แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ HR แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ HR แสดงบทความทั้งหมด

กรกฎาคม 31, 2568

Early Retire ดีไหม ภาค 1/2

 


Early Retire ดีไหม

ผู้เขียนเชื่อว่ามีหลายคนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง เมื่อเกิดมีโครงการภาคสมัครใจ หรือ ภาคไม่สะดวกใจ(คือ แบบกดดันให้ออก)  บังเกิดขึ้นในสถานที่เราทำงานกันอยู่

อาจมีเพื่อนหลายคนช่วงวัยใกล้กัน แต่อาจทำงานที่อื่น เคยมาบอกเล่าชีวิตเรื่องราวหลังจากที่ได้ออกจากชีวิตการทำงานไปหลายรูปแบบ

ผุ้เขียนก็เป็นคล้ายๆกันคือ พอรู้ว่ามีเพื่อนวัยใกล้กัน หรือเรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันได้ตัดสินใจ early ออกไปก็จะรู้สึกตกใจก่อนเป็นอย่างแรก  จากนั้นก็ถามตัวเอง ว่าถ้าเป็นเรา  เราจะสมัครไหม แล้วมันจะดีไหม

พบว่าหลายคนพอได้ออกจากบริษัทไปแล้วก็ตระเวณตะลุยเที่ยวๆๆๆๆกันเป็นส่วนใหญ่  ราวกับว่าเป็นสิ่งที่โหยหามาตลอด บางคนซื้อของที่อยากได้ บางคนซื้อรถคันใหม่ (ตอนอยู่บริษัทใช้รถประจำตำแหน่ง พอออกไปแล้วก้อยังคุ้นชินชีวิตที่ต้องใช้รถยนตร์ส่วนตัว)

แต่สำหรับผู้เขียนแล้วพอออกมาไม่ไปเที่ยวไหนเลย  อยากเก็บเงินเอาไว้นานๆ พอดีไม่ใช่คนชอบเที่ยว ส่วนรถยนตร์ก็ใช้คันเดิมที่ผ่อนหมดแล้ว 

ได้ข่าวมาว่าพี่คนที่ออกมาพร้อมกันถอยรถป้ายแดงคันละล้านบาทเศษ  อีกคนก็ซื้อรถใหม่เหมือนกันอ้างว่าต้องใช้ประกอบการทำมาหากิน ล้านนิดๆเหมือนกัน

ขนาดว่าผู้เขียนพยายามระมัดระวังทางการเงินอย่างสุงสุด ยังไม่รอด...คือยังไงเงินก็หายไปทุกวัน กับการใช้ชีวิตตามปกติ ท่ามกลางภัยพิบัติปกติที่หลายคนก็เจอ  เช่น  โควิท แผ่นดินไหว ถูก disrupt ด้วยเทคโนโลยี สงครามการค้าที่รุนแรง  การไหลท่วมของสินค้าจากประเทศขนาดใหญ่  เศรษฐกิจย่ำแย่ ฯลฯ

ชีวิตทุกวันของผู้เขียน ถ้าวันไหนคิดเรื่องเงินก่อนนอน คืนนั้นจะนอนไม่หลับ ฮ่าาาาา

หลายคนที่ออกจากงานต้องดิ้นรนหาธุรกิจใหม่ทำ รู้หรือยังว่าความรู้ไม่ใช่ของฟรี  เวลาบริษัทเรียกไปอบรม หรือสัมมนาอะไรไม่รู้จักเห็นคุณค่ากันใช่ไหม  ว่าบริษัทต้องจ่ายเงินหาครูดีๆมาคอย upskill ให้พนักงาน แต่พนักงานไม่สนใจ อันนี้ไม่รวมตัวผู้เขียนนะ  เพราะเป็นคนรักความรู้ ไม่เคยพลาดสัก course เดียว 

ยิ่งช่วง outing สัมมนาทำ business plan ประจำปีนี่ชอบมาก  ได้เห็นภาพกว้างของธุรกิจ และได้เข้าใจว่าหน่วยงานอื่นเค้าทำงานอะไรกัน มีปัญหาอะไรกัน นี่ละ...หัวใจเลย  ถ้าเราเข้าใจว่าทีมทำอะไร  เราก็จะ engage กับภาระกิจของบริษัท และนี่คือทีม

