ตุลาคม 02, 2559

ไปเป็นนักเรียนศิลปะอีกแล้ว ตอน เรียนวาดรูปอาหาร : Food Illustration




เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ปี 2016  ไปเป็นนักเรียนศิลปะกับเค้าอีกละ  ทนไม่ได้ที่เห็นเค้า post รูปอาหารสวยๆ ที่วาดด้วยสีน้ำลงบน facebook และ social media ต่างๆ นานาไม่ไหว  ขอไปเรียนด้วยคน  ด้วยความอยากรู้ๆๆๆอีกตามเคย

เดี๋ยวนี้มีโรงเรียนสอนทำโน่น ทำนี่ วาดโน่น วาดนี่  เปิดเยอะมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก  คอร์สวาดรูปอาหารนี่ก้อต้องจองล่วงหน้า  แสดงว่าคงมีคนอยากเรียนกันเยอะ  ค่าเรียนต่อคนก้อหลักพันต้นๆ ไปจนถึงสามพันกว่าก็มีค่ะ คงจะขึ้นอยู่กับต้นทุนค่าเช่าสถานที่ และต้นทุนอื่นๆอีกหลายอย่างค่ะ  

เคยไปเรียนที่นึงโดนค่าจอดรถไปหลายร้อย   ค่าอาหารกลางวันต้องจ่ายเองอีกด้วย  นึกๆแล้วคำนวณเล่นๆ เหมือนกันว่าสอนกันวันเดียว น่าจะทำรายได้ให้กับทั้งครูและโรงเรียนไม่ใช่น้อยทีเดียว

จากที่ไปร่วมเป็นนักเรียนมาหลายครั้ง ดีใจที่ได้คุยกับคนชอบวาดรูปเหมือนกัน รู้สึกมีความสุขมากกกกก หันไปทางซ้าย ทางขวา  ก็เจอแต่คนวาดรูป  เห็นพวกอุปกรณ์  สี  กระดาษ และพู่กันรายล้อม  มันสุขใจอะเนอะ 

นักเรียนส่วนใหญ่ก้อจะอายุน้อยกว่าเราแหละ  รวมทั้งครูด้วย อายุน้อยกว่าเราหมด อายนะเนี่ย(ฮ่าาาา)

งานนี้ว่าด้วยใจรัก อายุไม่เกี่ยว

ครูเริ่มต้นด้วยเรื่องอุปกรณ์  กระดาษ และ สีน้ำ  และตามด้วยเทคนิคการใช้สีน้ำ  
  • เปียก ปน เปียก 
  • เปียก บน แห้ง
  • แห้ง  บน  แห้ง
  • การไล่เฉดสี
  • การผสมสีเบื้องต้น
  • ฯลฯ

ตามด้วยทฤษฎีสีอีกนิดหน่อย

ครูบอกว่าส่วนใหญ่คนมาเรียนอยากลงมือระบายสี   พูดเรื่องทฤษฎีเยอะเดี๋ยวเบื่อกันหมด  อ่าาาา...เราว่าไอ้วาดแบบไม่มีทฤษฎีเลยเนี่ย   มันจะออกมาเป็นยังไงล่ะ  เอาเป็นว่าเรียนกันแบบสบายใจแล้วกันเนอะ  แบบพักผ่อน คลายเครียด อะไรทำนองนี้ใช่ป่าว

แค่ร่างภาพด้วยดินสอก่อนลงสี  มันก้อเป็นงานหนักสำหรับคนไม่เคยวาดรูปมาก่อนเลยแล้วนะ

อันนั้นเนี่ยความรู้สึกส่วนตัวของเรา  แต่ช่างเหอะ ครูว่ายังไงก้อยังงั้นค่ะ ลุยเลยนะคะ


