สิงหาคม 29, 2567

Outcome กับ Income



วันนี้จะยกบทสนทนาระหว่างผู้เขียนกับเพื่อนมาให้อ่านกันค่ะ


เพื่อน : เป็นไงมั่งล่ะ (คงตั้งใจถามสารทุกข์สุขดิบเช่นเคย)

ผู้เขียน : ก็อย่างเดิมแหละ ทำไปเรื่อยๆ มีความสุข แต่ก็แอบเครียดว่ะ

เพื่อน : ยังไงวะ ตกลงสุขหรือทุกข์

ผู้เขียน : สุขมากกว่ามั้ง (ปลายเสียงชักไม่แน่ใจ 555)

เพื่อน : ชิลนักนะ  แบบนี้เค้าเรียกชิลๆเว้ย

ผู้เขียน : จริงเหรอ แล้วอนาคตจะดีมั้ย จะรอดมั้ยเนี่ย

เพื่อน :  บ่นทำไม  บอกแล้วให้กลับไปทำงานออฟฟิศ  เกษียณเร็วไปแล้วโว๊ย

ผู้เขียน :  ไม่เอาแล้ว สังขารไม่ไหว ตั้งแต่ออกจากงานมา ไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงพยาบาลเลย

เพื่อน : เออดีแล้ว  ยังไม่จนตรอกก็งี้แหละ ชิลๆไป

ผู้เขียน : (ตกลงเพื่อนมันกำลังหลอกด่าอยู่หรือเปล่าวะ 5555) ผลงานคือได้ความสบายใจเว้ย  รายได้ว่ากันอีกเรื่อง มันคนละเรื่องเลยว่ะ

เพื่อน : ไม่ต้องกังวล  เงินหมดก็เอาที่ดินไปขายเลย 5555


ตอนจบฟังแล้วยังไงพิกลเนอะ  แต่ก็นั่นแหละค่ะ เพื่อนก็หวังดีและเป็นห่วงมากกว่า  ตกลงตั้งแต่ออกจากงานมามีเพื่อนสนิทๆเท่านั้นที่โทรมาหาเรื่อยๆ  ส่วนผู้คนจำนวนมากที่เราเคยร่วมงานที่ทำงานนั้นก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยค่ะ

มีปีที่แล้วนัดกินข้าวกัน ก็เป็นกลุ่มที่ early retire ออกมาพร้อมกัน กับน้องๆในทีมที่เคยทำงานด้วยกันค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมานะคะ (หน่วยงานที่ผู้เขียนเคยรับผิดชอบมีทีมทั้งหมด 8 คน)  จะมีอยู่สามสี่คนที่เหมือนยังนึกถึงเราอยู่  ก็จะมีทั้งเพียรส่งข้อความมาทักทายในวันปีใหม่ วันเกิด หลายคนยังส่งขนมมาให้ทานอีกด้วยค่ะ

นี่ก็เป็นสัจธรรมที่ต้องพบเจอค่ะ  เราอยู่ในฐานะที่ให้ประโยชน์อะไรกับใครไม่ได้แล้ว  คนที่ยังนึกถึงเราก็แสดงว่าไม่ได้หวังอะไรจากเรา  นึกถึงก็เพราะอย่างอื่นมากกว่า

หลายคนที่เจอก็มักจะถามว่าผู้เขียนทำอะไรอยู่

ผู้เขียนก็จะตอบกว้างๆ ว่าทำหลายอย่างไปหมด (จะถือเป็นรายได้ก็พูดไม่ได้เต็มปากค่ะ) ทุกอย่างที่ทำมันก็ออกดอกออกผลนิดๆหน่อยๆ บ่อยครั้งก็มีท้อ มีเศร้า เฉกเช่นปุถุชนค่ะ

ผลลัพธ์กับรายได้มันคนละเรื่องจริงๆ มีความสุขที่ได้วาดรูป  ได้เขียนหนังสือ ดูแลผู้มีพระคุณตามสมควร  ยังมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ค่ะ  ทุกวันนี้ไม่เคยไม่มีอะไรทำจริงๆ....สาบาน

...

ไม่อยากคิดให้ไกลค่ะ  ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน นี่มันก็ถือว่าบั้นปลายชีวิตล่ะ 

 เพี้ยง! เงินทองคือของมายา  ข้าวปลาสิของจริง !