พอมาทำธุรกิจเอง แค่คำถามข้อแรกว่าจะทำอะไรดี  เชื่อว่าหลายคนหมดเงินไปหลายบาทกับการซื้อคอร์ส เพื่อตอบคำถามนี้  55555 และตามมาด้วยทำอย่างไรให้สำเร็จธุรกิจนั้นได้เงินเป็นแสน เป็นล้าน  ภายใน...ปี ขอหัวเราะอีกที 5555

ยังไม่รู้จะทำธุรกิจอะไร ก็ต้องจ่ายตังค์แล้วค่ะ 

สมมุติพอรู้ว่าจะทำอะไร ก็ต้องไปหาความรู้เพิ่มอีกว่า คนที่เขาทำสำเร็จนั้นเขาทำอย่างไร แล้วที่เห็นว่ามาโชว์ยอดขายกันเป็นแสนเป็นล้านนั้น  ทำตามเขาบอกแล้วจะได้เหมือนเค้าไหม ในเมื่อสถานการณ์มันคนละช่วงเวลา  สภาพพฤติกรรมผู้บริโภคมันเปลี่ยนเร็วมากนะคะ

ปี 2567 เริ่มมีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาอีก  อันนี้ยิ่งเป็น Game Changer หนักกว่าเดิม

กว่าจะตอบคำถามได้ว่า Early Retire ดีไหม เลยต้องมีสองภาค

คำตอบสำหรับภาคที่ 1 คือ...

ดีไหม...ก็ต้องขอตอบว่า  ดี ถ้าคุณออกมาแล้วยังมีรายได้เข้ามา  เช่น คุณมีธุรกิจอะไรสำรองอยู่แล้ว เอาแบบธุรกิจนั้นอยู่ตัวในระดับหนึ่งแล้วนะ  ไม่ใช่เพิ่งเริ่ม คือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอจะดีมาก

สอง  คุณไม่ควรมีหนี้ หรือสร้างหนี้เด็ดขาด เรื่องหนี้ไม่ค่อยมีใครพูดกับใครตรงๆ คือถ้ามีหนี้ก็มักจะคิดว่า อยากได้เงินจากการ early ไปปลดหนี้  ซึ่งอย่าลืมว่า ถ้าคุณไม่ได้มีที่ทำงานใหม่รอรับช่วงต่อ  เอาเงินไปใช้หนี้แล้ว  แต่ในระยะยาวคุณจะใช้ชีวิตยังไง เงินจะพอไหม เพราะถ้าไม่พอ มีแนวโน้มว่าคุณอาจกลับไปเป็นหนี้  แล้วทีนี้ถ้าไม่มีรายได้ที่มั่นคง สถาบันการเงินจะมีปัญหากับการให้กู้....แล้วถ้าคิดจะไปกู้นอกระบบละก็...คราวนี้พังแน่

สาม  ไม่มีหนี้ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมหาศาล ต้องรับผิดชอบชีวิตคนหลายคน อันนี้ก็ต้องระวัง  เพราะพอไม่มีรายได้ประจำ แต่ค่าใช้จ่าย...ยังมาเป็นประจำ...5555



ภาพการสนทนาข้างบนคงจะสะเทือนใจกันไม่มากก็น้อยนะคะ  ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมันกดดันเหลือจะรับค่ะ น้องที่ chat มาหาผู้เขียนเหมือนอยากจะระบาย มากกว่าจะอยากถามอย่างจริงจังว่า Early Retire ดีไหม

ใครที่ยังทำงานอยู่ก็ขอให้เตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้เผื่อบ้างนะคะ  ต้องมีอาชีพสำรอง อาชีพเสริมกันบ้าง แต่ก็ต้องไม่ลืมจะทุ่มเทให้งานประจำมากกว่า เรารับเงินเขาแล้ว ก็ต้องมีความเป็นมืออาชีพ  ต้องซื่อสัตย์ต่อคนที่เขาจ่ายให้เรา คือบริษัทค่ะ ไม่ใช่เจ้านาย (อ่าวววว5555)

