เมษายน 24, 2568

เหตุที่ต้องมีเพลงประกอบนิยายของตัวเอง

 


จริงๆแล้วถ้าใครได้เคยอ่านนิยายของผู้เขียน "ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว" จะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องดนตรีอยู่หลายประการเหมือนกันค่ะ

อันแรก พระเอกเป็นนักเปียโนระดับรางวัลเหรียญทอง แต่ด้วยทางบ้านอาชีพทหารมาตั้งแต่รุ่นปู่จนรุ่นพ่อ เขาจึงถูกหล่อหลอมให้เป็นทหารมากกว่าจะเป็นนักดนตรี เรื่องดนตรีกลายเป็นงานอดิเรก และสิ่งที่เขารัก ยิ่งไปกว่านั้น ดนตรีชักพาให้เขาพบรักกับ 'อริญญา' ซึ่งตอนหลังคบกันได้ไม่นานก็มีอันต้องแยกจากกันไป ทิ้งรอยแผลเอาไว้ในใจพระเอก

อันที่สอง  อริญญาที่เป็นแฟนเก่าพระเอก ก็เป็นนักเปียโนสาวพรสวรรค์ เธอมีเป้าหมายแรงกล้าจะเป็นนักเปียโนหญิงเดี่ยวระดับสากล ดังนั้นจึงสอบชิงทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีโดยเฉพาะ แล้วก็ขอเลิกรากับพระเอกไงล่ะคะ

อันที่สาม  ในนิยายกล่าวถึงเพลง น้ำเซาะทราย ซึ่งเพลงนี้มีอยู่จริง เป็นเพลงที่ไพเราะมากเลยค่ะ  ทั้งเนื้อร้องและทำนอง รวมทั้งดนตรีประกอบ การกล่าวถึงเนื้อเพลงโดยนำมาเป็นส่วนหนึ่งของนิยายอยู่หลายตอน ทำให้ผู้เขียนเกิดความไม่มั่นใจในภายหลังที่เขียนนิยายจบไปแล้ว  ว่าจะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์หรือเปล่านะ ถึงแม้จะมีการอ้างอิง ให้เครดิตกับผู้สร้างสรรค์เพลงนี้อย่างชัดเจนใน footnote แล้วก็ตาม

ต่อมานิยายกำลังจะพิมพ์เป็นเล่ม พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง ผู้เขียนยิ่งกังวลมากขึ้น เพราะมันชักจะออกแนวนำไปใช้เชิงพาณิชย์ซะแล้วสิ  ขนาดภาพปกนิยาย ผู้เขียนยังสู้งบด้วยการไปจ้างนักวาดมาวาดปกไม่ไหว  แล้วนี่หากมีปัญหาเกี่ยวกับเนื้อเพลงขึ้นมาคงจะรับความเสียหายไม่ไหวแน่

ก็เลยแต่งเพลงซะเลย...55555

ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่มีปัญญาประดิษฐ์ทึ่มาช่วยแต่งทำนองและใส่ดนตรีพอดีค่ะ

เนื้อร้องนั้นเป็นฝีมือผู้เขียน จะเรียกว่าเป็นลิขสิทธิ์โดยสมบูรณ์ทั้งเพลงของผู้เขียน ก็ไม่น่าจะได้ค่ะ  ต้องแยกระหว่างลิขสิทธิ์ที่ตัวเนื้อร้อง  ลิขสิทธิ์ทำนอง และลิขสิทธิ์การเรียบเรียงเสียงดนตรีด้วยนะคะ

พอมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าเนื้อร้องเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน  นำมาอ้างถึงในนิยายของตัวเองก็ไม่ผิดแน่นอนค่ะ

ทำอย่างนี้แล้วก็สบายใจ  นิยายฉบับพิมพ์เล่ม กับฉบับ E-Book ก็ได้แก้ไขเป็นเนื้อเพลง "Soulmate รู้ไหมเราคือคู่กัน" เรียบร้อยแล้ว  