ฮ่าาาาา หัวเราะปลอบใจตัวเอง


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  แล้วเจอกันใหม่ vlog หน้า :)


สิงหาคม 22, 2567

หัวใจไม่อาจยอมแพ้

 



เมื่อความรักและทิฐิมานะปะทะกัน ใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามหัวใจ?

ณทัต อัษฎางค์เวคิน ซีอีโอหนุ่มไฟแรงผู้แข็งกร้าว กับ ภัทร์รวินทร์ เลขาสาวสวยผู้มีภาระครอบครัว ต้องมาพัวพันกันในการแต่งงานที่เริ่มต้นด้วยข้อตกลงทางธุรกิจ แต่เมื่อความใกล้ชิดเริ่มก่อตัว ความรู้สึกที่ไม่คาดฝันก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา

ท่ามกลางสายลมแห่งอำนาจและเงินตรา พวกเขาต้องเผชิญกับคลื่นลมแห่งอารมณ์ที่ปั่นป่วน ความลับที่ถูกซ่อนไว้ และการต่อสู้กับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง 

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหัวใจเริ่มส่งเสียงดังกว่าเหตุผล? พวกเขาจะกล้าทิ้งทิฐิและเปิดใจให้กันหรือไม่? หรือจะปล่อยให้โอกาสแห่งรักแท้หลุดลอยไป?

ร่วมอิ่มเอมไปกับ ’ณทัต’ และ ‘ภัทร์รวินทร์’ ในเส้นทางรักที่คดเคี้ยว เต็มไปด้วยอุปสรรคและการเรียนรู้ ค้นพบว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการที่สุดอาจอยู่ตรงหน้าเรามาตลอด เพียงแต่เราไม่กล้ามองเห็นมัน

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ นิยายรักโรแมนติกที่จะทำให้คุณเต็มตื้นหัวใจ และเชื่อว่าความรักยังเกิดขึ้นได้ แม้ในโลกธุรกิจที่โหดร้าย

 

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite :  https://www.readawrite.com/a/3fee2a0c76adb67b63a9cdaac05002aa 

อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakkavalee/story/view.php%3Fid=2575342  



กลับมาเปิดนิยายเรื่องใหม่อีกครั้งล่ะค่ะ  หลังจากที่เหนื่อยและหมดแรงไปพักหนึ่งกับ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" อันมีความยาวแสนคำเศษๆ และยังอยู่ในระหว่างการเตรียมพิมพ์เล่มเป็นที่ระลึก

เรื่องนี้คงจะสั้นกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ค่ะ  ที่จริงคืออยากเรียนรู้เรื่องการกระชับโครงเรื่องแบบที่นิยายมันไม่ยาวมากนัก  ว่านักเขียนจะต้องทำงานอย่างไร


นี่ก็เป็น    Learning Curve ที่ผู้เขียนคิดว่าจะต้องผ่านด่านไปให้ได้ค่ะ  ตามประสาคนสูงวัยใจสู้ เพราะไม่สู้ก้อจะอยู่ไม่ได้555  รู้เพียงว่ายังอยากเขียนอยู่ แล้วก็มีคนอ่านงานอยู่จำนวนหนึ่งค่ะ 

เคยเพ้อเจ้ออยู่สักพักนึงว่าจะพอได้เงยหน้าอ้าปากบ้าง เห็นเค้าว่ากันว่านักเขียนไม่ไส้แห้ง  สรุปก็คือ ไม่แห้งเฉพาะนักเขียนที่สามารถเขียนตามกระแสนิยมได้  อย่างในเวลานี้ก็มักจะเป็นนิยาย boy love นิยายจีนพีเรียด นิยายอีโรติก หรือนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ เป็นต้น

ที่ไม่ได้มาแนวข้างบน หรือแนวนอกกระแส  ก็ไส้แห้งเหมือนเดิมแหละค่ะ  อืมห์...แนวที่เราทำได้ก็ไม่ใช่แนวที่จะมีคนมาอ่านเยอะๆอีกล่ะ   ขนาดเราคิดว่าเราพอเขียนได้  ที่จริงก็ต้องเรียนรู้อีกมากในเรื่องโครงเรื่องค่ะ และมีเรื่องที่เราต้องศึกษากันต่อไปอีกเยอะ  ท่ามกลางโลกปัจจุบันที่มีข้อมูลมากมายกว่ายุคก่อนอย่าง มากๆ  ไหนจะเครื่องมือใหม่ๆที่เราอาจจะใช้เพื่อมาช่วยอีก  ขอเพียงหัวใจเราอย่ายอมแพ้ !

