กันยายน 25, 2567

ชีวิตนี้จะเขียนได้กี่เรื่อง

 



เอาส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องใหม่ล่าสุดมาให้อ่านกันค่ะ... พยายามจะเขียนให้กระชับกว่าเรื่องก่อนหน้านี้  พอทำไปก็รู้สึกว่าไม่ง่ายเลย 

“ก็ใครมันจะอยากนอนโรงพยาบาล... แล้วว่าไง หน้าตาแกดูไม่ค่อยจะสดชื่นเลย”
ปู่คินทักขึ้นมากลางคัน หลังจากพินิจหลานชายคนเดียวตั้งแต่เขาเหยียบย่างเข้ามาในห้อง
“อ่า ครับ...ผมอยากคุยกับปู่”

ชายชราหยุดมอง เดินช้าๆไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้โยกตัวโปรด ปล่อยให้ณทัตยืนสงบนิ่งเหมือนกำลังพยายามตั้งสติอยู่ตรงที่เดิม 
“ผมคิดว่าจะแต่งงานซักทีครับ”

ไม่ผิดคาด ปู่คินเพียงแค่หันมามอง ไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจแต่อย่างใด ไม่ถามถึงรายละเอียดใดเลยด้วยซ้ำ ท่าทีเช่นนั้นบอกได้ยากว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ทำเอาณทัตต้องเป็นฝ่ายร้อนตัวรีบชี้แจง
“ปู่ครับ...คือ...ผมจะพา  เอ่อ...แฟนผมมาพบปู่ในไม่ช้านี้”

“ไม่ต้องมาหรอก แกจะแต่งก็เป็นเรื่องดี อายุก็สมควรจะสร้างครอบครัว”
“ปู่ไม่ถามเหรอครับ ว่าผมจะแต่งกับใคร...”

“คงใครซักคนที่พ่อแกรับได้...ใครก็ได้ ที่ไม่ใช่ลูกนายเชิดยศ ใช่ไหม?” เวคินยิ้มมุมปาก ก่อนจะหัวเราะเบาๆอย่างสบายใจ ทำเอาณทัตต้องขมวดคิ้วในท่าทีที่เหมือนปู่จะรู้มาก่อน

 

(บางส่วนจากตอนที่ 9 เงิน เงิน เงิน)


อย่างแรก คือ ไม่ชิน 5555 คือจะบรรยายอะไรยืดยาวไม่ค่อยได้ กลัวว่าจะเสียจังหวะการดำเนินเรื่อง กลัวว่าจะรวบรัดไปป่าว กลัวว่าเดี๋ยวช่วงกลางถึงท้ายเรื่องจะปล่อยยาวจนเสียสมดุล คือตอนต้นเหมือนเร่ง ตอนท้ายกลับเป็นอีกอย่างซะงั้น

อาการข้างบนเรียกว่าคุมบาลานซ์ไม่ได้  ถ้าหลุดไปแล้วกลับมาแก้ก็แก้ยาก  มีแต่ต้องรื้อโครงสร้างใหม่  ซึ่งน่ากลัวค่ะ 

อย่างที่สอง...เป็นผลที่ตามมาจากข้อแรก  พอเดินเรื่องเร็วไป  บรรยายน้อย ก็กลัวว่าผู้อ่านจะไม่ได้ดูดซับถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอย่างเต็มที่ค่ะ

เรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงแค่ความรักหนุ่มสาว  ยังมีเรื่องราวระหว่างพ่อ-ลูก  ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นพ่อ 

นี่ก็เป็นความยากของการเขียนเรื่องนี้...พอเขียนๆไป ผู้เขียนก็เห็นว่าต้องเพิ่มตัวละคร เพื่อให้เนื้อเรื่องมันแน่นและสมเหตุผล  ทีนี้การเพิ่มตัวละครก็เป็นเรื่องที่ทำให้งานซับซ้อนเข้าไปอีกค่ะ

