พฤศจิกายน 05, 2563

Model แห่งความไม่สำเร็จ จะนำไปสู่ความสำเร็จในที่สุด

ตอนแรกจะตั้งชื่อหัวข้อ title ว่า Model แห่งความล้มเหลว หรือไม่ก้อ Model แห่งความพ่ายแพ้ ก้อคิดกลับไปหลับมาอยู่หลายรอบ ว่าไม่อยากใช้คำที่มันชวนให้รู้สึกแย่

แต่ว่าคำว่าไม่สำเร็จ  ก้อไม่ได้ฟังดูแย่เกินไปใช่ไหมคะ  555 ฟังดูเบากว่าพ่ายแพ้ หรือ ล้มเหลวนิดนึงนะ

ที่จริงความไม่สำเร็จย่อมจะเป็นรากฐานของความสำเร็จต่อไป

ประสบการณ์จากการ fail ในธุรกิจแรกที่เริ่มทำหลังจาก early retire มันก้อสอนอะไรกับเราหลายอย่างเหมือนกันค่ะ. แม้ว่าในท้ายที่สุดเราคิดว่าจะหยุดก่อนที่จะต้องจ่ายยยยยๆๆๆไปมากกว่านี้

เหมือนกับหลายๆคนในโลกนี้ที่เวลาเห็นว่าใครทำอะไรแล้วดี. ทำอะไรแล้วรวย ก้อทำตามๆกัน มันเป็นเรื่องปกติมาก. 

ยิ่งมีการออกสื่อ เล่า story ของธุรกิจมากเท่าไหร่ คนยิ่งรู้สึก in พาลทำตามๆกันไป ทั้งที่แง่มุมเวลาเจอปัญหาและแก้ปัญหา. บางทีก้อไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาบอกชาวโลกเท่าไหร่. หรือไม่ก้อบอกให้พอเป็นพิธี ทำให้ให้ชาวโลกไม่ได้ตระหนักในด้านมืดที่ต้องมี

คนที่ประสบความสำเร็จบางคนชีวิตขึ้นและลงสุดโต่งยิ่งกว่าละคร  ทำให้คนทั่วไปคิดว่าชีวิตที่ดูไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิดนั้น. ก้อมีโอกาสทำให้สุดท้ายเปลี่ยนเป็นคนร่ำรวยได้เหมือนกัน

ทุกเรื่องเหมือนเป็นเหรียญสองด้านจริงๆค่ะ. พูดอีกอย่างคือ เรื่องทุกเรื่องมีความเสี่ยงแฝงอยู่. เราควรต้องตระหนักถึงความเสี่ยงนั้น. และจะเตรียมการยอมรับ. หรือผ่อนถ่ายความเสี่ยงไปให้คนอื่น. หรือจะเตรียมแผนสำรองอย่างไรต่อไป

อันนี้ประสบการณ์ในองค์กรที่เคยทำงานด้วยได้บ่มเพาะเรื่อง risk ให้มาเป็นอย่างดีเลยค่ะ

นั่นแหละ. แต่ถึงจะพอรู้และเข้าใจ. แต่สุดท้ายก้ออยากจะบอกว่า. ความเสี่ยงของชีวิตที่เสี่ยงที่สุดในยามนี้คือ การพยายามจะทำในสิ่งที่ไม่ได้มี passion อย่างแท้จริง

ด้วยความเข้าใจเดิม ๆ หรือ อัลกอริทึ่ม เดิม. ว่ามองเรื่องรายได้ หรือเรื่องเงิน เป็นหลัก. งานอะไรก้อได้ ที่ทำแล้วได้เงิน หรือคนอื่นเค้าทำกันได้   ทำแล้วรวย. เราก้อน่าจะทำได้ ฯลฯ

หรือที่ผ่านมาทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาได้ตั้งนาน. อยู่ในอาชีพที่ทำได้ก้อทำไป. ทำมานานแล้วก้อทำต่อไป  ทำไปทำมาแล้วเงินเดือนขึ้นทุกปี มีโบนัส. ได้เลื่อนตำแหน่ง. ก้าวหน้าขึ้นมาตามลำดับ. เลยนึกว่าเป็นแบบนี้ก้อดีอยู่แล้ว.  จะถามหา passion อะไรไปทำไม.

