มีนาคม 29, 2566

ท้องฟ้ายามเย็นแห่งฤดูร้อน

 


ผู้เขียนไม่อยากจะบอกเลยว่าปีนี้ทำไมอากาศมันร้อนเหลือจะทนได้ขนาดนี้.   เร่ิมตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมานี้รู้สึกจะเข้าสู่ฤดูร้อนเป็นเต็มตัว.  ห้องทำงานที่นั่งทำงานทุกวันพอดีว่าหลังคาบางส่วนได้เจาะเป็นช่องแสงเอาไว้เพื่อหวังจะได้แสงธรรมชาติ.   ช่องแสงอันนี้แหละที่รับความร้อนมาเต็มๆเลยค่ะ


นั่งทำงานด้วยความทุกข์ทรมาน.   เมื่อทนไม่ไหวก้อต้องเปิดแอร์.  ทีนี้เครื่องปรับอากาศน่าจะทำงานหนักหน่อยเพราะว่าความร้อนยังไงก้อมาจากช่องแสงด้วยส่วนหนึ่ง.  ทำให้ผู้เขียนพยายามจะเปิดแอร์ให้จำนวนชั่วโมงน้อยที่สุด. 


อย่างไรก็ตาม...เมื่อเห็นใบแจ้งหนี้ค่าไฟก้อต้องอึ้งงงงง.  คงเหมือนกับทุกบ้านในประเทศแห่งนี้. ที่ค่าไฟแพงเป็นอันดับต้นๆของโลก


พอมาดูที่จำนวนหน่วยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว.  ปรากฎว่าจำนวนหน่วยมันน้อยกว่าของปีนี้ด้วยซ้ำไปค่ะ.  แต่ที่ค่าไฟสูงกว่าเป็นเพราะค่า FT หรือค่าไฟฟ้าผันแปร


จริงๆที่บ้านก้อต้นไม้เยอะอยู่.  ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ค่อยช่วยให้เย็นลงหน่อยเหรอ.   อืมห์....พอออกมาเดินนอกห้องทำงานเท่านั้น.  ปรากฎว่าอากาศไม่ร้อนเท่าในห้องแหละค่ะ.   แสดงว่าในห้องทำงานมันร้อนอบอ้าวเป็นเตาอบเพราะการระบายความร้อนอาจจะไม่ดี.   อากาศไม่ flow อะไรประมาณนั้น


ทีนี้ไม่รู้จะแก้ไขยังไงล่ะค่ะ.    ความคิดเรื่องต้องการช่องแสงธรรมชาติไว้สำหรับการวาดรูปนี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการ.   เพราะเวลาลงสีใต้แสงพวก LED หรือแสงนีออน.   บางทีจะทำให้สีมันเพี้ยนได้นะคะ  


ครั้นว่าจะใส่ฝ้ากันความร้อนไว้ใต้หลังคาส่วนที่ต่อเติมนั้นตอนนั้นก้อไม่ได้คิดว่าจำเป็น.  เพราะคงจะไม่ได้ใช้ห้องบ่อย.   คงใช้แค่เสาร์อาทิตย์.  ส่วนวันธรรมดาต้องไปทำงาน.  กว่าจะกลับบ้านก้อค่ำมืดแล้ว


เพราะไม่รู้ว่าจะต้องออกจากงานมาอยู่บ้านแบบ full time น่ะสิคะ.  


ยังดีที่ติดแอร์ประเภท heavy duty BTU เยอะๆเอาไว้แทน. 


ตั้งแต่มาอยู่บ้านตลอดเวลานี้ก้อใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้เช้าจรดค่ำเลยค่ะ.   หากว่าไม่ได้ปรับปรุงห้องนี้เอาไว้เมื่อหลายปีก่อนโน้นแล้วละก้อ.  .... ต้องควักเงินมาทำในตอนนี้เป็นแน่.  แล้วมาควักเงินในยามที่ไม่มีรายได้แล้วนั้นมันเจ็บปวดดดดนะคะ


บางทีผู้เขียนออกไปเดินแถวละแวกบ้านในตอนเย็นๆ.  เห็นท้องฟ้าหน้าร้อนสีสวยดีเหมือนกันค่ะ.  เลยถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น.   เผื่อเอามาเขียน blog ไว้ด้วย



สีของฟ้าแบบนี้เรียกว่า สีน้ำเงิน indigo.  ซึ่งผู้เขียนชอบค่ะ  มันน้ำเงินแบบเคร่งขรึม.  สงบและเยือกเย็น เวลาเอาไปผสมกับสีอื่นจะทำให้เป็นโทนมืดๆลงมาหน่อยๆค่ะ.  สวยค่ะ