ตอนถัดๆไปพอพระเอกนางเอกแต่งงานกันเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องย้ายตัวเองไปอยู่บ้านพระเอกล่ะค่ะ

งานนี้บันเทิง...ในบ้านมีทั้งปู่คิน และ พ่อ กับอีกบรรดาบ่าวไพร่ใหญ่น้อย คือจะเติมต่อเรื่องราวยังไงดี ให้มันเดินเรื่องไปสู่จุดหมาย โดยที่ไม่หลุดธีม หรือหลุดแก่นเรื่อง

ตัวละครเยอะก็ต้องให้แต่ละตัวมีบทบาท โอ๊ย...ปวดหัวละงานนี้

ทว่า...ก็ต้องสู้กันอีกสักตั้งค่ะ

ช่วงนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวเองสมาธิไม่ค่อยดี มึนๆ ยังไงชอบกล ไม่รู้ว่าเป็นอาการตามวัยหรือว่า...เรากำลังป่วยกันแน่... คือ เราอายุมากขึ้นก็ต้องยอมรับในสังขารที่ต้องเสื่อมถอย  แต่ที่แน่ๆคือไม่ได้ไปออกกำลังกายเหมือนที่เคยทำ  หลายเดือนแล้วค่ะ...ทั้งที่เคยชนะตัวเอง  ออกกำลังกายสม่ำเสมอตลอด 8 ปีที่ผ่านมา

อาการมึนๆ บางทีอาจมาจากสายตาเปลี่ยนหรือเปล่าก็ไม่รู้สิคะ  ก็คิดว่าจะลองปรับพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพ  เช่น นอนดึก และงดทำงานซะบ้างเถอะ  

กว่ามีชีวิตมาจนถึงวันที่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ...ก็อายุป่านนี้
ฝากไว้ให้กับทุกคน ว่าจงทำทุกวันให้ดีที่สุดนะคะ  เวลามีน้อย เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ 

ผู้เขียนเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เขียนนิยายอีกสักกี่เรื่องค่ะ...เฮ้อ




ขอบคุณที่ติดตามนะคะ




กันยายน 18, 2567

อันนา คาเรนินา : นิยายเทศที่บาดใจ

 



ปกติผู้เขียนไม่ค่อยจะอ่านพวกวรรณกรรมแปล หรือนิยายที่แปลมาจากภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาไทยสักเท่าไหร่ค่ะ  ทำไมน่ะเหรอ...เพราะว่าเป็นคนจำชื่อตัวละครภาษาแปลกๆไม่ค่อยได้ค่ะ

ทีนี้พอจำไม่ค่อยได้  มันก็เลยไม่ค่อยจะอินกับตัวละคร  อ่านๆไป อ้าว พระเอกชื่ออะไรเนี่ย...จำไม่ได้ 5555

แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์ละก้อ...พอได้อยู่ ไม่มีปัญหา  อาจจะจำชื่อ-นามสกุลได้ไม่ครบถ้วน หรือเป๊ะ แต่ก็ถือว่าจำได้ค่ะ

วรรณกรรมต่างประเทศเนี่ย ในช่วงชีวิตหนึ่งของผู้เขียนก็อ่านแล้วหลายเล่มค่ะ  เช่น Animal Farm , Hotel สองเล่มนี้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย  ยังมี สิทธารถะ กับเล่มอื่นๆที่อ่านแล้วค่อนข้างจะหนักหน่วง คือ เนื้อหาหนักสมองสักหน่อย

ช่วงนั้นอาจจะเป็นช่วงแสวงหาหนทางชีวิตก็เป็นได้  เป็นคำที่ใครๆชอบพูดกันค่ะ

พอเข้าวัยเริ่มต้นทำงานแล้ว ก็มีคนแนะนำพวกวรรณกรรม พวกนิยาย ที่เกี่ยวกับความรักหนุ่มสาวมาให้  "อันนา คาเรนินา" ก็เป็นเล่มนึงที่ไม่ได้อ่าน  5555 อ้าว  แล้วมาเล่าทำไม

