เมษายน 13, 2558

One drawing a day for Life


        เคยย้อนกลับไปนึกถึงชีวิตในวัยเด็กบ่อยๆว่าช่างเป็นช่วงเวลาที่มีเวลาเยอะเสียจริงๆ และฉันยังเก็บสมุดวาดรูปเล่นสมัยเด็กๆ กับพวกงานวาดรูปสีน้ำเอาไว้จนถึงวันนี้

        ในวัยเด็กมีเวลามาก เพราะเรียนหนังสืออย่างเดียว โรงเรียนเลิกบ่ายสามโมงครึ่ง มีช่วงปิดเทอมเล็กหนึ่งเดือนและปิดเทอมใหญ่สองเดือน รวมเป็นหยุดสามเดือนต่อปีไม่รวมวันหยุดประจำปีอีกสิบสี่ถึงสิบห้าวันต่อปี คิดเป็นสัดส่วนการเรียนสามส่วน และหยุดพักอีกหนึ่งส่วน

        ชีวิตวัยผู้ใหญ่นับตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยไม่มีปิดเทอมอีกเลย
     
       เมื่อสมัยยังเป็นพนักงานระดับ  junior ก็ไม่เคยได้กลับบ้านเร็วเหมือนคนอื่น อาจจะสนุกกับงานจนไม่รู้ตัวว่าวันเวลาผ่านไปเหมือนติดปีกบิน เมื่อกลายเป็นหัวหน้าคนมีตำแหน่งหน้าที่เหมือนจะดูดี ขอบเขตของงานกว้างขวางมากขึ้นและรายได้มากขึ้น กลับยิ่งหาเวลาได้ยากมากขึ้นทุกที

       สมุดวาดรูปเล่นในวัยเด็กกลายเป็นสิ่งเตือนความจำถึงความฝันและตัวตน  ทุกวันนี้พูดได้ว่าต้องใช้ความพยายามในการจะวาดรูปให้ได้ทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งรูป  เป็นที่มาของ One drawing a day Project ซึ่งทำไม่สำเร็จซะทีนึง

         อาจจะสามารถมีสีน้ำคุณภาพดีๆ และสมุด sketch สวยๆ ไว้มากเท่าที่อยากจะได้  แต่กลับพบว่าหลายๆ หน้ายังคงว่างเปล่า  รอวันหยุดยาวๆ เพื่อจะได้มีเวลานั่งระบายสี หรือ ประดิษฐ์ของน่ารักๆ ไว้เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ


                    One drawing a day Project  สำหรับฉันจะยังดำเนินต่อไป แม้ว่ามันจะย๊ากกกก...ยาก ที่จะทำเหลือเกินนะนี่....555
Original image
         ความสุขไม่ได้อยู่ตรงที่ผลงานศิลปะของฉันจะออกมาเป็นอย่างไรอีกต่อไป  แต่มันอยู่ที่ตอนได้ลงมือทำต่างหาก  หลายครั้งฉันใช้ความคิด และ ตรรกะมากเกินไปจนกระทั่ง หวาดกลัวที่จะลงมือทำ กลัวความไม่สมบูรณ์แบบ คิด คิด คิด ว่าจะวาดอะไรดี  เพราะอยากวาดไปหมดเลย จนทุกอย่างอยู่ได้เพียงแค่ในความคิด  และสุดท้ายเลือกที่จะมีความสุขเพียงแค่ได้คิดถึงศิลปะและมองเห็นงาน sketch และงานศิลปะของคนอื่น

          สงสัยในตัวเองว่าจะรอจนถึงเวลา retire จากงานจริงๆเหรอ แล้วค่อยจะทำในสิ่งที่ตัวเองหลงไหลมาตลอดชีวิต.



An Education : inspired by movie

          อาจจะเมื่อสองถึงสามปีก่อน มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ผ่านทาง  cable tv  ทีแรกก็คิดว่าจะดูแค่ปล่อยผ่าน แต่พอดูไปเรื่อยๆก็ติดใจที่นางเอกหน้าตาคมเข้มและเล่น shello ซะด้วย เลยลองติดตามต่อไปเรื่อยๆ คราวนี้ดูไปเพลินๆจนจบ แอบมีน้ำตาซึม เพราะหนังดราม่าเรื่องนี้มีบางช่วงบางตอนเหมือนกับช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของเราพอดี


