สิงหาคม 01, 2562

ก้าวที่ยากที่สุด คือ ก้าวแรก

หลังจากไปไม่รอดกับธุรกิจขายสินค้าตัวหนึ่ง. ตอนนี้เลยกลับมานั่งใคร่ครวญกันใหม่ถึงบทเรียนที่ได้รับ

จริงๆแล้วไม่ใช่สินค้าตัวแรกที่เคยขายหรอกนะ  ตลอดชีวิตก้อชอบลองทำโน่นนี่. ทำมาหลายอย่างแล้ว บางอย่างไปได้ดี. แต่ไม่มีเวลาทำ เพราะทำงานประจำอยู่. ก้อเลยปล่อยให้ผ่านเลยไป

ไม่เจ็บตัวอะไรมากอยู่แล้ว เพราะความที่ยังมีเงินเดือนประจำ. ถือว่าเป็นการซื้อประสบการณ์กันไป

แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว.  ไปไม่รอดเท่ากับเสียเงินไปโดยที่เงินไม่กลับมาอีก

อย่างนี้แล้วทำให้ตัวเองนึกกลัว...  แต่จะให้ทำยังไงต่อ.  ล้มแล้วจะไม่ลุกขึ้นมาสู้ต่ออีกหรือ?  จะนอนอยู่อย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่เราจะพบทางสว่าง

บางทีก้อนึกเหนื่อย. กว่าจะศึกษาตัวสินค้า. หาข้อมูล. ติดต่อประสานงานกับผู้ผลิต. ทดลองสินค้า  หาช่องทางการขาย. ไปเรียนเสริมเกี่ยวกับเรื่องบัญชี-การเงิน. ฯลฯ. รู้สึกว่าทำอะไรไปตั้งเยอะแยกมากๆๆๆ.  กับการเริ่มต้นก้าวแรก.   แต่เมื่อมันไม่ work จะดันทุรังทำต่อก็จะยิ่งเสียเงินต่อทุนไปอีกเรื่อยๆ. สู้ถอยออกมาดีกว่า.  เราว่าจริตเราไม่เข้ากับตัวสินค้าจริงๆนะ

มันเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอย่างมาก. หมายถึงเรื่องจริตของตัวเรากับตัวสินค้านั่นแหละ

ทำไม่เรารู้สึกว่าต้องผลักดันตัวเอง build ตัวเองให้มาขายสินค้าตัวนี้อยู่ตลอดก็ไม่รู้.  หรือเพราะ...
          
  • เราคิดว่าจ่ายเงินไปแล้วถ้าไม่ทำจะเสียดายเงิน
  • เราคิดว่าคนอื่นทำได้. เราก้อน่าจะทำได้
  • เราคิดว่าเราต้องทำ เพราะเดี๋ยวจะไม่มีรายได้เข้ามาเลย         

อ่านจาก list ข้างบนแล้วรู้สึกมั้ยว่ามันเป็นเหตุผลจากภายนอกที่เราเอามา push ตัวเองทั้งนั้นเลย โอ้วววว

พอหมดแรงเหนี่ยวนำ. (เริ่มขายของไม่ได้). เราจึงแทบไม่อยากจะทำต่ออีก. และหันกลับไปทำสิ่งเดิม คือ....วาดรูป. ฮ่าาาาาาา

ทำไมเราไม่ยอมรับว่าการวาดรูปจะทำให้เราได้เงิน ???? 

เพราะยุคที่เราเกิดและเติบโตมา.  สังคมรอบตัวบอกเราว่างานศิลปะทำแล้วชีวิตคงไปไม่รอดแน่  

คงเป็นโชคดีที่เรายังอยู่ในยุคแห่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยี  ทำให้เดี๋ยวนี้การวาดรูปทำได้หลายแบบ ทั้งแบบ traditional และ Digital.  ซึ่งเราไม่เคยกลัวเรื่องการใช้ software หรือ application ต่างๆเลย. เรารู้ตัวว่าหนึ่งในดวงใจของเรานอกจากการวาดรูปแล้วยังมีเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์

เราว่าเราชอบอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นะ5555. ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันตลอดดดดดเลย

เราพบว่าตอนทำสินค้าเราสนุกมากตอนที่ research หาข้อมูล กับตอนทำ packaging และ design Ads ลง social media รู้สึกตัวเองตื่นเต้น. กระตือรือร้นมาก. รู้สึกมีพลัง และ....มีความสุขอะค่ะ😙

สุดท้ายเรากลับมาตั้งต้นก้าวแรกใหม่อีกครั้งแล้วค่ะ. กับการมุ่งสู่การเป็น Designer / Illustrator / Graphic Design. คือเป็นให้หมดเลยค่ะ. ฮ่าาาา. 

