มกราคม 26, 2568

การจากไปของฤดูหนาว และแด่เธอ

 


วันนี้อากาศเริ่มจะอุ่นๆขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสายแล้วค่ะ  เป็นสัญญาณว่าฤดูหนาวกำลังจะเดินจากไปแล้ว  และแน่นอน...มันย่อมเป็นเช่นนี้แหละ  ปลายเดือนมกราคม 2568 ก็กำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว  จนเพิ่งจะนึกได้ว่าเราเพิ่งฉลองปีใหม่กันไปไม่นานนี่เอง

สัปดาห์หน้าจะเข้าเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความรักจะมา อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นวันสงกรานต์ ซ้ำไปซ้ำมาอีกรอบหนึ่ง แล้วชีวิตเราเหลือเวลาอีกเท่าไหร่...ไม่รู้เหมือนกัน

วันนี้ได้ข่าวเศร้าอีกว่าแม่สามสีหญิงแกร่งจากไปดาวแมวอีกตัวแล้ว

เพิ่งจะได้คุยเล่นเมื่อวานนี้ ได้ให้อาหารเม็ดน้องไป น้องกินอย่างเอร็ดอร่อย...ชื่นใจคนให้  ลูบหัวลูบตัวน้องได้เพราะคุ้นเคยกันแม้ไม่ได้เป็นแมวเลี้ยง น้องเป็นแมวข้างบ้านที่เค้าให้ที่อยู่แต่ก็ไม่ได้ให้อาหารเป็นประจำ

น้องจากไป ตัวแข็งนอนอยู่หน้าพุ่มไม้ บนหน้ามีรอยโดนกัด ยังมีเลือดให้เห็นอยู่ คุณพ่อของผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ตอนพบน้องเมื่อเช้านี้เองค่ะ น่าจะโดนงูพิษกัด เห็นตัวแข็ง แล้วกำลังจะถูกเงามืดในโพรงหญ้าพยายามจะลากน้องเข้าไป  คุณพ่อเลยดึงร่างน้องออกมาแล้วนำไปฝังแล้วค่ะ

ผู้เขียนก็เศร้าเลย...แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงมาเอง แต่ก็เห็นกันบ่อยๆ และให้ข้าวน้องกิน เพราะน้องมาร้องขอข้าวกิน ซึ่งน้องไม่ได้มาหาทุกวัน แม่สามสีเค้าเป็นสาวรักอิสระ  เอาตัวรอดเก่ง เพราะว่าต้องหากินเองมาตลอด อยู่มาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่ง  นางเป็นแมวเพศเมียตัวเดียวในบริเวณนี้ค่ะ  คลอดลูกไปหลายครอกแล้ว 

อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าแม่สามสีเคยพาซัมเมอร์มาเลี้ยงที่ระเบียง ช่วงนั้นก็เลยได้เลี้ยงแม่สามสีกับซัมเมอร์อยู่หลายเดือนค่ะ  นางก็เลยเชื่องกับผู้เขียน

ล่าสุดนางคลอดลูกมาอีก ข้างบ้านเค้าบอกเลี้ยงไม่ไหว เพราะเป็นคนแก่อายุเก้าสิบกว่าๆแล้ว บอกฝากให้ผู้เขียนเลี้ยงให้หน่อย อ้าว...

มาสูตรเดิมค่ะ คือพอลูกอายุได้สักสามเดือนแม่สามสีแกจะทิ้งลูก คือกัดลูกตัวเองประมาณนั้น  พอผู้เขียนเอามาช่วยเลี้ยงแม่สามสีก็ไม่มายุ่งค่ะ  แค่นั่งมองๆจากข้างบ้าน

แม่สามสีเดินไปไหนเหมือนถูกรังเกียจค่ะ เพราะว่าเป็นตัวเมีย  มีแต่คนกลัวว่าจะมาคลอดลูก สร้างภาระให้ ...ก็น่าสงสารนะคะ...ผู้เขียนสงสารแม่สามสี  นางเป็นแมวที่ไม่ได้อยู่ติดบ้าน ออกไปหากินเอง ความเสี่ยงต่างๆมีมากมาย  นางก็ใช้ชีวิตตามธรรมชาติแมว มีแฟน แล้วก็มีลูก วนๆไปค่ะ