ผู้เขียนแต่งเนื้อร้องเอาไว้ทั้งหมด 3 เพลง สำหรับนิยายเรื่องนี้  ชวนให้ติดตามฟังกันนะคะ ตอนนี้ปล่อยให้ฟังกันแล้วบน Youtube ค่ะ สำหรับเพลงแรก

ใครฟังแล้วชอบ หรืออยากให้กำลังใจกันบ้าง ก็ช่วยกด like ให้คนละนิด หรือช่วย Subscribe ให้ช่องด้วยยิ่งดีใหญ่ค่ะ  ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึง 1,000 Subscribe ซะที ....เฮ้อ





https://youtu.be/MJ-t1XcHok8?si=kU-vrDY-mz5shF16


ขอบคุณที่ติดตามค่าาา



--------------------------------------

สนับสนุนนักเขียนได้ตรงนี้เลยค่ะ : 


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว E-Book




หรือเลือกอ่านรายตอน บน Apps ค่ะ 



เมษายน 03, 2568

เสพเพื่อสร้าง

 



เมษาปีนี้ร้อนน้อยกว่าปีที่แล้วนิดนึงค่ะ แต่ยังไงก็ร้อนมากอยู่ดี จนบางคืนนอนไม่ค่อยจะหลับ ทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศก็แล้ว มันอบอ้าวจนคิดว่าเครื่องปรับอากาศใช้มานานมันจะเสียหรือเปล่า ใจหายว่าต้องเสียเงินอีกไหมหนอเรา...

มาวันสองวันก่อนที่ฝนเริ่มตก อ้าว แอร์กลับมาเย็นเหมือนเดิม แสดงว่านี่เกิดจากอากาศร้อนจริงๆ ค่อยยังชั่วหน่อยน่ะสิคะ กลัวต้องซื้อแอร์ตัวใหม่

เรื่องการใช้จ่ายซื้อของอะไรชิ้นใหญ่ๆนี่ผู้เขียนต้องระมัดระวัง  แต่ว่าพอเป็นของชิ้นเล็ก กลับไม่ทันระวังซะอย่างนั้น อ้าว... ก็ของมันต้องใช้ แถมของชอบ

ก็คือพวกหนังสือนั่นหละค่ะ  ของมันต้องใช้ประกอบเป็น reference ในการเขียน  

ถึงแม้ว่าจะมี google มีทั้ง Ai มีอะไรเยอะแยะไปหมดให้ใช้  สุดท้ายแล้วหนังสือก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดี  เพราะว่าตอนนี้รู้สึกสายตาของผู้เขียนจะแย่ลง  อาจเป็นช่วงนี้ดูพวกข่าวทางทีวีหนักมาก ที่บอกว่าแย่คือปวดตา สังเกตว่ามองอะไรที่เคลื่อนไหวนานๆจะปวดหัว  ยิ่งดูมือถือยิ่งเป็นหนัก ไถจอ scroll  ขึ้นๆลงๆนี่ปวดมากเลยค่ะ

พักหลังชักจะมีอาการอย่างนี้แทนอาการปวดหัวไมเกรน  ก็ไม่รู้ว่าที่จริงมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่  คือสังเกตตัวเองว่าช่วงไหนดูพวกภาพเคลื่อนไหวมากๆ จะเป็นค่ะ

กลายเป็นว่าก็เลยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้แค่ช่วงสั้นๆ เพราะต้องถนอมสังขารเอาไว้หน่อยนะคะ  ทำเอาลงมือพิมพ์อะไรนานๆไม่ค่อยจะได้ นิยายก็ไม่ได้อัพต่อ...งานของผู้เขียนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ต้องอยู่กับจอมอนิเตอร์ หรือจอทีวี จอมือถือ

