สิงหาคม 01, 2562

ก้าวที่ยากที่สุด คือ ก้าวแรก

หลังจากไปไม่รอดกับธุรกิจขายสินค้าตัวหนึ่ง. ตอนนี้เลยกลับมานั่งใคร่ครวญกันใหม่ถึงบทเรียนที่ได้รับ

จริงๆแล้วไม่ใช่สินค้าตัวแรกที่เคยขายหรอกนะ  ตลอดชีวิตก้อชอบลองทำโน่นนี่. ทำมาหลายอย่างแล้ว บางอย่างไปได้ดี. แต่ไม่มีเวลาทำ เพราะทำงานประจำอยู่. ก้อเลยปล่อยให้ผ่านเลยไป

ไม่เจ็บตัวอะไรมากอยู่แล้ว เพราะความที่ยังมีเงินเดือนประจำ. ถือว่าเป็นการซื้อประสบการณ์กันไป

แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว.  ไปไม่รอดเท่ากับเสียเงินไปโดยที่เงินไม่กลับมาอีก

อย่างนี้แล้วทำให้ตัวเองนึกกลัว...  แต่จะให้ทำยังไงต่อ.  ล้มแล้วจะไม่ลุกขึ้นมาสู้ต่ออีกหรือ?  จะนอนอยู่อย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่เราจะพบทางสว่าง

บางทีก้อนึกเหนื่อย. กว่าจะศึกษาตัวสินค้า. หาข้อมูล. ติดต่อประสานงานกับผู้ผลิต. ทดลองสินค้า  หาช่องทางการขาย. ไปเรียนเสริมเกี่ยวกับเรื่องบัญชี-การเงิน. ฯลฯ. รู้สึกว่าทำอะไรไปตั้งเยอะแยกมากๆๆๆ.  กับการเริ่มต้นก้าวแรก.   แต่เมื่อมันไม่ work จะดันทุรังทำต่อก็จะยิ่งเสียเงินต่อทุนไปอีกเรื่อยๆ. สู้ถอยออกมาดีกว่า.  เราว่าจริตเราไม่เข้ากับตัวสินค้าจริงๆนะ

มันเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอย่างมาก. หมายถึงเรื่องจริตของตัวเรากับตัวสินค้านั่นแหละ

ทำไม่เรารู้สึกว่าต้องผลักดันตัวเอง build ตัวเองให้มาขายสินค้าตัวนี้อยู่ตลอดก็ไม่รู้.  หรือเพราะ...
          
  • เราคิดว่าจ่ายเงินไปแล้วถ้าไม่ทำจะเสียดายเงิน
  • เราคิดว่าคนอื่นทำได้. เราก้อน่าจะทำได้
  • เราคิดว่าเราต้องทำ เพราะเดี๋ยวจะไม่มีรายได้เข้ามาเลย         

อ่านจาก list ข้างบนแล้วรู้สึกมั้ยว่ามันเป็นเหตุผลจากภายนอกที่เราเอามา push ตัวเองทั้งนั้นเลย โอ้วววว

พอหมดแรงเหนี่ยวนำ. (เริ่มขายของไม่ได้). เราจึงแทบไม่อยากจะทำต่ออีก. และหันกลับไปทำสิ่งเดิม คือ....วาดรูป. ฮ่าาาาาาา

ทำไมเราไม่ยอมรับว่าการวาดรูปจะทำให้เราได้เงิน ???? 

เพราะยุคที่เราเกิดและเติบโตมา.  สังคมรอบตัวบอกเราว่างานศิลปะทำแล้วชีวิตคงไปไม่รอดแน่  

คงเป็นโชคดีที่เรายังอยู่ในยุคแห่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยี  ทำให้เดี๋ยวนี้การวาดรูปทำได้หลายแบบ ทั้งแบบ traditional และ Digital.  ซึ่งเราไม่เคยกลัวเรื่องการใช้ software หรือ application ต่างๆเลย. เรารู้ตัวว่าหนึ่งในดวงใจของเรานอกจากการวาดรูปแล้วยังมีเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์

เราว่าเราชอบอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นะ5555. ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันตลอดดดดดเลย

เราพบว่าตอนทำสินค้าเราสนุกมากตอนที่ research หาข้อมูล กับตอนทำ packaging และ design Ads ลง social media รู้สึกตัวเองตื่นเต้น. กระตือรือร้นมาก. รู้สึกมีพลัง และ....มีความสุขอะค่ะ😙

สุดท้ายเรากลับมาตั้งต้นก้าวแรกใหม่อีกครั้งแล้วค่ะ. กับการมุ่งสู่การเป็น Designer / Illustrator / Graphic Design. คือเป็นให้หมดเลยค่ะ. ฮ่าาาา. 