จบภาค 1 ค่ะ  น่าจะได้ข้อคิดกันไปถามตัวเองกันบ้างเน้อ


ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ


มกราคม 26, 2566

ชีวิตการทำงาน...มีวันหมดอายุ

 


ของทุกอย่างในโลกใบนี้. เหมือนจะอยู่บนเส้นสัจธรรมเดียวกัน คือ เข้ามา...และจากไป

อยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา. เพราะได้รับรู้เรื่องราวของคนที่บริษัทที่เคยร่วมงานกันมา.   และแม้จะเป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ต่างหน่วยงาน และเป็นรุ่นน้องผู้เขียนหลายปี. แต่ก้อรู้จักและคุ้นเคยกัน

ตั้งแต่ผู้เขียนมีเหตุอันต้องเกษียณก่อนวัยอันสมควรออกมา. ก้อไม่ได้มีโอกาสติดต่อกับใคร.  มีหลายเหตุผลที่เราต้องวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นศิษย์เก่าไปซะแล้ว.   ไม่ควรจะไปรับรู้แล้วจะมีความคิดเห็นต่างๆนานาในหัวสมองขึ้นมา. แล้วมันไม่ได้มีประโยขน์อะไรกับชีวิตเรา 

หลายครั้งยังนอนหลับฝันเห็นชีวิตตอนยังอยู่ในออฟฟิศด้วยซ้ำไป.  ก้อแน่ล่ะ.  โลกเกินครึ่งชีวิตของผู้เขียนอยู่ในนั้น. ทั้งผู้คนที่เคยร่วมงานกัน. ก้อคนที่บริษัททั้งนั้น.  ชีวิตนี้คงลบออกไปไม่ได้หรอกค่ะ

ย้อนมาเข้าเรื่องค่ะ

ผู้เขียนได้รับมาว่าน้องคนนี้ซึ่งยังทำงานอยู่. อยู่ดีๆนั่งทำงานแล้วคงจะวูบคาโต๊ะทำงาน.  พอส่งโรงพยาบาลคราวนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแต่สภาพไม่เหมือนเดิม

เข้าใจได้ทันทีว่าน้องงานหนัก. เพราะทำงานเป็นผู้บริหารทางด้านการเงินของบริษัทด้วยล่ะค่ะ. 

สมัยตอนยังอยู่ที่บริษัท.  เจอน้องหน้าตาเหน็ดเหนื่อย. และมาบ่นให้ฟังประจำว่าน้องเครียด. น้องงานเยอะมากกก. ส่วนผู้เขียนเป็นฝ่ายบุคคลที่แสนใจดีก้อจะรับฟังเป็นอย่างดี.  และนึกไปว่า  พี่ก้องานเยอะเหมือนกัน. เจอหน้าใครโดยเฉพาะพวกผู้บริหารด้วยกันก้อจะบ่นเรื่องงานเยอะเหมือนกันหมด

น้องเป็นเด็กรุ่นน้องที่ทำงานดี. วินัยดี และจิตดี.  จึงได้รับการโปรโมทให้เป็นเหมือน sucessor ของผู้บริหารอีกท่านนึงที่เกษียณไปตามอายุขัยไปแล้ว

แน่ล่ะ.  เป็นผู้บริหารแล้วดูเหมือนจะได้ค่าตอบแทนมากขึ้น. สิทธิประโยชน์ต่างๆที่ไม่ใช่เพียงตัวเงินก้อมากขึ้น

แต่ใครจะเอาไหม ....ถ้า

เราต้องรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายเรารับไม่ไหว

ความเครียด. ความกดดัน   โปรเจ็คต่างๆมากมายนอกเหนืองานในความรับผิดชอบ.  การบริหารลูกน้อง แรงเสียดทานระหว่างการทำงาน.  ทุกอย่างจะพุ่งตรงมาทางเรานี่หละ

ผู้เขียนเองตอนทำงานก้อป่วยจนค่ารักษาพยาบาลเกิน limit. 

เพราะชีวิตไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ.  ต้องเหนื่อย ต้องพยายาม. ต้องฝึกฝนตัวเอง. ต้อง ฯลฯ

ทั้งไมเกรน. ปวดหัวปวดท้อง  ทั้งลำไส้แปรปรวน. กรดไหลย้อน. นอนไม่หลับ. ปวดหลัง กล้ามเนื้อตึง.  มาเป็นขบวนเลยค่ะ

ได้ยิน ได้อ่านและได้ฟังว่า. พออายุมากขึ้นหลายๆอย่างมันจะไม่เหมือนเดิม. มันจะเสื่อมถอย

เราก้อนึกภาพไม่ค่อยออกค่ะ.  ตอนยังทำงานอยู่มัวแต่คิดถึงความรับผิดชอบ

แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ


ปัจจุบันทราบว่าน้องไม่เหมือนเดิมแล้ว.กึ่งๆว่าทุพพลภาพ  ทำงานในตำแหน่งเดิมไม่ได้.  บริษัทโอนย้ายน้องไปทำหน้าที่อื่นที่พอให้น้องประทังชีวิตต่อไปได้บ้าง.   เพราะน้องต้องรักษาตัวอีกเยอะ.   และน้องเป็นสาวโสดตัวคนเดียว.  อยู่คนเดียว.  เหมือนคุณพ่อคุณแม่ก้อเสียชีวิตหมดแล้ว.  พี่น้องก้อไม่มี

เดชะบุญ. บุญเก่าน้องยังมี.  มีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องผู้หญิงพาไปอุปการะที่บ้าน. พาไปอยู่ด้วยและดูแล.  

อะไรจะจิตใจประเสริฐขนาดนี้.  ในโลกนี้ยังมีเรื่องดีๆอยู่เหมือนกันนะ

ผู้เขียนได้รับทราบถึงตรงนี้น้ำตาจะไหลไปด้วยเลยค่ะ สาธุ...🙏


ทุกวันนี้ผู้เขียนรู้สึกตัวว่าทำงานตลอดเวลา.  คิดอยู่ตลอดเวลา. ถึงเรื่องงาน. การทำมาหากินของตัวเอง  ซึ่งไม่ได้ใช้ชีวิตแบบชิลๆ.  เพราะว่าเรายังต้องหาเลี้ยงชีวิตอยู่. 

แถมช่วงนี้รู้สึกปวดตามาก. และนอนไม่หลับ. ไม่รู้ว่าเคมีในร่างกายมันไม่สมดุลย์ หรือว่าเครียดเกินไปกันแน่

อายุที่มากขึ้นมันทำให้เราทำอะไรไม่ได้เท่าเดิมอีกต่อไปค่ะ

แล้วจะอยู่ต่อไปยังไงดีคะเนี่ย...ขำไม่ออก

 ยังคิดต่อไปว่าตอนนั้นหากผู้เขียนไม่ได้ตัดสินใจเกษียณอายุก่อนกำหนดออกมา...อาจจะมีเหตุการณ์สลบคาโต๊ะทำงานเหมือนกับน้องก้อได้


เลือกชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก

...จริงๆนะคะ🍓


ตุลาคม 02, 2564

ค่าของงานกับเงินเดือนของคน : Job Value and Basic Salary

บอกตามตรงว่าจริงๆแล้วไม่ค่อยอยากเขียนอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคลเท่าไหร่  แม้ว่าจะเคยอยู่ในวงการนั้นมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่เป็นมนุษย์เงินเดือน

ทำไมเหรอ...อาจจะมีคนสงสัย

กลัวว่าจะทำให้คนอ่าน blog เครียดไง. ตั้งใจทำ blog ให้เป็นสถานที่พักผ่อน เล่าเรื่องวาดๆเขียนๆ เรื่องศิลปะมากกว่าจะมาเล่าเรื่องงาน(ในอดีต)

แถมถ้าเล่าละก้อมีเล่ายาวววว...แน่. ไม่เชื่อก้อคอยดู. ฮ่าาาาาา

อาจจะต้องเปิด Tab Menu อีกสักหนึ่ง Tab ไม่ให้ปนไปกับเรื่องอื่น. ซึ่งเราก้อว่ามันเยอะหลายเรื่องอยู่แล้วนะ. ...ยังมีเพิ่มอีกเหรอเนี่ยยยยย

