มีนาคม 06, 2567

ทุกความสำเร็จ มักมีเรื่องเล่า

 




ช่วงนี้หันมาจริงจังกับการวาดรูปมากขึ้นค่ะ  คือความที่ตัวเองทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน  ทำให้เกลี่ยเวลาไปทำทุกสิ่งอย่างไม่ค่อยทั่วถึง  ทำทุกอย่างสลับไปสลับมาในหนึ่งวันเลยค่ะ

ทว่าทำอย่างนั้นแล้วมันเยี่ยม!

เพราะอะไรน่ะหรือคะ  

คือกลายเป็นว่าทำให้หัวสมองได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แถมได้ยังกระจายความเสี่ยงในเรื่องทักษะความสามารถอีกด้วย  ยุคนี้จะมานั่งทำอะไรอย่างเดียวหรือทีละอย่าง เห็นจะไม่รอดดดด  มันต้อง Agile ปรับตัวให้ไวเข้าไว้  

ทีนี้การจะปรับตัวให้ไวได้ต้องมีฐานมากพอจะโฉบไปตรงนั้นตรงนี้ได้ค่ะ  ถ้าไม่มีพื้นความรู้ หรือฐานที่ว่าสักนิดสักหน่อย  มันก็ไปต่อกับชาวบ้านเค้าไม่ได้

ดังนั้นความเข้าใจในงานวาด  งานระบายสี  มันบูรณาการร่วมกัน  ถ้ามัวไปทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เนี่ย  ไปส่งผลต่องานอื่นอย่างไรบ้าง  เหมือนเรามีฐานค่ะ  จะไปต่องาน digital หรือ ระบายมือ ก็ทำได้หมด เปลี่ยนแค่เครื่องมือเท่านั้น

ทว่าการใช้เครื่องมือ หรือใช้โปรแกรมก็ต้องฝึกฝนอีกแหละค่ะ

เมื่อได้เข้าใจว่าทุกอย่างส่งผลต่อกัน  หรือสัมพันธ์กันอย่างไร  จุดไหน...พัฒนาการจะเกิดเองค่ะ

รู้สึกพอใจผลงานมากขึ้นมาอีกนิดค่ะ  แม้ว่าจะยังวาดไม่เสร็จร้อยเปอร์เซนต์ ก็พร้อมอวด55555 ดูรวมๆแล้วน่าจะผ่านอยู่นะคะ  รายละเอียดอื่นยังต้องฝึกกันต่อค่ะ เช่น  รอยยับบนเสื้อ  การลงสีดวงตา  ใบหู  กับลงแสงเงารวมๆยังต้องปรับอีก

อยากจะฝึกฝีมือเอาไว้วาดปกนิยายของตัวเองค่ะ

เพราะค่าจ้างวาดโหดมาก งานสวยๆนี่ราคาประมาณหกพันกว่าบาทขึ้นไปเลยทีเดียว  ลองคิดดูว่านักเขียนหน้าใหม่ ไก่กาอาราเร่ อย่างดิฉันเนี่ยยยย  ขืนไปจ้างวาดก็ทุนหายกำไรหดแน่

เพราะคาดเดาไม่ได้เลยค่ะ  ว่าเมื่อรวมเล่มขายแล้วจะมีนักอ่านสนับสนุนขนาดไหน

เอาไว้นิยายใกล้ออกเล่มเป็น ebook เมื่อไหร่จะมาอ้อนนักอ่านแถวๆนี้อีกทีนะคะ  อิอิอิ

ส่วนการพิมพ์เป็นเล่มนั้นมีแน่นอน เพราะต้องการเก็บไว้เป็นทีระลึกสำหรับตัวเอง 55555  ขึ้นอยู่กับนักอ่านว่าจะตอบรับ ebook ดีไหม  จะได้พิมพ์เล่มเผื่อไว้สักเล็กน้อย 

ว่าไปแล้วอย่าลืมตามไปอ่านกันนะคะ  พีคคคคคแล้ว  ตอนที่ 60 กว่าแล้วค่ะ


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272


เขียนต่อไป  ยังเขียนอยู่ค่าาา




ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  ไว้พบกันใหม่ vlog หน้าค่ะ





กุมภาพันธ์ 21, 2567

กลับไปสู่จุดเริ่มต้น (บ้าง)

 


วันนี้ขอกลับไปจุดเริ่มต้น เพื่อเป็นการพักสมองบ้างค่ะ  

คือการเขียนนิยายนี่มันเหนื่อยจุง...ฮ่าาาา ปวดหัว เวลาคิดไม่ออกนี่มันสุดๆค่ะ อย่างไรก็ตามเขียนได้จบเรื่องแน่นอน  งานนี้จะจบประมาณตอนที่ 80-84  ถือเป็น Masterpiece ของชีวิต Post-Retirement เลยทีเดียว  ใช้เวลาไปเกือบ 8 เดือนแล้วเนี่ยสำหรับนิยายเรื่องนี้

พอเริ่มเขียนไปสักพักใหญ่ คือล่วงเลยมาจนตอนที่ประมาณ 6  จะเริ่มเข้าสู่ภาวะลื่นไหล  อ๊าาา...ที่จริงเราก็เขียนได้นี่หว่า  จากที่เคยคิดมาตลอดว่าจะรอดมั้ย  เพราะช่วงที่ยังทำงาน หมายถึงตอนก่อนเกษียณนะคะ  พยายามกลับมาเขียน  มักจะเขียนไม่ออก  ช่วงเขียนออกก็มีค่ะ แต่เอาแน่ไ่ม่ได้  จับทางตัวเองไม่ถูกว่าต้องทำยังไงจึงจะทำให้เขียนได้อย่างลื่นไหลไปแต่ละย่อหน้าได้

