กรกฎาคม 24, 2568

ตัวละครที่ถูกลืม

 


และแล้วก็เขียน "เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ" ยังไม่จบเลยค่ะ น่าจะเขียนมาได้ประมาณ 1 ปี พอดี ผ่านมาแล้ว 54 ตอนอย่างมุนานะกันต่อไป5555

อันที่จริงงานเขียนนิยายนี่ก็ใช้เวลาค่อนข้างมากที่สุดในบรรดางานที่ผู้เขียนทำ

จะไม่ให้ใช้เวลามากได้อย่างไรคะ ไม่ได้จะอ้างว่าต้องรออารมณ์ก่อนเขียนหรอกนะคะ ผู้เขียนหลุดพ้นจากจุดนั้นมานานแล้วค่ะ  ไม่ต้องรอเกิดอารมณ์ สุดท้ายต้องเขียนเพราะความรับผิดชอบต่อนักอ่านค่ะ

เขียนนิยายมีทั้งการหาข้อมูล และออกแบบเนื้อเรื่องให้เกี่ยวพันซึ่งกัน และต้องคิดทุกฉากทุกตอน กว่าจะออกมาได้แต่ละตอนโอ้โห...

ขนาดว่าพยายามคิดและออกแบบอย่างดีที่สุด เขียนไปเขียนมา ก็ดันลืมให้ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญโผล่เข้ามาในเรื่องน้อยไปสักนิด

ในเรื่องนี้ก็คือ "ระบิล" เชฟหนุ่มอดีตแฟนของนางเอกค่ะ ที่จะมีส่วนสำคัญในช่วงท้ายเรื่อง สงสัยว่าผู้เขียนจะมัวไปใส่บทให้คนนั้นคนนี้ จนกว่าจะถึงระบิลก็เว้นว่างไปหลายบทค่ะ 

สิ่งที่อยากจะบอกเล่าใน post นี้มากที่สุด...คือผู้เขียนเพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ว่าตัวละครมีชีวิตเป็นอย่างไร

ในช่วงต้นๆของเรื่อง ระบิลก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างคนสำคัญเท่าไหร่ค่ะ เพราะเขาไม่ใช่พระเอก5555 แต่ผู้เขียนก็จงใจให้เขาเป็นผู้ชายจุกจิก ปากร้ายหน่อยๆ ตามประสาเป็นเชฟที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด แถมยังมีขี้ใจน้อยเสียอีก  

เขาก็มีความน้อยใจละว่าถูกนางเอกทิ้งไปแต่งงานกับคนรวย  น่าสงสารใช่ไหมคะ

พอมาตอนที่ 54 เท่านั้นแหละ เขาได้พูดบางประโยคออกมา  พอผู้เขียนพิมพ์ตัวอักษรสุดท้ายบนแป้นคีย์บอร์ดเสร็จ กลับรู้สึกหดหู่และทรมานใจอย่างประหลาดค่ะ

รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยกับชะตากรรมของเขา มันเหมือนว่าเขามีตัวตนอยู่จริงๆ 