มันอดจะมีความเห็นไม่ได้สิคะ. เวลาได้พบเจอเรื่องราวที่มันเกี่ยวโยงกับประสบการณ์การทำงานเก่า. บางทีอาจจะมีประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง. หรืออ่านเอาเพลิดเพลินก้อยังได้อยู่ใช่ไหมคะ

เข้าเรื่องละนะ

เรื่องมีว่ามีคนรู้จักกันเพิ่งจะถูก "ดีดทิ้ง" จากองค์กรมาสดๆร้อนๆ.  องค์กรที่ว่าเป็นองค์กรใหญ่โตมีชื่อเสียง และเค้ามีนโยบาย "ผลัดใบ" เป็นปกติของเค้ามานานแล้ว. ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษ. หรือเจอวิกฤติอะไรในช่วงนี้จึงต้องมีนโยบายลดจำนวนพนักงาน

คนรู้จักที่ว่านั้นอายุไม่ใช่น้อย  และเงินเดือนที่ได้รับอยู่ก้อไม่ใช่น้อยเช่นเดียวกัน

แต่ที่น่าสนใจคือ ประวัติการขึ้นเงินเดือนที่ผ่านมาของเค้ามีประเด็นที่อยากจะแชร์ให้ฟังค่ะ

คุณ "เอ" (นามสมมุติ) สามปีที่แล้ว,เปลี่ยนงานสององค์กรภายในระยะเวลา 6 เดือน และได้ up เงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากในองค์กรล่าสุด  แถมด้วยตำแหน่งระดับผู้จัดการที่เจ้าตัวอยากได้มานาน. อยู่ในองค์กรล่าสุดด้วยอายุงานเพียง 3 ปี ก้อถูกเด้งออกมา. โดยองค์กรแจ้งว่าต้องการปรับลดค่าใช้จ่าย

ถึงแม้เจ้าตัวจะคาใจอยู่มาก และแน่ใจได้ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดวินัย หรือมีเรื่องทุจริตแน่นอน. แต่ "ทำไมถึงต้องเป็นเรา"...



เงินปลอบใจที่ได้มาก้อคงไม่พอ.  หากว่าหางานใหม่ไม่ได้.  และเท่าที่คุณเอลองไปสัมภาษณ์งานมาก่อนหน้านี้บ้าง. ก้อพบว่าถูกปฏิเสธเพราะเงินเดือนปัจจุบันสูงเกินกว่าที่จะจ่ายได้. และคุณสมบัติด้านประสบการณ์การทำงานก้อไม่ได้สอดคล้องกับเงินเดือน. 

พูดง่ายๆ คือ ลักษณะงานที่เคยทำมาไม่สมควรที่จะได้เงินเดือนสูงขนาดนี้ !!!

อาจมีคำถามอีกว่า คุณเอตำแหน่งถึง "ผู้จัดการ" ทำไมถึงไม่คู่ควรกับเงินเดือนสูงๆล่ะคะ

ตอบตามนี้นะคะ

1.   "ผู้จัดการ" ขององค์กรแห่งหนึ่ง. อาจจะเนื้องานไม่เหมือนกับอีกองค์กรนึงนะคะ

2.   คำเรียก "ผู้จัดการ" เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกตำแหน่งงานระดับหัวหน้างาน แต่ในบางครั้งก้อใช้เรียกคนที่อายุงานสูงหน่อย อาวุโสหน่อย แต่ไม่ได้เป็นหัวหน้างาน

ซึ่งมีให้เห็นทั่วไปในหลายองค์กรนะคะ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่จำนวนพนักงานมากๆ และเป็นองค์กรที่เก่าแก่. 