"อันนา คาเรนินา" ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อยู่ค่ะ  ดาราสาวหรือตัวเอกของเรื่องสวยทุกคน555

เรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นแนวดราม่าชีวิตสุดฤทธื์  ดูไปก็น้ำตาซึม  สมัยก่อนชอบแนวๆนี้ค่ะ  คือมันขุดลึกถึงจิตวิญญาณความเป็นคนเหลือหลาย  ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด  ความรักก็ไม่ได้ทำให้คนเราสุขกันจริงๆหรอกค่ะ

อย่างในเรื่อง "อันนา คาเรนินา" แต่งงานแล้ว และมีบุตรชายหนึ่งคน กับผู้ชายที่อายุมากกว่า มีหน้าที่การงานที่มีเกียรติ  มีฐานะร่ำรวย  ทว่า...มันก็ไม่ได้เติมเต็มช่องว่างๆในหัวใจของเธอได้

ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงเราต้องการอะไรกันแน่เนอะ อันนี้ผู้เขียนพูดเองนะคะ  ไม่มีในเรื่อง5555

บางทีผู้หญิงก็ต้องการความเข้าใจ ต้องการ ฯลฯ

สงสัยจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการจากสามี  ก็เลยพลัดหลงทางใจไปหาชายอื่นซะงั้นค่ะ

ไปๆมาๆ นางก็จงรักภักดีต่อชายอื่นอยู่คนเดียว...ชายคนนั้นไม่ได้รักเธอมากสักเท่าไหร่  บางทีความรักกับความเสน่หามันก็ห่างกันแค่เส้นบางๆ  กว่าจะรู้สัจธรรมว่าความรักมันไม่ได้เติมเต็มชีวิต  เธอก็เข้าขั้นใจสลาย

สุดท้ายก็จบชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดให้รถไฟทับ....เศร้าไหมล่ะคะ  โหดดดดดค่ะ

ความดิ่งสุดติ่งของเรื่องคืออารมณ์รัก อารมณ์เศร้า อารมณ์สารพัดที่เราสัมผัสจากตัวละครแต่ล่ะตัวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ต้องแอบซ่อน  ความลับที่ถูกเปิดเผย  การสารภาพ...

เพราะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ผิดขนบ  ก็นางเอกมีชู้กับชายอื่น 

ฉากของเรื่องอยู่ในประเทศรัสเซียนะคะ  คนแต่งนิยายก็เป็นชาวรัสเซียค่ะ  ลีโอ ตอลสตอย นั่นเอง


ใครสนใจอยากอ่าน  หา link มาให้ตามนี้นะคะ (Affiliate Link)  อันนา คาเรนินา  เผื่อว่าจะอยากอ่านเอง  หนังสือหนามากๆๆๆ 


ผู้เขียนว่าจะซื้อมาเก็บไว้สะสมสักเล่มค่ะ  นานๆจะมีการพิมพ์ออกมาสักที 

เรื่องนี้มีชื่อเสียงมาก ติดอับดับยอดนิยมของนิตยสารไทม์ซะด้วยแน่ะ  จัดพิมพ์ครั้งแรก ปี พ.ศ. 2420 โอ๊ย...ยังไม่เกิดเลย


วันนี้อยากจะเล่าเรื่องหนังสือที่น่าอ่าน น่าสนใจบ้างค่ะ  ที่จริงได้อ่านวรรณกรรมต่างประเทศแล้วก็เปิดโลกดีนะคะ  แต่ว่า...ต้องอดทนมากกว่าจะอ่านจบ คือ มันเหนื่อย 5555

วันหลังจะมาเล่าใหม่นะคะ



#inspired by movie



กันยายน 10, 2567

Goodbye Summer

 


และแล้วแม่สามสีก็ทิ้งลูกไปจริงๆค่ะ...

