เมษายน 22, 2564

มนุษย์เกษียณ เรียนรู้ธุรกิจ

 

เรื่องธุรกิจที่เคยรู้สึกว่าใกล้ตัว. เพราะคิดว่าตัวเองเคยทำงานบริษัท เป็นมนุษย์เงินเดือนมายาวนาน. กลับกลายเป็นเหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการทำธุรกิจสักเท่าไหร่. 


ตอนเราสวมหมวกลูกจ้าง เราก้อเข้าใจแบบตามตัวหนังสือ. หรืองูๆปลาๆแบบลูกจ้างกระมัง


ขนาดว่าเราเป็น HR ในสายที่ต้องวิเคราะห์งาน วิเคราะห์ค่าจ้าง อย่างเข้มข้น หมายความว่าในชีวิตการทำงานต้องอ่านและศึกษาใบกำหนดหน้าที่งาน หรือ Job description มาเยอะมาก. ในตำแหน่งงานหลากหลาย function ไม่ว่าจะในธุรกิจเดียวกันกับบริษัท หรือนอกธุรกิจก็ตาม


พอจะต้อง run ธุรกิจของตัวเองเข้าจริงๆ  กลับเหมือนไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง function ที่เป็นสายหลักสำหรับธุรกิจทุกประเภท อย่างเช่น  การขาย และ การตลาด พอมาเริ่มภาคปฏิบัติสำหรับสินค้าของตัวเอง  ยังเหมือนงงๆ 


ที่แน่ๆ ตอนเราทำสินค้าขาย. นอกจากเงินค่าผลิตสินค้า. เรายังต้องเผื่อเงินเพิ่มเติมสำหรับค่าทำการตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเราก้อไม่ได้เผื่อเงินเอาไว้หรอก. เพราะเราทุนน้อย. คิดเองว่าอยากได้สินค้าจำนวนเยอะๆมาขายมากกว่า






แรกๆเราแยกไม่ออกระหว่างการขายกับตลาด. ตอนนี้เข้าใจมากขึ้น. หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาได้สักระยะ


คงเหมือนที่เราเคยได้ยินพนักงานคนนึงที่บริษัท พูดว่า HR มีหน้าอะไรเหรอ. แค่จ่ายเงินเดือนให้ทันในวันสิ้นเดือนหรือเปล่า


...หรือไม่ก็....


HR มีหน้าที่หาคนเข้า กับ ไล่คนออก. และ จ่ายเงินเดือน. ฮ่าๆ


เพราะคงมีคนจำนวนมาก ไม่เข้าใจว่า HR ทำงานอะไร หรือมีบทบาทอะไรบ้างในองค์กร


เราไม่เข้าใจงานการตลาด เพราะเราไม่เคยเป็นนักการตลาด. ไม่ได้เรียนมาทางนี้. มันก้อไม่ใช่เรื่องแปลก.  


พอๆกับคนอื่นๆที่ไม่ได้เป็น HR ก้อย่อมไม่รู้ว่า HR มีไว้ทำอะไร. ฉันใดฉันนั้น


นั่นหละ. ไม่มีอะไรดีเท่าลงมือทำ


พอได้ทำ...ถึงได้เข้าใจ. ว่าที่บริษัทต้องจ่ายเงินก้อนโตให้กับงบประมาณของฝ่ายการตลาดเสมอ มันเพราะอะไร....


ถ้าไม่มีการตลาด. ลูกค้าก็จะไม่รู้จักสินค้า. และเมื่อไม่รู้จัก.  ก็อาจจะไม่ซื้อ...

เมื่อไม่ซื้อ. บริษัทไม่มีเงินเข้ามาหล่อเลี้ยง


ไม่มีเงินเข้าบริษัท.  ก้อไม่ต้องมีทั้งฝ่ายบัญชี. ฝ่ายบุคคล และฯลฯ. 5555 จบเห่เลยใช่ไหมคะ


วินาทีนี้ไม่ทำการตลาดออนไลน์ไม่ได้แล้ว  แล้วทีนี้การทำการตลาดในโลกออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียเค้าทำกันยังไงล่ะ. ก้อคงต้องศึกษากันต่อไปอีก


โปรดติดตามกันต่อไปค่ะ. ฮ่า.  

เมษายน 06, 2564

แปลงเรื่องแย่ๆ ให้เป็นพลัง ก้อมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับชีวิตได้นะ

ท่ามกลางเดือนเมษายนที่เคยร้อนระอุ. มาปีนี้ไหงฝนตกเกือบทุกวัน ?

โลกนี้มันมีอะไรแปลกๆมากขึ้นทุกที. ไหนจะสภาพอากาศที่เพี้ยนๆ และ ชีวิตของตัวเราที่ไม่เหมือนที่เคยเป็นมา...  

เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนต้องใส่หน้ากากอนามัย. เป็นแบบนี้มาปีกว่า.  ยิ่งตอนนี้โรคโควิทกำลังระบาดหนักในประเทศไทย. ยอดผู้ติดเชื้อขึ้นหลักพันต่อวัน. เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก

สิ่งที่เรากลัวคือหากติดเชื้อแล้วหาโรงพยาบาล admit ไม่ได้. ไม่มีเตียงว่างเหลือในโรงพยาบาล. โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลเอกชน   อาจถูกส่งไปนอนโรงพยาบาลสนาม ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะสะดวกสบายแน่นอน. ทางที่ดีคงต้องป้องกันตัวเองอย่างสุดฤทธิ์.  

