ธันวาคม 06, 2566

แด่ มนตรามหาคริสต์มาส

 


แด่ มนตรามหาคริสต์มาส ธันวาคม 2566


ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาผู้เขียนชอบและคลั่งไคล้มากที่สุดของปีค่ะ  ไปไหนมาไหน โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าจะมีการแต่งไฟอย่างสวยงาม มีอุปกรณ์ตกแต่งเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาสน่ารักๆดูเพลินไปหมด

ที่บ้านผู้เขียนเคยซื้อต้นคริสต์มาสขนาดค่อนข้างใหญ่เอาไว้ต้นนึงด้วย  บางปีอารมณ์ดีหน่อยจะลงแรงมานั่งแต่งต้นคริสต์มาส ติดไฟสวยๆไว้ให้ตัวเองดู 5555

แต่จะเริ่มมีความทุกข์เวลาหมดเทศกาลไปแล้วต้องมานั่งถอดพวกของตกแต่งแล้วก็เก็บต้นคริสต์มาสนี่หละ เพราะว่าไม่มีที่จะเก็บ  ต้นมันน่าจะสูงประมาณเกือบ 2 เมตรได้ อารมณ์เวลาจะติดดาวบนยอดนี่ต้องปีนเก้าอี้  ขนาดว่าแยกชิ้นแล้ว แต่ละชิ้นก็ใหญ่โตเหลือเกิน

อย่างน้อยก็ยังอยากเก็บไว้อยู่ค่ะ  เวลาไปเห็นที่เค้าแต่งสวยๆมันอดไม่ได้ที่อยากจะอย่างนั้นบ้าง

เลยตั้งชื่อช่วงเวลานี้ของปีว่าเป็น มนตรามหาคริสต์มาส  

ดูหนัง streaming ก็จะเลือกดูพวกหนังเกี่ยวกับเทศกาลนี้ด้วย  ชอบเวลาพวกชาวตะวันตกเค้าแต่งบ้านเป็นธีมนี้มาก ดูดูไปแต่งสวยกว่าที่เห็นกันในบ้านเราเยอะเลย  

เนื้อหาในหนังมักจะเกี่ยวกับเรื่องความรักหนุ่มสาว หรือไม่ก็เรื่องครอบครัว

จบแบบมีความสุขด้วยนะคะ. ไม่ค่อยเห็นจบเศร้าเลยค่ะ

ว่าแต่ว่าปีนี้ไม่ใช่อารมณ์ไม่ดี เลยไม่เอาต้นอันนี้มาตั้งดูเล่นนะคะ  คือมันเหนื่อยตอนเก็บมั้ยเนี่ย 

อาจจะเป็นว่าช่วงนี้จัดหนักเรื่องเขียนนิยายไปหน่อย  รู้สึกว่ายังจัดสรรพลังงานของตัวเองไม่ถูก ทำให้เหนื่อยไปหมด 

เป็นนักเขียนนี่ก็งานหนักเหมือนกันแฮะ  ใครเห็นนึกว่านั่งชิลๆเขียนๆไป  ขอบอกว่าเป็นงานที่ต้องวางแผนมากๆๆๆๆ  ต้องร้อยเรียงเหตุการณ์ในท้องเรื่องมากมายหลายสิบเหตุการณ์  อย่างน้อยๆ เรื่องล่าสุด คือ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว"  นี่ก็คาดว่าประมาณ 70 ตอนเป็นอย่างต่ำ แล้วเหตุการณ์ที่จะต้องใส่ไปในแต่ละตอนให้เรื่องเดินไปตามพล๊อตอีกล่ะ  หัวจะปวด

เขียนๆไปบางทีก็เริ่มออกนอกเส้น 555 ต้นเรื่องพูดอย่าง ผ่านไป 20 ตอนเริ่มงง ว่าตอนแรกเราไม่ได้เขียนยังงี้นี่หว่า

เหมือนต่อจิ๊กซอ หรือไม่ก็ร้อยลูกปัดให้เป็นสร้อยที่สวยงาม 

นี่ขนาดนิยายเล่มแรกนะเนี่ย   คิดไปถึงเล่มต่อๆไป โอ้ววววว จะไหวมั้ย

Post นี้กะว่าจะไม่บ่นเรื่องเขียนนิยายล่ะค่ะ  ก็ยังอดบ่นไม่ได้

เห็นผู้เขียนหายๆไป ไม่ค่อยมาเขียน blog นี่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนะคะ  

เฮ้อ...



ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ




ตุลาคม 11, 2566

กระแสไม่มีแผ่ว นิยายจีนบุกตลาดหนังสือนิยาย

 




หากเดินตามร้านหนังสือในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา ผู้เขียนรู้สึกว่าเห็นหน้าแผงมีนิยายจีนวางบนชั้นอยู่มากมายหลายเรื่อง และมีมากยิ่งขึ้นไปอีกคือหนังสือที่แปลมา

ในช่วงก่อนหน้าเหมือนว่านักเขียนไทยหลายคนหันไปเขียนนิยายจีน  บ้างใช้นามปากกาเป็นขื่อไทย บ้างใช้เป็นชื่อจีนเลยก็มี

อันนี้ไม่ได้หมายถึงนิยายจีนรุ่นคลาสสิคอย่างพวก ฤทธิ์มีดสั้น หรือพวกของโกวเล้งนะคะ  แต่กำลังพูดถึงแนวรักโรแมนติก รวมไปจนถึงแนว boy love  ที่ปกสวยเตะลูกตามาก


คิดว่านักเขียนไทยคงจะทำงานกันไม่ทันความต้องการของตลาด บรรดาสำนักพิมพ์เลยต้องซื้อลิขสิทธิ์นิยายจีนมาแปลเพิ่ม

ที่กล่าวไปนั้นเป็นนิยายที่พิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม   อยากจะพูดถึงนิยายจีนที่อยู่บน platform online บนมือถืออีกหลายจ้าวด้วยค่ะ  ที่นำเสนอนิยายจีนเต็มไปหมด

ไม่ว่าจะเป็นแนวแฟนตาซี  หรือแนวรัก  แนวเกิดใหม่  แนวทะลุมิติ ฯลฯ  

การตั้งชื่อเรื่องนิยายก็พลอยแหวกจากขนบที่เคยเห็นด้วยค่ะ   เช่น ใช้ชื่อยาวมากๆ  บางทีใช้ภาษาเหมือนภาษาแปล 

ใครเขียนแนวนี้ได้ดูท่าจะเงินเข้ากระเป๋าเยอะทีเดียว  พอๆกับนักเขียนนิยายวายเลยค่ะ

ตัวผู้เขียนเองก็อยากจะมีรายได้จากการเขียนบ้างเหมือนกัน 5555😅 แต่ก็เขียนได้เพียงแนวรักทั่วไปนี่หละค่ะ  แค่นี้ยังเหนื่อยหอบแทบแย่กว่าจะหลุดออกมาได้ทีละตอน  เฮ้อ

หวังว่าจะมีโอกาสได้เขียนนิยายจีนบ้างในโอกาสต่อไปค่ะ  เพราะว่ามีนิยายจีนเก่าที่เคยเขียนจบไว้แล้ว 2-3 เรื่องอีกเหมือนกัน  ต้องเอามาปัดฝุ่นกันใหม่

คิดแล้วก้อขำตัวเอง  ภาษาจีนก็ไม่รู้เรื่อง ยังบ้าบอแต่งออกมาได้เนอะ

คือตอนนั้นมัน in มากกับการดูหนังกำลังภายใน ในช่วงเวลานั้นใครไม่ได้ดูพวก กระบี่ไร้เทียมทาน หรือ มังกรหยก ละก็เชยสุด  คุยกับเพื่อนที่โรงเรียนไม่รู้เรื่องแน่

ต้องเข้าใจนะคะว่าเด็กยุค 80 นี่เค้ามีความสุขกับการดูทีวี  กับดูการ์ตูนช่อง 9 วันหยุด ส่วนวีดีโอนี่เพิ่งมาทีหลังค่ะ

ผู้เขียนคิดว่าอยากเขียนเกี่ยวกับเรื่องจอมยุทธหญิง ฮ่าาาาา  โปรดรอติดตาม  เดี๋ยวต้องไปคิดนามปากกาใหม่ด้วยค่ะ   555555 (หัวเราะกว้างเลยทีนี้)

ว่าแต่เรื่อง ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว  ยังเขียนไม่จบเลยค่ะ  ขอเอาให้จบเป็นเรื่องๆ เอาฤกษ์เอาชัยไว้ก่อนนะคะ  ออนไลน์ไปหลายบทแล้วจ้าาาา  


นักอ่านก้ออ่านกันเงียบกริบ  คือไม่มีใครคอมเมนต์อะไรเลยค่ะ  (เหงื่อตก) 



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม blog และผลงานอื่นๆของผู้เขียนนะคะ





ตุลาคม 02, 2566

ภูเขาที่ต้องข้าม ลูกแล้ว-ลูกเล่า

 




ชีวิตเหมือนการเดินทาง  เหมือนการขึ้นภูเขา และเหมือน...ฯลฯ

มองย้อนกลับไป...

