,  กฤษณา อโศกสิน. เป็นต้น เรานั่งนับนิ้ว ท่านเหล่านี้ป่านนี้ก้อคงอายุมากขึ้นไปตามลำดับ.  

คุณสุเทพ วงศ์กำแหง นักร้องขวัญใจพ่อเรา ก้อเสียชีวิตไปแล้ว. กลายเป็นระดับตำนานไป. ค่อยๆปลิดปลิวตามกับไปทีละคน สองคน. ตามวันและเวลาที่ผันไปตามธรรมชาติ

ชีวิตเกษียณแต่ยังเยาว์ (Early retire) ของเราทำให้เรามีเวลา. ฮ่าาาา.เลยไปซื้อหานิยายคุณทมยันตีมาอ่านแบบ non-stop  เพราะที่ไม่อยากอ่านนิยายเป็นเพราะว่าอ่านแล้ว. ไม่จบ. ไม่หยุด. ....

พอๆกับนิสัยการดู Series ของเรา  ดูแบบยาวววววว สองวันสามคืนไม่เลิก ถ้าไม่หมดแรง

นิยายคุณทมยันตีที่เราชอบมากๆ มีหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง พิษสวาท ที่คุณนุ่นเล่นเป็นนางเอก ตอนนั้นดูแต่ละคร. แล้วค่อยย้อนมาอ่านหนังสือในภายหลัง.  

นิยายเรื่องนี้เอาเรื่องความรัก ความแค้น มาผูกโยงและเชื่อมต่อแบบเนียนๆไปกับแนวคิดเกี่ยวกับศาสนา เรื่องชาติก่อนชาติเก่า. เรื่องนรกสวรรค์ ประวัติศาสตร์  ปรุงรวมเรื่องรักๆใคร่ๆตามแบบปุถุชนกับเรื่องละเอียดอ่อนของพุทธศาสตร์ จนอร่อยและมีความคลาสสิคระดับตำนานสมกับเป็นงานของศิลปินแห่งชาติเลยจริงๆค่ะ

ความสนใจของเราวิวัฒน์ไปตามช่วงวัย... 

หลังจากชีวิตได้ผ่านประสบการณ์อะไรมากมาย. เรารู้แล้วว่า. มันก้อแค่นั้นหนอ. ชีวิต. ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง. หน้าที่การงาน. ความรัก. อาชีพของเรา มันไม่มีความยั่งยืน. เมื่อถึงเวลาของมัน. มันก้อสลายหายไปหมด ทำให้เราได้คิดถึงความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น  ดังนั้นนิยายที่เราอยากอ่าน. คงไม่ใช่แนวความรักอีกต่อไป


และคราวนี้เราเลยใช้ฝีมือในการประกอบภาพด้วย photoshop มาใช้ซะหน่อย. ด้วยการทำภาพประกอบ blog post อันนี้ขึ้นมาเอง. ขอขอบคุณภาพ elements จาก unsplash.com ด้วยนะคะ 









กันยายน 06, 2564

Passion จะทำให้เราอดตายไหม

ใครหนอช่างบอกว่าการมี passion เป็นของตัวเองนั้นจะทำให้เรารวยได้สักวัน

อุตส่าห์ได้ออกมาเดินตามฝันกับเค้าบ้างก้อเป็นตอนที่ร่างกายเริ่มจะเข้าวัยใกล้เกษียณซะแบบนี้. จะไม่ให้ต้องแอบท้อแบบเป็นพักๆบ้างได้อย่างไร

นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายชั่วโมงมานานนับสองปีกว่า. คลิกเม้าส์จนปวดมือ ปวดข้อไปหมดแล้ว. สินค้าที่เราปลุกปั้นก้อทำรายได้เพียงน้อยนิด ดุจดังน้ำค้างกลางหาว. ค่อยๆร่วงลงมาจากฟ้า ทีละเม็ด. สองเม็ด 555555

เฮ้อ

ต้องขุดงานเก่าเก็บมาปัดฝุ่นหารายได้เข้ากระเป๋า. เก่าแบบว่า. เอ่อ...ระดับสามสิบกว่าปีมาแล้ว

คนอ่าน blog คงจะสงสัยกันใหญ่ว่าผู้เขียนอายุเท่าไหร่กันล่ะเนี่ย.  

ถึงงานจะเก่าแต่เนื้อหาแบบนี้มันอมตะนิรันดร์กาลนะเออ. เรื่องความรัก. เรื่องผัวเมียละเหี่ยใจ อะไรทำนองนี้ขายได้ตลอด

อุตส่าห์ลองยิง ads กับเค้าบ้าง ก้อได้ยอดวิว. แต่ไม่ได้ยอดขาย.  นั่นหละ. ก้อเข้าใจ ว่ายอดวิวกับยอดขายมันคนละเรื่อง. 