         “ภัสออกไปรอข้างนอกก่อน เดี๋ยวผมล้างมือแล้วจะตามไป”  
          มือที่กำลังถูเตาเกร็งแข็งขึ้นเล็กน้อย นิ้วบีบผ้าแน่นขึ้น ใบหน้าชายหนุ่มที่เคยแสดงความมั่นใจเมื่อปรุงอาหารตอนนี้เต็มไปด้วยเส้นของความเครียด ลองนึกดูว่าตอนเช้าเขายังยืนอยู่ตรงนี้ เขย่ากระทะ ปรุงรส ตะโกนสั่งการ... และตอนนี้เขากำลังเช็ดล้างทุกอย่าง  บางทีอาจเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่นะ
          ระบิลล้างมือและซับแห้ง ก่อนจะเดินออกมานั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามกับหญิงสาวที่เขาชวนมาวันนี้
          “ไม่ได้มาที่ร้านแค่ไม่กี่เดือนเอง รู้สึกว่าร้านแปลกไปนะคะบิล จัดร้านใหม่เหรอ ดูโล่งตาเชียว”
           ภัสรวินทร์ตั้งข้อสังเกตอย่างคนมองโลกในแง่ดี ที่จริงหล่อนอยากจะแค่ทักทายระบิลให้มากกว่าแค่ เป็นไงบ้าง หรือ สบายดีไหม แต่สุดท้ายก็กระอักกระอ่วนใจทุกครั้ง กับการพบกันในฐานะใหม่ ฐานะศรีภริยาของณทัต CEO หนุ่มใหญ่แห่งวงการสินค้าเกษตรแปรรูป
         “ภัสนี่ก็ยังเหมือนเดิมนะ เห็นร้านดูโล่งๆ ก็ถามผมว่าแต่งร้านใหม่เหรอ แทนที่จะคิดว่าธุรกิจของผมยังดีอยู่หรือเปล่า เป็นห่วงผมบ้าง...อะไรทำนองนี้” ระบิลก็ยังเป็นคนเดิม ที่พูดจาเปิดเผยจนน่ากลัว
           “ถึงคิด  แต่ใครจะกล้าพูดอย่างนั้น มันเสียมารยาท” หล่อนชักจะเสียงแข็ง
           “ก็ผมอยากให้ภัสเป็นห่วง นึกถึงผมบ้างไง จะได้ไม่ลืมว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้”


เศร้าไปกับเขาด้วยเลยค่ะ ประโยคที่ว่า นึกถึงผมบ้าง จะได้ไม่ลืมว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้ มันเจ็บหัวใจนะคะ สำหรับคนที่ยังรักอยู่ และไม่สามารถจะ move on ได้

นี่ก็เป็นพัฒนาการอีกระดับนึงค่ะ ที่ผู้เขียนรู้สึกว่าจับต้องอารมณ์ของตัวละครได้ลึกขึ้น ทำให้มีกำลังใจจะเขียนเรื่องต่อๆไปนะคะ (หลังจากที่ท้อไปหลายครั้ง)

ตอนแรกคาดหมายว่านิยายเรื่องนี้จะจบได้ในอีกประมาณ 10 ตอน สงสัยต้องขยายไปอีกเล็กน้อยค่ะ เพราะว่าปมในเรื่องเข้มข้นมากขึ้นทุกที กว่าจะแกะออกทีละปม อย่างไม่เร่งรัด จนดูห้วน  คงจะต่อไปอีกสักหน่อยคงไม่ว่าอะไรนะคะ

ว่าแล้วก็ชวนไปอ่านนิยายเรื่องนี้กันค่ะ  ผลงานเรื่องที่สองของผู้เขียน


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ


เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 
อ่านบนมือถือ ใน ธัญวลัย :  https://www.tunwalai.com/story/812196#



กรกฎาคม 03, 2568

Generation แห่งความว้าเหว่



ระยะหลังสังเกตว่าหนังสือแนวเยียวยาจิตใจ หรือ ฮีลใจ ออกมาวางบนท้องตลาดมากขึ้นอย่างไรพิกล  ถ้าเคยย้อนไปเมื่อหลายปีมาแล้ว ก็มีช่วงหนึ่งที่หนังสือแนวธรรมมะ ก็เคยขึ้นมาขายดีสูงสุดในบางช่วงเวลาเหมือนกัน

อาการติดเทรนด์ หรือกระแสแรงนั้นก็มีอยู่ยาวนานเป็นปี และแล้วหนังสือธรรมมะก็ค่อยๆหายไปจากหน้าแผง กลายเป็นนิยายวาย และ หนังสือแนวพัฒนาตัวเองขึ้นมาแทนที่

