ธันวาคม 01, 2568

ระหว่างทางที่ค้นพบ

 




หลายคนคงเป็นเหมือนกันที่ใช้ชีวิตตามวิถีมนุษย์เงินเดือนมาอย่างยาวนาน 

บางคนยังอยู่บนเส้นทางนี้ แต่บางคนก็เลือกเดินออกมาเอง...อย่างผู้เขียนเป็นต้น

ถามว่าตลอดเส้นทางชีวิตจนถึงวันนี้ได้ค้นพบอะไรที่ปลายทางบ้าง  เดี๋ยวนี่คือระหว่างทาง...ยังไม่ปลายทาง555

แต่ภาพประกอบ post ที่ทำมาเป็นการเตือนตัวเองไปด้วย ว่าสักวันปลายทางจะได้พบเจอกับอะไร...?

ตั้งแต่ early retired ออกมา ผู้เขียนก็พบเจอกับโลกจริงที่ในทางทฤษฎีเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า VUCA 

ผู้เขียนได้รู้จักคำว่า VUCA เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ณ ช่วงเวลานั้นยังทำงานอยู่ค่ะ  และได้ฟังเรื่องนี้จากการไปร่วมประชุมสัมมนาประจำปี เกี่ยวกับวงการบริหารค่าจ้างเงินเดือน (Compensation and Benefits) ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำจากต่างประเทศจะคอยนำข้อมูลที่ update เกี่ยวกับ trend ต่างๆของโลกมาเล่าให้ฟังเป็นประจำทุกปีค่ะ

ตอนนั้นฟังแล้วก็รู้สึกตกใจ และคิดว่า...มองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ว่าโลกจะเดินไปเส้นทางนั้น

มาดูกันว่า VUCA คืออะไร


VUCA World: โลกที่ไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไป

VUCA เป็นคำที่กองทัพสหรัฐใช้อธิบายสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่ตอนนี้เราใช้คำนี้อธิบายโลกที่เราอยู่กันทุกวันนี้แล้วล่ะ

ความหมายของแต่ละตัวอักษร

V - Volatility (ความผันผวน)
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันไม่ทันตั้งตัว มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น

U - Uncertainty (ความไม่แน่นอน)
ความไม่แน่นอนสูง คาดการณ์ได้ยาก ขาดความชัดเจน ไม่สามารถหาข้อมูลที่ชัดเจนมายืนยันในแต่ละสถานการณ์ได้ ทำให้ยากต่อการตัดสินใจ

C - Complexity (ความซับซ้อน)
ความซับซ้อนเชิงระบบที่มากขึ้นเรื่อยๆ มีปัจจัยมากมายและซับซ้อนต่อการตัดสินใจ

A - Ambiguity (ความคลุมเครือ)
ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ไม่สามารถคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นได้ชัดเจน ปัจจัยที่ทำให้เกิดความคลุมเครือมาจากการขาดข้อมูลที่แท้จริง หรือมีข้อมูลแต่ยังต้องแปลความหรือตีความ

เพราะในโลก VUCA นี้ สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ "ความไม่แน่นอน" นั่นเอง

