กันยายน 10, 2567

Goodbye Summer

 


และแล้วแม่สามสีก็ทิ้งลูกไปจริงๆค่ะ...

ตั้งแต่แม่สามสีทิ้งซัมเมอร์ไป  ศรีส้มก็ช่วยดูแลซัมเมอร์ค่ะ  เห็นเค้าเริ่มคุ้นกัน เวลาศรีส้มอยู่บ้าน ซัมเมอร์เค้าก็จะนิ่งๆไม่ซุกซน  แต่ถ้าเมื่อไหร่ต้องอยู่คนเดียว  เค้าก็ติดคน  ชวนเล่นโน่นนี่  วิ่งตามตลอดเวลา และแถมยังขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง  คุณพ่อคุณแม่ผู้เขียนท่านก็บ่นเลยค่ะ

ขนาดว่าเตรียมกะบะทรายไว้ให้  น้องก็นั่งถ่ายข้างกะบะ  ไม่ยอมลงไปในกะบะซะงั้น😅

ซัมเมอร์ก็คงน่ารักไร้เดียงสา ประสาแมวเด็กนั่นแหละค่ะ  ยังไม่แน่ใจว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย  ยังเตรียมว่าจะพาไปทำวัคซีนในไม่ช้าค่ะ  กะว่าให้ซัมเมอร์อายุซัก 5 เดือนก่อน

แล้วซัมเมอร์มีผลงานจับแมงสาบได้เยอะอยู่นะคะ  5555

...

อยู่มาวันหนึ่งซัมเมอร์บังเอิญเจอคุณแม่สามสีเข้าจังๆ เพราะว่าแม่สามสีเค้าอยู่ประจำคือบ้านข้างๆนี่เอง เค้าก็คงคิดถึงแม่เค้ามากนั่นแหละ  เห็นซัมเมอร์วิ่งเข้าไปหาแม่สามสีทันที ขณะนั้นพอดีผู้เขียนยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่ค่ะ  เลยยืนดูอยู่

แต่ปรากฎว่าคุณแม่สามสีกลับคำรามใส่แบบพร้อมกัด ขู่ฟ่อๆ เลยค่ะ  ซัมเมอร์ก็พยายามจะวิ่งไปหาอีก  แม่ก็ขู่ใส่อีก จนผู้เขียนต้องบอกให้แม่สามสีไปซะก่อน  แม่สามสีเค้าก็เหมือนฟังรู้เรื่องค่ะ เพราะช่วงนางมานอนอยู่ที่บ้านผู้เขียนตอนซัมเมอร์ยังเล็ก เราก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี 

พอแม่สามสีกระโดดหนีไป  ซัมเมอร์เดินคอตกกลับมาหาผู้เขียนเลยค่ะ  เค้าแหงนหน้าขึ้นมาสบตาผู้เขียนด้วย  จำได้เลยว่าเค้าดูเศร้ามาก และไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงไล่เค้า...

ใครว่าสัตว์ไม่มีหัวใจ  คงไม่จริงแน่  ซัมเมอร์เค้าคงจะเสียใจที่ตลอดเวลาเค้าคิดถึงแม่

แล้วก็มีครั้งอื่นอีกค่ะ ที่เหตุการณ์เป็นทำนองนี้   ซัมเมอร์เกือบโดนแม่กัด  เพราะว่าจะวิ่งเข้าไปหาแม่

ทุกครั้งซัมเมอร์เค้าก็มองมาหาผู้เขียนอีก  คงจะถามว่า...ทำไมนะ ทำไมแม่ไม่รักซัมเมอร์

เศร้าเนอะ...😓


ซัมเมอร์ก็โตขึ้นทุกวัน  ผู้เขียนก็ชอบพูดว่าให้ซัมเมอร์อยู่กับศรีส้มแทนแม่เถอะ  พี่ศรีส้มเค้าไม่เคยทิ้งใคร ...

...