ยามโพล้เพล้แบบนี้ก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดีล่ะค่ะ...ไปหาอะไรทานก่อนนะคะ.  แล้วพบกันใหม่ค่ะ 



มีนาคม 22, 2566

ย้อนวันและย้อนวัยผ่านการดูหนัง | เกิดอีกทีต้องมีเธอ Dark Side Romance : Inspired by Movie

ขอขอบคุณภาพจากหอภาพยนตร์ (องค์กรมหาชน)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก website ของ หอภาพยนตร์แห่งชาติ (องค์กรมหาชน)


อยากจะเขียนเกี่ยวกับหนังก็ได้แต่รั้งๆรอๆมานานค่ะ. เพราะว่าไม่แน่ใจเรื่องการนำภาพประกอบของหนังมาอ้างอิงใน blog น่ะแหละ.  สุดท้ายคือเอาเป็นว่าขอใส่เครดิตภาพไว้ให้ก้อหวังว่าจะรอดปลอดภัยนะคะ คือที่ว่าจะเขียนถึงนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ตัวหนังหรือผู้เกี่ยวข้องมีความเสียหายแต่อย่างใดค่ะ


จริงๆก้อเคยซื้อหนังเรื่องนี้เก็บเอาไว้ตั้งแต่ตอนทำเป็นวีดีโอค่ะ  คิดดูแล้วกันว่านานขนาดไหนแล้ว😚   ข่าวร้ายคือตอนนี้หาไม่เจอ.  ไม่รู้เอาไปเก็บไว้ที่ไหนซะแล้ว   ไม่งั้นอย่างน้อยอาจจะสามารถ scan ปกมาให้ชมกันแบบภาพใหญ่ๆกว่านี้ได้.  หรือไม่ก็อาจจะมีพวกภาพด้านในแผ่นปกและภาพอื่นๆให้ชมกันมากกว่านี้


นอกจากนี้เพลงประกอบหนังผู้เขียนก้อยังซื้อเป็นเทปคาสเซ็ทเก็บไว้อีกต่างหาก  ตอนนั้นชอบหนังเรื่องนี้มากเลยยย.  จินตนาการย้อนไปถึงประมาณ ปี 2538 ที่หนังเรื่องนี้กำลังดัง.  ผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มทำงานได้ประมาณสามถึงสี่ปี. เป็นวัยเริ่มต้นชีวิตจริงๆล่ะค่ะ


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ดูหนังเรื่องนี้อีกรอบนึงผ่าน Streaming ค่ะ. โอ้วววว. นึกถึงอะไรหลายสิ่งอย่างในตอนก่อนโน้น. 


ผู้เขียนชอบดูหนังเก่าด้วยเหตุผลว่าคิดถึงบ้านเมืองของเราในอดีตค่ะ. 


ชอบจะเห็นพวกตึก. อาคารพาณิช์. ย่านการค้าต่างๆว่าสมัยนั้นรถรามันเริ่มติดหรือยังนะ.  ตอนนั้นผู้เขียนเริ่มมีรถคันแรกแล้ว.  เรื่องรถติดนี้ก้อจำไม่ค่อยได้แล้วล่ะค่ะ. 


ได้เห็นรถรุ่นต่างๆที่สมัยนั้นเค้ากำลังนิยมใช้กัน.  เห็นพวกสินค้าต่างๆที่ประกอบอยู่ในท้องเรื่อง. เออ...หนอ..เหมือนว่ากำลังได้ย้อนเวลากลับไปจริงๆค่ะ.  อดไม่ได้ที่จะคิดถึงชีวิตของผู้เขียนในตอนนั้นว่ากำลังคิดอะไร.  รู้สึกอะไร. และเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตในช่วงนั้น


ที่แน่ๆ...คือคงไม่รู้ตัวว่า...อีก 20 กว่าปีต่อไป.  เธอจะต้องออกจากงานนะ. ....  เธอจะต้องพบกับความเคว้งคว้างของชีวิตอย่างหนัก.   หากจะเรียกว่าเป็นช่วงขาลงของชีวิตก้อไม่ผิด (ถ้ารู้ก่อนจะได้หัดเป็นคนประหยัดและรู้จักเก็บเงินให้มากกว่านี้ 😡)


ฉากที่ผู้เขียนชอบและแอบอมยิ้มคือฉากที่เพื่อนพระเอกใช้โทรศัพท์มือถืออันยักษ์แนี่ยล่ะค่ะ.   เห็นโทรๆอยู่ก้อสัญญานขาดหายไป.  ต้องมีการย้ายไปยืนตรงนั้นตรงนี้เพื่อหาคลื่นเนี่ยล่ะ  อันนี้เป็นเรื่องจริงของเทคโนโลยีในยุคนั้น.   คิดดูแล้วก้อขำๆค่ะ