นึกๆแล้วท่านนักเขียนรุ่นก่อนๆ นี่อึดมาก  ไม่มีอินเตอร์เนต  ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มี  google เค้ายังเขียนกันได้เป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง  ขอกราบค่ะ

นักเขียนรุ่นใหม่นี่ชีวิตดุจโรยกลีบกุหลาบ  บางคนเขียนถูกแนว ถูกนำนิยายไปเป็นภาพยนตร์  เป็นละคร  เดี๋ยวนี้ streaming TV มาแรงแซงทางโค้ง  บรรดาผู้จัดละครวิ่งหาบทประพันธ์ไปสร้างสรรค์ต่อ  นักเขียนไม่จำเป็นต้องรอสำนักพิมพ์มาซื้องาน  อยากพิมพ์ก็ส่งโรงพิมพ์เอง  ขายเอง  ยิ่งถ้ามีฐานแฟนคลับเยอะๆ ก็แทบไม่ต้องง้อสำนักพิมพ์เลยค่ะ  

ไหนจะมี Youtube มีนิยายเสียง นิยายขายรายตอนบน platform นิยายอีบุ๊ค ไปจนถึงทำเป็น webtoon เป็นเกมส์  เป็น animation ฯลฯ อีกสารพัด  ที่นิยายเรื่องหนึ่งจะสามารถสยายปีกเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประพันธ์ค่ะ  

ที่พูดไปทั้งหมดเป็นภาพกว้างๆของโลกการเป็นนักเล่าเรื่อง (ที่ขายดี)  ส่วนผู้เขียนคนนี้ก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเองต่อไปอีกเยอะค่ะ

แม้ว่าการเริ่มต้นของผู้เขียนมันจะยาวนานมาแล้ว  เป็นช่วงที่เขียนได้เยอะมากคือ ปี 2527-2529 ทางโรงเรียนเห็นแววเคยส่งผู้เขียนไปเข้าร่วมค่ายเยาวชนนักเขียนในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ  ตอนนั้นส่งเรื่องสั้นประกวดก็ได้รางวัลชมเชยมาซะด้วย5555 

ทว่า...เราชอบเขียนนิยายมากกว่า  แต่ก็ไม่มีโอกาสได้อ่านนิยายเลย...เชื่อมั้ย  เพราะทางบ้านสั่งห้ามผู้เขียนไม่ให้อ่านนิยายค่ะ (ห้ามอีกแล้ว)

ผู้เขียนก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องห้าม  (ขนาดว่าห้ามก็ยังอุตส่าห์เขียนได้อยู่นะ) พอได้มาอ่านนิยายที่บ้านของเพื่อนจึงพอจะเข้าใจค่ะ  ผู้ใหญ่อาจจะมองว่าในนิยายมันมีแต่เนื้อหารักๆใคร่ๆ นั่นแหละ

แต่นิยายมันก็มีหลายกลุ่มเป้าหมาย  ผู้เขียนเคยอ่านนิยายที่บ้านเพื่อน  คือคนทำงานบ้านที่บ้านเพื่อนเค้าซื้อมาอ่าน  เลยไปเอามาอ่านเล่นๆ  ก็งงๆค่ะว่านิยายมันเดินเรื่องรวบรัดมาก เล่มละ 5-10 บาท แล้วก็มีแต่ฉากจีบกัน  ฉากเข้าพระเข้านาง 5555  สรุปว่าไม่สนุก  ชอบอ่านนิยายที่ภาษาสละสลวย และให้แง่คิดมากกว่าค่ะ

...ไม่ได้เขียนนิยายอีกเลยนับแต่นั้นมา คือ หลังจากสอบเอนทรานซ์แล้วก็เข้ามหาวิทยาลัย จนทำงานยาวรวดยี่สิบหกปี  เพิ่งกลับมาเขียนอีกค่ะ  ท่ามกลางเสียงด่า...5555 ของเพื่อนๆว่าแกทำไรวะเนี่ย  ทำไมไม่กลับไปหางานบริษัททำต่อ  ยังเหลืออีกหลายปีกว่าจะอายุ 60 ปีเน้อออออ

ก็บอกเพื่อนว่า...อยากทำสิ่งที่ตัวเองรักว่ะ  โอ๊ยยย...แล้วเป็นไง อันนี้พูดกับตัวเอง

เฮ้อ...จบแค่นี้ก่อนค่ะ5555










สิงหาคม 13, 2567

Hello Summer

 