ซัมเมอร์ แปลว่า ฤดูร้อน  ตั้งชื่อให้แบบนี้ก็เพราะได้เจอซัมเมอร์ในช่วงเดือนเมษายนของ 2567 อากาศกรุงเทพกำลังร้อนสุดโหดเลยค่ะ  ขนาดศรีส้มยังนั่งหอบลิ้นห้อย หรือ heat stroke ขึ้นมาจนผู้เขียนตกใจ

ตอนนั้นซัมเมอร์ตัวเล็กนิดเดียว ก็กลัวว่าจะไม่รอดซะแล้ว  แต่ก็ภูมิใจมาก ที่ซัมเมอร์อยู่กับผู้เขียนมาได้เกือบ 6 เดือนแล้ว 

ผู้เขียนเตรียมซื้อกรงกระเป๋าหิ้วใบใหม่ กะว่าจะพาซัมเมอร์ไปทำวัคซีน...

ไม่นึกว่าอยู่ๆเค้าจะไม่กลับมากินอาหารอีก  น้องหายไปคงช่วงกลางคืน  ซึ่งเค้าน่าจะเคยออกไปเดินเที่ยว  ทุกทีพอเช้ามาเค้าก็จะมารอกินข้าวเช้าค่ะ   

ทีนี้เช้านี้ทำไมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับ... 

"ซัมเมอร์ ๆ  ๆ"...เงียบสนิทเลย

ซึ่งปกติถ้าเรียกเค้าจะรีบวิ่งมาแบบสุดชีวิตเลยค่ะ ฮืออออ... เอาแล้วสิ  

อยู่ๆก็หายไป มันก็โหดร้ายหน่อยนึงนะ  พยายามเรียกหาแถวบ้าน  ก็ไม่มีวี่แววเลย...

สองวันผ่านไปแล้ว...ผู้เขียนก็ต้องทำใจค่ะ

แถวบริเวณมีป่าหญ้า  ก็ไม่รู้ว่าจะมีงู หรือมีตัวสัตว์เลื้อยคลานประเภทอื่นอีกหรือไม่  ที่จริงก็น่าจะมี เพราะเคยเห็นออกมาเดินค่ะ   ส่วนงูเหลือมก็เคยเลื้อยเข้ามากินน้องศรีนวลถึงในกรงไปแล้ว ฮือออ


...

แต่ยังไงก็เศร้ามากอยู่ดี...พยายามคิดในแง่ดีว่า เค้าอาจมีคนใจดีเก็บไปเลี้ยง เพราะคิดว่าเป็นแมวหลงมา หรือ ไปอยู่กับแม่สามสี (ซึ่งก็คงยาก  ไปมองหาแล้วก็ไม่เจอค่ะ)

 ผู้เขียนยังมองไปรอบๆที่ๆเค้าอยู่  ชามข้าว  ของเล่น... แล้วก็คิดถึงเค้าจริงๆ


...คิดถึงอะค่ะ   มันก็เป็นเรื่องเจ็บปวดสำหรับคนที่เลี้ยงแมวอย่างเราๆเนอะ

ผู้เขียนยังคิดว่าจะถ่ายรูปตอนซัมเมอร์อายุ 6 เดือนเก็บไว้ดู  ก้อไม่ทันจะได้ถ่ายเอาไว้เลยค่ะ  เหลือแค่คลิบวีดีโอสั้นๆคลิปเดียวเท่านั้น


เศร้ามาก...ต้องทำใจอีกแล้ว...แงงงง

...Goodbye Summer  ถ้ายังไม่กลับดาวแมวก็ขอให้เจอคนโชคดีพาไปอยู่ด้วยนะ ...ลาก่อน


สิงหาคม 29, 2567

Outcome กับ Income



วันนี้จะยกบทสนทนาระหว่างผู้เขียนกับเพื่อนมาให้อ่านกันค่ะ


เพื่อน : เป็นไงมั่งล่ะ (คงตั้งใจถามสารทุกข์สุขดิบเช่นเคย)

ผู้เขียน : ก็อย่างเดิมแหละ ทำไปเรื่อยๆ มีความสุข แต่ก็แอบเครียดว่ะ

เพื่อน : ยังไงวะ ตกลงสุขหรือทุกข์

ผู้เขียน : สุขมากกว่ามั้ง (ปลายเสียงชักไม่แน่ใจ 555)