ตามนี้นะคะ....คือ

  • เราคิดว่าไม่เสียดายเงินค่ะ. เพราะคงไม่ค่อยได้ใช้เงินทุนเท่าไหร่. ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อนะคะ.  มันออกมาเองจากตัวเราค่ะ. 
  • เราคิดว่าได้ทำงานอยู่บ้านทุกวัน. ไม่ต้องไปสัมพันธ์กับใครเพื่อจะหวังขายของ5555. มีเวลา focus อย่างเต็มที่ในการพัฒนาตัวเอง พัฒนาฝีมือ คิดงาน และ. ไม่มีสิ่งรบกวนให้วอกแวกหรือกวนใจ
  • เราคิดว่ามันเป็นความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบค่ะ.   เงินไม่ค่อยได้ หรือได้น้อย แต่ได้ความสุขมาแทนค่ะ
        
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าเส้นทางนี้มันจะง่าย...... แล้วจะมาเล่าตอนหน้าๆต่อไปนะคะ ว่าชีวิตของคนอยากทำงานศิลปะในตอนอายุปูนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปค่ะ.  55555 😅

สู้โว้ย.






กรกฎาคม 30, 2562

Transition Period : ช่วงเวลาก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

|  ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง . จากมนุษย์เงินเดือนสู่คนเกษียณอายุ . เราจะข้ามผ่านมันไปเพียงลำพัง |


เรียกตัวเองว่า "คนเกษียณอายุ" ทำให้รู้สึกดีกว่าคำว่า "คนว่างงาน"

จริงๆแล้วเราเลือกที่จะไม่ทำงานเอง จะมาเรียกเราว่าคนตกงาน หรือ คนว่างงาน มันจึงไม่ถูกต้องนักไงล่ะ 

เพราะคิดมาดีแล้วว่าอายุขนาดนี้ไปสมัครงานที่ไหน  ฝ่ายบุคคลคงลำบากใจเปล่าๆ (ที่จริงคือตัวเองลำบากใจมากกว่า 555) ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณก้อสูงส่ง เงินเดือนบวกค่าตอบแทนที่ไม่ใช่เงินก้อสมตามหน้าที่ความรับผิดชอบแหละจ้า . สุดท้ายมันเลยเป็นเหมือนทำให้หางานลำบาก . ต่อให้ยอมลด spec เป็นงานที่ขอบเขตความรับผิดชอบแคบลงมา  บริษัทเล็กลงก้อได้ . ลดค่าจ้างลงมา . มองไปข้างหน้าก้อเห็นว่าไม่ใช่ชีวิตแบบที่ใช่หรอกนะ

บริษัทที่เล็กลงมาอาจจะพนักงานไม่มาก ดูเหมือนงานอาจจะไม่เยอะ . จริงๆคงไม่ใช่หรอก . อันนี้พูดจากประสบการณ์การเป็น HR ของตัวเองได้เลยว่า ลักษณะงานในบริษัทที่เล็กลงมาบางทีจะเป็นงานลักษณะงาน administration มากกว่าจะเป็นงานเชิงนโยบาย . ถึงแม้กว่าจะไต่ระดับขึ้นมาระดับนี้ก้อทำมาหมดแล้วนั้่นแหละ . ทำได้ . แต่ไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้วไงล่ะ