ไหนจะมีมือถืออันใหญ่แล้ว.  สมัยนั้นต้องมี Pager กับเค้าด้วย.  เห็นในฉากเพื่อนพระเอกห้อย Pagerไว้ที่เอวหนึ่งอัน. (สมัยนั้นบางคนมีมากกว่าหนึ่งอันซะอีก พวกผู้ชายจะเหน็บไว้กับเข็มขัดค่ะ)  ผู้เขียนก้อมี Pager ไว้ใช้กับเค้าด้วยเหมือนกันนะคะ. ฮ่าาาา.  ยี่ห้อ Easy Call เวลาจะส่งข้อความต้องโทรเข้าโอเปอเรเตอร์ก่อน  เสียตังค์เป็นแบบค่าบริการรายเดือนและค่าส่งข้อความต่อครั้งอีกต่างหาก.   ถ้าข้อความยาวเกินไปจะตัดการส่งเป็นสองรอบ.  เวลาข้อความเข้าจะมีเสียงเตือน.  ส่วนตัวเครื่องเราสามารถตั้งให้เป็นแบบสั้นอย่างเดียวก้อได้.  แบบมีเสียงด้วยก้อได้ค่ะ


เห็นเครื่องคอมพิวเตอร์แว๊บๆในหนังด้วย.  ผู้เขียนจำได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์หน้าตาเหมือนที่มีที่บริษัทที่ผู้เขียนทำงานอยู่เลยค่ะ.  ที่ออฟฟิศจะเรียกเครื่องจอเขียว.  ลักษณะเป็นจอมอนิเตอร์ใหญ่ๆเหมือนตู้ปลา.  เวลาเปิดใช้ทำงานพื้นหลังหน้าจอจะเป็นสีดำ. ส่วนตัวอักษรจะเป็นสีเขียวนะคะ.  ต้องบอกก่อนว่าสมัยนั้นไม่มีจอ VGA หลายสี


ส่วนระบบปฏิบัติการบนเครื่อง ใช้  Dos และใช้ชุดโปรแกรมสำเร็จรูป Lotus ซึ่งทำงานคล้ายๆ Ms-Excel  ค่ะ.  เวลาจะพิมพ์งานก้อใช้พวก Word Chula  ทั้งหมดนี้ทำงานเพียงแค่สีเดียว. และใช้กับเครื่องพิมพ์แบบ Dot Matrix ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเห็นใช้กันอยู่.  คือมันจะใช้กระดาษต่อเนื่องที่มีรูหนามเตยสองข้าง. และมีแผ่นคาร์บอน copy เป็น Layer ซ้อนในกระดาษขาวได้ด้วย


ทะยอยนึกย้อนไปทีละเรื่องสองเรื่องว่าตอนนั้นเราใช้ชีวิตยังไง.  สนุกดีค่ะ. ตกลงว่าไม่เน้นการดูหนังนะคะ.  เน้นการดูพวก Production ต่างๆ กับพวกอุปกรณ์ประกอบฉากค่ะ5555 




ข้อมูลอ้างอิง :
เกิดอีกทีต้องมีเธอ (อังกฤษDark Side Romanceภาพยนตร์ไทยในปี พ.ศ. 2538 นำแสดงโดย ทัช ณ ตะกั่วทุ่งกุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดาโชคชัย เจริญสุข กำกับโดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว



ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง : เกิดอีกทีต้องมีเธอ Wigipedia



Link :

ดูหนังเรื่องนี้. :  https://youtu.be/cxp7SJIC2kA




มีนาคม 15, 2566

เรื่องสั้นแนวเสียดสีสังคมที่แอบอยากเขียนแนวนี้บ้าง

 


"อันเนื่องมาจากเช้าวันนั้น". เป็นเรื่องสั้นที่ผู้เขียนอยากจะทดลองอะไรบางอย่างค่ะ


จริงๆก้อนอกจากเรื่องนี้แล้ว.  มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการขัดเกลา.  กับนิยายที่เขียนไม่จบอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นแนวเสียดสีสังคม


ทว่า...พอไม่สามารถเขียนจบได้.  มันเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีค่ะ ฮ่าา


วันหลังจะเอามาโชว์ให้เหล่าผู้อ่านได้เห็นนะคะ. เผื่อจะมีคน comment มาบ้างว่าอยากอ่านต่อ. อิอิ