ช่วงเช้าวาดจากภาพต้นแบบก่อนนะคะ   อืมห์ ไอติมเป็นไอติมเลย  นั่งมองรูปไปนานๆ รู้สึกหิวเลย รู้สึกอยากกิน  วาดไปเรื่อยๆๆๆๆ  แหม ที่จริงเราก้อพอวาดได้นี่เนอะ  ทำไมต้องออกมาเสียตังค์เรียนด้วยเนี่ย ฮ่าาาา

ช่วงบ่ายคราวนี้วาดจากของจริง  ครูเอาขนมปังหลายแบบมามาวางกองตรงกลาง มีเค้กตัดเป็นชิ้นๆ ด้วย  แต่ให้นักเรียนเลือกหยิบมาวาดนะ  ไม่ใช่เป็นอาหารว่างสำหรับกิน  วาดกันสนุกสนานกันมาก 



อยากจะสารภาพตรงนี้เลยว่า  นั่งมองไปนานๆ รู้สึกขนมปังตรงหน้ามันช่างน่ากินมากขึ้นทุกทีๆ  เดี๋ยวเลิกเรียนเสร็จแล้วจะไปซื้อมากินซักชิ้นเลย 

วันนั้นวาดได้หลายรูปอยู่เหมือนกันค่ะ  ดีใจที่ได้ผลงานกลับบ้านไปหลายชิ้น  ได้เรียนรู้จากการลงมือวาดซะที และน้องๆ พี่ๆ คุณครู ที่ไปเรียนน่ารักทุกคนเลย  ที่จริงคนชอบวาดรูปคงมีอยู่ไม่ใช่น้อย  ที่จริงโลกนี้มันก้อสวยงามเนอะ  ได้คุยกับหลายๆคน มาจากหลายๆอาชีพ ผู้ชายมาเรียนก้อเยอะ บางคนก้อมาถามว่าทำไมเราต้องทำสีแต้มๆไว้ตรงข้างล่างภาพทุกภาพด้วย ...



ตอบเค้าไปว่า จะได้มีไว้กันลืมไงคะ  ว่ารูปที่วาดเนี่ยเราใช้สีอะไรบ้าง  

เค้าทำหน้าอ๋อขึ้นมา  โห  พี่นี่มีเทคนิคเนอะ พี่คงจะวาดบ่อยล่ะสิ เรานึกในใจว่า ไม่เห็นบ่อยเลย นี่ถ้าไม่ได้ออกมาเรียนข้างนอก อยู่บ้านก็ไม่ได้วาดซักรูปหรอกค่ะ

พอวาดทื้งไว้นานๆ กลับมาดู  เฮ้ย เราวาดเองเหรอเนี่ย (สวยจังเนอะ ฮ่าาา) อ่าาาแล้วจะวาดใหม่อีกรอบคราวก่อนทำไงนะ ใช้สีอะไรไปบ้าง จำไม่ได้ ลืมหมดแล้ว  อะไรผสมกับอะไรบ้างก้อไม่รู้  สียี่ห้ออะไรจำไม่ได้เลย  (สีชื่อเดียวกัน แต่คนละ brand สีก้อไม่เหมือนกันนะคะ) กระดาษรุ่นไหน ยี่ห้ออะไร ลืมมมมสิ้นนนน

...

สรุปว่าวันนั้นเป็นวันที่มีความสุขมากๆค่ะ...:)


กันยายน 04, 2559

Draw from tablet : วาดรูปเยียวยาชีวิต

ฉันห่างหายไปจากการวาดรูปหลายเดือน อาจจะไม่ต่ำกว่า 3 เดือนหรือมากกว่านั้น  แล้วก้อด้วยเหตุผลเดิมคืองานประจำทำจนหมดแรง จิตไม่เปิด ไม่สามารถวาดรูปหรือทำงานเชิงสร้างสรรค์ได้เลย

นี่ป็นรูป sketch เก่าๆ บน Galaxy tablet ที่วาดทิ้งๆ กะว่าจะนำมาเขียน blog นานจนจำไม่ได้


กลับมานั่งดูงานวาดรูปเก่าๆ แล้วทำให้คิดต่อไปได้ว่า  ฉันพอจะวาดรูปได้  ทำไมถึงไม่จริงจังกับสิ่งเหล่านี้ให้มากเพียงพอที่ต่อไปมันอาจจะสร้างรายได้  ไม่ละ  ฉันเบื่อคำว่าอะไรๆก้อรายได้  ชีวิตคนเราต้องการแต่รายได้เท่านั้นจริงหรือ?