ลองนึกดูสิว่า ตั้งแต่ผู้เขียนออกมาจากงานประจำ สิ่งที่เจอมีอะไรบ้าง

  •  การเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ ตอนนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเล็กน้อย มีการเลือกตั้งในรอบ 7 ปี
  • ธุรกิจที่ผู้เขียนทำไม่ work ต้องหาอย่างอื่นทำแทน555
  • การถูกลดรายได้จาก Partner Platform ต่างประเทศ สะท้อนสัญญาณอะไรสักอย่าง ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับ
  • โรคระบาดที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน นำมาซึ่งการเสียชีวิต ระบบสาธารณสุขที่ต้องปรับตัว วัคซีนยังไม่มี คนป่วยล้นโรงพยาบาล คนตายไม่มีที่เผา คนตกงานจำนวนมาก ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ต้องปิดทำการ การทำงานจากที่บ้าน work from home และ online meeting ซึ่งสมัยผู้เขียนยังทำงานก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้
  • หลังโควิทมาเศรษฐกิจไทยไม่ฟื้น สลบยาวค่าาาา (ร้องไห้ทั้งน้ำตา)
  • การเข้ามาของ Ai สร้างภาพได้เองโดยใช้ prompt
  • การกำเนิดของปัญญาประดิษฐ์ คราวนี้ไม่แค่สร้างภาพ คิดได้ โต้ตอบได้ เก่งกว่ามนุษย์อีก555 แถมเขียนบทความเก่งอีก  ตกงานอีกละคราวนี้
  • ปีนี้อย่างหนักคือ มีแผ่นดินไหว จนเห็นตึกทั้งตึกล่มคาตา! 
  • มีภัยสงครามบริเวณชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่สองประเทศก็อยู่ร่วมกันมาแบบนี้มาหลายสิบปี 
  • สแกมเมอร์ ภัยใหม่ในโลกออนไลน์ค่ะ น่ากลัวมาก
  • แถมกลางๆปีมีหลุมยุบขนาดยักษ์ที่เกิดจากการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่มีคนเสียชีวิต แต่ก็หวาดเสียวน่าดู
  • มีน้ำท่วมที่น่ากลัวมาก ตั้งแต่ที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย ปลายปี 2567 มาจนถึงน้ำท่วมหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 2568 ที่ความสูงของน้ำระดับที่บ้านชั้นเดียวอยู่ไม่ได้! 
ผู้เขียนพยายามจะเรียงลำดับเหตุการณ์ให้นะคะ  แต่ว่าถ้าไม่ถูกต้องก็ขออภัยค่ะ

ความทึ่งของผู้เขียน ก็คือ คนต้นคิดเรื่อง VUCA ค่ะ ว่าช่างมองการณ์ไกลเนอะ

จุดกำเนิดมาจากกองทัพสหรัฐอเมริกานั่นเอง

VUCA ถูกนำมาใช้ครั้งแรกที่ U.S. Army War College ในปี 1987 โดย แนวคิดนี้พัฒนามาจากงานของ Warren Bennis และ Burton Nanus ในหนังสือ "Leaders: The Strategies for Taking Charge" ปี 1986

คำนี้ถูกใช้เพื่ออธิบายสถานการณ์หลังสงครามเย็นในปี 1991 ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในช่วงสงครามอัฟกานิสถานและอิรัก เดิมที U.S. Army War College ใช้ VUCA เพื่ออธิบายโลกที่ซับซ้อนขึ้นหลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น

การแพร่กระจายสู่โลกธุรกิจ

ในโลกธุรกิจ VUCA กลายเป็นที่นิยมในยุค 2000 เพราะสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เศรษฐกิจและสังคม มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่แพ้สถานการณ์สงคราม

เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ VUCA แพร่หลายมากขึ้น ได้แก่ การเปิดตัว World Wide Web ในปี 1993, เหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 และวิกฤตการเงินโลกปี 2007-2008


ปีนี้เป็นปีที่ 7 ค่ะ สำหรับการออกมาเผชิญโลกเพียงลำพัง แน่นอนว่าหลายอย่างก็พอจะเดินหน้าไปได้บ้าง และอีกหลายอย่างก็ สูญหาย และ สูญเสีย รวมทั้ง สูญสิ้น ไประหว่างทางเหมือนกัน

สิ่งที่ค้นพบคือ ฉันเดินทางมาตั้งไกล เพื่อสะสมอะไรไว้มากมาย สิ่งของ เงินทอง ...สุดท้ายก็ไม่สามารถจะรักษามันไว้ได้ 

แต่ที่น่าแปลกคือ ฉันก็ยังพอหาความสุขได้บ้าง และมีความหวังไว้ประดับหัวใจนิดๆหน่อยๆ ว่าจะยังพอเดินต่อไปได้ อะไรที่หมดไป ก็อาจพอหาใหม่ได้ 

ถ้าเราไม่ยึดติดสิ่งเหล่านั้นจนเกินไป...ความสุขก็ยังพอจะหาได้อยู่นะ...ทุกคน




ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ






พฤศจิกายน 20, 2568

Free Printable ตาราง Tracker 2569

 



มาแล้วค่าาา ตาราง Tracker สารพัดประโยชน์ สำหรับปี 2569/2026 

งานนี้ไม่คิดมูลค่า แต่ขออย่านำไปขายต่อ ฮ่าาาา เป็นความตั้งใจที่จะใช้ทักษะความสามารถให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้างเท่านั้นค่ะ