ตั้งแต่แม่สามสีทิ้งซัมเมอร์ไป  ศรีส้มก็ช่วยดูแลซัมเมอร์ค่ะ  เห็นเค้าเริ่มคุ้นกัน เวลาศรีส้มอยู่บ้าน ซัมเมอร์เค้าก็จะนิ่งๆไม่ซุกซน  แต่ถ้าเมื่อไหร่ต้องอยู่คนเดียว  เค้าก็ติดคน  ชวนเล่นโน่นนี่  วิ่งตามตลอดเวลา และแถมยังขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง  คุณพ่อคุณแม่ผู้เขียนท่านก็บ่นเลยค่ะ

ขนาดว่าเตรียมกะบะทรายไว้ให้  น้องก็นั่งถ่ายข้างกะบะ  ไม่ยอมลงไปในกะบะซะงั้น😅

ซัมเมอร์ก็คงน่ารักไร้เดียงสา ประสาแมวเด็กนั่นแหละค่ะ  ยังไม่แน่ใจว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย  ยังเตรียมว่าจะพาไปทำวัคซีนในไม่ช้าค่ะ  กะว่าให้ซัมเมอร์อายุซัก 5 เดือนก่อน

แล้วซัมเมอร์มีผลงานจับแมงสาบได้เยอะอยู่นะคะ  5555

...

อยู่มาวันหนึ่งซัมเมอร์บังเอิญเจอคุณแม่สามสีเข้าจังๆ เพราะว่าแม่สามสีเค้าอยู่ประจำคือบ้านข้างๆนี่เอง เค้าก็คงคิดถึงแม่เค้ามากนั่นแหละ  เห็นซัมเมอร์วิ่งเข้าไปหาแม่สามสีทันที ขณะนั้นพอดีผู้เขียนยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่ค่ะ  เลยยืนดูอยู่

แต่ปรากฎว่าคุณแม่สามสีกลับคำรามใส่แบบพร้อมกัด ขู่ฟ่อๆ เลยค่ะ  ซัมเมอร์ก็พยายามจะวิ่งไปหาอีก  แม่ก็ขู่ใส่อีก จนผู้เขียนต้องบอกให้แม่สามสีไปซะก่อน  แม่สามสีเค้าก็เหมือนฟังรู้เรื่องค่ะ เพราะช่วงนางมานอนอยู่ที่บ้านผู้เขียนตอนซัมเมอร์ยังเล็ก เราก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี 

พอแม่สามสีกระโดดหนีไป  ซัมเมอร์เดินคอตกกลับมาหาผู้เขียนเลยค่ะ  เค้าแหงนหน้าขึ้นมาสบตาผู้เขียนด้วย  จำได้เลยว่าเค้าดูเศร้ามาก และไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงไล่เค้า...

ใครว่าสัตว์ไม่มีหัวใจ  คงไม่จริงแน่  ซัมเมอร์เค้าคงจะเสียใจที่ตลอดเวลาเค้าคิดถึงแม่

แล้วก็มีครั้งอื่นอีกค่ะ ที่เหตุการณ์เป็นทำนองนี้   ซัมเมอร์เกือบโดนแม่กัด  เพราะว่าจะวิ่งเข้าไปหาแม่

ทุกครั้งซัมเมอร์เค้าก็มองมาหาผู้เขียนอีก  คงจะถามว่า...ทำไมนะ ทำไมแม่ไม่รักซัมเมอร์

เศร้าเนอะ...😓


ซัมเมอร์ก็โตขึ้นทุกวัน  ผู้เขียนก็ชอบพูดว่าให้ซัมเมอร์อยู่กับศรีส้มแทนแม่เถอะ  พี่ศรีส้มเค้าไม่เคยทิ้งใคร ...

...