ถ้าเป็นหมวดหมู fiction ละก็ นิยายวายมาได้ไกล แถมมีนิยายจีนแปล มีนิยายยูริอีกต่างหาก  ส่วน non-fiction กลายเป็นแนวพัฒนาตัวเอง และแนวฮีลใจก็คิดว่าน่าจะเป็นหมวดย่อยลงมาอีกทีของแนวพัฒนาตัวเอง

เกิดอะไรกับคนยุคนี้กันแน่ แล้วผู้อ่านหนังสือแบบนี้เป็นคนช่วงวัยไหน น่าจะวัยทำงานมากที่สุด

ปัญหาเกี่ยวกับร่างกายเรียกว่า โรค ส่วนปัญหาทางใจนั้นก็มองไม่เห็นด้วยตา แต่เจ้าของปัญหาย่อมต้องทนอยู่กับมัน ไม่ต่างอะไรกับการเป็นโรคอะไรสักอย่าง

การเป็นโรคทางร่างกายคงพอวัดได้ จากกระบวนการทางวิทยาศาตร์ เช่น ดูผลเลือด ผล lab แต่ปัญหาทางใจนี่สิ วัดยากเนอะ คุณผู้อ่านว่าไหม

ส่วนมากหนังสือฮีลใจมักจะแปลมาจากหนังสือต่างประเทศ เห็นมากๆก็มีทั้งจากญี่ปุ่น  เกาหลี หรือทางนักเขียนซีกตะวันตก 

อ้าว...ไม่ค่อยเห็นมีนักเขียนไทย 

หรือไปเขียนนิยายกันหมด เพราะกลัวขายไม่ได้ 5555

คนอ่านหนังสือฮีลใจน่าจะเป็นคนวัยทำงาน ดังที่ว่าไว้แล้วข้างบน ซึ่งก็น่าจะเป็น Gen Y-Z-Me แถวๆนี้แหละค่ะ เป็นกลุ่มที่เกิดมาก็มีอินเตอร์เนต  มี social media มีโทรศัพท์มือถือ มีไอแพด

ความรวดเร็ว เทคโนโลยี ทำให้อะไรง่ายขึ้นและสบายขึ้นจนเราแทบไม่ต้องทำอะไรเยอะ ในการจะให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่าง

ตัวผู้เขียนเป็นมนุษย์เจน X ที่เป็นลูกครึ่งของสองยุค คืออนาลอค และดิจิทัล  ก็ถือว่าได้สนุกสนานไปพร้อมๆกันทั้งสองแบบ เป็นเรื่องที่ถือว่าชีวิตทรงคุณค่าจริงๆ

นอกจากจะชีวิตจะสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกแบบเหงื่อเต็มเม็ด เพราะไปไหนมาไหนก็ยังไม่มีรถไฟฟ้า จะไปเรียนไปทำงาน ติดต่อกับเพื่อน ก็ล้วนเต็มไปด้วยต้องออกแรง เช่น ยืนรอรถเมล์ที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ ไม่มีพิกัดบอก GPS ของตำแหน่งรถเมล์ หรือจุดที่เรายืนอยู่  จะเรียนหนังสือให้เก่งก็ไม่มีไอแพด ต้องจดแล้วจดอีก (เลยจำแม่น) ไม่มียูทูป ถ้าฟังอาจารย์ไม่ทันก็เชิญเข้าห้องสมุด ที่ต้องไปรื้อบัตรคำเอาเอง  และบัตรคำมันก็เยอะเป็นตู้ๆ แถมแบ่งตามตัวอักษร กับแบ่งหมวดคร่าวๆ ที่กว่าจะหาอะไรเจอก็....หัวหมุน

กระนั้นแล้วเมื่อมองย้อนไปก็เป็นชีวิตที่น่าสนุก เพราะเวลาไม่เคยถูกทิ้งไปเปล่าๆ ทุกนาทีของชีวิตต้องคิดเยอะ ทำเยอะ สงสัยเลยทำให้ไม่มีเวลาว่างพอจะนั่งเหม่อ