ปีนี้ถือว่าทำตามสัญญาที่ได้ให้กับตัวเองสำเร็จอีกครั้ง  ว่าจะอัพโหลดตาราง tracker ปี 2569 ให้กับทุกคนได้เอาไปใช้กันก่อนปี 2569 ที่กำลังจะมาถึงค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านเป็นประจำ และบังเอิญหลงเข้ามาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่  หากว่ารักชอบในเนื้อหา รบกวนติดตามกันต่อไปนะคะ หรือ อยากอ่านแนว fiction ตอนนี้ก็เขียนนิยายจบได้ 2 เรื่องแล้วค่ะ ฝากอุดหนุนกันหากว่าสนใจในผลงานอีกด้านหนึ่งนะคะ  ลองดู link ได้ในหน้า About me ค่ะ 




ดาวน์โหลดเลยค่าาาา เป็น   PDF file นะคะ

ไฟล์ที่แรก  สำหรับ print บนกระดาษขนาด A4 ค่ะ





ไฟล์ที่สอง  สำหรับกระดาษขนาด Letter US เผื่อว่าคนไทยในต่างประเทศ







พฤศจิกายน 04, 2568

เขียนเหมือนไม่รักตัวละครจริงหรือ ? (อีกแล้ว)


 

เขียนกันยาวๆไปค่ะ ยาววว ปีนึงแล้วยังไม่จบ...

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ ได้มาถึงตอนที่ 67 แล้วนะคะ ในตอนนี้ระบิล พระรองของผู้เขียนก็ตีบทแตกตามเคย รับบทเป็นผู้แพ้ไปตามระเบียบ ก็เขาไม่ใช่พระเอกนี่คะ5555

จะว่าไปโดยส่วนตัวผู้เขียนชอบใน charactor ของพระรองคนนี้ค่ะ เพราะว่ามีความเด่น คือ เป็นชายแสนงอนนิดๆ และพูดอะไรไม่ค่อยจะคิด สรุปว่าผู้เขียนชอบที่ตัวเองเขียนออกมาได้อย่างมีความสมจริงกว่าพระเอกด้วยซ้ำ

พระเอกของเรา ณทัต อัษฎางค์เวคิน เขาเป็นผู้ชายไม่ค่อยพูดเยอะ คือไม่พูดเสียจนไม่รู้เรื่อง 5555 ผู้เขียนอึดอัดมากกับพระเอกแบบนี้นะคะ ทั้งเรื่องจะให้พูดมากไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวเสียบุคลิก ก็วางให้เขาเป็นคนเงียบๆขรึมๆ พอไม่พูดก็ไม่รู้เรื่องกันสิคะ  นางเอกและคนรอบข้างก็มีงง ตีความกันไม่ถูก ซึ่งคนแบบนี้ก็มีเยอะไปในชีวิตจริง

ส่วนนางเอกก็พอกันค่ะ  ทีนี้พอต่างคนไม่ค่อยจะพูดความรู้สึกออกมา เลยเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย ความเข้าใจผิดพอประมาณนึง และกว่าจะรู้กันว่าอะไรเป็นอะไร ก็...ตอนจบเรื่อง 5555 อ้าว ไม่งั้นจะเป็นนิยายรักได้ไง

ในตอนที่ 67 ประตูสู่อนาคต ระบิลเขาดูน่าสงสารมากนะคะ...สุดท้ายคนที่รักจริง รักมานาน และเสมอต้นเสมอปลาย กลับเป็นฝ่ายที่ต้องเจ็บช้ำ แล้วนี่มันรักแท้ที่ผู้หญิงส่วนมากตามหากันอยู่ไม่ใช่หรือ อันนี้เป็นสิ่งที่ผู้เขียนก็ตั้งคำถามกับตัวเอง  และเผื่อว่าผู้อ่านอ่านแล้วจะถามตัวเองด้วยเหมือนกัน

ผู้เขียนก็เขียนไปอย่างชิลๆ ใจเย็นๆ ใจร่มๆ ล่ะค่ะ มีคนอ่านก็ดีใจแล้ว  ก็คงได้เท่านี้ละ ใครชอบฝากกดหัวใจ ให้ความเห็นเล็กๆน้อยๆกันหน่อยนะคะ  