คนที่ early retire ออกมาพร้อมก้อนหนี้. และมีค่าใช้จ่ายต่างๆนานา จะอยู่รอดอย่างไรได้  มันจะบีบให้เราต้องคิดๆๆๆแต่เรื่องหาเงิน. อาจจะไม่มีใครมาสนใจเรื่อง passion 

ชีวิตที่ยังต้องดำเนินต่อไปเพราะท่ามกลางยุค aging society เราอาจจะต้องอายุยืนยาวนานขึ้น. ทั้งที่บางทีก้อไม่ต้องอยู่นานก้อได้นะ5555. กลัวเงินไม่พอ.  นับนิ้วแล้วอีกหลายปีที่ต้องใช้เงิน จะอยู่อย่างไรดี 

เราคงต้องเรียนรู้จากความไม่สำเร็จ. ว่ามีอะไรที่ต้องปรับ. วิเคราะห์หาจุดที่ต้องแก้ไข. แล้วท้ายสุด. เราจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

รู้สึกตัวเองเหมือนหนูในห้องทดลอง. ต้องวิ่งชนทุกประตู ทุกทิศทุกทางที่อาจจะเป็นทางออกไปสู่แสงสว่าง. ถ้าอยู่เฉยๆ. จะพ้นไปจากความเวิ้งว้างนี้ได้อย่างไร




ต้องมีทางออกได้ซักประตูสิ

ล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาใหม่ค่ะ. อย่านอนนิ่งนาน. เพราะล้มครั้งหน้า. เราไม่ได้ล้มในท่าเดิม


สู้ต่อค่ะ.






ตุลาคม 02, 2563

ก้าวต่อไป และต่อไป(อีกเรื่อยๆ)

พักนี้หายไปไม่ได้มีเวลามาเขียนอะไรเล่าสู่กันฟังเท่าไหร่. อาจมีบางคนที่เคยติดตามอ่านมาก่อนหน้านี้คอยลุ้นไปกับชีวิตของเราว่าป่านนี้เป็นฉันใด...

อาจมีหลายคนเช่นกันที่เกษียณอายุการทำงานเร็วกว่าที่เคยคิดเอาไว้. และเราคงไม่ต่างกันที่อยากมีเพื่อนที่โดนเหมือนกัน5555. จะได้แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์กันได้บ้างนะ

มีเพื่อนอายุรุ่นเดียวกันบอกว่าอยาก  early retired บ้าง เบื่องานที่ทำอยู่เต็มที

จึงได้แต่บอกว่า ...ถ้าไม่จำเป็น หรือ ถ้าไม่พร้อมจริงๆ ก็ อย่าาาาาาา...ดีกว่า

ฮ่าาาาาา....หัวเราะตามเคย...


อันว่าคำว่า "พร้อม" ของแต่ละคนนั้นมันก้อไม่เหมือนกันอีกนั่นหละ. 

อย่างน้อยที่สุดเราว่า "ห้ามมีหนี้สิน" เป็นอย่างยิ่ง

เพราะไม่ว่าคุณจะรวบรวมเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต หรือเงินที่บริษัทให้มาในตอนสุดท้ายเป็นเท่าไหร่ก็ตาม มันจะต้องเอาชำระหนี้ทั้งหมดก่อนใช่ไหม. ก่อนจะเหลืออิสรภาพที่แท้จริงของคุณ

ยิ่งคุณมีหนี้มาก ก็แปลว่าอิสรภาพที่คุณรอคอยมานานนั้นมันจะเป็นอิสรภาพที่ชวนขนลุกแน่นอน

เอาง่ายๆ. คุณจะได้ไม่ต้องฝันหวาน. นี่คือความเป็นจริงของชีวิตที่อยากแบ่งปัน. คือหลังออกจากงานและชำระหนี้สินหมดสิ้น. 