เรียกว่าเป็น "ยศ" ผู้จัดการละกันค่ะ

3.  ผู้ที่มียศเป็นผู้จัดการมักจะมีไม่มีลูกน้อง. หรืออาจจะมีลูกน้อง แต่ไม่มีอำนาจสิทธิขาดในการประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง. หรือ พิจารณาอัตราโบนัส หรือ ไม่มีอำนาจอนุมัติอื่นใด เช่น. อนุมัติซื้อวงเงินเยอะๆ. หรือ งบประมาณโครงการ เป็นต้น

คุณเอก็เป็นผู้จัดการตามข้อ 3 เนี่ยล่ะค่ะ  

เงินเดือนสูงๆที่ได้มาเป็นเพราะแรงกดดันภายในองค์กร. ระหว่าง Line Manager ที่เป็นเจ๊ดัน. ดันคุณเอเข้ามา. กับ HR แน่นอน. ชักกะเย่อกันไปกันมา สุดท้าย Line Manager ชนะ คุณเอเลยเข้ามาในองค์กรแบบเงินเดือนติดลมบน หรือ ติดเพดานสุดๆ 

แถมพอเข้ามาแล้ว คุณเอแกก้อเป็นพวก "ติดสุข" ไม่ค่อยอยากจะพัฒนาตัวเอง. ชอบทำงานแบบเดิมๆ เรียกว่าแกจะขอโต "แนวดิ่ง" อย่างเดียว. แบบนี้องค์กรเค้าจะปั้นต่อให้เป็นระดับผู้จัดการตัวจริงเสียงจริงก้อไม่โอเคอีก. 

เป็นแบบนี้แล้วจะเหลือเรอะ... 

ลางสังหรณ์เริ่มมาตั้งแต่ปีที่สองของการทำงานแล้วล่ะค่ะ

คือ...ขึ้นเงินเดือนแค่ประมาณสองสามเปอร์เซ็น  (ภาษา HR เรียกว่า โดน Freeze เงินเดือน) หัวหน้าคงทำใจลำบาก เพราะเงินเดือนระดับคุณเอจ้างเด็กจบใหม่ได้สามหรือสี่คน ทำงานเนื้องานเดียวกันกับเด็กจบใหม่เป๊ะ.  

แม้คุณเอจะเก๋าเกมส์.+ รอบรู้กว่า. แต่ว่า....กรอบของงานไม่ได้ต้องการค่ะ. 

เรื่องนี้กำลังให้ข้อคิดว่าค่าของงานเกี่ยวโยงกับอัตราเงินเดือนนะคะ.  แม้ว่าจะมีความซับซ้อนอยู่สักหน่อยว่าในอัตราเงินเดือนที่แต่ละคนได้รับนั้นมี factor ที่เกี่ยวข้องอยู่หลายตัว เช่น อายุงาน, ผลการปฏิบัติงานที่สะสมมา, demand-suply ในตลาดแรงงาน ฯลฯ แต่ที่มีน้ำหนักมากที่สุดคืองานที่ทำอยู่มีค่างานเป็นอย่างไร

วันหลังค่อยมาเล่าต่อเรื่อง "ค่างาน" ให้ฟังอีกทีนะคะ. 

รู้สึกวันนี้เขียนยาวแฮะ. ชักจะเหนื่อยแล้ว 55555

สุดท้ายคุณเอแกไม่ยอมมาเป็นพวก #เกษียณโลกสวย เหมือนกับผู้เขียนนะคะ. แกยืนยันจะหางานเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไปให้ได้

ผู้เขียนก้อขอเอาใจช่วยค่ะ เหนื่อยใจหน่อยนะคะ หางานตอนอายุมากขนาดนี้

บางทีเรื่องบุญ/กรรม/วาสนา มันก้อมีจริงนะคะ. แต่อย่าลืมว่ามีขึ้นต้องมีลง. คุณเออาจจะได้งานใหม่ก้อได้หากมีโชคอยู่.

และขอให้คุณเอสมหวังนะคะ.

ใครที่ยังมีงานทำอยู่ก้อขอให้เต็มที่กับงานนะคะ. อาชีพมนุษย์เงินเดือนเป็นอาชีพที่ดีที่สุดในโลกแล้วค่ะ. คุณจะไม่รู้ว่ามันดีขนาดนี้.  จนกว่าคุณจะออกมาจากมัน ทั้งที่บางทีคุณอาจจะยังไม่ได้ต้องการค่ะ.