ทีนี้การอ่านหนังสือเนี่ยเป็นหนทางที่ถนอมสายตาได้ดีที่สุด  มันเหมือนการถอยกลับไปสู่โลกเก่า ยุค 80 คือ ไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มีอินเตอร์เนต  55555

เป็นโลกที่แสนสงบ เพราะเราไม่สามารถจะเสพอะไรพร้อมกันหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน

ไม่เหมือนตอนนี้...คือ พิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์ พร้อมกันการดูข่าวบนทีวี  วาดรูปบนไอแพด หูก็ฟังเพลง ฯลฯ

ตอนอายุยังไม่มากเราจะไม่รู้สึกอะไร  มีแต่ความมันส์ในการเก็บเกี่ยวข่าวสาร และเรื่องราวที่เราสนใจ พอมาตอนนี้ไม่อยากจะบอกว่าอายุเท่าไหร่  ก็ยังจะมีจริตแบบเดิมค่ะ  ทว่า...สังขารเร่ิมไม่ไหวแล้ว

ยังอยากเขียนนิยายอีกหลายเรื่อง555 ทั้งนิยายผี  นิยายลึกลับ นิยายจีน +วาดรูป abstract วาดอะไรๆต่อมิอะไร ฯลฯ มีอะไรน่าสนุกอีกมาก

ผู้เขียนยังคงมีฝันอยากมีห้องสมุดส่วนตัว ไว้เก็บหนังสือที่เคยซื้อเอาไว้ มันเป็นของมีค่ามากมายสำหรับคนชอบอ่านหนังสือค่ะ 

ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้เขียน ฝันก็ยังเป็นฝันต่อไป

การอ่านหนังสือเล่มช่วยทำให้ผู้เขียนมีวัตถุดิบในการสร้างสรรค์งานอีกมากมาย เป็นมิตรต่อสุขภาพ แต่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับกระเป๋าเงิน 5555 แถมซื้อมาไม่มีที่จะเก็บแล้วค่าาาา  บางส่วนต้องกองเอาไว้ เพราะชั้นหนังสือไม่มีที่วาง

หวังว่าสักวันผู้เขียนจะเดินทางไปถึงเป้าหมาย ตอนนี้มันยังอีกไกล ระหว่างนี้ก็ต้องอดทนไปก่อน รอวันที่จะลุกขึ้นยืนได้อย่างแข็งแรง  ถึงวันนี้คงต้องขอบคุณหนังสือที่เป็นตัวช่วยสำคัญ  


กว่าจะถึงวันข้างหน้าคงจำเป็นต้องซื้อหนังสือมาอ่านต่อไปอยู่ดี...อ้าว แล้วจะบ่นทำไม 5555

จบตรงนี้ก่อนล่ะค่าาา



มีนาคม 28, 2568

โกลาหลในวันปฐพีพิโรธ

 


 เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.25 น. เชื่อว่าตอนนี้ยังอยู่ในใจของทุกๆคน และเชื่อว่าคงเป็นเรื่องที่ต้องจดจำไปอีกนาน

ในวันนั้นผู้เขียนเพิ่งจะทานข้าวเสร็จ กำลังนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เช่นปกติ ลืมบอกว่าห้องทำงานของผู้เขียนอยู่ชั้นล่าง และเป็นส่วนที่ต่อเติมจากเดิมเป็นที่จอดรถ บนศีรษะเป็นระเบียง ที่คุณพ่อคุณแม่ใช้เป็นที่ทานอาหารบ้าง นั่งพักบ้าง เป็นระเบียงที่ไม่ได้มีการตอกเสาเข็ม 

เหมือนกับอีกหลายคนที่อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าเวียนหัว และเวียนมากขึ้นจนแทบจะอาเจียร 

ส่วนตัวผู้เขียนเป็นพวกที่ปวดศีรษะไมเกรนเป็นประจำ แล้วระดับอาการที่เคยเป็นหนักสุดๆก็เคยปวดถึงขั้นอาเจียนเลยค่ะ

คิดว่าตัวเองกำลังเป็นไมเกรนแบบเฉียบพลัน เลยหยิบยาดมมาสูด 

แต่ทำไมเก้าอี้ทำงานมันเริ่มไหลไปมาเอง ทั้งที่ก็ยังนั่งอยู่เฉยๆ...