คนสมัยนี้ไม่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กัน เพราะมีเพื่อนในเกมส์ มีเพื่อนในสังคมออนไลน์  คุยกันทางแชทก็ได้ คนจำนวนมากก็เลยรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว ทั้งที่แค่เเปิดประตูเดินออกมา คุณก็พบคนจำนวนมากในโลกในนี้

ecosystem แบบนี้ทำให้มนุษย์เผลอคิดอะไรคนเดียว คิดวนเวียน หาทางออกไม่ถูก  เกินคำว่าฟุ้งซ่านไปจนเป็นคำว่าเตลิด

ถึงบอกว่าเป็น generation แห่งความว้าเหว่ ต้องหาหนังสือดีๆมาอ่านฮีลใจกันยกใหญ่ ซึ่งเก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ ดีกว่าไปทำอย่างอื่นที่จะสร้างปัญหาตามมาให้ตัวเองอีกไม่รู้เท่าไหร่ 

เหตุเกิดเพราะว่างมากเกินไป สำเร็จรูปเกินไป  ยังใช้ความเป็นมนุษย์ไม่คุ้ม  เราต้องคลุกฝุ่นสิคะ  ต้องตากฝนสิคะ ต้องเจ็บสิคะ ถึงได้รู้....พอน้ำตาไหล  เราจะได้รู้ว่านี่คือธรรมชาติ คือความเป็นจริงของโลก

แล้วเราจะได้คิดหาทางออก  แต่อ้าว...สมัยนี้แม้แต่จะแก้ปัญหา ยังไปถาม Ai ได้ซะอีก 55555

โอ๊ย...หัวจะปวดล่ะค่ะ  

ปล่อยใจ ปล่อย joy มากเกินไป ไม่มีสมาธิ เพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรดี ทุกอย่างมันสำเร็จรูปไปหมด เช่นนั้นแล้วมันเลยเกิดความเคว้งในใจสิคะ   คนเราถึงจำเป็นต้องมีงานอดิเรก ไม่งั้นจิตมันจะไปเรื่อย หาอะไรทำ ทำในสิ่งที่ชอบ แต่อย่าบอกนะ....ว่าชอบอยู่เฉยๆ 

ไม่รู้จะขมวดบทจบยังไงดีล่ะค่ะ5555 


งั้นก็ขอทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้ ด้วนๆอย่างนี้แหละ Bye ค่าาาา


มิถุนายน 23, 2568

Pre-Order นิยายพิมพ์เล่ม "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว"


ฝากนิยายฉบับพิมพ์เล่มเรื่องแรกในชีวิตด้วยนะคะ สั่งซื้อได้ที่ ร้าน BooksCottage บน Shopee ค่ะ

เบื้องหลังการทำงานกับนิยายเรื่องนี้ได้มอบอะไรกับผู้เขียนอย่างมากมาย มีทั้งความสุขและความเหนื่อย เมื่อในที่สุด "ได้ทำ" ก็เลย "ทำได้" ไงล่ะคะ

++++++++++++++++++++

หนังสือใหม่

** ราคาปก ไม่รวมค่าจัดส่งตามนโยบาย shopee **

ขอไม่รับส่งแบบจัดเก็บเงินปลายทาง เพราะหากมีการตีคืน ดูแล้วจะซับซ้อนเกินกำลังจะจัดการได้ค่ะ


#รายละเอียดหนังสือ

-ปกอ่อน กระดาษอาร์ต 260 แกรม
-จำนวนคำ 100,000+ คำ จำนวนหน้า  382 หน้า
-ขนาด A5 / เคลือบด้าน 
-ที่คั่นลายหน้าปก
-ทุกเล่มซีลหุ้มพลาสติก
-พิมพ์จำนวนจำกัด เพราะทุนน้อยและทำนายยอดจองไม่ได้เลย5555 งานนี้ต้องวัดใจอย่างเดียว
-ทำเองเกือบทุกอย่าง นักเขียนมีร่างที่สองเป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์ :) 