ส่วนงานในบริษัทใหญ่พอเป็นงานระดับใช้ความคิดมากกว่าใช้แรง  ต้องอาศัยกำลังภายในเยอะ  พูดง่ายๆคืออาศัย connection ในการ convince คนให้เชื่อในส่ิงเดียวกับเรา ต้องเผชิญเรื่องการเมืองเยอะกว่าเรื่องงาน เจอพวกชอบประจบ พวกงานทำงานแต่น้อย . เอาใจเจ้านายเยอะๆ พวกรู้หน้าไม่รู้ใจ ฯลฯ พวกนี้จึงทำให้เครียดได้มากกว่า เพราะคนมันเรื่องเยอะ drama เยอะ . สรุปคือสู้กับเรื่องคน . เรื่องงานไม่ใช่ปัญหา

ดังนั้น....ไม่อยากเครียด .  และ ไม่อยากขายแรงงาน อีกต่อไป...ที่ผ่านมามันพอแล้ว

คนเราเกิดมา ตื่นนอนจนเข้านอน มันไม่ใช่แค่หาอะไรกินให้อิ่มไปวันๆ . 

หรือการหาอะไรทำพอให้วันเวลามันหมดไป  ก้อไม่ใช่คุณค่าของการเกิดมาเป็นคน

เมื่อแก้โจทย์ข้อแรกได้ว่าทำอย่างไรจะมีกินมีใช้แบบอยู่ได้โดยไม่ต้องขอเงินใคร หรือไม่ต้องออกไปเป็นลูกจ้างใคร . โจทย์ข้อถัดมาคือ แล้วจะใช้วันเวลาที่มีอยู่อย่างมีคุณค่าต่อสังคม และไม่ทรมานตัวเองจนเกินไปได้อย่างไร

เราต้องมาตีความคำว่า "อาชีพ" กันใหม่ละทีนี้

อาชีพ . คือ อะไรที่ทำแล้วได้เงิน หรือเปล่านะ

แล้วได้เงินแต่เหมือนถูกบังคับให้ต้องไปทำล่ะ .  เราจะเอาไหม . 

เราอยากได้แบบสองอย่างคือ . รู้สึกเป็นธรรมชาติที่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วทำ . และ ได้เงินด้วยจ้าาาา

แล้วหามันเจอไหม . มันคืออะไร?

มันอยู่ตรงปลายจมูกเรา . เหมือนเส้นผมบังภูเขา . อะไรที่อยู่กับเราราวกับสิงร่างเราตลอดเวลา . เอาหมอผีที่ไหนมาไล่มันก้อไม่ยอมออกจากร่าง . 5555 . อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก . ยามเราเติบโตทำงานหาเงินได้เท่าไหร่เราก็ไปหามันมา . ซื้อมันมา . แพงเท่าไหร่สู้ตาย . มีเยอะเท่าไหร่ก้อไม่เคยจะพอ

ทำไมก่อนหน้านี้เราไปมองหาอย่างอื่น . เราเห็นคนเขาทำเหมือนๆกันแล้วบางคนก้อดูรวย . ดูมีความสุข . แต่พอเราทำ . ทำไปทำมาชักจะท่าไม่ดี . หยุดก่อนดีกว่า ก่อนที่จะสายเกินไป . กลับมาทบทวนตัวเองดูใหม่ . คิด คิด และคิด

สรุป .  รู้แล้วล่ะ . ว่าจะทำอะไร

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้

ขอบคุณทุกคนที่อาจจะแอบให้กำลังใจอยู่แต่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน . อิ อิ อิ


กรกฎาคม 15, 2562

Find my way...then Re-Center

| ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มัน "ใช่" หรือเปล่า  เป็นคำถามที่ไม่มีใครมาตอบเราได้  การมีชีวิตอิสระแบบที่เราต้องออกแบบชีวิตและเป้าหมายของตัวเองมันไม่ง่าย  เพราะอิสระมาก  รายได้ก็เข้ามาอย่างมีอิสระเหมือนกัน  คือ ทำ-แต่ไม่รู้จะได้รายได้หรือเปล่า |


Credit  :  Photo by @Inspiredbyart

ปกติเป็นคนหลงทางเป็นอาชีพ  จะไปไหนมาไหนแม้แต่ที่ๆเคยไปมาแล้วก้อหลงได้อีก  อย่าว่าแต่ที่แปลกๆที่ไม่เคยไป  จะยิ่งเกิดอาการเครียดหนักค่ะ !!