ที่จริง summer คือชื่อลูกแมวตัวล่าสุดค่ะ   แม่แมวชื่อคุณสามสีเอามาให้เลี้ยง  นางหอบหิ้วลูกน้อยมาหนึ่งตัวเป็นสลิดส้มทั้งตัว  ซึ่งก็เป็นสลิดส้มเหมือนกับน้องศรีส้มที่เคยเล่าไปก่อนหน้า

ศรีส้มยังอยู่ดีค่ะ  เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว น่าจะอายุเกือบหกปีได้กระมัง (อ่าน story ของศรีส้มย้อนหลังได้ค่ะ)

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าศรีส้มนี่เผลอๆจะเป็นคุณพ่อของซัมเมอร์หรือเปล่าเนี่ย !  คุณแม่สามสีนี่เป็นแมวข้างบ้าน เป็นแมวที่ไปๆมาๆแต่เห็นอยู่ประจำที่บ้านติดกันค่ะ  แต่ทางข้างบ้านก็บอกไม่ได้เลี้ยง !

ผู้เขียนก็งงๆอยู่กับความสัมพันธ์แบบซับซ้อนอย่างนี้เหมือนกัน  ตกลงว่าให้มานอนเล่นได้ แต่คาดว่าคงไม่ได้ให้อาหารเป็นจริงเป็นจังกระมัง

ต่อไปนี้จะขอเรียกว่าคุณแม่สามสีนะคะ  มีลายส้ม ดำ และ ขาวอยู่บนตัว  ใครๆก็เรียกหล่อนว่าสามสี

อยู่มาวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2567 คุณแม่สามสีหอบลูกมานอนแอบซ่อนที่ระเบียงบ้านผู้เขียน  นางซ่อนลูกที่คาดว่าเหลือตัวสุดท้ายเอาไว้ใต้ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ที่บ้านของผู้เขียน ใครมาเข้าใกล้ก็จะขู่ฟ่อเลยทีเดียว

นางหวงลูกมาก  และประคบประหงมลูกเป็นอย่างดี  ไม่ยอมห่างไปไหนเป็นเดือนๆเลยค่ะ  ผู้เขียนหาน้ำไว้ให้ กับให้อาหารทั้งคุณแม่คุณลูก ประดุจเป็นแมวเลี้ยงเอง

ลองคิดดูว่าถ้าแมวมีลูกเล็กๆ จะไปหาอาหารยังไงได้   ไม่กล้าทิ้งลูกไว้ แล้วตัวเองไม่มีอะไรกิน ไม่ว่าจะอาหารหรือน้ำ  แมวจรจัดก็ต้องออกหากินเองใช่ป่าวคะ

นี่สามสีคงมีลูกมากกว่าหนึ่งตัว  แต่คงไม่รอดไปทีละตัวสองตัว  จนเหลือตัวสุดท้าย  เลยต้องหนีตายมาพึ่งบ้านผู้เขียนนี่หละ

เห็นคลิบในสื่อสังคมออนไลน์เยอะแยะ  แม่แมวผอมโซนอนหมดแรง ท่ามกลางลูกแมวล้อมวงดูดนมจากอกแม่ซึ่ง...กำลังจะตาย

น่าสงสารมากจริงๆค่ะ

ตลอดสี่เดือนเห็นสามสีดูแลซัมเมอร์แล้วก็ซึ้งใจค่ะ  นางตามลูกไม่ห่างเลย มีการพาลูกไปสอนการล่าสัตว์อีกด้วยค่ะ   ล่าจิ้งเหลนมากินกันสองแม่ลูกที่ระเบียงบ้านด้วย  ผู้เขียนสยองมาก ! 5555

กระนั้น...พอย่างเข้าเดือนที่สี่ปลายๆ นางเริ่มหายไปสองสามชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาดูลูก  ซัมเมอร์ยังเด็กมาก  ก็วิ่งร้องหาแม่เวลาหาแม่ไม่เจอแหละค่ะ  

ท้ายสุดคุณแม่สามสีก็หายตัวไปเลย  ผู้เขียนก็หลงเป็นห่วงว่าสามสีจะยังมีชีวิตอยู่ไหม  แต่ก็เอาซัมเมอร์มาเลี้ยงเป็นเพื่อนกับศรีส้มค่ะ  ให้ศรีส้มเลี้ยงน้องซัมเมอร์  

ผ่านไปอีกเป็นเดือนๆ กลับเห็นคุณแม่สามสีเดินเล่นอยู่บ้านข้างๆ !  อ้าว...ตกลงนางทิ้งลูกหรือนี่ !