พอหย่อนเท้าแตะพื้นห้อง ก็ปรากฎว่าพื้นมันเหมือนเอียงไปมาได้ด้วยว่ะ งง...เอียงหนักเลย เห็นท่าจะไม่ดี แสดงว่าอาจจะใกล้เป็นลม !!

จังหวะนั้นแหงนขึ้นมองเพดานพอดีค่ะ เห็นว่าโคมไฟแบบห้อยในห้องมันแกว่งโยกแบบสวิงไปมาอย่างรุนแรง และไม่เคยเห็นว่ามันแกว่งได้ขนาดนี้

ไม่ใช่แล้ว !! แผ่นดินไหวเหรอ !! จะเป็นไปได้ยังไง

ผู้เขียนพยายามทรงตัวลุกขึ้นยืน เฮ้ย... นึกถึงแมวที่เลี้ยงไว้... แต่นึกถึงบิดามารดาที่อยู่ชั้นบน ว่าป่านนี้จะได้รับอันตรายหรือเปล่า ดังนั้นวิ่งออกประตูขึ้นไปชั้นบนทันทีค่ะ  ไม่ได้หยิบอะไรติดมือไปทั้งสิ้น ในหัวมีภาพว่าอาจจะมีอะไรหล่นตูมตามใส่หัวหรือไม่ระหว่างที่วิ่งไป

ไม่มีอะไรในบ้านที่หล่นหรือว่าตู้เอียงลงมาทับผู้เขียนหรอกค่ะ ปลอดภัยดี

คุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนนอนกำลังเล่นอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านชั้นบน (เพิ่งจะสร้างใหม่ค่ะ) 

"แม่! แผ่นดินไหว"

"ถึงว่าสิ ทำไมพวงมะม่วงมันถึงแกว่งไปแกว่งมา ทั้งที่ไม่มีลมพัดซักกะนิด"  แม่พูดหน้าตาเฉย ดูไม่ได้ตกใจเท่าผู้เขียนหรอกค่ะ แล้วชี้มือไปยังต้นมะม่วงข้างบ้าน ลูกมะม่วงกำลังดกเป็นพวงห้อยลงมา

เหลือบไปเห็นคุณพ่อนอนเอนหลังบนเตียงผ้าใบสบายใจเฉิบ แบบว่าไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเตียงผ้าใบมันก็โยกเองอยู่เป็นปกติ  คิดว่าไม่ได้มีอะไรแปลก

"พื้นมันแกว่งไปมาด้วย" แม่บอก

สรุปว่าทั้งสองคนปลอดภัยดี แถมไม่ตื่นตกใจซะอีก  สักพักเสียงน้องสะใภ้กับหลานก็ดังขึ้นมาจากข้างล่าง ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย

สองนางวิ่งออกมานอกตัวบ้าน ทำหน้างงๆ บ่นว่าทำไมเวียนหัว แล้วพื้นโยก

หลานสาว Gen Z ไถมือถือไปมาแล้วบอกว่า ในทวิตเตอร์เค้าบอกแผ่นดินไหว !

.......

