ธันวาคม 04, 2563

หนทางมันจะมา ยามเมื่อเวลาเราออกเดิน

ความสำเร็จไม่มีสูตรสำเร็จ. อยากจะสำเร็จ ต้องแสวงหาหนทางเอาเองใช่ปะ?

เรียนรู้จากความสำเร็จของคนอื่น. แต่ก้อใช่ว่าพอเอามาทำดูเองตามคนอื่นจะได้ผลลัพธ์เดียวกัน

โลกนี้มันก้อเป็นซะอย่างนี้. มันดูโหดร้ายและโดดเดี่ยวเหลือทน

ถึงแม้คนรอบข้างจะหวังดี แต่เค้าก็แนะนำไปตามบริบทที่เค้ามีประสบการณ์มา.  มีที่ไหนล่ะ คนที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานพอสมควรอย่างเรา. จะหักชีวิตเลี้ยวโค้งแบบหักศอกมาเป็นคนทำงานศิลปะ. ใครมันจะเห็นด้วย

เราก้าวจากเด็กธรรมดาๆคนหนึ่ง จบมหาวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ยกลางๆ สาขาวิชาที่เรียนก้อไม่ได้เป็นสาขาวิชาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงส่ง ครอบครัวฐานะปานกลาง ก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานบริษัทเอกชน ซึ่งวิถีแบบเรานี่ก้อมีให้เกลื่อนสังคมประเทศไทย

จากเป็นพนักงาน สู่การเป็นระดับหัวหน้าแผนกและไต่ไปเรื่อยๆจนเกือบสุดยอดเขา. ฮ่าาาา ยิ่งสูงยิ่งหนาวน่ะเรื่องจริง 

ถ้าไม่ได้ตัดสินใจ early retire ออกมา สถานีต่อไป...ก้อคงจะได้ไปยืนบนยอดเขาพอดี จัดไประดับ vice president  ที่เคยคิดว่ามันเท่ดี

เราเลยเชื่อว่าเราผ่านอะไรๆมาพอสมควร. จากความที่ชีวิตไม่ได้มีอะไร. สู่พอจะมี จนกระทั่งถึง"มี" แบบที่เรารู้สึกพอใจ

หนทางที่ผ่านมามันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ. เรามักจะได้รับมอบหมายงานแปลกใหม่ที่ต้องคิดใหม่ ทำใหม่และเราก็เอาชนะมาได้ตลอด. ด้วยความเหนื่อยและความพยายาม

แต่นั่นแหละ. มันก้อยังอยู่ในกรอบ หรืออยู่ในบริบทของนโยบายที่บริษัทวางไว้. หมายความว่า...มีคนคิดกรอบมาให้เราเสร็จสรรพหมดแล้ว ว่าต้องทำอย่างไร. เดินอย่างไร. ถึงจะรอดปลอดภัย. บริษัทส่วนใหญ่มีส่วนนโยบาย ทำงานด้านวางแผนกลยุทธ์ ศึกษาคู่แข่ง. ตาม trend ธุรกิจระยะสั้น -ระยะยาว  ก็ตามนั้นเลยค่ะ

เรามักจะเอาแง่คิดในการทำงานเมื่อตอนยังทำงานบริษัทมาคิดไตร่ตรองอยู่เสมอ

อาจจะเป็นเพราะว่าเราโชคดีที่ได้ทำงานในจุดที่เห็นภาพกว้างๆของธุรกิจอยู่บ้าง รู้สึกสนุก. ที่ได้มีประสบการณ์ร่วมกับหน่วยงานอื่นที่มา join กันตอนช่วงทำแผนงานประจำปีของบริษัท. ได้เห็นแง่มุมทั้งความคิดและความรู้สึกของพนักงานจากหลาย function 

ตอนนี้เรามาเริ่มชีวิตใหม่แบบ business นี้มีฉันคนเดียววววว. 

เริ่มจากใช้เงินทุนให้น้อยที่สุด.  บริหารความเสี่ยงให้ดี. มีแผนสำรองอยู่เสมอ ต้องมีเป้าหมาย  เป้าหมายเชิงคุณภาพ-เชิงปริมาณ  และทำกลยุทธ์ด้วย. 