ตั้งแต่ช่วง lock down ได้ยอดขายมานิดหน่อย. แต่โดนหักค่าโอนข้ามธนาคารไปซะจนค่าลิขสิทธิ์นักเขียนเหลือกระจิดริด.  เลยตั้งใจวันที่เปืดห้างสรรพสินค้าได้วันแรกเมื่อไหร่. จะต้องไปเปิดบัญชีธนาคารให้จงได้. 

สุดท้ายพอไปธนาคาร.  เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่านโยบายห้างฯ ให้เปิดบัญชีใหม่ได้แค่วันละไม่เกิน 10 บัญชี. โอ้วววว...   ให้มาใหม่วันหลังนะคะ. วันนี้เกินโค้วตาแล้ว

และถ้าไปสาขานอกห้างฯก้อนโยบายเดียวกันค่ะ.  จะให้ลูกค้าเปิดบัญชีได้ไม่เกินวันละ 10 บัญชีเหมือนกัน เนื่องจากเป็นการปกป้องพนักงานธนาคาร

สุดท้ายผ่านมาหลายวันเลยขี้เกียจไปธนาคารล่ะค่ะ

ขอนั่งทำใจก่อน

อีกอย่างคือก้อคงอาจจะยังไม่มียอดขายในช่วงนี้กระมัง.  เอาเรื่องเปิดบัญชีมาเล่าให้ฟังสนุกๆค่ะ



แม้ยอดเงินค่าลิขสิทธิ์จะไม่มาก. แต่หัวใจก้อพองโตที่ได้เห็นว่ามีคนอ่านซื้องานเราเหมือนกันแฮะ. 

อันว่างานเขียนเป็นงานที่ใข้พลังงานและเวลาในการสร้างสรรค์เป็นอย่างมากค่ะ  แต่ก้อเห็นว่าในยุคนี้มีนิยายใหม่ๆออกสู่ท้องตลาดเป็นจำนวนมาก.  ตลาดหนังสือเล่ม. หนังสือ Ebook คึกคัก. โดยเฉพาะนิยายจีน นิยายวาย.  หน้าปกสวยงามน่าซื้อไปหมดเลย.  คงจะมีนักเขียนเขียนกันเก่งขึ้น.  คนรักการอ่านก็มีจำนวนมากขึ้นไปด้วย  

อย่างน้อยก้อได้เป็น "นักเขียน" กับเค้าบ้างแล้วละน้ออออ. และยังต้องพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้นต่อไปเรื่อยๆ

เขียนเอง. ทำปกเอง. ทำ artwork เอง. ทุกอย่างทำเอง. 

หวังว่าสักวัน Passion จะไม่ทำให้เราอดตายนะ. เฮ้อ. ฝากติดตามผลงานกันต่อไปนะคะ 

แล้วจะมีเล่มต่อไปอีกแน่นอนค่ะ.  อยากจะสร้างผลงานออกมาอีกเรื่อยๆ ก้อต้องอาศัยเวลาในการบ่มเพาะอีกน่ะแหละค่ะ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เรื่องสั้นแนวสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับชีวิตคู่ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ประสบปัญหาสามีนอกใจ. 


เมื่อทุกชีวิตต่างแสวงหาความสุข-ความสมหวังในชีวิตคู่ โดยคาดหวังถึงความซื่อสัตย์จากคู่ของตน. 


แต่ในเมื่อคู่ของเรานั้นก้อเป็นมนุษย์ธรรมดาเฉกเช่นเรา. จึงไม่อาจจะหวังได้ว่าเค้าจะเหมือนเดิมตลอดไป


วันใดวันหนึ่งที่เค้าเปลี่ยนแปลงไป


หากว่าเราไม่ปรับตัว ปรับใจให้มีสติมั่นคง หรือหาทางออกที่เหมาะสมให้กับชีวิต. เราอาจจะคิดแก้ปัญหาเพียงชั่ววูบแบบหญิงสาวในเรื่อง


เพราะความสุขไม่ใช่สภาวะที่ถาวร.  


ความสุขก็เป็นของชั่วคราวเช่นกัน. ใครบ้างที่สุขได้ตลอดเวลา หรือยึดความสุขเอาไว้เป็นของตนได้ตลอดไป.  


เพียงหวังว่าหากเธอได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอจะคิดได้. และอาจจะเสียดายในสิ่งที่ได้ทำลงไป...!!!

ความสุขสุดขอบฟ้า