หวังว่านางกลับไปอยู่ดาวแมวแล้วชีวิตจะดีกว่า  ผู้เขียนคิดถึงนางจังค่ะ  นั่งดูรูปเก่าๆตอนสมัยนางมาอยู่ที่บ้าน  ส่วนเจ้าสองตัวลูกครอกสุดท้ายของแม่สามสีก็อยู่กับผู้เขียนค่ะ  ดูซึมๆลงไปไม่รู้ว่าเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้น

ส่วนศรีส้มเค้าเป็นแฟนของแม่สามสี  เมื่อเช้าก็ไปเดินดมๆอยู่แถวร่างไร้วิญญาญของแม่สามสี  คงจะรับรู้แล้วว่าแม่สามสีไปแล้ว  ก็จากศรีส้มไปอีกแล้ว...ส้มเอ๊ย  เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา....

วันนี้บรรยากาศเงียบจริงๆค่ะ  มันเศร้า 

ไว้วันหลังจะเล่าความรักของศรีส้มกับแม่สามสีให้ฟังนะคะ  เฮ้อ...

ความคิดถึงนี่มันเป็นความทุกข์อย่างนึง


แม่สามสีเอ๊ย หมดเวรหมดกรรมแล้วนะลูก...ไปดีนะ


ลาก่อน...แล้ววันหนึ่งเราอาจได้พบกัน


มกราคม 08, 2568

คืนวันเดิม ใน พ.ศ. ใหม่

 



เปิดปี 2568 มาเรียบร้อย ความรู้สึกมันก็เหมือนวันคืนเดินผ่านไปด้วยจังหวะเดิมๆ  ตื่นนอน  เตรียมอาหาร ทำงาน เก็บล้างข้าวของ ทำงาน เก็บล้างอีก ทำงานอีก...

หลายคนชอบคิดว่าวัยเกษียณน่าจะว่าง มีเวลาเยอะ ที่จริงก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ลองนั่งสังเกตตัวเองพบว่าเวลาหมดไปกับการจัดการภาระส่วนตัวค่อนข้างเยอะ เช่น พวกการเตรียมอาหาร การจัดเก็บล้าง การทำความสะอาดต่างๆ ทำให้ไม่ได้นั่งทำงานได้เยอะเท่าตอนทำงานบริษัท

แต่ละวันมันต้องมีการคิดว่าจะทานอะไร  นี่ขนาดว่าไม่ได้ทำอาหารทานเอง อาศัยสั่งอาหารบ้าง ซื้อสำเร็จรูปบ้าง ก็ยังต้องใช้เวลาไปกับการเตรียม การเก็บล้างอยู่ดีนะคะ พวกงานซักล้างนี่ก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน  ตอนยังทำงานบริษัทไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เพราะสามารถไปจ้างซักรีดได้ ด้วยมีรายได้สม่ำเสมอมาหล่อเลี้ยง 

ตั้งแต่ไม่ได้มีรายได้555 เอ๊ย เรียกว่ารายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ก็แปลว่าอะไรที่เคยจ้างก็ต้องหันมาทำเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายค่ะ

กลายเป็นว่าเวลาที่จะนำมาสร้างเงินก็ต้องลดน้อยลงไป  ด้วยเวลามีก้อนยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าเเดิม 

คิดดูแล้วว่าคงต้องหาวิธีในการสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างรายได้ต่อไป คงไม่ยอมจะให้ชีวิตค่อนข้างจะต้องอยู่แบบเจียมตัวอย่างนี้ตลอด

ชีวิตหลังเกษียณที่ยังต้องทำงานหารายได้อยู่  ที่จริงมันก็เหมือนเควสอะไรซักอย่าง ที่เราต้องเอาชนะมันให้ได้ค่ะ เควสหรือ mission อันนี้ท้าทายความสามารถของตัวเราเอง ไม่ได้ต่างอะไรกับเมื่อตอนเราเริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นเรานั่งคิดอยู่ตลอดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงดี  ไม่มีใครบอกแนวทางเท่าไหร่  หรือบอกเราก็ไม่เชื่อ5555 เพราะรู้ว่าสูตรสำเร็จของแต่ละคนย่อมแตกต่างไปตามยุคสมัยและสภาพแวดล้อม