อยากทำสิ่งที่เป็นความสุข  ไม่ต้องสนเรื่องรายได้ แต่ก้อนั่นละ  เป็นสิ่งที่ใครๆก้ออยากจะมีชีวิตเป็นอย่างนั้น 

หรือว่าเป็นระบบการศึกษา  ระบบการทำงานแบบมนุษย์เงินเดือน  หล่อหลอมให้เราเชื่อในสิ่งเหล่านี้  ทำให้ตัวเราเชื่อโดยไม่มีข้อแม้มาตลอดว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้  คือ  การเป็นลูกจ้าง รับคำสั่ง ทำทุกอย่างให้ได้ตามกรอบนโยบาย  ภายในเวลาที่นายจ้างกำหนด รอนายจ้างเป็นผู้กำหนดอัตราค่าจ้าง และความเป็นอยู่ในองค์กร  

ส่วนแบ่งผลกำไรจากการประกอบธุรกิจเพียงน้อยนิดจากองค์กรมาขึ้นเงินเดือนให้ลูกจ้างมนุษย์เงินเดือนเพียงปีละไม่กี่เปอร์เซนต์  แค่ล้นอัตราเงินเฟ้อมาเพียงนิดหน่อย ก็หลอกให้ลูกจ้างทำงานแบบถวายชีวิต แต่คุณภาพชีวิตค่อยๆหายไปตามสังขาร...

นั่งนาน  ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งวัน  ประชุม ๆๆๆ รถติด  ไม่ได้กินข้าวเช้า และต้องยอมรับในสิ่งที่บ่อยครั้งไม่เห็นด้วย
Post ของวันนี้ดูเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีหัวคิดขบถอย่างมากเลย  

มีงานที่ต้องรับผิดชอบมากมายจนสมองล้นมาจนถึงวันหยุด  ไม่วาย deadline หลอกหลอนข้ามวันข้ามคืน เหมือนขยะที่พยายาม delete ออกไปจากสมองแล้ว แต่มันยังอยู่ใน trash แต่กด empty เท่าไหร่มันไม่ยอมออกไปจากสมอง  เป็นอาการสมองล้า สมองถดถอยเข้าขั้นสมอง lock ตัวเองซะอย่างนั้น

.....เฮ้อ  พรุ่งนี้ก้อวันจันทร์อีกแล้ว

จบ







มิถุนายน 19, 2559

การทำมัฟฟินครั้งแรกในชีวิต : My first time Blueberry Muffin

และแล้วการผจญภัยเกี่ยวกับการทำอาหารก้อได้เริ่มต้นขึ้น ...

หลังจากวนเวียนดู Clip สอนวิธีการทำมัฟฟินอยู่หลายเที่ยวมากๆ เลยตัดสินใจว่าวันนี้จะต้องลองลงมือทำมั่งสักครั้งล่ะ

รู้สึกตัวเองกล้าหาญมาก  ฮ่าาาา  ดูใน clip นี่มันดูทำง่ายดายมาก แป้งก้อไม่ต้องร่อน เพราะเนื้อมัฟฟินไม่ต้องละเอียดเหมือนเนื้อเค้กก้อได้  เน้นผสมเร็ว แล้วเข้าเตาอบเลย ประมาณว่าเป็นอาหารแบบด่วนๆของฝรั่งเค้า  แถมใช้เครื่องตีแบบมือถือ หรือถ้าใครแรงดีก้อใช้เพียงตะกร้อมือก้อใช้ได้เหมือนกัน ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์มากมายอะไร