เรื่องหน้าคนจะรักผู้เขียนกว่านี้ไหม ...จะรออ่านกันอยู่ไหม แอบสงสัยค่ะ 

ว่าแต่พอเขียนช่วงนิยายใกล้จบเนี่ย มันเขียนได้เร็วกว่าตอนเริ่มเยอะเลย  

ช่วงนี้มรสุมเหมือนพลัดหลงเข้ามาประเทศไทย ฝนตกแทบทุกวัน แถมฟ้ามืดตั้งแต่ห้าโมงเย็น อากาศครึ้มมาก อยากเห็นแสงแดดก็ต้องช่วงเช้าเท่านั้น ทำเอาบรรยาศเข้ากับช่วงเศร้าของนิยายพอดี

สำหรับนิยายเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเยอะค่ะ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ถูกใจนักอ่านนัก สังเกตว่ายอดวิวสู้เรื่อง ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว ไม่ได้เลย แต่ผู้เขียนก็รักนิยายเรื่องนี้ไม่ต่างไปจากเรื่องแรกเลยค่ะ บุคลิกของนิยายเรื่องนี้ต่างออกไปแน่นอน แม้ว่าจะเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ แต่ตลอดระยะทางก็มีอะไรๆที่ละเอียดอ่อนแทรกอยู่ 

อย่างน้อยก็ได้เขียนแล้ว นิยายรักแนวบังคับแต่งงาน5555

เรื่องใหม่จะเป็นอย่างไรนั้น...ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ หากยังมีลมหายใจก็จะเขียนต่อไปค่ะ


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ


เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน Dek-Dhttps://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 
อ่านบนมือถือ ใน ธัญวลัย :  https://www.tunwalai.com/story/812196#



ตุลาคม 30, 2568

นิยายของคนถูกห้ามอ่านนิยาย

 


ลมหนาวอย่างเป็นทางการยังไม่เห็นมาเยือนเสียที  แต่แค่อากาศราวๆนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีมู้ดในการทำงานมากขึ้นค่ะ เพราะว่าไม่ร้อนจนเหงื่อซึมเหมือนช่วงก่อน แถมก็ไม่มีฝนตกดังโครมครามจนกลัวหลังคาบ้านจะพังอีกด้วย เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแห่งปีเลยก็ว่าได้

ผู้เขียนมองออกไปนอกประตูบ้าน เห็นอากาศอึมครึมมาก นี่ถ้าเป็นการย้อมสีภาพถ่ายละก็  คงจะถูกย้อมให้ดำเหมือนกับไม่มีแดด หรือว่าเป็นตอนใกล้ค่ำไปเลยทีเดียว

ชีวิตของคนทำงานที่บ้านก็เลยมีเวลานั่งสังเกตแสงและลมค่ะ5555 เมื่อวันก่อนฝนตกหนักเหมือนสั่งลา ผู้เขียนยังไปยืนดูฝนที่กำลังเทโครมคราม แถมเอามือไปรองน้ำฝนที่กำลังไหลลงมาตามต้นมะนาวที่บ้าน สัมผัสกับความเย็นของน้ำ นี่มันคือโลกแห่งความเป็นจริง ธรรมชาติก็มีความงามในแบบของเค้าแหละค่ะ

รูปประกอบ blog ประจำ post นี้ก็ถ่ายที่บ้านผู้เขียน เห็นไหมว่าที่บ้านมีต้นไม้ใหญ่ ก็ฝีมือคุณพ่อคุณแม่สร้างไว้ให้ ตัวผู้เขียนมือไม่เคยจับดิน ไม่เคยปลูกต้นไม้  ถูกเลี้ยงมาแบบเด็กเมือง เรียนหนังสืออย่างเดียวพอ...

ระหว่างเรียนหนังสือก็จะถูกตีกรอบมากหน่อย ห้ามนั่น โน่น นี่ อาจจะประสาเป็นเด็กผู้หญิงล่ะค่ะ  ครอบครัวก็ต้องคอยระแวดระวังทุกอย่างให้  แถมเป็นลูกทหารด้วย5555 

สมัยก่อนภัยสังคมก็แตกต่างไปจากสมัยนี้...