เรื่องแนวเสียดสีสังคมนี่ก้อเขียนยากกว่าแนวโรแมนติกดราม่าเยอะนะคะ.  คือกว่าจะหาประเด็นอะไรที่มันโดนใจแรงๆได้.  ต้องแรงพอที่จะพยุงให้ตัวเองเขียนได้จนจบเรื่องด้วย.  สรุปเลยนานๆจะเกิด moment แบบนั้น. จึงคาดว่าอาจจะมีเพียงเล่มนี้เล่มเดียวที่สามารถออกสู่สายตานักอ่านได้ค่ะ


ในช่วงยุคสมัยก่อนโน้นนนน...อาจจะเป็นช่วงที่ผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มชีวิตการทำงาน.  ช่วงนั้นยังว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของวรรณกรรมแนวเสียดสีสังคมก้อว่าได้.  เป็นยุคที่ยังไม่มีโลกอินเตอร์เนต.  ไม่มีโทรศัพท์มือถือ. โอ้ววว ...นึกภาพกันไม่ออกเลยล่ะสิ. ว่าคนยุคนั้นอยู่กันอย่างไร5555


สมัยนั้นมีนักเขียนแนวๆนี้อยู่หลายท่าน.  เช่น. ชาติ กอบจิตติ, วานิช  จรุงกิจอนันต์. ฯลฯ.  


คือผู้เขียนคงจะนึกคิดว่าตัวเองเขียนเป็นแต่แนวโรแมนติกดราม่า.  ถ้ามาหัดเขียนเรื่องแนวสร้างสรรค์สังคม หรือ เสียดสีสังคมนิดๆๆๆ.  น่าจะสนุกดีนะ


ทีนี้วัตถุดิบในหัวสมองเราก้อมีน้อย.  เพราะพวกข่าวการเมือง  ข่าวเกี่ยวกับมวลชน. หรือ ข่าวเกี่ยวกับกลุ่มแรงงานต่างๆนี่ไม่เคยอยู่ในเรดาร์ความสนใจของเราเลย.  แล้วจะเอาอะไรมาผูกเป็นเรื่องดีล่ะ


ไหนจะตัวละครอีก.  จะสร้างตัวละครอย่างไร


สรุปก้อเขียนไปตามเท่าที่จะคิดได้ล่ะค่ะ


เรื่องแนวเสียดสีสังคมอาจจะสะท้อน. หรือ ให้อะไรบางอย่างที่มันหนักหัวไปซักหน่อยกับผู้อ่านนะคะ.  แต่ในมุมของผู้เขียนรู้สึกว่าได้ส่งผ่านสาระไปยังผู้อ่านที่ดูเป็นสาระจริงๆ. 55555.  ไม่เน้นบันเทิง


ส่วนโรแมนติกดราม่าในแนวผู้เขียนที่ชอบเขียนเนี่ย...ก้อจะเน้นโรแมนซ์หวานแหวว. กุ๊กกิ๊ก.  อิ่มใจ. และสอดแทรกคติการดำเนินชีวิตไปด้วยค่ะ


เขียนได้ลื่นไหลมากกว่าเยอะ. แต่กระนั้นก้อยังเขียนไม่จบอยู่อีกหลายเรื่อง


การเขียนนิยายแบบด้นสดนี่มันตื่นเต้นดีจริงๆค่ะ. ฮ่าาาา.😂   ด้นไปด้นมาแล้วเจอทางตัน...พอเว้นวรรคหันไปทำอย่างอื่นเผื่อจะคิดออก.  คราวนี้เลยไปไกลโลดเลย. คือกลับมาเขียนต่อไม่ติดไปซะอีก.  


ตั้งแต่ออกจากงานมาก้อกลับไปเขียนอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ  ทว่าทำหลายอย่างมาก ...สุดท้ายนิยายก้อยังไปไม่ถึงไหนอยู่ดี.  เฮ้อ.  ขอบอกเลยว่าเขียนนิยายนี่ใช้พลังมากกว่าวาดรูปหลายเท่าตัว


ก็เขียนกันต่อไปและวาดกันต่อไปค่ะ


เพราะเป็นสิ่งที่รักจะทำ.  ชีวิตผู้เขียนคือสิ่งเหล่านี้แหละค่ะ .... 😊


Link เผื่อใครที่สนใจนะคะ :






มีนาคม 08, 2566

ชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่มีสิ้นสุด : Life is endless journey of learning

 



นั่งถามตัวเองว่าเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดมันคืออะไร? ทำไม่ดูเหมือนเรายังไปไม่ถึงซักที...