เห็นมัฟฟินมักจะอยู่ในถ้วยกระดาษสวยน่ารัก  แต่เห็นทีไรไม่รู้ทำไมชอบนึกถึงเค้กกล้วยหอมแบบไทยๆของเราทุกทีไป

ส่วนผสมของสูตรนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน  มีแป้งเค้ก ผงฟู  เบคกิ้งโซดา วิปครีม โยเกิรต ไข่ เนย น้ำตาลทรายขาว กลิ่นวานิลา และบลูเบอร์รี่สดเท่านั้น

เจ้าบลูเบอร์รี่สดนี่แพงมากกล่องนิดเดียวราคาเกือบสองร้อยบาทแน่ะ

และสูตรตาม youtube นี่ก้อต้องทำใจเผื่อไว้ เนยนี่เนยจืดหรือเค็มก้อไม่บอก  และไม่มีการใส่เกลือด้วย  ฉันก้อเลือกใช้เนยจืดธรรมดาละกัน  เพราะเห็นจากหลายๆสูตรชอบบอกว่าทำขนมอย่าใช้เนยเค็ม เพราะมันจะเค็มเกินไง

ตั้งท่าอุ่นเตาอบล่วงหน้า  แต่ว่ากว่าจะชั่งตวงของต่างๆผสมกันและเริ่มตีด้วยเครื่องตีมือถือ  เวลาก้อผ่านพ้นไปจนเตาอบได้อุณหภูมิ  ฉันก้อยังตีส่วนผสมไม่เสร็จ  สงสัยจะเปลืองไฟกันใหญ่ล่ะคราวนี้  เลยต้องหมุนปุ่มตั้งเวลาให้ยืดออกไปจนกว่าส่วนผสมทั้งหมดจะเข้ากันและเนียนพอดี

มือใหม่อย่างฉันพอจะมีประสบการณ์จากการลองผิด-ลองถูกมาพอสมควร  ทว่าเคยมั่วๆทำเค้กกินเองหลายปีมาแล้ว  มันก้อกินได้นะ  คนกินยังบอกอร่อยเลย  ตอนนั้นไม่มีอุปกรณ์อะไรเท่าไหร่  แถมสถานที่ก้อไม่สะดวกมากขึ้นเหมือนอย่างตอนนี้  ฉันยังอุตส่าห์เพียรทำจนได้เลย

เรื่องการดูว่าส่วนผสมเข้ากันเนียนหรือยังนี่ก้ออาศัยการสังเกตเอา  ถ้าเอาพายยางปาดๆดูแล้วน้ำตาลทรายไม่เป็นเม็ด และสีของเนย ไข่ แป้ง ที่อยู่ในอ่างผสมสีกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนครีมข้นละก็  ฉันก็ว่าน่าจะใช้ได้แล้วนะ (เดาเอา)

งานหนักนี่ก้อเอาบลูเบอรี่ออกมาซับน้ำก่อนลงผสมกับแป้ง  เพราะมีข้อควรระวังว่าน้ำที่ละลายจากการเอาบลูเบอร์รี่ออกมาจากตู้เย็นนั้นอาจจะซึมเข้าไปในมัฟฟิน และทำให้เนื้อมัฟฟินแฉะ เละ  เสียโครงสร้างมัฟฟินได้  ฉ้นจึงต้องเอาทิชชูหนาๆมาคลึงบลูเบอร์รี่ก่อนใส่ลงไปในส่วนผสมซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย

เดี๋ยวอบออกมาก้อรู้เอง  คิก ๆๆๆ

เทส่วนผสมใส่ในพิมพ์สามส่วนสี่  เหลือขอบประมาณหนึ่งส่วนตามตำราเป๊ะๆๆๆๆๆ

เอาเข้าเอาอบและนั่งชิลรอดูผลงาน   ลัลล้าาาา ผ่านไปสิบนาทีมัฟฟินฉันเริ่มพองขึ่น  จนผ่านไปสิบห้านาทียิ่งพองขึ่นไปอีก  แถมส่งกลิ่นหอมเย้ายวนน่ากินออกมาด้วย