มิถุนายน 12, 2568

"ได้ทำ" มาก่อน "ทำได้" เสมอ

 


ช่วงนี้ผู้เขียนก็ยังวุ่นอยู่กับการตรวจพิสูจน์อักษรนิยายที่รอจะพิมพ์เล่มอยู่เหมือนเดิมค่ะ  ทำอะไรอย่างอื่นก็ไม่ค่อยถนัด คอยแต่จะห่วงว่าเมื่อไหร่จะตรวจเสร็จ คือต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมาก ตัวหนังสือที่ปรับเล็กลงมาเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานของเล่มอื่นๆ หลังจากครั้งแรกทำตัวหนังสือค่อนข้างใหญ่ (แต่ก็ไม่รู้ตัว จนเห็นตอนพิมพ์ออกเป็นเล่ม555)

ผู้เขียนนึกภูมิใจเล็กๆว่าอย่างน้อยในปีนี้ 2568 ก็ได้ทำ mission ที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้นานแล้ว ว่าอยากจะมีหนังสือนิยายพิมพ์เล่มสักครั้ง

ตอนได้จับหนังสือตัวเอง ยังรู้สึกปลื้มไม่หายเลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่ต้องจดจำจริงๆ

คราวนี้เลยเกิดมีไฟฮึดสู้ขึ้นมา  อยู่ๆเกิดภาพในหัวสมองว่าฉันอยากมีงานหนังสือของตัวเองออกมาแบบว่าวางเต็มแผงเลย อะไรประมาณนั้นค่ะ คือตั้งใจว่าต้องเขียนให้สำเร็จเป็นเล่มๆอีกหลายเรื่องให้ได้

แล้วภาพในหัวสมองนี่ก็ส่งพลังให้กับผู้เขียนอย่างมาก จากตอนเขียนเรื่องแรก ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว นี่ค่อนข้างโหด คือ เขียนไปบ่นไป เขียนเสร็จเหนื่อยมาก จนแอบมีบางแวบที่คิดว่าจะหยุดลงแค่ตรงนี้ดีไหมเรา...คือ หนทางท่าทางจะอีกยาวไกล แล้วเราจะไปต่อไหวไหมเนี่ย ...เราจะอยู่ได้ไหม  ด้วยการเขียนนิยาย...

คืออ่านใน Social Media คนชอบมาพูดๆกันว่าเดี๋ยวนี้นักเขียนไม่ไส้แห้งเหมือนแต่ก่อนแล้วน่ะนะ พร้อมกับแปะรูปยอดเงินที่ได้  ใครเห็นก็คงตาลุก และเชื่อตาม

คงเหมือนกับหลายอาชีพ ที่หลายคนเห็นว่าคนอื่นทำแล้วรายได้ดี พากันอยากทำบ้าง ซึ่งเส้นทางของแต่ละคนมันก็แตกต่างกัน ทว่า...ตอนนี้มีแต่คนเขียนหนังสือสอนเขียนนิยายออกมาเยอะพอๆกับขายคอร์สสอนเขียนนิยายแหละค่าาา

บางคนน่าจะขายหนังสือวิธีการเขียนนิยายแล้วได้เงินมากกว่านิยายที่เขียนซะอีก

เรื่องพวกนี้เราไปแอบส่องได้ตามพวก E-Marketplace ต่างๆ บางเล่มยอดเขายเป็นพันเล่ม นับว่าเป็นยุครุ่งเรืองโดยแท้

เอาเป็นว่าสุดท้ายผู้เขียนก็ "ได้ทำ" ในสิ่งที่ตั้งใจก็แล้วกันนะคะ ส่วนคำว่า "ทำได้" นั้น ก็ต้องแล้วแต่จะมานั่งตีความ ว่าเป้าหมายคืออะไรกันแน่  หากเป็นเรื่องรายได้ละก็ คงยังห่างไกลจากที่อยากได้ และคิดเรื่องว่าเขียนแล้วเมื่อไหร่จะได้เงินเยอะๆ คิดว่าไม่เกินสามเรื่อง ถ้าเขียนแล้วยังไปไม่รอด...คงหยุดเขียนแน่

แต่สำหรับผู้เขียนคงยังไม่ใช่...