มีการประเมินตัวเอง. ประเมินยอดขาย. หาวิธีการใหม่ๆ และพยายามต่อยอด. ทำอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ. เพราะว่าโลกนี้มันเปลี่ยนเร็วมาก. โดยเฉพาะธุรกิจออนไลน์






ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านไป รู้สึกว่าหนทางมันค่อยๆ ชัดเจนขึ้นบ้าง ว่าเราจะทำอะไร 

มานั่งนึกว่าสมัยทำงานบริษัทมีคนคิดให้เราหมดเลยเนอะ. เฮ้อ. ตอนนี้ต้องทำเองทุกอย่าง แถมไม่รู้ด้วยว่าทำแล้วจะ work ไหม. ถ้าคิดผิด เงินที่เสียไปก้อเงินเราหมดเลย. 55555555

นอกจากนี้...แม้ว่าเราจะเก่งขึ้นกว่าเดิม. เราก็ไม่มีคนขึ้นเงินเดือนให้ด้วย ฮ่าาาา จะขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง ก้อยังทำไม่ได้ค่ะ. เพราะธุรกิจเราได้เงินมาน้อยนิด. หล่อเลี้ยงค่าใช้จ่ายประจำเดือนยังไม่ได้เลย.  เรายังแอบเครียดอยู่บ่อยๆว่าในระยะยาวถ้าเราไม่มีเงินแล้ว. เราจะอยู่รอดได้อย่างไร 

เขียนมาถึงตรงนี้...เราก้อคงต้องเดินต่อไปข้างหน้าอยู่ดี  แม้ว่าเราจะมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ  แต่คนเรามันต้องยังชีพ. ก้อต้องดิ้นรนกันไป. 

ยังสู้ไหวนะทุกคน 555




ธันวาคม 01, 2563

ฟางเส้นสุดท้าย

 ใกล้ครบสองปีที่กำลังจะผ่านไปกับชีวิตวัยเกษียณ (ก่อนกำหนด)แล้วสินะ. เดือนธันวาคมย่างเข้ามาเหมือนเป็นการเตรียมบอกลาปี 2563 คงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก. ที่จะต้องมานั่งทบทวนถึงชีวิตกันซะหน่อย. ซึ่งก้อเป็นสิ่งที่ชอบทำในตอนปลายปีของทุกปีอยู่แล้วค่ะ

ช่วงนี้เวลาไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าจะเริ่มเห็นตามห้างจะตกแต่ง theme คริสมาสต์กันบ้างแล้วค่ะ เดิมเคยตั้งใจ (เอาไว้ในใจ) ว่าจะคิดงานเกี่ยวกับคริสมาส ทำเป็น graphic elements เอาไว้ใช้เอง และขาย เพราะเห็นช่วงเทศกาลปลายปีจะขายของเกี่ยวกับคริสมาสได้เยอะ

แต่ก้อนั้นแหละ เมื่อตั้งใจ "เอาไว้ในใจ" มันเลยอยู่ในใจไง. ฮ่าาาา เพราะมีอะไรคิดว่าจะทำเยอะมากในหัวสมอง พอถึงเวลาก้อเลยลืมบ้าง หรือไปทำอย่างอื่นอยู่บ้าง. จึงยังไม่ได้ทำซะที

พอๆกับงานฮาโลวีนที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะทำ. ปีนี้ยังดีได้  sketch และคิดงานเอาไว้ แต่สุดท้ายงานที่ลงมือไปจริงๆกลับไม่ใช่งานที่ sketch เอาไว้ซะอย่างนั้น 



พอมาดู timeline แล้วรู้สึกว่าตัวเองคิดช้าไป จริงๆควรต้องเริ่มคิดตั้งแต่สิงหาคม แล้ววาดลงเครื่องคอมฯให้เสร็จภายในสิงหาคม กว่าจะส่งงานแล้วงานจะได้เริ่มใช้ก้อควรก่อนวันฮาโลวีนอย่างน้อยๆ สองเดือนด้วยซ้ำไป.  คงจะต้องเอาไปปรับปรุงตารางการทำงานใหม่ในปี 2564. ค่ะ. 