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผู้เขียนยึดมั่นมาตลอดชีวิต  มันก็เป็นคำพูดบ้านๆง่ายๆ นะคะ 

ทุกวันนี้ก็ยังทำต่อไปค่ะ 

ชีวิต phase สุดท้ายล่ะค่ะ คือแก่ชราอย่างมั่นคง มีความสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต

เฮ้อ...รู้สึกว่าวันนี้เขียนไม่ค่อยจะออก 5555

จบก่อนดีกว่า


ธันวาคม 18, 2567

ย้อนเวลา

 


พอถึงช่วงสิ้นปีทีไร  ผู้เขียนจะมานั่งย้อนเวลาสำรวจชีวิตตัวเองทุกทีเลยค่ะ

เหมือนเป็นการทำ Yearly Review ชีวิตว่าตอนนี้ทำอะไรไปถึงไหนแล้วมั่ง   บางทีไม่ได้ย้อนไปแค่ปีนี้เพียงปีเดียว ไปๆมาๆย้อนไกลไปถึงตอนยังเป็นเด็กเลยก้อมี555 อันนี้ก็เรียกว่าฟุ้งซ่านเล็กน้อยล่ะค่ะ (แต่รู้ตัวว่าฟุ้งซ่านนะ)

เหตุที่ย้อนไทม์แมชชีนไปได้ไกลเป็นเพราะไปนั่งดูคลิปที่มีคนเอามาลงไว้เกี่ยวกับบ้านเมืองในอดีต  หรือไม่ก็บรรดาภาพยนตร์ไทยยุคเก่าๆ ซึ่งผู้เขียนชอบดูมาก เพราะมักจะได้เห็นภาพทิวทัศน์ หรือกรุงเทพในอดีตไปด้วยเสมอ  ได้เห็นบ้านเมืองหรือทุ่งกว้างๆ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นถนนไปหมดแล้ว

เรียกว่าดูวิวมากกว่าดูหนังค่ะ

แน่นอนว่าหัวใจมันแอบจะห่อเหี่ยวบ้าง  ด้วยเห็นว่าสิ่งที่เคยมีและเคยเป็นมันหายไปหมดแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นสภาพความเป็นอยู่ หรือตึกรามบ้านช่อง ร้านค้าที่เคยชอบไปเดินตอนหลังเลิกเรียน ถนนหนทางยิ่งเปลี่ยนไปหนักจนจำไม่ได้  นี่มันคือความเจริญที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยง

นึกถึงในภาพยนตร์เรื่อง Somewhere in Time ที่พระเอกย้อนเวลาไปหานางเอกด้วยการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของคนในยุคนั้น แล้วนอนหลับลงบนเตียง ในโรงแรมที่ยังอยู่มาจนถึงยุคของพระเอก 

นี่ผู้เขียนกำลังเดินทางกลับไปยังกรุงเทพในช่วงปี 2523-2537 เป็นช่วงที่อายุพอประมาณว่าจะจำอะไรได้เยอะแล้วจนถึงช่วงเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ

อยู่ดีๆอารมณ์เหงาๆมันก็เกิดขึ้นมาเป็นบางวูบค่ะ  

นึกถึงผู้คนที่เราเคยรู้จัก  บางคนก็จากไปแล้ว  บางคนก็ยังอยู่แต่ก็ไม่ได้เจอกันอีก หรือศิลปินนักร้องที่ร้องเพลงฮิตติดหูในช่วงเวลานั้น บางคนก็ขึ้นสวรรค์ไปก่อนแล้ว

บทเพลงและพวกรายการทีวีในยุคต่างๆก็บอกได้เป็นอย่างดีค่ะว่าสังคมในแต่ละช่วงเป็นอย่างไร  ยิ่งเห็นแฟชั่นการแต่งตัวของผู้คน ตลอดจนรถยนต์รุ่นที่วิ่งบนท้องถนน  ก็จะบอกถึงยุคสมัยไปด้วย 