เพื่อน : ชิลนักนะ  แบบนี้เค้าเรียกชิลๆเว้ย

ผู้เขียน : จริงเหรอ แล้วอนาคตจะดีมั้ย จะรอดมั้ยเนี่ย

เพื่อน :  บ่นทำไม  บอกแล้วให้กลับไปทำงานออฟฟิศ  เกษียณเร็วไปแล้วโว๊ย

ผู้เขียน :  ไม่เอาแล้ว สังขารไม่ไหว ตั้งแต่ออกจากงานมา ไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงพยาบาลเลย

เพื่อน : เออดีแล้ว  ยังไม่จนตรอกก็งี้แหละ ชิลๆไป

ผู้เขียน : (ตกลงเพื่อนมันกำลังหลอกด่าอยู่หรือเปล่าวะ 5555) ผลงานคือได้ความสบายใจเว้ย  รายได้ว่ากันอีกเรื่อง มันคนละเรื่องเลยว่ะ

เพื่อน : ไม่ต้องกังวล  เงินหมดก็เอาที่ดินไปขายเลย 5555


ตอนจบฟังแล้วยังไงพิกลเนอะ  แต่ก็นั่นแหละค่ะ เพื่อนก็หวังดีและเป็นห่วงมากกว่า  ตกลงตั้งแต่ออกจากงานมามีเพื่อนสนิทๆเท่านั้นที่โทรมาหาเรื่อยๆ  ส่วนผู้คนจำนวนมากที่เราเคยร่วมงานที่ทำงานนั้นก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยค่ะ

มีปีที่แล้วนัดกินข้าวกัน ก็เป็นกลุ่มที่ early retire ออกมาพร้อมกัน กับน้องๆในทีมที่เคยทำงานด้วยกันค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะมานะคะ (หน่วยงานที่ผู้เขียนเคยรับผิดชอบมีทีมทั้งหมด 8 คน)  จะมีอยู่สามสี่คนที่เหมือนยังนึกถึงเราอยู่  ก็จะมีทั้งเพียรส่งข้อความมาทักทายในวันปีใหม่ วันเกิด หลายคนยังส่งขนมมาให้ทานอีกด้วยค่ะ

นี่ก็เป็นสัจธรรมที่ต้องพบเจอค่ะ  เราอยู่ในฐานะที่ให้ประโยชน์อะไรกับใครไม่ได้แล้ว  คนที่ยังนึกถึงเราก็แสดงว่าไม่ได้หวังอะไรจากเรา  นึกถึงก็เพราะอย่างอื่นมากกว่า

หลายคนที่เจอก็มักจะถามว่าผู้เขียนทำอะไรอยู่

ผู้เขียนก็จะตอบกว้างๆ ว่าทำหลายอย่างไปหมด (จะถือเป็นรายได้ก็พูดไม่ได้เต็มปากค่ะ) ทุกอย่างที่ทำมันก็ออกดอกออกผลนิดๆหน่อยๆ บ่อยครั้งก็มีท้อ มีเศร้า เฉกเช่นปุถุชนค่ะ

ผลลัพธ์กับรายได้มันคนละเรื่องจริงๆ มีความสุขที่ได้วาดรูป  ได้เขียนหนังสือ ดูแลผู้มีพระคุณตามสมควร  ยังมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ค่ะ  ทุกวันนี้ไม่เคยไม่มีอะไรทำจริงๆ....สาบาน

...

ไม่อยากคิดให้ไกลค่ะ  ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน นี่มันก็ถือว่าบั้นปลายชีวิตล่ะ 

 เพี้ยง! เงินทองคือของมายา  ข้าวปลาสิของจริง !

ฮ่าาาาา หัวเราะปลอบใจตัวเอง


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  แล้วเจอกันใหม่ vlog หน้า :)


สิงหาคม 22, 2567

หัวใจไม่อาจยอมแพ้

 



เมื่อความรักและทิฐิมานะปะทะกัน ใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามหัวใจ?

ณทัต อัษฎางค์เวคิน ซีอีโอหนุ่มไฟแรงผู้แข็งกร้าว กับ ภัทร์รวินทร์ เลขาสาวสวยผู้มีภาระครอบครัว ต้องมาพัวพันกันในการแต่งงานที่เริ่มต้นด้วยข้อตกลงทางธุรกิจ แต่เมื่อความใกล้ชิดเริ่มก่อตัว ความรู้สึกที่ไม่คาดฝันก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา

ท่ามกลางสายลมแห่งอำนาจและเงินตรา พวกเขาต้องเผชิญกับคลื่นลมแห่งอารมณ์ที่ปั่นป่วน ความลับที่ถูกซ่อนไว้ และการต่อสู้กับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง 

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหัวใจเริ่มส่งเสียงดังกว่าเหตุผล? พวกเขาจะกล้าทิ้งทิฐิและเปิดใจให้กันหรือไม่? หรือจะปล่อยให้โอกาสแห่งรักแท้หลุดลอยไป?