  •  คุณคิดว่าสมัครงานหางานใหม่คุณจะมีโอกาสได้งานทำหรือไม่
  • ถ้าคุณไม่คิดกลับไปใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเก่า. คุณจะหารายได้มาใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างไร. มีอาชีพที่สองรองรับหรือยัง
  • คุณต้องใชัชีวิตต่อไปจนกว่าจะหมดอายุขัยอีกประมาณกี่ปี. คาดว่าจะต้องใช้เงินในการมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นเป็นจำนวนเงินประมาณเท่าไหร่

ข้อท้ายสุดที่เขียนไปทำเอาเราเครียดนอนไม่หลับอยู่หลายครั้ง...!!!


ทฤษฎีการบริหารเงินเค้าบอกว่าสมัยนี้ต้องหารายได้มากกว่าหนึ่งทางด้วยซ้ำ  แบบว่าต้องมี income streaming เลยทีเดียว. อย่างเราเคยเป็นแต่มนุษย์เงินเดือนตั้งแต่เรียนจบ หมายความว่าเราเป็นพวกมีเรายได้ช่องทางเดียวมาตลอด. พอเราหมดจากสภาพลูกจ้าง. คราวนี้เราก็สูญเสียรายได้ที่มีอยู่ช่องทางเดียวไปเลย

ทุกเดือนเรามีเงินเข้าไม่เคยขาด และเงินมากขึ้นทุกปีจากการขึ้นเงินเดือนประจำปี  มีโบนัสตามผลประกอบการซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่มากเข้าบัญชีปีละหนึ่งถึงสองครั้งด้วยซ้ำไป  โดยที่เรามักจะเห็นพนักงานส่วนใหญ่เตรียม shopping list ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าปีนี้ได้โบนัสแล้วจะซื้ออะไรดี

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า....เป็นความเคยชินที่แสนดี.  

อยู่มาวันหนึ่ง, เป็นวันที่เราอายุและประสบการณ์มากมาย. เมื่อออกจากงานแล้วมันกลับยากที่จะกลับเข้าสู่วิถีเดิม.  บางทีมันเป็นเพราะเราเลือกที่จะเดินเส้นทางใหม่. ในแง่จิตใจแล้วก้อเป็นอะไรที่ท้าทายตัวเองมาก

เดี๋ยวนี้คำว่าเก่งก้อไม่พอซะแล้ว.   เราต้องแกร่งด้วย. เราต้องล้มแล้วรีบลุกขึ้นมาให้ไว. อย่านอนนิ่งจมอยู่กับความไม่สำเร็จนั้นนานเกินไป. ยิ่งเจ็บ. ยิ่งมีบาดแผล. แปลว่าเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น.  คราวหน้าเราจะไม่ล้มท่าเดิม. ฮ่าาาาา

รู้สึกว่า post นี้จะดูซีเรียสไปไหมคะ. 5555. ไม่หรอกเนอะ.  ไหนๆก็เป็นคนเกษียณเร็ว. แถมยังเจอเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงจากภาวะ covid-19 เงินที่มีก้อไม่งอก. แถมยังหดหายไปอีกต่างหาก.  ได้แต่ยอมรับในโชคชะตา. และพยายามจะขำ.  ก้อไม่รู้จะทำยังไงดี

หุ้นตก เศรษฐกิจไม่ฟื้น. ก้อเป็นเฉพาะที่ประเทศเรานี่แหละ.  ประเทศอื่นเค้าฟื้นๆฟุบๆแต่ก้อยังดีกว่าประเทศเราแฮะ.  แล้วยังไง...สถานการณ์ทางการเมืองก้อไม่นิ่งอีก.  คนเล็กๆอย่างเราได้แต่ทอดถอนใจค่ะ