ก็ยังอยากจะเขียนเรื่องราว หรือ นิยาย ที่ส่งต่อพลังบวกให้กับผู้คน สำหรับเล่มแรกที่กำลังจะพิมพ์ออกมานั้น ก็ถือว่าให้คะแนนในเรื่องนี้เต็มสิบไม่หัก  ส่วนแง่อื่นๆ เช่น วิธีการเล่าเรื่อง หรือสำนวนการใช้ภาษา หรืออื่นๆ ขอให้เป็นรสนิยมส่วนตัวของผู้อ่านจะพิจารณาค่ะ หากไม่ชอบประการใดก็ขออภัย  จะขอพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ 

นวนิยายก็เป็นหนึ่งในงานศิลปะที่ต้องใช้ความพากเพียร และการรังสรรค์งานออกมาไม่ต่างไปจากงานวาดภาพ  กว่าจะทำได้ดี หรือเก่ง ก็ต้องใช้เวลาพัฒนางาน  แต่จะเพียงพอต่อการเลี้ยงชีวิตหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ชื่นชอบงานนะคะ  เพราะถ้าไม่มี...ก็คงจะอยู่ลำบากค่ะ

โลกนิยายถือเป็นโลกอีกใบของผู้เขียนละค่ะ  นอกจากงานวาดภาพที่บอกเสมอว่าชอบมากๆแล้ว เห็นจะมีงานเขียนอีกอย่างที่ไม่สามารถขาดไปจากชีวิตได้ ใครอยากรู้ว่าเจ้าของ blog นี้ทำอะไรอยู่บ้าง ก็เลือกอ่านได้ตาม Tab ที่จัดหมวดหมู่คร่าวๆเอาไว้ข้างบนนะคะ 


หากจะพอมีบุญเก่าอยู่บ้าง ก็หวังว่าจะประสบความสำเร็จในสักวัน วันไหนไม่รู้  หวังว่าคุณๆผู้ได้ติดตาม Blog นี้มา จะอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน  รอผู้เขียนมาเล่าประสบการณ์ระหว่างเส้นทางชีวิตให้ฟังกันวันละเล็กละน้อย ว่าสุดท้ายจะไปถึงฝั่งฝันไหม

ที่ผ่านมาทำ Blog  นี้มาก็ไม่ต่ำกว่า 10 ปี ใครที่ขยันย้อนไปอ่านทุกโพสต์จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ  คุณอาจจะได้เห็นภาพบางอย่าง และอาจรู้จักตัวตนของผู้เขียน เพราะสิบปีที่ผ่านมานั้นได้สะท้อนภาพบางส่วน ให้เห็น ว่าเส้นทางของผู้เขียนก็ไม่ได้เข้าสู่การเป็นนักเขียน หรือนักวาด มาตั้งแต่แรก เพียงแต่บอกว่าชอบทำมาตั้งแต่เด็ก และรู้สึกว่าอยากทำอยู่ตลอด

ในที่สุดพอได้ทำ อายุก็ล่วงเลยมาปูนนี้5555 แต่ว่าเราเป็นสายที่เวลาในชีวิตเหลือน้อย อยากทำอะไรต้องรีบทำ จะสำเร็จได้แค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง 

ตอนนี้คือ "ได้ทำ" มันมาก่อน "ทำได้" เสมอไปค่ะ

หวังว่าจะได้ข้อคิดกันนะคะ



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