เห็นในข่าวแล้วยิ่งเศร้าใจ. มีแม่อุ้มลูก 4 ขวบ ร้องไห้ออกสื่อว่าถูกโรงพยาบาลปฏิเสธการรับเข้ารักษาถึง 4 แห่ง  เห็นแล้วชวนให้หดหู่ใจ  เฮ้อ

แม้ว่ารัฐบาลไม่ได้ประกาศห้ามการออกนอกบ้าน. ไม่ได้ล๊อคดาวน์. ร้านค้ายังเปิดให้บริการตามปกติ  แต่ฉันก้อรู้สึกว่าคงต้องล๊อคดาวน์ตัวเองจะดีกว่าไหม  ไม่ได้ออกไป fitness สักสองสัปดาห์คงไม่เป็นไร  หรือ เลื่อนนัดที่ไม่จำเป็นออกไปให้พ้นช่วงนี้ไปก่อน เพราะการติดเชื้อน่าจะ peak ในช่วง 7-10 วันนี้มากที่สุด หากพ้นระยะเวลานี้ไป คนที่ติดเชื้อแสดงตัวเข้ารับการรักษากันเป็นส่วนใหญ่ (เหลือพวกที่ติดแต่ไม่แสดงอาการ)  เราคงค่อยพอจะกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้บ้าง

เป็นมนุษย์เกษียณต้องระวังตัวให้มาก  เพราะเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะเดือดร้อนทั้งตัวเองและครอบครัว  ถึงแม้จะมีประกันสุขภาพเป็นของตัวเอง. แต่ก้อต้องหาเงินมาจ่ายเบี้ยประกันนะคะ. ไม่ได้ฟรีทุกอย่างเหมือนตอนทำงานบริษัท.  ซึ่งตอนนั้นก้อทำงานซะจนใช้บริการเบิกสวัสดิการผู้ป่วยนอกบริษัทเต็มยอดเบิก. แถมเข้าเนื้อตัวเองแทบทุกปี

อาจจะเป็นเพราะ package ที่บริษัทมีอยู่สำหรับพวกผู้ป่วยนอกไม่ได้เยอะเท่าไหร่ . บริษัทให้ปีละไม่ถึงหมื่นบาทเอง5555  แถมให้งบนี้รวมกับค่าทำฟันอีก  คนที่แข็งแรงไม่เคยป่วยก้อชอบออกมาบอกว่าไม่คุ้มเลยที่ไม่ได้ใช้สวัสดิการ.  แต่คนป่วยบ่อยอย่างเราก้อไม่ได้อยากป่วยเหมือนกันนะ

ช่วงทำงานบริษัทเราไปหาคุณหมอบ่อยจนคุ้นเคยกันซะงั้น555. คุณหมอบอกว่าคนพื้นฐานสุขภาพไม่แข็งแรงเหมือนคนที่ต้นทุนชีวิตน้อย  ก้อต้องเข้าใจตัวเองหน่อยนะ 

ทำงานจนป่วยเยอะ. ตอนหลังเบื่องาน เบื่อคนที่ทำงาน  เบื่อหนัก เลยพยายามแปลงพลังด้านลบ ให้เป็นพลังด้านบวก ....แก้กันซะงั้นแหละ. แต่ก้อไม่น่าเชื่อนะ. มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งดีๆในชีวิต. นั่นคือการได้ออกกำลังกาย. 


ฟังดูมันเข้าใจยากใช่ไหมคะ. ความเบื่อกลายเป็นพลังผลักดันชีวิตได้อย่างไร ?

ทันที่ที่รู้สึกเบื่อ ก้อให้บอกตัวเองว่า ต้องไปออกกำลังกาย. ตั้งโปรแกรมในสมองเอาไว้แบบนี้เลย ทำแบบนี้ซ้ำๆ  ไม่ให้จิตจมลงไปกับอารมณ์เบื่อ และคิดฟุ้งซ่านไปในทางลบ

ตกเย็นถึงเวลาเลิกงานก็รีบขับรถไป fitness ออกกำลังกายตามเป้า ให้ได้สัปดาห์ละ สองครั้งเป็นอย่างต่ำ

ไม่น่าเชื่อว่าทำได้มาตลอดสองปี ช่วงแรกๆออกกำลังกายได้สัปดาห์ละ 3 ครั้งด้วยซ้ำไป

ดังนั้นช่วงก่อนลาออกจากงานประมาณ 2 ปี. เลยได้ออกกำลังกายอย่างจริงจัง.  (ปัจจุบันก้อยังมี committment อยู่นะคะ ว่าต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ปรับเป้าลดลงเหลือสัปดาห์ละ สองครั้ง)

ผลที่ได้รับจากพลังความเบื่อ กลายเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อสุขภาพกายอย่างมาก  เราป่วยน้อยลง. หรือถ้าป่วยก้อหายเร็วขึ้นกว่าเดิม.  พอกายดี จิตก็มีพลังตามไปด้วย. ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเคยอ่านมาในหนังสือว่าการออกกำลังกายเป็นยาขนานเอก. แก้ได้หลายโรคนั้นเป็นความจริง

สุดท้ายมนุษย์อย่างเรา. ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐสุด  แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่มีโรคก้อต้องเอาเงินไปรักษาโรค. สุขภาพดีๆ หาซื้อไม่ได้. ต้องลงมือทำ จริงทุกอย่างเลยค่ะ

ขอให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยจากโควิท-19 กันทุกๆคนนะคะ. ดูแลตัวเองด้วยค่ะ