หลังจากผ่านไป 20 นาที ผู้เขียนเห็นว่าเหตุการณ์ในบ้านทุกอย่างปกติ จึงกลับลงมาที่ห้องทำงาน ในใจคิดว่าป่านนี้ห้องฉันถล่มไปแล้วหรือยัง  เพราะว่าเป็นห้องที่อยู่ใต้ระเบียงที่ไม่มีเสาเข็ม

โชคดีที่ทุกอย่างปกติค่ะ

น้องแมวที่บ้านเดินออกมาจากซอกอย่างงงๆ นางก็ไม่ได้ออกอาการตระหนกอะไรมาก แต่ก็ดูออกว่าเมื่อกี้มันต้องมีอะไรไม่ปกติ

ผู้เขียนเปิดทีวีค้างเอาไว้ด้วยค่ะ  สภาพคือเป็นจอพักเบรคที่ยังเปิดค้างเอาไว้ คือมีการออกอากาศอยู่ แต่ไม่มีภาพเคลื่อนไหว มีแต่ภาพนิ่งเป็นโลโก้สถานี  แน่ล่ะสิ ...ต้องมีอะไรไม่ปกติ แสดงว่าแผ่นดินไหวเป็นบริเวณกว้าง แต่ในตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าได้รับแรงสั่นสะเทือนกันหลายจังหวัด

ผู้เขียนหยิบมือถือมาไล่เรียงดูเหตุการณ์ในสื่อโซเชียลมีเดีย ก็ต้องตกใจไปกับภาพที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็น !!!

ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลออกมาสู่ถนน  น้ำในสระว่ายน้ำบนคอนโดที่ทะลักล้นออกมา และ...ภาพตึกระหว่างการก่อสร้างถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา

โชคดีของประเทศไทยที่ (นอกเหนือไปจากตึกที่กำลังสร้าง) ไม่มีใครหนีออกมาจนทับกันตาย...แบบว่าตระหนกสุดขีดแล้วคนกระจุกกันตรงทางออก  จนเป็นลมหมดสติแล้วถูกคนข้างหลังเหยียบเอาน่ะค่ะ

แค่ตึกถล่มทับคนงานก็เจ็บปวดจะแย่อยู่แล้ว...

ในวันนั้นก็มีแต่ข่าวแผ่นดินไหวแหละค่ะ แน่นอนว่า...มันไม่เคยเกิดขึ้นแบบหนักหน่วงอย่างนี้มาก่อนในชีวิต

ทุกคนพูดเหมือนกันว่า...ชีวิตนี้เกิดมาเพิ่งเคยเจอ

สงสารคนทำงานจำนวนมาก ต้องเดินกันไกลเพื่อกลับบ้าน เพราะรถไฟฟ้าประกาศหยุดวิ่ง ห้างร้านพากันปิดทำการ แน่นอนว่ารถต้องติดกันอยู่บนถนน อย่าหวังพึ่งเลย...พวกรถรับจ้าง มีแต่จะหารถไม่ได้ หรือไม่ก็ถูกโก่งราคา กับอีกทีคือขึ้นไปนั่ง ก็ไปไหนไม่ได้ เพราะรถมันติด

มีเพื่อนโทรมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าถึงบ้านสามทุ่ม...เดินเท้าจากที่ทำงานตั้งหลายกิโล โห...

เป็นวันมหาวิปโยคจริงๆค่ะ

....

ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ  สาธุ


มีนาคม 05, 2568

ประสบการณ์ใหม่กับการเขียนฉากบู๊


 

ตั้งแต่เขียนหนังสือมาก็เพิ่งจะได้เขียนฉากต่อสู้หรือฉากบู๊ก็ตอนนี้แหละค่ะ

เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ อันว่านิยายที่เขียนมาทุกเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องดราม่าความรักล้วนๆค่ะ ก็ไม่เคยมีว่าจะสอดแทรกอะไรเกี่ยวกับการต่อสู้หรือชกต่อย  คือไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย เพราะว่าไม่ถนัดเรื่องทำนองนี้ เวลาคิดพล๊อตก็เลยผ่านเลยเรื่องชกต่อยไปตลอด