ระหว่างรอวัคซีน. ก้อต้องระวังการระบาดใหญ่รอบสองไปด้วยนะเนี่ย. โอ้โห amazing กับชีวิตมาก. แต่ถึงอย่างไรจะขอบอกว่าตอนนี้ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำเกือบทุกอย่างแล้วค่ะ. มีความสุขมากกว่าเดิม. ถึงแม้จะไม่มีรายได้เลยเน้อ. แบบนี้นี่แหละ ที่เค้าเรียก "ศิลปินไส้แห้ง" ไงคะ. 55555😅


(ภาพประกอบถ่ายรูปเองนะคะ เย้ๆๆๆ)



  

สิงหาคม 01, 2562

ก้าวที่ยากที่สุด คือ ก้าวแรก

หลังจากไปไม่รอดกับธุรกิจขายสินค้าตัวหนึ่ง. ตอนนี้เลยกลับมานั่งใคร่ครวญกันใหม่ถึงบทเรียนที่ได้รับ

จริงๆแล้วไม่ใช่สินค้าตัวแรกที่เคยขายหรอกนะ  ตลอดชีวิตก้อชอบลองทำโน่นนี่. ทำมาหลายอย่างแล้ว บางอย่างไปได้ดี. แต่ไม่มีเวลาทำ เพราะทำงานประจำอยู่. ก้อเลยปล่อยให้ผ่านเลยไป

ไม่เจ็บตัวอะไรมากอยู่แล้ว เพราะความที่ยังมีเงินเดือนประจำ. ถือว่าเป็นการซื้อประสบการณ์กันไป

แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว.  ไปไม่รอดเท่ากับเสียเงินไปโดยที่เงินไม่กลับมาอีก

อย่างนี้แล้วทำให้ตัวเองนึกกลัว...  แต่จะให้ทำยังไงต่อ.  ล้มแล้วจะไม่ลุกขึ้นมาสู้ต่ออีกหรือ?  จะนอนอยู่อย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่เราจะพบทางสว่าง

บางทีก้อนึกเหนื่อย. กว่าจะศึกษาตัวสินค้า. หาข้อมูล. ติดต่อประสานงานกับผู้ผลิต. ทดลองสินค้า  หาช่องทางการขาย. ไปเรียนเสริมเกี่ยวกับเรื่องบัญชี-การเงิน. ฯลฯ. รู้สึกว่าทำอะไรไปตั้งเยอะแยกมากๆๆๆ.  กับการเริ่มต้นก้าวแรก.   แต่เมื่อมันไม่ work จะดันทุรังทำต่อก็จะยิ่งเสียเงินต่อทุนไปอีกเรื่อยๆ. สู้ถอยออกมาดีกว่า.  เราว่าจริตเราไม่เข้ากับตัวสินค้าจริงๆนะ

มันเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอย่างมาก. หมายถึงเรื่องจริตของตัวเรากับตัวสินค้านั่นแหละ

ทำไม่เรารู้สึกว่าต้องผลักดันตัวเอง build ตัวเองให้มาขายสินค้าตัวนี้อยู่ตลอดก็ไม่รู้.  หรือเพราะ...
          
  • เราคิดว่าจ่ายเงินไปแล้วถ้าไม่ทำจะเสียดายเงิน
  • เราคิดว่าคนอื่นทำได้. เราก้อน่าจะทำได้
  • เราคิดว่าเราต้องทำ เพราะเดี๋ยวจะไม่มีรายได้เข้ามาเลย         

อ่านจาก list ข้างบนแล้วรู้สึกมั้ยว่ามันเป็นเหตุผลจากภายนอกที่เราเอามา push ตัวเองทั้งนั้นเลย โอ้วววว

พอหมดแรงเหนี่ยวนำ. (เริ่มขายของไม่ได้). เราจึงแทบไม่อยากจะทำต่ออีก. และหันกลับไปทำสิ่งเดิม คือ....วาดรูป. ฮ่าาาาาาา

ทำไมเราไม่ยอมรับว่าการวาดรูปจะทำให้เราได้เงิน ???? 