เวลาที่ผ่านไปหมายถึงช่วงเวลา post-retiredment ทั้งหมดสี่ปีนั่นแหละ

อันนี้มันเหมือนกำลังโทษตัวเอง หรือตำหนิตัวเองอยู่หรือเปล่า....หรือกำลังประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา. ซึ่งมันคืออัลกอริทึ่มแบบชีวิตลูกจ้างเดิมๆเลย

ปีนึงต้องประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างน้อย 2 ครั้ง.  ต้อง set goal ให้ตัวเอง+ทีม และพูดคุยกับน้องๆในทีมเพื่อปรับ mindset ต่างๆเกี่ยวกับงานของแต่ละคน

นี่คืออัลกอริทึ่มลูกจ้าง...ผู้ตกเป็นทาสต่อ "เงินเดือน" นั่นเอง

ความฝันของเราคือ เงิน. ซึ่งคิดว่าจะบันดาลสุขเหลือคณาให้กับชีวิต

หรือ. ควรจะฝันถึง. ชีวิตที่สงบสุข.  ปัญหาน้อยๆ.  ไม่มีหนี้. สุขภาพไม่มีปัญหา  มีอิสรภาพในการใช้ชีวิตในระดับหนึ่ง. และ....มีเงินเพียงพอ. ย้ำ. แค่เพียงพอแก่การยังชีพ

หากเรากำลังฝันถึงกองเงินที่เราเคยได้รับทุกเดือน. และทุกปีจำนวนมาก ที่มาพร้อมกับความไม่สงบสุข. เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบ มีเงินเหลือให้เลือกกิน และเลือกใช้  แต่แทบจะไม่มีเวลาได้ดื่มด่ำกับการกิน หรือชื่นชมกับข้าวของที่ซื้อมาเท่าไหร่.  

แบกรับ Goal และตัวชี้วัดความสำเร็จของหน่วยงานและขององค์กร.  ความเครียดและความกดดันนานา.  ซึ่งสิ่งเหล่านั้นในที่สุดอาจจะนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ

ความสำเร็จที่เคยได้รับก้อเป็นสิ่งควรค่าแก่ความภูมิใจ. เพราะในวัยนั้นก้อควรเป็นเช่นนั้นแหละค่ะ. เป็นช่วงวัยแห่งการสร้างชีวิต. สร้างฐานะ. สร้างตัวด้วยการทำงาน

อย่างที่คำพระท่านบอกเสมอ.  ไม่มีอะไรอยู่กับเรายั่งยืนนาน

คราเมื่อมันจากเราไป. เราก็ยังยึดติดอยู่กับมัน. ทำให้เรากระวนกระวายใจถึงสิ่งที่เคยมีและเป็น.  อยากมีรายได้. อยากมีความเหลือเฟือต่างๆนานา  นี่แหละทำให้เราก้าวออกจากความทุกข์และความกลัวไม่ได้ซักที

เรามัวแต่กลัวอนาคต. แต่ปัจจุบันก้อแอบเปรียบเทียบตัวเองกับอดีต. 

ทั้งที่ความสุขของเราคือการใช้ชีวิตอยู่กับงานสร้างสรรค์ต่างๆ ได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆบนโลกที่กว้างใหญ่กว่าแต่ก่อน (กว้างใหญ่เพราะ globalization+internet)

สิ่งที่เคยยากและแทบเป็นไปไม่ได้.  กลับง่ายขึ้นมากในยุคสมัยนี้. 

หลายอาชีพอาจต้องหมดไป. แต่ก้อมีอาชีพใหม่ๆเกิดแทนที่ขึ้นด้วยเหมือนกัน

เราฝืนความเป็นไปของโลกไม่ได้.  มีแต่ว่าต้องลู่ไปตามโลก

สี่ปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้ฝึกฝนตัวเองมากมาย.  เพื่อจะเตรียมตัวก้าวเข้าสู่โลกแห่งศิลปะค่ะ.  ประดุจว่าตอนนี้ตัวเองจะสำเร็จวิชา Graphic design ในระดับนึงล่ะค่ะ

จริงๆก้อเหมือนจะสำเร็จตามฝันบางส่วนแล้ว.  คือการได้ก้าวขาเข้าไปในโลกงานสร้างสรรค์ 

มีความสุขดีในทุกวันที่ตื่นมาแล้วรู้ว่าวันนี้จะได้วาดรูปต่อแล้ว...

เรื่องอื่นๆก้อเอาไว้ค่อยๆหาทางออกกันต่อไปค่ะ

...

แบบนี้ดีมั้ยคะ

...


😊





.