             เนื้อเรื่องเล่าถึงชีวิตของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพื้นฐานดี เรียนเก่ง หน้าตาสวย และมีอนาคตไกล แต่ทางบ้านอาจจะไม่ได้เป็นครอบครัวที่มีฐานะมากนัก  เมื่อได้พบกับพระเอกซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่ ภาพลักษณ์ดูดี ดูฉลาด ดูร่ำรวย ทำให้นางเอกหลงรัก  จนท้ายสุดต้องทิ้งการเรียน ลาออกจากโรงเรียนและเกือบจะหมดอนาคต  เมื่อมารู้ความจริงในภายหลังว่าชายหนุ่มที่มอบความรักให้จนสุดหัวใจ ที่จริงคือผู้ชายที่ไม่มีอะไร สร้างภาพหลอกลวงเธอและครอบครัวมาตลอด  ที่ร้ายที่สุด...คือเขามีครอบครัวแล้วและยังไม่ได้หย่าร้าง

           นางเอกของเรื่องจะทำอย่างไรต่อไปดี  ความเสียใจที่มีไม่ได้เกิดกับเพียงแค่ตัวเธอเท่านั้น  พ่อและแม่ของเธอก็พบกับความผิดหวังไปด้วย คือถูกผู้ชายคนนี้หลอกทั้งครอบครัว แล้วกับอนาคตที่นางเอกกำลังจะได้ไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Oxford `ก็จะจบลงไปด้วย...หรือไม่

          เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดมาได้ (ตอนดูหนังก็รู้สึก in ไปกับเธอ สงสารตอนที่พ่อกับแม่รู้เรื่องหมดแล้ว) เธอก็ตั้งต้นหวนกลับมาตามหาความฝันของเธออีกครั้ง นั่นคือ การได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย

            เจนนี่ นางเอกของเรื่อง กลับไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา เธออยากจะกลับเข้าไปเรียนในโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาไม่สามารถช่วยเธอในข้อนี้ได้  ทำให้เจนนี่ก็ต้องเสียใจและรู้ซึ้งถึงชีวิตจริงว่าความรักหลอกลวงนั้นได้ทำลายชีวิตเธอมากขนาดไหน  ในที่สุดเธอใช้ความพยายาม ความสามารถทุกอย่าง สอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เธอใฝ่ฝันได้สำเร็จ  เธอพูดว่า "ชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ต้องการ...มันไม่ได้มีทางลัด   ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง "  นี่เป็นประโยคที่รู้สึกประทับใจมาก

             เชื่อว่าความเจ็บปวด และบทเรียนชีวิตช่วงที่ผ่านมาเธอก็ไม่อาจจะลืมมันไปได้

            ในฉากท้ายๆก่อนปิดเรื่อง ฉันเห็นแววตาของเจนนี่เข้มแข็งมากขึ้น ไม่ใช่แววตาของเด็กสาวอ่อนประสบการณ์ชีวิตอีกต่อไป  เธอพร้อมจะเร่ิมต้นมีความรักกับใครซักคนอีกครั้ง  เพราะความรักก็คือบทเรียนชีวิตบทหนึ่งที่ต้องพบ 

             นี่แหละชีวิต.



          

มกราคม 31, 2558

My Palette with 26 Watercolour ( Mixed Brand )


ฉันใช้สีน้ำทั้งแบบหลอดและแบบก้อนจากหลายแบรนด์  สะสมมาหลายปีทีเดียว ได้เรียนรู้มาเรื่อยๆว่าแต่ละแบบมีลักษณะที่เหมาะสมต่างกันไปตามหน้างาน  แบบหลอดให้เนื้อสีชุ่มฉ่ำมาก เพราะละลายน้ำได้ดี แต่ว่าก้อพกไปใช้นอกสถานที่ไม่ค่อยสะดวก

แบบก้อนก่อนใช้ควรฉีดน้ำพรมนิดนึง ทิ้งไว้สักพัก  เนื้อสีด้านที่โดนน้ำจะชุ่มชื้นขึ้น  เวลาเอาพู่กันปาดลงไปสีจะติดพู่กันได้ดี  แต่ถ้าต้องการระบายบนพื้นที่กว้าง  เราต้องถูเอาเนื้อสีออกมาเยอะๆ แล้วมาละเลงบนจานสี หรือบนฝากล่องอีกที  สีน้ำก้อนจึงน่าจะเหมาะกับการระบายงาน sketch บนสมุด และพกพาไปไหนต่อไหน
Sketch on Moleskine
สำหรับกล่องสีอันนี้บีบสีหลอดจากแบรนด์  Holbien, Schminke, Sennelier และ Winsor&Newton  ตัวกล่องเป็นกล่องเหล็ก และ ซื้อพลาสติกที่เค้าทำขึ้นมาเพื่อใช้หยอดสีน้ำลงไปโดยเฉพาะจาก ebay

ขอบอกว่ากล่องสีพกพาฉันมีหลายกล่อง  มีทั้งแบบชุดเล็ก-ชุดใหญ่  เวลาเข้าร้านอุปกรณ์เครื่องเขียนทีไรมันอดใจไม่ได้จริงๆ  อิ อิ.