ว่ากันว่า "หลงทาง" เป็นโรคที่เป็นกันมากในเพศหญิง ฮ่าาาา  เคยรู้มาว่าโครงสร้างทางสมองของผู้หญิงมันต่างจากผู้ชาย ทำให้ผู้ชายเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของขนาด  ทิศทาง  และรูปทรงต่างๆ ได้ดีกว่า ส่วนผู้หญิงจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องรายละเอียด และ ความรู้สึก ได้ดีกว่าผู้ชาย

ดังนั้นผู้หญิงมักจะมองแต่รายละเอียดมากกว่ามองแบบภาพรวม จึงเป็นเหตุให้บางทีไม่เข้าใจเรื่องทิศทาง หรือไม่ก้อเข้าใจได้ช้ากว่าผู้ชาย แบบว่าอธิบายให้ผู้หญิงฟัง  ก็อาจจะฟังแล้วไม่รู้เรื่องก้อเป็นได้

ขนาดว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีไปไกลมี GPS ให้ดูแล้ว ยังดูไม่รู้เรื่องนั่นหละ แต่ก้อพยายามอยู่อะนะ  บางทีไปถึงที่หมายอย่างลำบาก เลยแล้วเลยอีก  ยูเทรินไปสองตลบ  กว่าจะถึงที่หมาย พอขากลับก็เครียดพอๆกัน  คือศึกษาเส้นทางล่วงหน้าเฉพาะขามาจากบ้าน  ไม่ได้คิดถึงขากลับ  กลับบ้านไม่ถูกออกจะบ่อยไป

ขอสารภาพว่าเพิ่งจะรู้จักปุ่ม Re-Center ใน Google Map ได้ไม่นานมานี้เองค่ะ

ปุ่มนี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อเราออกนอกเส้นทางที่ google map แนะนำเอาไว้ใช่ป่าวคะ 

ทีแรกเวลาออกนอกเส้นทางไปแล้วมันขึ้นปุ่มนี้ขึ้นมาก้อจะงงค่ะ  ไม่กล้ากด  ฮ่าาาา แต่พอกดลงไปแล้วร้อง อ๋อ  มันเป็นอย่างนี้นี่เอง  ช่วยให้เรา reset ตัวเองหันหัวเรือใหม่ได้นั่นเอง

ที่จริง blog นี้ไม่ได้จะพูดเรื่อง google map เท่าไหร่หรอกค่ะ  แต่มันแวบขึ้นมาตอนที่กำลังขับรถหลงทางว่ามันเหมือนชีวิตตัวเองในตอนนี้เลย   

ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มัน "ใช่" หรือเปล่า  เป็นคำถามที่ไม่มีใครมาตอบเราได้  การมีชีวิตอิสระแบบที่เราต้องออกแบบชีวิตและเป้าหมายของตัวเองมันไม่ง่าย  เพราะอิสระมาก  รายได้ก็เข้ามาอย่างมีอิสระเหมือนกัน  คือ ทำ-แต่ไม่รู้จะได้รายได้หรือเปล่า  

มันแตกต่างไปจากยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาจริงๆค่ะ  ชีวิตลูกจ้างไม่อิสระ แต่รายได้เข้ามาประจำสม่ำเสมอ  เครียดและเหนื่อยไปเพื่อให้ความฝันขององค์กรสำเร็จ  ... (หรือทำไปทำมากลายเป็นความผันของหัวหน้ากันแน่?) 