ครบยี่สิบนาทีตามสุตรเอาออกมาจากเตาอบ เอาไม้แหลมจิ้มเพื่อเช็คว่าสุกหรือยัง  ดูจากสีของมัฟฟอินแล้วรู้เลยว่าความร้อนในเตาอบไม่สม่ำเสมอแฮะ  เห็นได้ว่าด้านในจะร้อนกว่าด้านติดกระจก  มัฟฟินด้านในจึงสุกทั่ว  แต่ด้านนอกมีไม่สุก  ดูจากสีก้อรู้  สีของสองฝั่งไม่เหมือนกัน 



พอชิมมัฟฟินอันแรก  รู้สึกไม่อร่อยอย่างที่คาดหวัง  ทำไมมันจืดๆเหมือนพวกเค้กรักสุขภาพ แบบหวานน้อยอะไรทำนองนั้น ซึ่งรสนิยมตัวเองจะชอบหวานมันกว่านี้

ลองเอาอันที่ดูแล้วเหมือนสุกไม่หมดอบต่อรอบ  พอดีมีแป้งส่วนที่ผสมแล้วอีกสองถ้วยมัฟฟินที่เหลืออยู่  เลยลองไม่ใส่บลูเบอร์รรี่  แบบเอาเป็นเนื้อมัฟฟินล้วนๆ  จะได้ชิมแป้งด้วยว่าเป็นอย่างไรนะสูตรนี้

ผ่านไปอีกยี่สิบนาที  คราวนี้มัฟฟินที่โดนอบรอบสองหน้าเหลืองกรอบมาเลย  ชอบนะแบบกรอบๆเนี่ย ไม่ได้กรอบแบบจะไหม้นะคะ  กรอบนิดๆแบบกำลังดีเลย  แต่ว่าอาจจะผิดหลักหน้าตาที่ถูกต้องของมัฟฟินเค้าหรือเปล่าไม่รู้สิ  

ชอบอันที่ไม่ได้ใส่บลูเบอรี่มากๆเลยค่ะ  เนื้อมัฟฟินนุ่มมากๆ  ขาดแต่รสหอมหวานเค็มอะไรทำนองนี้ (ตามรสนิยมส่วนตัว)




คาดว่าทำอีกรอบหน้าจะแก้มืออีกค่ะ  จะเปลี่ยนเป็นเนยเค็มแทน และเพิ่มน้ำตาล  หรือไม่ก้อเปลี่ยนเป็นเนยยี่ห้ออื่นที่เกรดไฮโซไปเลย  อยากรู้ว่ารสจะเปลี่ยนไปแบบไหน

และจะไม่ใส่บลูเบอร์รี่แล้วจ้าาาา  ....  


เอาเป็นอันว่าขอจบตอนเรื่องผจญภัยไปกับการทำอาหารละค่ะ ทำมัฟฟินก้อเหมือนได้กิน cup cake แทนมัฟฟิน  แล้วมาพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ อิ อิ


พฤษภาคม 07, 2559

Julie & Julia ชีวิตคู่กับการทำอาหาร : Inspired by Movie



ฉันได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรกทาง cable TV เมื่อสองสามเดือนก่อน  รู้สึกประทับใจถึงภาพอาหารสวยๆ กับเนื้อเรื่องที่เล่าเรื่องของผู้หญิงสองคนที่อยู่ต่างยุคกัน  แต่สองสาวสองรุ่นมาเกี่ยวโยงกันด้วยการทำอาหารนั่นเอง

อย่างที่ไม่เคยได้สนใจการทำอาหารมาก่อน และเพิ่งมาเริ่มสนใจเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เคยรู้จัก Julia Child (1912-2004) (https://g.co/kgs/gdCVX) ว่าเธอคือสาวอเมริกันที่ได้ไปใช้ชีวิตในฝรั่งเศสจนกระทั่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารซึ่งตีพิมพ์ซ้ำๆกันถึงปัจจุบัน 50 ครั้ง เมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ทำให้รู้สึกมีแรงบันดาลใจในการทำอาหารขึ้นมาทีเดียว