บางทีนึกๆอยากให้มีฉากโหดๆในนิยายยังไม่กล้าเลยค่ะ เพราะว่ากลัวเขียนไปแล้วมันจะลอยๆ หมายถึงว่าดูไม่สมจริง ทั้งที่จริงๆแล้วในชีวิตจริงของผู้เขียนจะเสพย์พวกหนังแอคชั่น หนังผี กับหนังลึกลับเป็นส่วนใหญ่ 

คือหนังสไตล์ที่กล่าวไปข้างต้นมันทำให้ตื่นเต้นตลอด น่าสนุกกว่าหนังรักๆเยอะเลย  ฮ่าาาาา...อ้าว แต่ตัวเองดันมาเขียนนิยายรัก

คืองี้ค่ะ นิยายรักมันดูเขียนได้ง่ายกว่าสำหรับผู้เขียน อีกอย่างพวกหนังแอคชั่นนี้ มันสนุกถ้าเราเสพย์ในรูปแบบของหนัง หรือภาพเคลื่อนไหว มากกว่าจะอ่านเป็นตัวหนังสือ

ส่วนความยากของนิยายรัก ก็ยากตรงที่ กว่าจะให้คนที่ไม่เคยรักกัน มารักกันได้  ไหนจะต้องให้คนอ่านมีอารมณ์ร่ววมไปกับตัวละคร ต้องสร้างเหตุการณ์ต่างๆนานา หมดไปครึ่งเรื่องแล้วค่อยรักกันได้ บางเรื่อง(ของนักเขียนท่านอื่น) รักกันก็ตอนจบพอดีก็มี

ฮ่าาาา

ใน เธอคือพันธนาการรักขอสลักไว้แนบใจ นิยายของผู้เขียนนั่นแหละ ดันมีเหตุการณ์บังคับบู๊  ไม่งั้นอย่างหนึ่งคือ เดี๋ยวเรื่องจะจืดชืด กับ ไม่เคยเขียนก็ต้องลองเขียนดูสักครั้ง 5555

คิดหาทางออกอยู่นานว่า ไม่มีฉากบู๊เรื่องจะเดินยังไง ก็ปรากฎว่าถ้ามีน่ะมันจะดีกว่า 

ตอนเขียนนี่ขอยอมรับเลยว่าสนุกมาก เหมือนกำลังนั่งอยู่ข้างทางพร้อมกับนางเอกและพระเอกเลยค่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่ามันมันส์อย่างนี้น่ะ  เออ...พอได้ทำอะไรใหม่ๆ เราก็ได้ค้นพบสิ่งใหม่ไปพร้อมกันเนอะ

ที่จริงเราก็เขียนได้นี่หว่า...

ฉากที่ว่านี้เป็นตอนที่พระเอกโดนปล้นรถระหว่างทางค่ะ  มีการชกต่อยกับโจรเล็กน้อย พอหอมปากหอมคอ เพราะต่อยกันนานกว่านี้คนเขียนไปไม่เป็น5555

ทีแรกว่าจะโทรไปถามเพื่อนผู้ชายว่าอารมณ์เวลาต่อยกันเป็นไงเหรอเธอ แต่ก็ไม่ได้โทรหรอกนะคะ

เขียนเอาเองพอได้อยู่นะ ใช้จินตนาการเล็กน้อย ตามประสานักขายฝัน

เลยมาส่งต่อความประทับใจของตัวเองให้กับผู้ติดตาม blog ได้รับรู้ค่ะ...

เหมือนตัวเองได้ก้าวข้ามความท้าทายเล็กๆน้อยๆ ไปได้อีก step 

การทำในสิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้ มันให้พลังกับตัวเราแบบนี้นี่เอง  

พอออกจาก comfort zone ได้เราก็มีกำลังใจล่ะค่ะ  

อย่างไรก็ชวนไปอ่านกัน  และอย่าลืมช่วยกันติดตาม กดหัวใจ กดเข้าชั้น จะขอบพระคุณมากค่ะ


แล้วพบกัน post หน้านะคะ



เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342