กรกฎาคม 01, 2562

ต่อสู้กับความว่างเปล่า


| การเกษียณอายุในวันที่ยังเหลือเวลาในชีวิตอีกมากช่างเป็นอะไรที่ยากอยู่เหมือนกันนะ... |


เห็นในข่าวบ่อยขึ้นทุกวันที่เกิดโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือ early retire เกิดขึ้นในองค์กรชั้นนำหลายแห่ง . จริงแล้วโครงการแบบนี้มีมานาน และทำกันมาตั้งแต่ช่วงยุคฟองสบู่แตก บางองค์กรถือเป็นนโยบายที่จะต้องมีการทำกันเป็นประจำทุกปี เพื่อลดขนาดองค์กร หรือ "ผลัดใบ" หรือ กระชับองค์กร หรือ เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรอะไรทำนองนี้ แล้วแต่จะหาคำสวยๆมาเรียก

ในบางองค์กรที่เพิ่งจะมีการทำโครงการเป็นครั้งแรก พนักงานก็จะเกิดความระส่ำระสาย ขวัญกระเจิดกระเจิงไปตามๆกันด้วยความ "ไม่เคย"

องค์กรย่อมมีเหตุผลขององค์กร  อาจเป็นเรื่องของธุรกิจ . แต่พนักงานในฐานะคนธรรมดาล่ะ . มีใครได้เตรียมใจหรือเตรียมความพร้อมให้กับความไม่แน่นอนในชีวิตการทำงานไว้บ้างแล้วหรือยัง

เคยนึกภาพตัวเองเกษียณการทำงานในอายุหกสิบปีไว้เหมือนกัน

ณ วันนั้นร่างกายคงใกล้หมดสภาพ .ฮ่าาา . เพราะความเครียดเกาะกินเป็นแน่แท้  การทำงานเพื่อให้คนอื่นสำเร็จแลกกับเงินเดือนและสวัสดิการ . มันก้อคือการขายวันเวลาและสังขารตัวเองนั่นแหละ . ขายความผันของตัวเองไปด้วย . หากงานที่ทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรารักจะทำ  แต่ทำเพราะเราต้องการรายได้

เดี๋ยวนี้ใครยังจะมานั่งเพ้อฝันถึงได้ทำสิ่งที่รักกันอยู่บ้าง . บังเอิญไม่ได้รวยมาแต่เกิด . เลยเลือกไม่ได้จ้าาา

แถมชีวิตยังไม่ได้เป็นซินเดอเรลลา  ไม่พบเจ้าชายรูปงามแสนดีซะที . จึงต้องทำงานหนักโดยที่ไม่รู้ชะตาชีวิตในวันข้างหน้าว่าจะต้องเกษียณออกมาอย่างโดดเดี่ยว

ทางบ้านบอกว่าไม่ต้องไปหางานทำอีกแล้วนะ . เธอจงอยู่บ้านเฉยๆอย่างนี้แหละดีแล้ว . เพราะถ้าคนอย่างเธอกลับไปเป็นมนุษย์ลูกจ้างอีก เธอก้อคงจะเป็นคนบ้างานอย่างเดิม 

ณ ตอนนี้ฉันจึงอยู่กับความว่างมาได้ครึ่งปีแล้ว  

ตกลงว่าความว่างเปล่าที่ได้มานี้มันเป็นของขวัญจากเทวดา หรือว่า เป็นเคราะห์กรรมกันแน่ ?

มันว่างเปล่าเสียจนบางทีก้ออดใจหายไม่ได้ . ภาระงาน  ตำแหน่ง . เงินเดือน  เพื่อนที่ทำงาน และสังคมที่เคยมี . ทุกอย่างหายไปหมดเพียงข้ามคืน...

แล้วแต่ละวันจะผ่านไปอย่างไร . นั่งถามตัวเอง

ที่จริงมันก้อดี . เพราะถึงอย่างไรวันอย่างนี้ก้อต้องมาถึง . เพียงแต่ว่ามันมาเร็วไปซักนิดเท่านั้นแหละ .ฮ่าาา จะได้ปรับตัวได้ก่อนคนอื่นที่เกษียณตอนอายุหกสิบไง

จะมีเวลาในชีวิตที่สามารถทำอะไรที่เคยอยากทำได้อีกเยอะ . ถ้าไปเกษียณตอนหกสิบ ป่านนั้นอาจจะเป็นเหมือนเครื่องยนตร์ที่หมดสภาพ . ทำอะไรไม่ได้แล้วก้อเป็นได้

ก้อไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะลอยเคว้งคว้างไปถึงไหน . เหมือนรูปโคมยี่เป็งที่เอามาแปะไว้ข้างบนน่ะแหละ . เฮ้อ.