กว่าจะเติบโตมาจนป่านนี้ได้  ก็ต้องผ่านหลายสิ่งหลายอย่าง  มีทั้งสมหวัง เวลาพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ กับเคยต้องผิดหวัง แบบร้องไห้น้ำตาซึม หรือบางทีน้ำตาท่วมจอ

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นถูก save เก็บไว้ในหัวสมองของเรา 

เรื่องใหม่ๆของทุกวันถูก upload ขึ้นไปเก็บไว้  บางเรื่องต้องรู้จักเอากลับมาประยุกต์ใช้เพื่อเอาชีวิตรอด จึงต้อง download ลงมาใหม่...

คิดแบบนี้แล้วนึกภาพออกค่ะ  ตราบที่ยังมีลมหายใจ ต้องสู้กันต่อ

ว่าด้วยภูเขาลูกใหม่ของผู้เขียนในตอนนี้...คือการเขียนนิยาย

คราวที่แล้วบ่นให้คุณผู้อ่านฟังไปแล้วว่ามันคือการวิ่งมาราธอนดีๆนี่เอง...จริงๆนะคะ  กว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละตอน  ทำเอาผู้เขียนปวดหัว ไมเกรนขึ้น  ...เพราะบางทีมันนึกไม่ออกค่ะ ว่าจะลงประโยคแรกอย่างไร

คือ...สังเกตว่า...ถ้าประโยคแรกออกมาได้เมื่อไหร่   ประโยคอื่นจะไหลตามมาได้

ซื้อยาแก้ปวดหัวมาเพิ่มล่ะค่ะ....ฮ่าาาา

ไหนจะต้องเดินเรื่อง  ไหนต้องมีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร  เหมือนโดนตัวละครสิงร่างอย่างไรอย่างนั้น

สิงฉันหน่อยเถอะจ้าาาา....จะได้เขียนออกมาได้ตลอดรอดฝั่ง   เหมือนมีนักอ่านขาประจำเค้าซุ่มรออ่านอยู่...

"ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" เวอร์ชั่นเดิมนั้นหนา 40 หน้ากระดาษ A4.... 17 ตอนจบ ค่ะ

ตอนนี้มารีไรท์กันใหม่ให้เหมาะกับยุคสมัย....ยังไม่พ้นช่วงเปิดเรื่อง  แนะนำตัวละครเลย....เขียนไป 45 หน้ากระดาษ A4 แล้ว..... ไม่น่าเชื่อ!!

คือไม่น่าเชื่อว่าตัวเองกลับมาเขียนนิยายได้อีกครั้ง

พาตัวละครไปไกลเลยค่ะ  แถมมีตัวละครใหม่ๆมาเสริมเพื่อความแน่นปึ๊กของเนื้อเรื่อง

ที่จริงพอยาวขึ้นก็มีโอกาสสร้างตัวละครได้ดีขึ้นไปด้วยค่ะ   ....อย่าลืมไปอ่านกันนะคะ


คนเขียน...เขียนไป...ร้องกรี๊ดดดๆไปด้วยตลอดเลย  ด้วยความสวีทแหววของพระเอกกับนางเอก  ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มรักกันเลยเนี่ย....เฮ้อ เหนื่อยค่ะ


เหนื่อยคือ  คนเขียนเหนื่อยค่ะ   


เรื่องนี้เขียนจบไปเรียบร้อยแล้วในเวอร์ชั่น พ.ศ. 2529   ยังยืนยันไม่เปลี่ยนโครงเรื่องและไม่เปลี่ยนตอนจบค่ะ 


อ่านฟรี 10 ตอนแรกนะคะ  ที่เหลือขออนุญาตไม่ฟรี  แต่ราคาเบาๆค่ะ  นึกซะว่าช่วยเป็นทุนในการซื้อยาแก้ปวดหัว  55555


ขอบคุณทุกท่านค่ะ