ตามนี้นะคะ....คือ

  • เราคิดว่าไม่เสียดายเงินค่ะ. เพราะคงไม่ค่อยได้ใช้เงินทุนเท่าไหร่. ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อนะคะ.  มันออกมาเองจากตัวเราค่ะ. 
  • เราคิดว่าได้ทำงานอยู่บ้านทุกวัน. ไม่ต้องไปสัมพันธ์กับใครเพื่อจะหวังขายของ5555. มีเวลา focus อย่างเต็มที่ในการพัฒนาตัวเอง พัฒนาฝีมือ คิดงาน และ. ไม่มีสิ่งรบกวนให้วอกแวกหรือกวนใจ
  • เราคิดว่ามันเป็นความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบค่ะ.   เงินไม่ค่อยได้ หรือได้น้อย แต่ได้ความสุขมาแทนค่ะ
        
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าเส้นทางนี้มันจะง่าย...... แล้วจะมาเล่าตอนหน้าๆต่อไปนะคะ ว่าชีวิตของคนอยากทำงานศิลปะในตอนอายุปูนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปค่ะ.  55555 😅

สู้โว้ย.






กรกฎาคม 30, 2562

Transition Period : ช่วงเวลาก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

|  ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง . จากมนุษย์เงินเดือนสู่คนเกษียณอายุ . เราจะข้ามผ่านมันไปเพียงลำพัง |


เรียกตัวเองว่า "คนเกษียณอายุ" ทำให้รู้สึกดีกว่าคำว่า "คนว่างงาน"

จริงๆแล้วเราเลือกที่จะไม่ทำงานเอง จะมาเรียกเราว่าคนตกงาน หรือ คนว่างงาน มันจึงไม่ถูกต้องนักไงล่ะ 

เพราะคิดมาดีแล้วว่าอายุขนาดนี้ไปสมัครงานที่ไหน  ฝ่ายบุคคลคงลำบากใจเปล่าๆ (ที่จริงคือตัวเองลำบากใจมากกว่า 555) ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณก้อสูงส่ง เงินเดือนบวกค่าตอบแทนที่ไม่ใช่เงินก้อสมตามหน้าที่ความรับผิดชอบแหละจ้า . สุดท้ายมันเลยเป็นเหมือนทำให้หางานลำบาก . ต่อให้ยอมลด spec เป็นงานที่ขอบเขตความรับผิดชอบแคบลงมา  บริษัทเล็กลงก้อได้ . ลดค่าจ้างลงมา . มองไปข้างหน้าก้อเห็นว่าไม่ใช่ชีวิตแบบที่ใช่หรอกนะ

บริษัทที่เล็กลงมาอาจจะพนักงานไม่มาก ดูเหมือนงานอาจจะไม่เยอะ . จริงๆคงไม่ใช่หรอก . อันนี้พูดจากประสบการณ์การเป็น HR ของตัวเองได้เลยว่า ลักษณะงานในบริษัทที่เล็กลงมาบางทีจะเป็นงานลักษณะงาน administration มากกว่าจะเป็นงานเชิงนโยบาย . ถึงแม้กว่าจะไต่ระดับขึ้นมาระดับนี้ก้อทำมาหมดแล้วนั้่นแหละ . ทำได้ . แต่ไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้วไงล่ะ

ส่วนงานในบริษัทใหญ่พอเป็นงานระดับใช้ความคิดมากกว่าใช้แรง  ต้องอาศัยกำลังภายในเยอะ  พูดง่ายๆคืออาศัย connection ในการ convince คนให้เชื่อในส่ิงเดียวกับเรา ต้องเผชิญเรื่องการเมืองเยอะกว่าเรื่องงาน เจอพวกชอบประจบ พวกงานทำงานแต่น้อย . เอาใจเจ้านายเยอะๆ พวกรู้หน้าไม่รู้ใจ ฯลฯ พวกนี้จึงทำให้เครียดได้มากกว่า เพราะคนมันเรื่องเยอะ drama เยอะ . สรุปคือสู้กับเรื่องคน . เรื่องงานไม่ใช่ปัญหา