ซัมเมอร์ แปลว่า ฤดูร้อน  ตั้งชื่อให้แบบนี้ก็เพราะได้เจอซัมเมอร์ในช่วงเดือนเมษายนของ 2567 อากาศกรุงเทพกำลังร้อนสุดโหดเลยค่ะ  ขนาดศรีส้มยังนั่งหอบลิ้นห้อย หรือ heat stroke ขึ้นมาจนผู้เขียนตกใจ

ตอนนั้นซัมเมอร์ตัวเล็กนิดเดียว ก็กลัวว่าจะไม่รอดซะแล้ว  แต่ก็ภูมิใจมาก ที่ซัมเมอร์อยู่กับผู้เขียนมาได้เกือบ 6 เดือนแล้ว 

ผู้เขียนเตรียมซื้อกรงกระเป๋าหิ้วใบใหม่ กะว่าจะพาซัมเมอร์ไปทำวัคซีน...

ไม่นึกว่าอยู่ๆเค้าจะไม่กลับมากินอาหารอีก  น้องหายไปคงช่วงกลางคืน  ซึ่งเค้าน่าจะเคยออกไปเดินเที่ยว  ทุกทีพอเช้ามาเค้าก็จะมารอกินข้าวเช้าค่ะ   

ทีนี้เช้านี้ทำไมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับ... 

"ซัมเมอร์ ๆ  ๆ"...เงียบสนิทเลย

ซึ่งปกติถ้าเรียกเค้าจะรีบวิ่งมาแบบสุดชีวิตเลยค่ะ ฮืออออ... เอาแล้วสิ  

อยู่ๆก็หายไป มันก็โหดร้ายหน่อยนึงนะ  พยายามเรียกหาแถวบ้าน  ก็ไม่มีวี่แววเลย...

สองวันผ่านไปแล้ว...ผู้เขียนก็ต้องทำใจค่ะ

แถวบริเวณมีป่าหญ้า  ก็ไม่รู้ว่าจะมีงู หรือมีตัวสัตว์เลื้อยคลานประเภทอื่นอีกหรือไม่  ที่จริงก็น่าจะมี เพราะเคยเห็นออกมาเดินค่ะ   ส่วนงูเหลือมก็เคยเลื้อยเข้ามากินน้องศรีนวลถึงในกรงไปแล้ว ฮือออ


...

แต่ยังไงก็เศร้ามากอยู่ดี...พยายามคิดในแง่ดีว่า เค้าอาจมีคนใจดีเก็บไปเลี้ยง เพราะคิดว่าเป็นแมวหลงมา หรือ ไปอยู่กับแม่สามสี (ซึ่งก็คงยาก  ไปมองหาแล้วก็ไม่เจอค่ะ)

 ผู้เขียนยังมองไปรอบๆที่ๆเค้าอยู่  ชามข้าว  ของเล่น... แล้วก็คิดถึงเค้าจริงๆ


...คิดถึงอะค่ะ   มันก็เป็นเรื่องเจ็บปวดสำหรับคนที่เลี้ยงแมวอย่างเราๆเนอะ

ผู้เขียนยังคิดว่าจะถ่ายรูปตอนซัมเมอร์อายุ 6 เดือนเก็บไว้ดู  ก้อไม่ทันจะได้ถ่ายเอาไว้เลยค่ะ  เหลือแค่คลิบวีดีโอสั้นๆคลิปเดียวเท่านั้น


เศร้ามาก...ต้องทำใจอีกแล้ว...แงงงง

...Goodbye Summer  ถ้ายังไม่กลับดาวแมวก็ขอให้เจอคนโชคดีพาไปอยู่ด้วยนะ ...ลาก่อน


สิงหาคม 29, 2567

Outcome กับ Income



วันนี้จะยกบทสนทนาระหว่างผู้เขียนกับเพื่อนมาให้อ่านกันค่ะ


เพื่อน : เป็นไงมั่งล่ะ (คงตั้งใจถามสารทุกข์สุขดิบเช่นเคย)

ผู้เขียน : ก็อย่างเดิมแหละ ทำไปเรื่อยๆ มีความสุข แต่ก็แอบเครียดว่ะ

เพื่อน : ยังไงวะ ตกลงสุขหรือทุกข์

ผู้เขียน : สุขมากกว่ามั้ง (ปลายเสียงชักไม่แน่ใจ 555)