ร่วมอิ่มเอมไปกับ ’ณทัต’ และ ‘ภัทร์รวินทร์’ ในเส้นทางรักที่คดเคี้ยว เต็มไปด้วยอุปสรรคและการเรียนรู้ ค้นพบว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการที่สุดอาจอยู่ตรงหน้าเรามาตลอด เพียงแต่เราไม่กล้ามองเห็นมัน

เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ นิยายรักโรแมนติกที่จะทำให้คุณเต็มตื้นหัวใจ และเชื่อว่าความรักยังเกิดขึ้นได้ แม้ในโลกธุรกิจที่โหดร้าย

 

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite :  https://www.readawrite.com/a/3fee2a0c76adb67b63a9cdaac05002aa 

อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakkavalee/story/view.php%3Fid=2575342  



กลับมาเปิดนิยายเรื่องใหม่อีกครั้งล่ะค่ะ  หลังจากที่เหนื่อยและหมดแรงไปพักหนึ่งกับ "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" อันมีความยาวแสนคำเศษๆ และยังอยู่ในระหว่างการเตรียมพิมพ์เล่มเป็นที่ระลึก

เรื่องนี้คงจะสั้นกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ค่ะ  ที่จริงคืออยากเรียนรู้เรื่องการกระชับโครงเรื่องแบบที่นิยายมันไม่ยาวมากนัก  ว่านักเขียนจะต้องทำงานอย่างไร


นี่ก็เป็น    Learning Curve ที่ผู้เขียนคิดว่าจะต้องผ่านด่านไปให้ได้ค่ะ  ตามประสาคนสูงวัยใจสู้ เพราะไม่สู้ก้อจะอยู่ไม่ได้555  รู้เพียงว่ายังอยากเขียนอยู่ แล้วก็มีคนอ่านงานอยู่จำนวนหนึ่งค่ะ 

เคยเพ้อเจ้ออยู่สักพักนึงว่าจะพอได้เงยหน้าอ้าปากบ้าง เห็นเค้าว่ากันว่านักเขียนไม่ไส้แห้ง  สรุปก็คือ ไม่แห้งเฉพาะนักเขียนที่สามารถเขียนตามกระแสนิยมได้  อย่างในเวลานี้ก็มักจะเป็นนิยาย boy love นิยายจีนพีเรียด นิยายอีโรติก หรือนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ เป็นต้น

ที่ไม่ได้มาแนวข้างบน หรือแนวนอกกระแส  ก็ไส้แห้งเหมือนเดิมแหละค่ะ  อืมห์...แนวที่เราทำได้ก็ไม่ใช่แนวที่จะมีคนมาอ่านเยอะๆอีกล่ะ   ขนาดเราคิดว่าเราพอเขียนได้  ที่จริงก็ต้องเรียนรู้อีกมากในเรื่องโครงเรื่องค่ะ และมีเรื่องที่เราต้องศึกษากันต่อไปอีกเยอะ  ท่ามกลางโลกปัจจุบันที่มีข้อมูลมากมายกว่ายุคก่อนอย่าง มากๆ  ไหนจะเครื่องมือใหม่ๆที่เราอาจจะใช้เพื่อมาช่วยอีก  ขอเพียงหัวใจเราอย่ายอมแพ้ !