ดังนั้น....ไม่อยากเครียด .  และ ไม่อยากขายแรงงาน อีกต่อไป...ที่ผ่านมามันพอแล้ว

คนเราเกิดมา ตื่นนอนจนเข้านอน มันไม่ใช่แค่หาอะไรกินให้อิ่มไปวันๆ . 

หรือการหาอะไรทำพอให้วันเวลามันหมดไป  ก้อไม่ใช่คุณค่าของการเกิดมาเป็นคน

เมื่อแก้โจทย์ข้อแรกได้ว่าทำอย่างไรจะมีกินมีใช้แบบอยู่ได้โดยไม่ต้องขอเงินใคร หรือไม่ต้องออกไปเป็นลูกจ้างใคร . โจทย์ข้อถัดมาคือ แล้วจะใช้วันเวลาที่มีอยู่อย่างมีคุณค่าต่อสังคม และไม่ทรมานตัวเองจนเกินไปได้อย่างไร

เราต้องมาตีความคำว่า "อาชีพ" กันใหม่ละทีนี้

อาชีพ . คือ อะไรที่ทำแล้วได้เงิน หรือเปล่านะ

แล้วได้เงินแต่เหมือนถูกบังคับให้ต้องไปทำล่ะ .  เราจะเอาไหม . 

เราอยากได้แบบสองอย่างคือ . รู้สึกเป็นธรรมชาติที่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วทำ . และ ได้เงินด้วยจ้าาาา

แล้วหามันเจอไหม . มันคืออะไร?

มันอยู่ตรงปลายจมูกเรา . เหมือนเส้นผมบังภูเขา . อะไรที่อยู่กับเราราวกับสิงร่างเราตลอดเวลา . เอาหมอผีที่ไหนมาไล่มันก้อไม่ยอมออกจากร่าง . 5555 . อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก . ยามเราเติบโตทำงานหาเงินได้เท่าไหร่เราก็ไปหามันมา . ซื้อมันมา . แพงเท่าไหร่สู้ตาย . มีเยอะเท่าไหร่ก้อไม่เคยจะพอ

ทำไมก่อนหน้านี้เราไปมองหาอย่างอื่น . เราเห็นคนเขาทำเหมือนๆกันแล้วบางคนก้อดูรวย . ดูมีความสุข . แต่พอเราทำ . ทำไปทำมาชักจะท่าไม่ดี . หยุดก่อนดีกว่า ก่อนที่จะสายเกินไป . กลับมาทบทวนตัวเองดูใหม่ . คิด คิด และคิด

สรุป .  รู้แล้วล่ะ . ว่าจะทำอะไร

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้

ขอบคุณทุกคนที่อาจจะแอบให้กำลังใจอยู่แต่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน . อิ อิ อิ


กรกฎาคม 15, 2562

Find my way...then Re-Center

| ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มัน "ใช่" หรือเปล่า  เป็นคำถามที่ไม่มีใครมาตอบเราได้  การมีชีวิตอิสระแบบที่เราต้องออกแบบชีวิตและเป้าหมายของตัวเองมันไม่ง่าย  เพราะอิสระมาก  รายได้ก็เข้ามาอย่างมีอิสระเหมือนกัน  คือ ทำ-แต่ไม่รู้จะได้รายได้หรือเปล่า |


Credit  :  Photo by @Inspiredbyart

ปกติเป็นคนหลงทางเป็นอาชีพ  จะไปไหนมาไหนแม้แต่ที่ๆเคยไปมาแล้วก้อหลงได้อีก  อย่าว่าแต่ที่แปลกๆที่ไม่เคยไป  จะยิ่งเกิดอาการเครียดหนักค่ะ !!