...😅😅😅


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

สิงหาคม 05, 2567

คิดถึงวันเก่าๆ (บางที)

 


ผู้เขียนเจอรูปเก่าๆสมัยที่ถ่ายเอาไว้เล่นๆ อยู่หลายรูปเลยค่ะ  รูปนี้ก็เป็นรูปหนึ่งที่อุตส่าห์เอากล้องถ่ายรูป เน้น กล้องถ่ายรูป ไม่ใช่ถ่ายด้วยมือถือนะคะ  ถ่ายภาพนี้ด้วยกล้องพกพาค่ะ

แล้วมันยังไง พกกล้องถ่ายรูปไว้ติดรถเล่นๆ ค่ะ สมัยนั้นมีกล้องถ่ายรูปหลายอันมาก  เลยเอามาแปะไว้ในรถสักอัน เผื่อหยิบใช้ง่ายๆ เพราะว่าอยากจะศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายภาพ  แต่ไม่มีเวลาออกไปไหนไกลๆค่ะ

เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ว่าการจะถ่ายภายสวยๆต้องออกไปเดินทางท่องเที่ยวให้ลำบาก  มาเข้าใจเอาตอนนี้เองแหละว่า  ของใกล้ๆตัวเอามาถ่ายให้ดูสวยก็ไม่ได้ลำบากเลย  ไม่ต้องเสียเงินออกไปนอกบ้านให้เสี่ยงนี่นั่นโน่นด้วย  นี่เป็นคำแก้ตัวของคนที่ไม่ชอบเที่ยว  และอีกทีก็คือไม่รู้จะไปไหนค่ะ5555

หัวใจคือความเข้าใจการทำงานของกล้อง  เลิกถ่ายโหมดอัตโนมัติให้ได้ก่อน  ฮ่าาา ตอนนี้ก็ทำเป็นแล้วล่ะค่ะ และไปได้ดีกับงานนี้พอสมควร

คิดถึงวันเก่าๆที่เราต้องนั่งบนรถที่ติดแน่นขนัดทุกๆเช้าวันทำงาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันจันทร์

รถติดบนทางด่วน  ขนาดว่าขับรถไปด้วย  ยังมีเวลายกกล้องมาเล็งได้ขนาดนั้นเลย แสดงว่ารถติดแน่นิ่งสนิทและนานขนาดไหน

รูปนี้ก็พยายามจัด composition ให้เห็นเส้นวิ่งทะแยงของถนน ขัดไปกับเส้นราวเหล็กของทางด่วนค่ะ  เห็นมั้ยล่ะ  รถติดก็ยังเห็นถึงความงดงามได้  ฮ่าาาา  แต่ ณ วันนั้นขอบอกว่าเซ็งสุด  ยิ่งหากวันไหนมีประชุมเช้ารออยู่ด้วยละก็  ยิ่งเครียดพาลเส้นเลือดขมับปูดเลยทีเดียว

จะไปทันมั้ยวะ

ข้าวก็ยังไม่ได้กิน  ฯลฯ  สารพัดค่ะ  แต่มันก็ได้พ้นไปจากชีวิตผู้เขียนหลายปีแล้ว...ชีวิตแบบนั้น

บางทีก็อดคิดถึงไม่ได้นะคะ  จะอย่างไรมันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต  คือความทรงจำ  การดิ้นรนเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน สุดท้ายมันก็สำเร็จละ  แล้วมันก็ต้องจบไปอีกหนึ่งช่วง  เหมือนซีรีย์จบตอน  แล้วขึ้นต้นบทใหม่...

บทใหม่แต่เรื่องเดิม...คือ...หาเงิน(อีกแล้วค่ะ)555

ตกลงเกิดมาเพื่อหาเงินกันหรือไง  มวลมนุษยชาติเค้าก็ต้องหากันแบบนี้แหละ หาใช่เธอคนเดียว  จะมาบ่นไปไยเล่า  ใช้สำนวนหนังจีนหน่อย  

ว่าแล้วจะลองเขียนนิยายจีนให้ได้สักเรื่องค่ะ  เผื่อจะได้เกิดดดด....ที่จริงคือสนองความอยากเขียนของตัวเองอีกละ   

บ่นแล้วก็ต้องสู้ต่อไปค่ะ

ฝากติดตามผลงานนะคะ  ถ้ายังไม่ตายเสียก่อนก็ต้องสู้กันให้ตายกันไปข้างนึงละ ...สู้โว๊ย