เพราะยุคที่เราเกิดและเติบโตมา.  สังคมรอบตัวบอกเราว่างานศิลปะทำแล้วชีวิตคงไปไม่รอดแน่  

คงเป็นโชคดีที่เรายังอยู่ในยุคแห่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยี  ทำให้เดี๋ยวนี้การวาดรูปทำได้หลายแบบ ทั้งแบบ traditional และ Digital.  ซึ่งเราไม่เคยกลัวเรื่องการใช้ software หรือ application ต่างๆเลย. เรารู้ตัวว่าหนึ่งในดวงใจของเรานอกจากการวาดรูปแล้วยังมีเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์

เราว่าเราชอบอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นะ5555. ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันตลอดดดดดเลย

เราพบว่าตอนทำสินค้าเราสนุกมากตอนที่ research หาข้อมูล กับตอนทำ packaging และ design Ads ลง social media รู้สึกตัวเองตื่นเต้น. กระตือรือร้นมาก. รู้สึกมีพลัง และ....มีความสุขอะค่ะ😙

สุดท้ายเรากลับมาตั้งต้นก้าวแรกใหม่อีกครั้งแล้วค่ะ. กับการมุ่งสู่การเป็น Designer / Illustrator / Graphic Design. คือเป็นให้หมดเลยค่ะ. ฮ่าาาา. 

ตามนี้นะคะ....คือ

  • เราคิดว่าไม่เสียดายเงินค่ะ. เพราะคงไม่ค่อยได้ใช้เงินทุนเท่าไหร่. ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อนะคะ.  มันออกมาเองจากตัวเราค่ะ. 
  • เราคิดว่าได้ทำงานอยู่บ้านทุกวัน. ไม่ต้องไปสัมพันธ์กับใครเพื่อจะหวังขายของ5555. มีเวลา focus อย่างเต็มที่ในการพัฒนาตัวเอง พัฒนาฝีมือ คิดงาน และ. ไม่มีสิ่งรบกวนให้วอกแวกหรือกวนใจ
  • เราคิดว่ามันเป็นความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบค่ะ.   เงินไม่ค่อยได้ หรือได้น้อย แต่ได้ความสุขมาแทนค่ะ
        
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าเส้นทางนี้มันจะง่าย...... แล้วจะมาเล่าตอนหน้าๆต่อไปนะคะ ว่าชีวิตของคนอยากทำงานศิลปะในตอนอายุปูนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปค่ะ.  55555 😅

สู้โว้ย.






กรกฎาคม 30, 2562

Transition Period : ช่วงเวลาก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

|  ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง . จากมนุษย์เงินเดือนสู่คนเกษียณอายุ . เราจะข้ามผ่านมันไปเพียงลำพัง |


เรียกตัวเองว่า "คนเกษียณอายุ" ทำให้รู้สึกดีกว่าคำว่า "คนว่างงาน"

จริงๆแล้วเราเลือกที่จะไม่ทำงานเอง จะมาเรียกเราว่าคนตกงาน หรือ คนว่างงาน มันจึงไม่ถูกต้องนักไงล่ะ 

เพราะคิดมาดีแล้วว่าอายุขนาดนี้ไปสมัครงานที่ไหน  ฝ่ายบุคคลคงลำบากใจเปล่าๆ (ที่จริงคือตัวเองลำบากใจมากกว่า 555) ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณก้อสูงส่ง เงินเดือนบวกค่าตอบแทนที่ไม่ใช่เงินก้อสมตามหน้าที่ความรับผิดชอบแหละจ้า . สุดท้ายมันเลยเป็นเหมือนทำให้หางานลำบาก . ต่อให้ยอมลด spec เป็นงานที่ขอบเขตความรับผิดชอบแคบลงมา  บริษัทเล็กลงก้อได้ . ลดค่าจ้างลงมา . มองไปข้างหน้าก้อเห็นว่าไม่ใช่ชีวิตแบบที่ใช่หรอกนะ