ว่ากันว่า "หลงทาง" เป็นโรคที่เป็นกันมากในเพศหญิง ฮ่าาาา  เคยรู้มาว่าโครงสร้างทางสมองของผู้หญิงมันต่างจากผู้ชาย ทำให้ผู้ชายเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของขนาด  ทิศทาง  และรูปทรงต่างๆ ได้ดีกว่า ส่วนผู้หญิงจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องรายละเอียด และ ความรู้สึก ได้ดีกว่าผู้ชาย

ดังนั้นผู้หญิงมักจะมองแต่รายละเอียดมากกว่ามองแบบภาพรวม จึงเป็นเหตุให้บางทีไม่เข้าใจเรื่องทิศทาง หรือไม่ก้อเข้าใจได้ช้ากว่าผู้ชาย แบบว่าอธิบายให้ผู้หญิงฟัง  ก็อาจจะฟังแล้วไม่รู้เรื่องก้อเป็นได้

ขนาดว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีไปไกลมี GPS ให้ดูแล้ว ยังดูไม่รู้เรื่องนั่นหละ แต่ก้อพยายามอยู่อะนะ  บางทีไปถึงที่หมายอย่างลำบาก เลยแล้วเลยอีก  ยูเทรินไปสองตลบ  กว่าจะถึงที่หมาย พอขากลับก็เครียดพอๆกัน  คือศึกษาเส้นทางล่วงหน้าเฉพาะขามาจากบ้าน  ไม่ได้คิดถึงขากลับ  กลับบ้านไม่ถูกออกจะบ่อยไป

ขอสารภาพว่าเพิ่งจะรู้จักปุ่ม Re-Center ใน Google Map ได้ไม่นานมานี้เองค่ะ

ปุ่มนี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อเราออกนอกเส้นทางที่ google map แนะนำเอาไว้ใช่ป่าวคะ 

ทีแรกเวลาออกนอกเส้นทางไปแล้วมันขึ้นปุ่มนี้ขึ้นมาก้อจะงงค่ะ  ไม่กล้ากด  ฮ่าาาา แต่พอกดลงไปแล้วร้อง อ๋อ  มันเป็นอย่างนี้นี่เอง  ช่วยให้เรา reset ตัวเองหันหัวเรือใหม่ได้นั่นเอง

ที่จริง blog นี้ไม่ได้จะพูดเรื่อง google map เท่าไหร่หรอกค่ะ  แต่มันแวบขึ้นมาตอนที่กำลังขับรถหลงทางว่ามันเหมือนชีวิตตัวเองในตอนนี้เลย   

ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มัน "ใช่" หรือเปล่า  เป็นคำถามที่ไม่มีใครมาตอบเราได้  การมีชีวิตอิสระแบบที่เราต้องออกแบบชีวิตและเป้าหมายของตัวเองมันไม่ง่าย  เพราะอิสระมาก  รายได้ก็เข้ามาอย่างมีอิสระเหมือนกัน  คือ ทำ-แต่ไม่รู้จะได้รายได้หรือเปล่า  

มันแตกต่างไปจากยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาจริงๆค่ะ  ชีวิตลูกจ้างไม่อิสระ แต่รายได้เข้ามาประจำสม่ำเสมอ  เครียดและเหนื่อยไปเพื่อให้ความฝันขององค์กรสำเร็จ  ... (หรือทำไปทำมากลายเป็นความผันของหัวหน้ากันแน่?) 





กรกฎาคม 01, 2562

ต่อสู้กับความว่างเปล่า


| การเกษียณอายุในวันที่ยังเหลือเวลาในชีวิตอีกมากช่างเป็นอะไรที่ยากอยู่เหมือนกันนะ... |


เห็นในข่าวบ่อยขึ้นทุกวันที่เกิดโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือ early retire เกิดขึ้นในองค์กรชั้นนำหลายแห่ง . จริงแล้วโครงการแบบนี้มีมานาน และทำกันมาตั้งแต่ช่วงยุคฟองสบู่แตก บางองค์กรถือเป็นนโยบายที่จะต้องมีการทำกันเป็นประจำทุกปี เพื่อลดขนาดองค์กร หรือ "ผลัดใบ" หรือ กระชับองค์กร หรือ เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรอะไรทำนองนี้ แล้วแต่จะหาคำสวยๆมาเรียก

ในบางองค์กรที่เพิ่งจะมีการทำโครงการเป็นครั้งแรก พนักงานก็จะเกิดความระส่ำระสาย ขวัญกระเจิดกระเจิงไปตามๆกันด้วยความ "ไม่เคย"