เพื่อน : ชิลนักนะ  แบบนี้เค้าเรียกชิลๆเว้ย

ผู้เขียน : จริงเหรอ แล้วอนาคตจะดีมั้ย จะรอดมั้ยเนี่ย

เพื่อน :  บ่นทำไม  บอกแล้วให้กลับไปทำงานออฟฟิศ  เกษียณเร็วไปแล้วโว๊ย

ผู้เขียน :  ไม่เอาแล้ว สังขารไม่ไหว ตั้งแต่ออกจากงานมา ไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงพยาบาลเลย

เพื่อน : เออดีแล้ว  ยังไม่จนตรอกก็งี้แหละ ชิลๆไป

ผู้เขียน : (ตกลงเพื่อนมันกำลังหลอกด่าอยู่หรือเปล่าวะ 5555) ผลงานคือได้ความสบายใจเว้ย  รายได้ว่ากันอีกเรื่อง มันคนละเรื่องเลยว่ะ

เพื่อน : ไม่ต้องกังวล  เงินหมดก็เอาที่ดินไปขายเลย 5555


ตอนจบฟังแล้วยังไงพิกลเนอะ  แต่ก็นั่นแหละค่ะ เพื่อนก็หวังดีและเป็นห่วงมากกว่า  ตกลงตั้งแต่ออกจากงานมามีเพื่อนสนิทๆเท่านั้นที่โทรมาหาเรื่อยๆ  ส่วนผู้คนจำนวนมากที่เราเคยร่วมงานที่ทำงานนั้นก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยค่ะ

มีปีที่แล้วนัดกินข้าวกัน ก็เป็นกลุ่มที่ early retire ออกมาพร้อมกัน กับน้องๆในทีมที่เคยทำงานด้วยกันค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมานะคะ (หน่วยงานที่ผู้เขียนเคยรับผิดชอบมีทีมทั้งหมด 8 คน)  จะมีอยู่สามสี่คนที่เหมือนยังนึกถึงเราอยู่  ก็จะมีทั้งเพียรส่งข้อความมาทักทายในวันปีใหม่ วันเกิด หลายคนยังส่งขนมมาให้ทานอีกด้วยค่ะ

นี่ก็เป็นสัจธรรมที่ต้องพบเจอค่ะ  เราอยู่ในฐานะที่ให้ประโยชน์อะไรกับใครไม่ได้แล้ว  คนที่ยังนึกถึงเราก็แสดงว่าไม่ได้หวังอะไรจากเรา  นึกถึงก็เพราะอย่างอื่นมากกว่า

หลายคนที่เจอก็มักจะถามว่าผู้เขียนทำอะไรอยู่

ผู้เขียนก็จะตอบกว้างๆ ว่าทำหลายอย่างไปหมด (จะถือเป็นรายได้ก็พูดไม่ได้เต็มปากค่ะ) ทุกอย่างที่ทำมันก็ออกดอกออกผลนิดๆหน่อยๆ บ่อยครั้งก็มีท้อ มีเศร้า เฉกเช่นปุถุชนค่ะ

ผลลัพธ์กับรายได้มันคนละเรื่องจริงๆ มีความสุขที่ได้วาดรูป  ได้เขียนหนังสือ ดูแลผู้มีพระคุณตามสมควร  ยังมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ค่ะ  ทุกวันนี้ไม่เคยไม่มีอะไรทำจริงๆ....สาบาน

...

ไม่อยากคิดให้ไกลค่ะ  ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน นี่มันก็ถือว่าบั้นปลายชีวิตล่ะ 

 เพี้ยง! เงินทองคือของมายา  ข้าวปลาสิของจริง !

ฮ่าาาาา หัวเราะปลอบใจตัวเอง


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  แล้วเจอกันใหม่ vlog หน้า :)