ช่วงนี้เลยชะลอพวกงานวาดเอาไว้. กลับมานั่งทำแผนงานของปีหน้าว่าจะทำอะไรบ้าง. เป้าหมายเป็นอย่างไร โดยเอาสถิติตัวเลข performance ต่างๆที่ monitor เอาไว้มาดูประกอบ วิเคราะห์ตัวเองด้วยว่าปีนี้ทำอะไรยังไม่ดี. และอะไรที่ตัวเองพัฒนาขึ้น

ปีนี้รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาเรื่องทักษะการใช้ software ไปเยอะ อยู่ในระดับที่ตัวเองพอใจ ไม่ว่าจะเป็น Lightroom, Photoshop, Illustrator, Indesign, Procreate สามารถ sync การทำงานข้ามไปมาระหว่าง software ได้คล่องขึ้น ใช้ tools และคำสั่งต่างๆได้คล่องมากขึ้น รวมทั้งใช้ shortcut keyboard ได้ด้วย  ทำให้ลดการปวดมือไปได้ เพราะการทำงานด้านกราฟฟิกต้องใช้เม้าส์เกือบตลอด. คลิกกันทั้งวันจนปวดมือเลยทีเดียวค่ะ

ทักษะที่อยากจะพัฒนาต่อคือหัดใช้  Affinity Desiner กับ Vectornator ให้คล่องกว่านี้ด้วยค่ะ. เพราะว่าค่าเช่าใช้โปรแกรม Adobe ราคาค่อนข้างแพงถึงแพงมาก ยิ่งถ้าใช้ครบเกือบทุกอันขนาดนี้ฮ่าาาา.  หากว่าวันใดวันหนึ่งไปไม่รอดขนาดว่าอาจจะไม่มีเงินเช่าใช้โปรแกรม คงต้องหันมาใช้โปรแกรมฟรี หรือโปรแกรมที่จ่ายน้อยๆจ่ายแบบครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ต้องมานั่งหัดใหม่.  ซึ่งการเริ่มหัดใช้โปรแกรมนั้นกว่าจะคล่องก้อใช้เวลามากอยู่ค่ะ. เหมือนที่กว่าจะสะสมทักษะการใช้โปรแกรมตระกูล adobe ได้ก้อเป็นปี. ขนาดว่าอยู่กับมันแทบทุกวัน วันละ 15 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย. เพราะโปรแกรมพวกนี้ความสามารถของโปรแกรมมันเยอะมากๆ.  พอๆกับตอนสมัยยังทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนที่เราต้องใช้พวก microsoft office ประมาณนั้นเลย.

รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยที่เมื่อเวลาผ่านไปตัวเราก็มีพัฒนาการขึ้นตามลำดับ. แต่ว่าเคยพยายามหัดใช้ After Effect กับ Premier Pro แล้วมันปวดหัวสุดๆ งงสุดๆเลยแหละ5555. งานด้านวีดีโอคงต้องขอข้ามไปก่อนในช่วงเวลานี้นะ

วันก่อนไป dinner กับแก๊งค์เพื่อนโดนเพื่อนบ่นอีกแล้วเรื่องที่เราจะมาเป็น artist แทนที่จะกลับไปทำงานเป็นพนักงานประจำอย่างเก่า

เพื่อนก้อคงหวังดีเนอะ. คงจะเห็นว่าถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างน้อยก้อต้องได้อัตราเงินเดือนไม่น้อยแน่. เพราะประวัติตาม resume เราออกจะไฮโซซะขนาดนั้นฮ่าาาาา. แต่เราดันทุรังอ้างโน่นนี่ไม่ยอมสมัครงานที่ไหน (ก้อใจมันไม่อยากนิ.)

เรายังอยากจะสู้อยู่อะค่ะ. รู้สึกการต่อสู้มันเพิ่งจะเริ่มต้น.  เหมือนงานด้าน  creative business ของเราเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของเราจริงๆอะ. ทุบหม้อข้าวแล้วเนี่ย5555. ถ้าเราทำไม่สำเร็จชีวิตเราก้อจบเห่เหมือนกันนะ. เฮ้อ.  

ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร  แม้ว่าหนทางที่เราเดินจะเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย และไม่ค่อยมีใครเข้าใจว่าเราทำอะไร.มันเคว้งพิกลอยู่นะคะ  เราก้อยังคิดว่าเราจะไปต่ออะ....อุปมาพายเรือออกมาไกลฝั่งแล้ว. ถอยไม่ได้. มีแต่ต้องไปข้างหน้าอย่างเดียว.  สำเร็จหรือไม่. คิดว่าอยู่ที่อะไร. 