คือถ้าเดินออกนอกบ้านเมื่อไหร่ก็ต้องระวังค่ะ  แต่สมัยนี้มาถึงตัว เข้าทางโทรศัพท์ถือได้ซะอีก

เรื่องการหลอกลวงมีมากมายหลายรูปแบบจนเราไม่อาจวิ่งหนี  มีแต่ต้องเรียนรู้ที่จะต้องรับมือนะคะ  สมัยผู้เขียนยังเด็ก โตมาในกรมทหาร  เรียกได้ว่าลืมล๊อคกุญแจบ้านก็ไม่ต้องกลัวโจรมาปล้นนะคะ  เพราะในกรมทหารก็ปลอดภัยมากกว่านอกกรมทหารแน่นอน  

ยังจำได้ว่าทุกวันเวลาเดินเข้าประตูกรมทหารจะชินตากับเห็นทหารยืนหน้าป้อมประตูค่ะ  ถ้าเป็นช่วงมีเหตุการณ์ทางการเมืองก็จะเห็นทหารหน้าประตูใส่ชุดลายพราง สะพายปืนเอ็มสิบหกเต็มยศ แถมทาหน้าเป็นสีดำๆอีกต่างหาก  ผู้เขียนชินแล้วค่ะ  ไม่ได้กลัวอะไร ก็โตมากับสิ่งเหล่านี้

ฟิลลิ่งแบบนี้เลยอยู่ในนิยาย ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว  และว่าจะเขียนเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับทหารอีกค่ะ 

นอกจากจะเจอทหารเวลาจะเข้าบ้าน เพราะบ้านอยู่ในเขตทหาร  ก็จะต้องมาเจอทหารที่บ้านอีกค่ะ555 คือคุณพ่อนั่นเอง

คุณพ่อนี่ละ เป็นคนห้ามผู้เขียนอ่านนิยาย

สงสัยว่านิยายที่คุณพ่อเคยอ่าน อาจจะมีเนื้อหาไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชน  ทำเอาผู้เขียนมีหลอนๆทุกครั้งเวลาจะอ่านนิยาย กว่าอารมณ์หลอนนี้จะหายก็นานมากค่ะ เรียกได้ว่าโตจนแก่แล้วก็มีอารมณ์หลอนๆอยู่เลยนะคะ

แล้วโชคชะตาก็พัดพา  คนไม่ค่อยได้อ่านนิยาย กลับมีนิยายในหัว...เขียนนิยายอ่านเล่นๆ เขียนการ์ตูนเล่าเป็นเรื่องๆ แล้วก็ต้องมามีอาชีพเขียนนิยายตอนเกษียณไปแล้วซะด้วยสิคะ

นี่เรียกว่าคงจะ born to be 

ตอนผู้เขียนหยิบเอา ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว** ฉบับพิมพ์เล่มไปโชว์ให้คุณพ่อดู   ท่านทำหน้าภูมิใจ บอกว่าลูกเขียนได้เป็นเล่มหนาขนาดนี้เลยเหรอ  พ่อตาไม่ดีแล้ว คงจะอ่านไม่ไหว ...ว่าแต่อยากทำอะไรก็ทำเลยนะลูก

และนี่ละค่ะ

คือสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกดีทุกครั้งที่ upload นิยายตอนใหม่ เรื่องใหม่ อยู่ต่อไป แม้ว่าบางเรื่อง บางตอน บาง platform ก็มีคนอ่าน มากบ้าง-น้อยบ้าง ก็ยังรู้สึกว่าพอจะไปได้อยู่ค่ะ

หวังว่าสักวัน การเขียนนิยาย จะทำให้ผู้เขียนพอจะอยู่ได้...กับชีวิตที่เกษียณก่อนกำหนด


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ


หมายเหตุ : ตอนนี้ฉบับพิมพ์เล่มใกล้คลอดแล้วค่ะ  ยังตรวจคำผิดไม่เสร็จเสียที ติดพันภารกิจมากมาย รบกวนอุดหนุน ฉบับ ebook ไปก่อนนะคะ อิอิ ใครอยากได้ฉบับเล่มจริงรบกวนรอต่อไปอีกนิดค่ะ