บริษัทที่เล็กลงมาอาจจะพนักงานไม่มาก ดูเหมือนงานอาจจะไม่เยอะ . จริงๆคงไม่ใช่หรอก . อันนี้พูดจากประสบการณ์การเป็น HR ของตัวเองได้เลยว่า ลักษณะงานในบริษัทที่เล็กลงมาบางทีจะเป็นงานลักษณะงาน administration มากกว่าจะเป็นงานเชิงนโยบาย . ถึงแม้กว่าจะไต่ระดับขึ้นมาระดับนี้ก้อทำมาหมดแล้วนั้่นแหละ . ทำได้ . แต่ไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้วไงล่ะ

ส่วนงานในบริษัทใหญ่พอเป็นงานระดับใช้ความคิดมากกว่าใช้แรง  ต้องอาศัยกำลังภายในเยอะ  พูดง่ายๆคืออาศัย connection ในการ convince คนให้เชื่อในส่ิงเดียวกับเรา ต้องเผชิญเรื่องการเมืองเยอะกว่าเรื่องงาน เจอพวกชอบประจบ พวกงานทำงานแต่น้อย . เอาใจเจ้านายเยอะๆ พวกรู้หน้าไม่รู้ใจ ฯลฯ พวกนี้จึงทำให้เครียดได้มากกว่า เพราะคนมันเรื่องเยอะ drama เยอะ . สรุปคือสู้กับเรื่องคน . เรื่องงานไม่ใช่ปัญหา

ดังนั้น....ไม่อยากเครียด .  และ ไม่อยากขายแรงงาน อีกต่อไป...ที่ผ่านมามันพอแล้ว

คนเราเกิดมา ตื่นนอนจนเข้านอน มันไม่ใช่แค่หาอะไรกินให้อิ่มไปวันๆ . 

หรือการหาอะไรทำพอให้วันเวลามันหมดไป  ก้อไม่ใช่คุณค่าของการเกิดมาเป็นคน

เมื่อแก้โจทย์ข้อแรกได้ว่าทำอย่างไรจะมีกินมีใช้แบบอยู่ได้โดยไม่ต้องขอเงินใคร หรือไม่ต้องออกไปเป็นลูกจ้างใคร . โจทย์ข้อถัดมาคือ แล้วจะใช้วันเวลาที่มีอยู่อย่างมีคุณค่าต่อสังคม และไม่ทรมานตัวเองจนเกินไปได้อย่างไร

เราต้องมาตีความคำว่า "อาชีพ" กันใหม่ละทีนี้

อาชีพ . คือ อะไรที่ทำแล้วได้เงิน หรือเปล่านะ

แล้วได้เงินแต่เหมือนถูกบังคับให้ต้องไปทำล่ะ .  เราจะเอาไหม . 

เราอยากได้แบบสองอย่างคือ . รู้สึกเป็นธรรมชาติที่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วทำ . และ ได้เงินด้วยจ้าาาา

แล้วหามันเจอไหม . มันคืออะไร?

มันอยู่ตรงปลายจมูกเรา . เหมือนเส้นผมบังภูเขา . อะไรที่อยู่กับเราราวกับสิงร่างเราตลอดเวลา . เอาหมอผีที่ไหนมาไล่มันก้อไม่ยอมออกจากร่าง . 5555 . อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก . ยามเราเติบโตทำงานหาเงินได้เท่าไหร่เราก็ไปหามันมา . ซื้อมันมา . แพงเท่าไหร่สู้ตาย . มีเยอะเท่าไหร่ก้อไม่เคยจะพอ

ทำไมก่อนหน้านี้เราไปมองหาอย่างอื่น . เราเห็นคนเขาทำเหมือนๆกันแล้วบางคนก้อดูรวย . ดูมีความสุข . แต่พอเราทำ . ทำไปทำมาชักจะท่าไม่ดี . หยุดก่อนดีกว่า ก่อนที่จะสายเกินไป . กลับมาทบทวนตัวเองดูใหม่ . คิด คิด และคิด

สรุป .  รู้แล้วล่ะ . ว่าจะทำอะไร

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้

ขอบคุณทุกคนที่อาจจะแอบให้กำลังใจอยู่แต่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน . อิ อิ อิ