องค์กรย่อมมีเหตุผลขององค์กร  อาจเป็นเรื่องของธุรกิจ . แต่พนักงานในฐานะคนธรรมดาล่ะ . มีใครได้เตรียมใจหรือเตรียมความพร้อมให้กับความไม่แน่นอนในชีวิตการทำงานไว้บ้างแล้วหรือยัง

เคยนึกภาพตัวเองเกษียณการทำงานในอายุหกสิบปีไว้เหมือนกัน

ณ วันนั้นร่างกายคงใกล้หมดสภาพ .ฮ่าาา . เพราะความเครียดเกาะกินเป็นแน่แท้  การทำงานเพื่อให้คนอื่นสำเร็จแลกกับเงินเดือนและสวัสดิการ . มันก้อคือการขายวันเวลาและสังขารตัวเองนั่นแหละ . ขายความผันของตัวเองไปด้วย . หากงานที่ทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรารักจะทำ  แต่ทำเพราะเราต้องการรายได้

เดี๋ยวนี้ใครยังจะมานั่งเพ้อฝันถึงได้ทำสิ่งที่รักกันอยู่บ้าง . บังเอิญไม่ได้รวยมาแต่เกิด . เลยเลือกไม่ได้จ้าาา

แถมชีวิตยังไม่ได้เป็นซินเดอเรลลา  ไม่พบเจ้าชายรูปงามแสนดีซะที . จึงต้องทำงานหนักโดยที่ไม่รู้ชะตาชีวิตในวันข้างหน้าว่าจะต้องเกษียณออกมาอย่างโดดเดี่ยว

ทางบ้านบอกว่าไม่ต้องไปหางานทำอีกแล้วนะ . เธอจงอยู่บ้านเฉยๆอย่างนี้แหละดีแล้ว . เพราะถ้าคนอย่างเธอกลับไปเป็นมนุษย์ลูกจ้างอีก เธอก้อคงจะเป็นคนบ้างานอย่างเดิม 

ณ ตอนนี้ฉันจึงอยู่กับความว่างมาได้ครึ่งปีแล้ว  

ตกลงว่าความว่างเปล่าที่ได้มานี้มันเป็นของขวัญจากเทวดา หรือว่า เป็นเคราะห์กรรมกันแน่ ?

มันว่างเปล่าเสียจนบางทีก้ออดใจหายไม่ได้ . ภาระงาน  ตำแหน่ง . เงินเดือน  เพื่อนที่ทำงาน และสังคมที่เคยมี . ทุกอย่างหายไปหมดเพียงข้ามคืน...

แล้วแต่ละวันจะผ่านไปอย่างไร . นั่งถามตัวเอง

ที่จริงมันก้อดี . เพราะถึงอย่างไรวันอย่างนี้ก้อต้องมาถึง . เพียงแต่ว่ามันมาเร็วไปซักนิดเท่านั้นแหละ .ฮ่าาา จะได้ปรับตัวได้ก่อนคนอื่นที่เกษียณตอนอายุหกสิบไง

จะมีเวลาในชีวิตที่สามารถทำอะไรที่เคยอยากทำได้อีกเยอะ . ถ้าไปเกษียณตอนหกสิบ ป่านนั้นอาจจะเป็นเหมือนเครื่องยนตร์ที่หมดสภาพ . ทำอะไรไม่ได้แล้วก้อเป็นได้

ก้อไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะลอยเคว้งคว้างไปถึงไหน . เหมือนรูปโคมยี่เป็งที่เอามาแปะไว้ข้างบนน่ะแหละ . เฮ้อ.




มิถุนายน 11, 2562

เค้กกล้วยหอมสุดโปรด

ในบรรดาเค้กที่ทำบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นเค้กกล้วยหอมนี่แหละค่ะ  ฮ่าๆ  ใครๆที่กำลังหัดทำเค้ก ทำเบเกอรี่ก้อต้องผ่านด่านการทำเค้กกล้วยหอมนี้ไปให้จงได้