เราก้อยึดธรรมะของพระพุทธเจ้าค่ะ. อิทธิบาท 4.

  •  ฉันทะ (passion)  
  •  วิริยะ (practice)
  •  จิตตะ (focus/concentrate)
  •  วิมังสา (evaluate/develop) 
ตามนั้นเลย. 

ติดตามชีวิตเรากันต่อไปเนอะ 5555. 



พฤศจิกายน 05, 2563

Model แห่งความไม่สำเร็จ จะนำไปสู่ความสำเร็จในที่สุด

ตอนแรกจะตั้งชื่อหัวข้อ title ว่า Model แห่งความล้มเหลว หรือไม่ก้อ Model แห่งความพ่ายแพ้ ก้อคิดกลับไปหลับมาอยู่หลายรอบ ว่าไม่อยากใช้คำที่มันชวนให้รู้สึกแย่

แต่ว่าคำว่าไม่สำเร็จ  ก้อไม่ได้ฟังดูแย่เกินไปใช่ไหมคะ  555 ฟังดูเบากว่าพ่ายแพ้ หรือ ล้มเหลวนิดนึงนะ

ที่จริงความไม่สำเร็จย่อมจะเป็นรากฐานของความสำเร็จต่อไป

ประสบการณ์จากการ fail ในธุรกิจแรกที่เริ่มทำหลังจาก early retire มันก้อสอนอะไรกับเราหลายอย่างเหมือนกันค่ะ. แม้ว่าในท้ายที่สุดเราคิดว่าจะหยุดก่อนที่จะต้องจ่ายยยยยๆๆๆไปมากกว่านี้

เหมือนกับหลายๆคนในโลกนี้ที่เวลาเห็นว่าใครทำอะไรแล้วดี. ทำอะไรแล้วรวย ก้อทำตามๆกัน มันเป็นเรื่องปกติมาก. 

ยิ่งมีการออกสื่อ เล่า story ของธุรกิจมากเท่าไหร่ คนยิ่งรู้สึก in พาลทำตามๆกันไป ทั้งที่แง่มุมเวลาเจอปัญหาและแก้ปัญหา. บางทีก้อไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาบอกชาวโลกเท่าไหร่. หรือไม่ก้อบอกให้พอเป็นพิธี ทำให้ให้ชาวโลกไม่ได้ตระหนักในด้านมืดที่ต้องมี

คนที่ประสบความสำเร็จบางคนชีวิตขึ้นและลงสุดโต่งยิ่งกว่าละคร  ทำให้คนทั่วไปคิดว่าชีวิตที่ดูไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิดนั้น. ก้อมีโอกาสทำให้สุดท้ายเปลี่ยนเป็นคนร่ำรวยได้เหมือนกัน

ทุกเรื่องเหมือนเป็นเหรียญสองด้านจริงๆค่ะ. พูดอีกอย่างคือ เรื่องทุกเรื่องมีความเสี่ยงแฝงอยู่. เราควรต้องตระหนักถึงความเสี่ยงนั้น. และจะเตรียมการยอมรับ. หรือผ่อนถ่ายความเสี่ยงไปให้คนอื่น. หรือจะเตรียมแผนสำรองอย่างไรต่อไป

อันนี้ประสบการณ์ในองค์กรที่เคยทำงานด้วยได้บ่มเพาะเรื่อง risk ให้มาเป็นอย่างดีเลยค่ะ

นั่นแหละ. แต่ถึงจะพอรู้และเข้าใจ. แต่สุดท้ายก้ออยากจะบอกว่า. ความเสี่ยงของชีวิตที่เสี่ยงที่สุดในยามนี้คือ การพยายามจะทำในสิ่งที่ไม่ได้มี passion อย่างแท้จริง

ด้วยความเข้าใจเดิม ๆ หรือ อัลกอริทึ่ม เดิม. ว่ามองเรื่องรายได้ หรือเรื่องเงิน เป็นหลัก. งานอะไรก้อได้ ที่ทำแล้วได้เงิน หรือคนอื่นเค้าทำกันได้   ทำแล้วรวย. เราก้อน่าจะทำได้ ฯลฯ

หรือที่ผ่านมาทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาได้ตั้งนาน. อยู่ในอาชีพที่ทำได้ก้อทำไป. ทำมานานแล้วก้อทำต่อไป  ทำไปทำมาแล้วเงินเดือนขึ้นทุกปี มีโบนัส. ได้เลื่อนตำแหน่ง. ก้าวหน้าขึ้นมาตามลำดับ. เลยนึกว่าเป็นแบบนี้ก้อดีอยู่แล้ว.  จะถามหา passion อะไรไปทำไม.