นึกๆแล้วท่านนักเขียนรุ่นก่อนๆ นี่อึดมาก  ไม่มีอินเตอร์เนต  ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มี  google เค้ายังเขียนกันได้เป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง  ขอกราบค่ะ

นักเขียนรุ่นใหม่นี่ชีวิตดุจโรยกลีบกุหลาบ  บางคนเขียนถูกแนว ถูกนำนิยายไปเป็นภาพยนตร์  เป็นละคร  เดี๋ยวนี้ streaming TV มาแรงแซงทางโค้ง  บรรดาผู้จัดละครวิ่งหาบทประพันธ์ไปสร้างสรรค์ต่อ  นักเขียนไม่จำเป็นต้องรอสำนักพิมพ์มาซื้องาน  อยากพิมพ์ก็ส่งโรงพิมพ์เอง  ขายเอง  ยิ่งถ้ามีฐานแฟนคลับเยอะๆ ก็แทบไม่ต้องง้อสำนักพิมพ์เลยค่ะ  

ไหนจะมี Youtube มีนิยายเสียง นิยายขายรายตอนบน platform นิยายอีบุ๊ค ไปจนถึงทำเป็น webtoon เป็นเกมส์  เป็น animation ฯลฯ อีกสารพัด  ที่นิยายเรื่องหนึ่งจะสามารถสยายปีกเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประพันธ์ค่ะ  

ที่พูดไปทั้งหมดเป็นภาพกว้างๆของโลกการเป็นนักเล่าเรื่อง (ที่ขายดี)  ส่วนผู้เขียนคนนี้ก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเองต่อไปอีกเยอะค่ะ

แม้ว่าการเริ่มต้นของผู้เขียนมันจะยาวนานมาแล้ว  เป็นช่วงที่เขียนได้เยอะมากคือ ปี 2527-2529 ทางโรงเรียนเห็นแววเคยส่งผู้เขียนไปเข้าร่วมค่ายเยาวชนนักเขียนในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ  ตอนนั้นส่งเรื่องสั้นประกวดก็ได้รางวัลชมเชยมาซะด้วย5555 

ทว่า...เราชอบเขียนนิยายมากกว่า  แต่ก็ไม่มีโอกาสได้อ่านนิยายเลย...เชื่อมั้ย  เพราะทางบ้านสั่งห้ามผู้เขียนไม่ให้อ่านนิยายค่ะ (ห้ามอีกแล้ว)

ผู้เขียนก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องห้าม  (ขนาดว่าห้ามก็ยังอุตส่าห์เขียนได้อยู่นะ) พอได้มาอ่านนิยายที่บ้านของเพื่อนจึงพอจะเข้าใจค่ะ  ผู้ใหญ่อาจจะมองว่าในนิยายมันมีแต่เนื้อหารักๆใคร่ๆ นั่นแหละ

แต่นิยายมันก็มีหลายกลุ่มเป้าหมาย  ผู้เขียนเคยอ่านนิยายที่บ้านเพื่อน  คือคนทำงานบ้านที่บ้านเพื่อนเค้าซื้อมาอ่าน  เลยไปเอามาอ่านเล่นๆ  ก็งงๆค่ะว่านิยายมันเดินเรื่องรวบรัดมาก เล่มละ 5-10 บาท แล้วก็มีแต่ฉากจีบกัน  ฉากเข้าพระเข้านาง 5555  สรุปว่าไม่สนุก  ชอบอ่านนิยายที่ภาษาสละสลวย และให้แง่คิดมากกว่าค่ะ

...ไม่ได้เขียนนิยายอีกเลยนับแต่นั้นมา คือ หลังจากสอบเอนทรานซ์แล้วก็เข้ามหาวิทยาลัย จนทำงานยาวรวดยี่สิบหกปี  เพิ่งกลับมาเขียนอีกค่ะ  ท่ามกลางเสียงด่า...5555 ของเพื่อนๆว่าแกทำไรวะเนี่ย  ทำไมไม่กลับไปหางานบริษัททำต่อ  ยังเหลืออีกหลายปีกว่าจะอายุ 60 ปีเน้อออออ

ก็บอกเพื่อนว่า...อยากทำสิ่งที่ตัวเองรักว่ะ  โอ๊ยยย...แล้วเป็นไง อันนี้พูดกับตัวเอง

เฮ้อ...จบแค่นี้ก่อนค่ะ5555










สิงหาคม 13, 2567

Hello Summer

 



ที่จริง summer คือชื่อลูกแมวตัวล่าสุดค่ะ   แม่แมวชื่อคุณสามสีเอามาให้เลี้ยง  นางหอบหิ้วลูกน้อยมาหนึ่งตัวเป็นสลิดส้มทั้งตัว  ซึ่งก็เป็นสลิดส้มเหมือนกับน้องศรีส้มที่เคยเล่าไปก่อนหน้า