เขาว่ากันว่าเป็นเค้กที่ทำได้ไม่ยาก  ก้อเห็นจะจริงค่ะ ที่จริงเค้กกล้วยหอมมีหลายสูตรมาก มีทั้งแบบใส่เนย และแบบใส่น้ำมัน  แต่ว่าสูตรที่ได้มาเป็นแบบสูตรน้ำมัน ก้อเลยทำเป็นแต่แบบนี้แบบเดียว ภูมิใจมาก เพราะเหมาะสำหรับคนไม่ทานไขมันจากสัตว์ พวกนมเนยอะไรพวกนี้  เป็นของหวานที่กินได้ในช่วงเทศกาลเจด้วยค่ะ



เห็นเวลาเค้าทำขายกันชอบใส่เป็นถ้วย cup cake ซึ่งเราว่าเปลี่ยนมาเป็นแบบ Loaf ใส่ในฟอยด์ดีกว่าจะได้จุใจไป  พออบเสร็จใหม่ๆ เนื้อเค้กจะนุ่มมากค่ะ  ทานเป็นอาหารเช้ากับกาแฟ หรือชาร้อนๆ ฟินนนนเลย

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง เราลืมใส่ Baking Soda ลงไป อบออกมาเค้กเนื้อแน่นปึ๊ก  ปาหัวใครคนนั้นคงจะเจ็บหัวเลยแหละ และสีที่อบออกมาก้อจะสีเข้มกว่าปกติด้วย  สรุปว่าต้องเอาไปทิ้งทั้งหมดเลย กินไม่ได้ ฮ๋าาาาา



หลังจากทำไปบ่อยๆ ก้อจะพบว่าคนทานบอกว่าทำไมหวานไม่เท่ากัน  สงสัยจะเกิดจากความงอมของกล้วยที่แต่ละครั้งงอมไม่เท่ากัน  บางรอบกล้วยงอมจัดจนเปลือกดำ  แบบนี้จะหวานกว่างอมในระดับเปลือกเป็นสีน้ำตาล  ยิ่งงอมมากน้ำที่เยิ้มออกมาจากกล้วยจะออกมามาก  อาจจะเป็นอีกเหตุผลด้วยที่ช่วยทำให้หวานยิ่งไปอีกค่ะ  แต่ส่วนตัวเราจะตักเอาน้ำที่ออกมาจากกล้วยออกบางส่วน  เรากลัวว่าเดี๋ยวพอลงไปกวนผสมกับน้ำมันและนม  ส่วนที่เป็นของเหลวมันจะเยอะเกินไป  ทำให้เค้กออกมาแฉะได้อะค่ะ

ว่าแล้วพรุ่งนี้ก้อต้องทำเค้กกล้วยหอมอีกแล้ว  คนกินเรียกร้องมาจ้าาาา...

มกราคม 15, 2562

ความกังวล


|   ฉันมองชีวิตตัวเองแบบย้อนหลังไป พร้อมๆกับมองไปข้างหน้าอีก 6 ปี 10 ปี และคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ |



ช่วงเวลานี้คงถือเป็นช่วงที่ยากลำบากมากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต

แม้ว่าจะไม่ได้ลำบากเรื่องเงินทอง แต่ก้อลำบากทางใจอย่างที่ควรต้องจดจำเอาไว้ให้ดี

การก้าวข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง  การสร้างกำลังใจให้กับตัวเองจึงถือเป็นยานพาหนะที่สำคัญมากในการเดินทางต่อไปข้างหน้า

ฉันมองชีวิตตัวเองแบบย้อนหลังไป พร้อมๆกับมองไปข้างหน้าอีก 6 ปี 10 ปี และคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ

ที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตอย่างไร... ตลอดชีวิตการเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัยใช้เวลาถึง 16 ปี เพื่อมาทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นอีก 26 ปี แปลว่าทุกสิ้นเดือนเคยมีเงินเดือนโอนเข้าบัญชีมาตลอด 312 เดือน !!!

ต่อไปนี้ไม่มีใครโอนเงินเข้าบัญชีเราอีกต่อไปแล้ว และเราจะต้องใช้ชีวิตต่อไปในภาวะ Aging Society อีกจนกว่าจะแก่ตาย

ทำไงต่อไปล่ะทีนี้...