คนที่ early retire ออกมาพร้อมก้อนหนี้. และมีค่าใช้จ่ายต่างๆนานา จะอยู่รอดอย่างไรได้  มันจะบีบให้เราต้องคิดๆๆๆแต่เรื่องหาเงิน. อาจจะไม่มีใครมาสนใจเรื่อง passion 

ชีวิตที่ยังต้องดำเนินต่อไปเพราะท่ามกลางยุค aging society เราอาจจะต้องอายุยืนยาวนานขึ้น. ทั้งที่บางทีก้อไม่ต้องอยู่นานก้อได้นะ5555. กลัวเงินไม่พอ.  นับนิ้วแล้วอีกหลายปีที่ต้องใช้เงิน จะอยู่อย่างไรดี 

เราคงต้องเรียนรู้จากความไม่สำเร็จ. ว่ามีอะไรที่ต้องปรับ. วิเคราะห์หาจุดที่ต้องแก้ไข. แล้วท้ายสุด. เราจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

รู้สึกตัวเองเหมือนหนูในห้องทดลอง. ต้องวิ่งชนทุกประตู ทุกทิศทุกทางที่อาจจะเป็นทางออกไปสู่แสงสว่าง. ถ้าอยู่เฉยๆ. จะพ้นไปจากความเวิ้งว้างนี้ได้อย่างไร




ต้องมีทางออกได้ซักประตูสิ

ล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาใหม่ค่ะ. อย่านอนนิ่งนาน. เพราะล้มครั้งหน้า. เราไม่ได้ล้มในท่าเดิม


สู้ต่อค่ะ.






ตุลาคม 02, 2563

ก้าวต่อไป และต่อไป(อีกเรื่อยๆ)

พักนี้หายไปไม่ได้มีเวลามาเขียนอะไรเล่าสู่กันฟังเท่าไหร่. อาจมีบางคนที่เคยติดตามอ่านมาก่อนหน้านี้คอยลุ้นไปกับชีวิตของเราว่าป่านนี้เป็นฉันใด...

อาจมีหลายคนเช่นกันที่เกษียณอายุการทำงานเร็วกว่าที่เคยคิดเอาไว้. และเราคงไม่ต่างกันที่อยากมีเพื่อนที่โดนเหมือนกัน5555. จะได้แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์กันได้บ้างนะ

มีเพื่อนอายุรุ่นเดียวกันบอกว่าอยาก  early retired บ้าง เบื่องานที่ทำอยู่เต็มที

จึงได้แต่บอกว่า ...ถ้าไม่จำเป็น หรือ ถ้าไม่พร้อมจริงๆ ก็ อย่าาาาาาา...ดีกว่า

ฮ่าาาาาา....หัวเราะตามเคย...


อันว่าคำว่า "พร้อม" ของแต่ละคนนั้นมันก้อไม่เหมือนกันอีกนั่นหละ. 

อย่างน้อยที่สุดเราว่า "ห้ามมีหนี้สิน" เป็นอย่างยิ่ง

เพราะไม่ว่าคุณจะรวบรวมเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต หรือเงินที่บริษัทให้มาในตอนสุดท้ายเป็นเท่าไหร่ก็ตาม มันจะต้องเอาชำระหนี้ทั้งหมดก่อนใช่ไหม. ก่อนจะเหลืออิสรภาพที่แท้จริงของคุณ

ยิ่งคุณมีหนี้มาก ก็แปลว่าอิสรภาพที่คุณรอคอยมานานนั้นมันจะเป็นอิสรภาพที่ชวนขนลุกแน่นอน

เอาง่ายๆ. คุณจะได้ไม่ต้องฝันหวาน. นี่คือความเป็นจริงของชีวิตที่อยากแบ่งปัน. คือหลังออกจากงานและชำระหนี้สินหมดสิ้น. 