Julie เป็นหญิงสาวที่เกิดต่างยุคกับ Julia  ความเกี่ยวโยงของคนทั้งสองเกิดขึ้นเมื่อ Julie รู้สึกอยากจะมีตัวตนขึ้นมาในโลก cyber เธอจึงเขียน blog เล่าประสบการณ์ของเธอในการทำอาหารตามวิถีของ Julia ผ่าน Cook Book อันโด่งดัง Mastering the Art of French Cooking

จากภาพยนตร์  Julia เองไม่ได้เป็นคนมีพื้นฐานการทำอาหารมาก่อน จับมีดยังไม่เป็นด้วยซ้ำ เมื่อได้ย้ายตามสามีไปอยู่ที่ฝรั่งเศส อยากหาอะไรทำ จึงได้ไปเรียนด้านการทำอาหารที่ Le Cordon Bleu สถาบันสอนทำอาหารที่มีชื่อเสียงมาก (ปัจจุบันมีสาขาในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย)  เรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับการผจญภัยจึงเกิดขึ้น ตลอดการเรียนรู้เรื่องการทำอาหารที่นั่น

แน่นอนว่าแม้เราจะไม่ได้ทำสิ่งใดได้ดีมาตั้งแต่ต้น  ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก้อสามารถทำได้  หากเราตั้งใจจริง

ความสำเร็จของ Julia ไม่เพียงกลายมาเป็นแม่ครัวที่เก่งกาจ  แต่เธอยังได้เขียนหนังสือ Cook book ที่ยังคงโดดเด่น และโด่งดัง ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียนอีกด้วย  ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการมีพรสวรรค์  ดังนั้นถ้าคิดจะทำอะไรแล้วอย่าบอกตัวเองว่า "ฉันคงไม่มีพรสวรรค์ "เป็นข้ออ้างของคนที่ไม่มุ่งมั่น จริงจังกับสิ่งที่จะทำ  

สาว Julie เป็นสาวอเมริกันรุ่นหลาน เกิดในปี 1973 (https://g.co/kgs/U5mH9) ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน หน้าที่การงานไม่ได้โดดเด่น  แต่งงานและอยู่ร่วมกับสามีใน apartment เล็กๆ แต่เธอก็มีความสุขในการทำอาหารหลังจากเลิกงาน และในวันหยุด

มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองขึ้นมา  ฉันเป็นมนุษย์เงินเดือนที่แทบไม่เคยกลับบ้านหลังห้าโมงเย็น  ต้องกินอาหารนอกบ้านแทบทุกมื้อ  แต่ก็รู้ว่ารสชาติอาหาร Home made ทำกินเองที่บ้านนั้นมันอร่อยล้ำเลิศแค่ไหน แต่ว่า...ก้อมันไม่มีเวลา และ ไม่มีพรสวรรค์  5555

วันนี้ได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง  ฉันดูอย่างตั้งใจ ซึมซับอย่างประทับใจ

ตลอดทั้งเรื่องชีวิตสองสาวดำเนินคู่กันไปราวกับเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน  ความสำเร็จ และเสียงหัวเราะไม่ได้เป็นด้านเดียวของชีวิต

ในอีกด้านหนึ่งมีความผิดหวัง  อุปสรรค  ความผิดพลาด และ การก้าวข้ามจากความไม่รู้ ไปสู่ความรู้

สามีของทั้งสองสาวเป็นผู้คอยให้กำลังใจ และสนับสนุนในทุกสิ่งที่เธอพยายามจะทำ  นั่นเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดของชีวิตคู่

ภาพยนตร์จบลงด้วยความสมหวัง  Julia ได้จัดพิมพ์หนังสือสมความตั้งใจ และ Julie กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงจาก Blog ของเธอ

สองความสำเร็จของสองสาวสอนฉันในหลายเรื่องทีเดียว...: )