ไหนเงินที่จะต้องกินต้องใช้  เงินที่ต้องสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพ หากเกิดแก่ตายไปตามธรรมชาติ

คิดแล้วเครียดจี๊ด

เรื่องเกี่ยวกับเงินนี่ทำให้ฉันเครียดซึมลึกอยู่ตลอด 

เรื่องเงินเรื่องนึงละ  เรื่องการใช้ชีวิตประจำวันนี้ก้ออีกเรื่อง จะอยู่ยังไงโดยไม่มีอาชีพ !!! 312 เดือนที่ผ่านมา มีงานต้องทำอยู่ตลอด สมองไม่เคยว่าง ชีวิตอิสระนี่จะทำให้ว่างมากจนฟุ้งซ่านไหม !!!






มกราคม 08, 2562

ชีวิตใหม่

จริงๆแล้วว่าจะเริ่มเขียน Post ใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2562 แล้ว แต่ว่าชีวิตยังมีอะไรหลายอย่างที่ยังไม่ค่อยจะลงตัวนัก  เลยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาอีกสักหน่อย  ให้อะไรๆมันนิ่งๆมากขึ้นอีกสักนิดค่อยเขียนจะดีกว่า

ขอย้อนเล่าเรื่องย่อของปีที่แล้วให้ฟังสักนิด เพื่อความไม่งงของคนอ่านที่อาจจะแอบติดตาม blog มา(มีหรือเปล่าก้อไม่รู้ 555)

ปีที่แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเยอะมาก  ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการงาน ที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันแหกทางโค้งซะงั้นเลย

หลังจากสัตว์เลี้ยงที่อยู่กันมาตายชราภาพตายจากไปตอนเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว  ก้อเศร้าอยู่เป็นเดือน ไม่มีอารมณ์บรรเจิดในการสร้างสรรค์อะไรทั้งสิ้น   แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ!! โชคชะตายังส่งมรสุมครั้งใหญ่ซัดตูมทำให้ชีวิตต้องเปลี่ยนไปจากที่เคยคาดการณ์เอาไว้ไปอีกตลอดกาล

มันคือการตัดสินใจลาออกจากงานประจำ  แปลว่าจะต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นลูกจ้าง/มนุษย์เงินเดือนซะที (อย่างสมัครใจ)

จะว่าเศร้าไหม?  ตอนนั้นความรู้สึกมันก้อหลายอย่างมากๆค่ะ  story มันเยอะไปหมด แต่หลายเหตุผลมันมาลงตัวกันที่ว่าลาออกดีกว่าซะงั้นแหละ  เพื่อ...  สุดท้าย check ตัวเองแล้วก้อไม่เห็นจะเศร้ามากมาย  ความจริงที่น่าตกใจคือหมาตายยังเศร้ากว่า  ดังนั้นแล้ว...จึงบอกกับตัวเองว่า  นี่แหละ แสดงว่ามันคือทางที่ “ใช่” สำหรับเราแน่ๆ จงลุยไปเลย ตัดสินใจอะไรแล้วไม่ต้องหันมามองย้อนหลังอีก



ในช่วงเวลานั้นได้ร่วมรับรู้อารมณ์หลากหลายจากผู้คนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันในที่ทำงาน  ถือเป็นประสบการณ์อันทรงเกียรติ ที่ได้ช่วยเหลือพนักงานอย่างเต็มความสามารถจนวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว
ตั้งแต่ปีใหม่ 2019 เป็นต้นมา จึงเปลี่ยนอาชีพมาเป็นคนที่มีเวลาเยอะ ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องมาบ่นใน blog อีกต่อไปแล้วว่าไม่มีเวลา  ฯลฯ

ต่อไปนี้จะได้ทำอะไรในทุกสิ่งที่อยากทำ  ไม่ต้องมีชีวิตที่ต้องตื่นแต่เช้าไปนั่งติดอยู่ในรถวันละหลายชั่วโมง  เพื่อไปฟังคำสั่งใคร สุดท้ายถึงแม้ตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน  ก้อไม่สามารถทำในสิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้อง หรือมีเหตุผลที่ดี  เพราะเราเป็นแค่ลูกจ้างตัวเล็กๆคนนึง มีหน้าที่แค่ทำตามคนที่ตำแหน่งสูงกว่าเค้าสั่งให้ทำแค่นั้นเอง

ชีวิตใหม่จะเป็นยังไง....เชิญติดตามตอนต่อๆไปนะคะ อิอิ.