ไม่นับว่าเพิ่งจะปี 2525 ที่เพิ่งเริ่มจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย ผู้เขียนได้ลองใช้ที่โรงเรียนด้วยค่ะ และได้มีโอกาสใช้งานในที่ทำงานก็ประมาณปี 2537-2538 ได้ จอดำๆและตัวหนังสือสีเขียวๆ ล่ะค่ะ เครื่องพิมพ์ก็เป็นแบบเข็มกระแทก แผ่นดิสก์ก็ใหญ่โต ปัจจุบันนี้ยังแอบเก็บไว้อยู่เลยค่ะ

นึกแล้วชีวิตคนเราแต่ละคนก็ต้องผ่านอะไรมาอย่างมากมาย กว่าจะมานั่งแก่ตัวลง...

มันก็สนุกดีนะคะ  สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไร้ซึ่งอินเตอร์เนต ทุกอย่างยังเป็นโลกอนาลอก เราก็ใช้ชีวิตกันอย่าง real สุดๆแหละค่ะ  เวลาอยากจะโทรหาแฟนก็ต้องไปยืนต่อคิวตู้โทรศัพท์สาธารณะสีแดง  และเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์ว่าโดนตู้โทรศัพท์กินเหรียญ 55555 และจำได้ถึงเสียงสัญญานว่าเวลาใกล้หมดต้องหยอดเหรียญต่อแล้ว  ...แต่ดันเงินหมดนี่สิ  ฮ่าาาา

เวลานัดเจอใครสักคนนี่ก็หากันให้วุ่น  ไปยืนรอกันคนล่ะที่  ไม่มี GPS ไม่มีกูเกิลแมพอะไรทั้งสิ้น ต้องคอยนัดกันหน้าร้านอะไรสักแห่ง จะได้หากันง่ายๆ

แต่แล้วชีวิตก็ผ่านสิ่งเหล่านั้นมาจนหมดแล้ว  จนมาถึงวันนี้วันที่เราสิ้นสุดการทำงาน(ซะที)  สมัครใจเกษียณออกมานั่งอยู่บ้าน  แต่ก็ยังต้องขยันทำมาหากิน ไม่ได้นั่งยิ้มไปวันๆ เพราะว่าเราไม่ได้มีบำนาญ  และเราก็ยังต้องดูแลพ่อแม่ไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภาพที่ไม่เคยได้คิดเอาไว้ก่อนค่ะ  

ไอ้ที่เคยคิดเอาไว้...มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด...

จะอย่างไรก็ต้องสู้กันต่อไปค่ะ  บ่อยครั้งที่เราคิดว่าแบบนี้มันแย่  ที่จริงมันอาจกำลังนำเราไปสู่สิ่งใหม่ที่อาจดีกว่า  เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลานั้นเท่านั้นเองค่ะ

เราจึงควรต้องอยู่อย่างมีความหมาย...เพื่อรอวันที่เราจะเดินถึงเส้นชัยค่ะ และไม่ได้นั่งรอไปเปล่าๆ เพราะเทวดาจะไม่เห็นใจเลยค่ะ ต้องขยันต่อไปอีกเรื่อยๆ


 Happy New Year นะคะทุกคน  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  






ธันวาคม 11, 2567

เมื่ออยากจะมี webtoon ฝากไว้ในโลกสักเล่ม


 

ที่จริงความคิดว่าอยากจะมี webtoon ฝากไว้ในโลกสักเล่มนั้นมีมานานแล้วค่ะ  จากความที่ว่าเป็นคนชอบวาดรูปมาเป็นพื้นฐาน  ซึ่งการชอบวาดรูปนั้นเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งในขณะนี้...

จากแค่การวาดรูป นำพาชีวิตให้มีจินตนาการต่างๆนานา แม้จะไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการวาดรูปเลย  เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆมาตลอดยี่สิบกว่าปี  ตอนนี้เป็นอิสระแล้วก็ยังไม่ได้วาดรูปแบบจริงจังเลยค่ะ

อ้าว...