  •  คุณคิดว่าสมัครงานหางานใหม่คุณจะมีโอกาสได้งานทำหรือไม่
  • ถ้าคุณไม่คิดกลับไปใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเก่า. คุณจะหารายได้มาใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างไร. มีอาชีพที่สองรองรับหรือยัง
  • คุณต้องใชัชีวิตต่อไปจนกว่าจะหมดอายุขัยอีกประมาณกี่ปี. คาดว่าจะต้องใช้เงินในการมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นเป็นจำนวนเงินประมาณเท่าไหร่

ข้อท้ายสุดที่เขียนไปทำเอาเราเครียดนอนไม่หลับอยู่หลายครั้ง...!!!


ทฤษฎีการบริหารเงินเค้าบอกว่าสมัยนี้ต้องหารายได้มากกว่าหนึ่งทางด้วยซ้ำ  แบบว่าต้องมี income streaming เลยทีเดียว. อย่างเราเคยเป็นแต่มนุษย์เงินเดือนตั้งแต่เรียนจบ หมายความว่าเราเป็นพวกมีเรายได้ช่องทางเดียวมาตลอด. พอเราหมดจากสภาพลูกจ้าง. คราวนี้เราก็สูญเสียรายได้ที่มีอยู่ช่องทางเดียวไปเลย

ทุกเดือนเรามีเงินเข้าไม่เคยขาด และเงินมากขึ้นทุกปีจากการขึ้นเงินเดือนประจำปี  มีโบนัสตามผลประกอบการซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่มากเข้าบัญชีปีละหนึ่งถึงสองครั้งด้วยซ้ำไป  โดยที่เรามักจะเห็นพนักงานส่วนใหญ่เตรียม shopping list ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าปีนี้ได้โบนัสแล้วจะซื้ออะไรดี

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า....เป็นความเคยชินที่แสนดี.  

อยู่มาวันหนึ่ง, เป็นวันที่เราอายุและประสบการณ์มากมาย. เมื่อออกจากงานแล้วมันกลับยากที่จะกลับเข้าสู่วิถีเดิม.  บางทีมันเป็นเพราะเราเลือกที่จะเดินเส้นทางใหม่. ในแง่จิตใจแล้วก้อเป็นอะไรที่ท้าทายตัวเองมาก

เดี๋ยวนี้คำว่าเก่งก้อไม่พอซะแล้ว.   เราต้องแกร่งด้วย. เราต้องล้มแล้วรีบลุกขึ้นมาให้ไว. อย่านอนนิ่งจมอยู่กับความไม่สำเร็จนั้นนานเกินไป. ยิ่งเจ็บ. ยิ่งมีบาดแผล. แปลว่าเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น.  คราวหน้าเราจะไม่ล้มท่าเดิม. ฮ่าาาาา

รู้สึกว่า post นี้จะดูซีเรียสไปไหมคะ. 5555. ไม่หรอกเนอะ.  ไหนๆก็เป็นคนเกษียณเร็ว. แถมยังเจอเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงจากภาวะ covid-19 เงินที่มีก้อไม่งอก. แถมยังหดหายไปอีกต่างหาก.  ได้แต่ยอมรับในโชคชะตา. และพยายามจะขำ.  ก้อไม่รู้จะทำยังไงดี

หุ้นตก เศรษฐกิจไม่ฟื้น. ก้อเป็นเฉพาะที่ประเทศเรานี่แหละ.  ประเทศอื่นเค้าฟื้นๆฟุบๆแต่ก้อยังดีกว่าประเทศเราแฮะ.  แล้วยังไง...สถานการณ์ทางการเมืองก้อไม่นิ่งอีก.  คนเล็กๆอย่างเราได้แต่ทอดถอนใจค่ะ

ระหว่างรอวัคซีน. ก้อต้องระวังการระบาดใหญ่รอบสองไปด้วยนะเนี่ย. โอ้โห amazing กับชีวิตมาก. แต่ถึงอย่างไรจะขอบอกว่าตอนนี้ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำเกือบทุกอย่างแล้วค่ะ. มีความสุขมากกว่าเดิม. ถึงแม้จะไม่มีรายได้เลยเน้อ. แบบนี้นี่แหละ ที่เค้าเรียก "ศิลปินไส้แห้ง" ไงคะ. 55555😅


(ภาพประกอบถ่ายรูปเองนะคะ เย้ๆๆๆ)