ศรีส้มยังอยู่ดีค่ะ  เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว น่าจะอายุเกือบหกปีได้กระมัง (อ่าน story ของศรีส้มย้อนหลังได้ค่ะ)

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าศรีส้มนี่เผลอๆจะเป็นคุณพ่อของซัมเมอร์หรือเปล่าเนี่ย !  คุณแม่สามสีนี่เป็นแมวข้างบ้าน เป็นแมวที่ไปๆมาๆแต่เห็นอยู่ประจำที่บ้านติดกันค่ะ  แต่ทางข้างบ้านก็บอกไม่ได้เลี้ยง !

ผู้เขียนก็งงๆอยู่กับความสัมพันธ์แบบซับซ้อนอย่างนี้เหมือนกัน  ตกลงว่าให้มานอนเล่นได้ แต่คาดว่าคงไม่ได้ให้อาหารเป็นจริงเป็นจังกระมัง

ต่อไปนี้จะขอเรียกว่าคุณแม่สามสีนะคะ  มีลายส้ม ดำ และ ขาวอยู่บนตัว  ใครๆก็เรียกหล่อนว่าสามสี

อยู่มาวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2567 คุณแม่สามสีหอบลูกมานอนแอบซ่อนที่ระเบียงบ้านผู้เขียน  นางซ่อนลูกที่คาดว่าเหลือตัวสุดท้ายเอาไว้ใต้ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ที่บ้านของผู้เขียน ใครมาเข้าใกล้ก็จะขู่ฟ่อเลยทีเดียว

นางหวงลูกมาก  และประคบประหงมลูกเป็นอย่างดี  ไม่ยอมห่างไปไหนเป็นเดือนๆเลยค่ะ  ผู้เขียนหาน้ำไว้ให้ กับให้อาหารทั้งคุณแม่คุณลูก ประดุจเป็นแมวเลี้ยงเอง

ลองคิดดูว่าถ้าแมวมีลูกเล็กๆ จะไปหาอาหารยังไงได้   ไม่กล้าทิ้งลูกไว้ แล้วตัวเองไม่มีอะไรกิน ไม่ว่าจะอาหารหรือน้ำ  แมวจรจัดก็ต้องออกหากินเองใช่ป่าวคะ

นี่สามสีคงมีลูกมากกว่าหนึ่งตัว  แต่คงไม่รอดไปทีละตัวสองตัว  จนเหลือตัวสุดท้าย  เลยต้องหนีตายมาพึ่งบ้านผู้เขียนนี่หละ

เห็นคลิบในสื่อสังคมออนไลน์เยอะแยะ  แม่แมวผอมโซนอนหมดแรง ท่ามกลางลูกแมวล้อมวงดูดนมจากอกแม่ซึ่ง...กำลังจะตาย

น่าสงสารมากจริงๆค่ะ

ตลอดสี่เดือนเห็นสามสีดูแลซัมเมอร์แล้วก็ซึ้งใจค่ะ  นางตามลูกไม่ห่างเลย มีการพาลูกไปสอนการล่าสัตว์อีกด้วยค่ะ   ล่าจิ้งเหลนมากินกันสองแม่ลูกที่ระเบียงบ้านด้วย  ผู้เขียนสยองมาก ! 5555

กระนั้น...พอย่างเข้าเดือนที่สี่ปลายๆ นางเริ่มหายไปสองสามชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาดูลูก  ซัมเมอร์ยังเด็กมาก  ก็วิ่งร้องหาแม่เวลาหาแม่ไม่เจอแหละค่ะ  

ท้ายสุดคุณแม่สามสีก็หายตัวไปเลย  ผู้เขียนก็หลงเป็นห่วงว่าสามสีจะยังมีชีวิตอยู่ไหม  แต่ก็เอาซัมเมอร์มาเลี้ยงเป็นเพื่อนกับศรีส้มค่ะ  ให้ศรีส้มเลี้ยงน้องซัมเมอร์  

ผ่านไปอีกเป็นเดือนๆ กลับเห็นคุณแม่สามสีเดินเล่นอยู่บ้านข้างๆ !  อ้าว...ตกลงนางทิ้งลูกหรือนี่ !


...😅😅😅


(โปรดติดตามตอนต่อไป)