รูปข้างบนนั้นเป็นงานวาดเก่าเก็บที่วาดเอาไว้ตอนเป็นเด็ก เรื่องลาก่อนรักเอย เป็นเล่มที่วาดไว้น่าจะประมาณเรียนชั้นประถมได้  อุตส่าห์เก็บไว้จนถึงวันนี้ กับอีกหลายเล่มที่เห็นซ้อนๆกันอยู่ในภาพ  เก็บไว้เพื่อจะเตือนตัวเองว่าฉันเป็นใคร... นี่หละคือหมุดหมายของชีวิต  ที่สักวันฉันจะต้องกลับไปหาให้จงได้  เพราะมันคือที่มาของความเป็นเรา

แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้วาดรูปเยอะเท่าตอนเป็นเด็กอยู่ดีค่ะ  เพราะต้องทำสิ่งที่หารายได้ก่อน  เดี๋ยวจะไม่มีกิน5555  ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำก็ยังอยู่ใน area ของการวาดรูป หรืองานศิลปะอะไรทำนองนั้นอยู่ค่ะ เพียงแต่มีกรอบชัดว่าสิ่งที่วาดเป็นงานเชิงพาณิชย์  ไม่ได้วาดเพื่อความสบายใจเหมือนตอนเป็นเด็ก




ก้อมีงานเขียนนิยายที่ฉีกออกไปเล็กน้อย  เหมือนงานที่ทดลองทำอะไรใหม่ๆ ที่จริงก็จริงจังกับการเขียนนิยายไม่แพ้การวาดรูปนะคะ  พอเขียนเรื่องแรกใช้เวลาไป 10 เดือน กับยาแก้ปวดและความโทรมของร่าง5555 และสุดท้ายเหมือนไม่ค่อยจะมีอะไรดีกับชีวิตขึ้นมาสักเท่าไหร่ก็ยังอุตส่าห์จะมีเรื่องที่สอง.... ดูแนวโน้มแล้วการเขียนนิยายนี่อาศัยใจรักจะเขียนอย่างเดียวจริงๆ ทั้งที่ไม่ได้อะไรเท่าไหร่อย่างที่หวังค่ะ ตอนนี้เลยหยุด up นิยายมาได้ครึ่งเดือนแล้ว

เพราะเหนื่อย  จนคิดว่าอาจจะพอแค่สองเรื่อง ไม่เขียนต่อแล้ว หรือไม่เรื่องที่สามก็จะไม่ post สดให้นักอ่านรออ่านแล้ว  มันกดดันมากค่ะ  อาจจะไปเขียนให้จบก่อนแล้วลงทีเดียวก็เป็นได้

ที่แน่ๆต้องเขียนเรื่องที่สองให้จบ5555  เดี๋ยว Profile จะเสียได้


งาน webtoon หรือวาดการ์ตูนเป็น story ที่เล่าด้วยภาพ เป็นการรวมกันของงานนิยายกับการวาดรูปค่ะ  ที่จริงก้อได้ทำมาแล้วตั้งแต่เด็กน่ะแหละ ตามรูปที่โชว์ข้างบน

ความแตกต่างคือเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การวาดง่ายขึ้น 

รู้สึกว่าต้องฝึกฝนอีกเยอะเลยค่ะ  ไม่กล้าโชว์งานของตัวเองเลย เวลาเห็นเด็กๆรุ่นใหม่ (รู่นลูก รุ่นหลาน) เค้าวาดออกมาสวยเป๊ะ 5555

เริ่มเข้าใจคำว่า สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ มากขึ้นค่ะ  ซึ่งเราอาจจะมีก็ได้นิ อิอิอิ

วันนี้รู้สึกเขียนไม่ค่อยออกค่ะ  เพราะฤทธิ์ยาลดน้ำมูก แก้แพ้อากาศที่กินเข้าไป  หัวมึนไปหมด  นี่หละพออากาศเย็นลงก็จะเป็นแบบนี้ทุกปี  แม้แต่นิ้วที่กดบนแป้นคีย์บอร์ดก็ตกร่องบ่อยมาก ทำให้พิมพ์สะดุด  ออกอาการร่างกายไม่พร้อมเท่าไหร่

ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ 

วันนี้ขอจบตรงนี้ก่อน.