ตอนนี้นิยายกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น  และคนเขียนเหนื่อยมาก  ฮ่าาาา  ขอกลับมาพักวาดรูปค่ะ

เพราะที่จริงแล้วงานวาดรูปเป็นสิ่งที่มาก่อนงานเขียนนิยาย และงานอื่นทั้งปวง

จากตอนเด็กๆก็วาดไปบนกระดาษเหลือใช้จากที่ทำงานของพ่อ... ซึ่งพ่อขนกลับมาบ้านเพราะตั้งใจให้ลูกใช้ทดเลข5555 

ปรากฎว่าลูกเอามาวาดรูปเล่นค่ะ

แล้วก็เอาตัดเล่น เป็นตุ๊กตาบ้าง  พับนกบ้าง  ตามประสาเด็กยุค 70

พอร้องจะให้พ่อซื้อสีน้ำหลอดสังกะสีเป็นชุดๆให้หน่อย  ก็โดนดุอีก  แต่สุดท้ายก็ได้มาแหละค่ะ  แต่พอเอามาระบายสีเท่านั้นก็โดนตีมืออีก   เพราะว่าผู้เขียนระบายออกนอกเส้น5555

เอาเป็นว่าผู้ใหญ่ในสมัยโน้นเค้าก็ไม่เข้าใจเรื่องศิลปะอะไรมากมายหรอกค่ะ  ช่างไม่รู้เล้ยยยย  ว่าผู้เขียนน่ะมีความสามารถพิเศษทางนี้  เพราะพอโตมาอีกหน่อย ครูที่โรงเรียนเอาภาพเขียนสีเทียนไปส่งประกวดยังต่างประเทศ  ผู้เขียนได้รางวัลซะงั้น  และได้รางวัลเกี่ยวกับการประกวดภาพวาดอีกเรื่อยๆจนโต (ขออวดหน่อย)

แต่สรุปว่า...เวลาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย  ห้ามเลือกคณะเกี่ยวกับการวาดรูป  

เอาเถอะค่ะ  อะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันดีเสมอ  เพราะว่าเป็นศิลปินวาดรูปในยุคนั้นกินเกลือแน่นอน  

ตั้งแต่เกษียณมาก็ได้วาดรูปมากขึ้นค่ะ  ก็รู้สึกว่าฝีมือพัฒนาขึ้นเหมือนกัน  ที่จริงพัฒนามากขึ้น เพราะผู้เขียนไปเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพ  ทีนี้เลยเข้าใจเรื่องธรรมชาติของแสงค่ะ

กับอีกทักษะที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ ทักษะของการเป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์  คือการใช้โปรแกรมแต่งภาพ ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Lightroom โปรแกรมวาดเวคเตอร์ Illustrator , Indesign , Procreate ฯลฯ ตอนนี้ผู้เขียนทำได้หมดอย่างชำนาญพอตัวเลยทีเดียว

จึงเป็นที่มาของการบูรณาการทักษะทั้งหมดมาใช้ประโยชน์  

เพราะว่าค่าจ้างนักวาดมาทำภาพปกนิยาย หรือวาดภาพตัวละคร แพงงงงมากค่ะ หรืออย่างน้อยใช้ภาพจาก Ai ก็ต้องมีการปรับแต่งอยู่ดี

มีประโยขน์ก็ตอนนี้แหละค่ะ วาดปกเอง ทำ Artwork ส่งโรงพิมพ์เอง  จัดหน้า+ทำรูปเล่มเอง  ประหยัดค่ะ ยังไม่รู้เลยว่าเขียนนิยายจบแล้วทำเป็น E-Book จะพอมีคนอุดหนุนบ้างหรือไม่  นักเขียนหลายคนขาดทุนยับเพราะจ้างวาดปกมาแพง แต่ขายอีบุ๊คไม่คุ้มค่าปกค่ะ

ภาพข้างบนยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี  เอามาใช้เล่าเรื่องให้ทุกคนได้อีกเรื่องนึงค่ะ...



ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ สู้ๆๆๆ






กุมภาพันธ์ 07, 2567

ศิลปกรรมแห่งความน่ากลัว : Art of Horror

 




ขออวดภาพวาดด้วยสีอะคริลิคฝีมือตัวเองกันสักหน่อยนะคะ

ใครอยากสนับสนุนนักวาดวัยเกษียณคนนี้ติดต่อทักมาได้ อิอิ  ได้ไอเดียว่าขายเป็น Art Print ก็น่าจะพอไหวอยู่นะคะ (ตามไปเปย์ได้ใน Shopee ค่ะ เปิดร้านรอไว้ปล่อยของแล้วค่ะ 5555)

ตัวผู้เขียนเองก็สั่งทำเป็นภาพพิมพ์บนผืนผ้าใบไว้ติดข้างฝาห้องแบบหนุกๆ ค่ะ  คือติดแทนรูปภาพสีน้ำอันเก่าที่วาดเอง(อีกเหมือนกัน) ซึ่งติดไว้นานจนชักจะชินตาเกินไปแล้ว  ขอเปลี่ยนอารมณ์หน่อย5555

คือชอบคู่สีในภาพมากค่ะ  ชอบสีเขียวอมฟ้าแบบนี้ พอจับคู่กับโทนชมพูละก็ สวยดี

ทว่าเนื้อหาของภาพออกจะดูไม่โรแมนติก ออกแนวน่ากลัว ผสมหลอนนิดๆ  

มานั่งนึกดูก็สงสัยตัวเองว่ามีรสนิยมจริงๆแล้วชอบงานหลอนๆแบบนี้เหรอ😓

น่าคิดค่ะ...คือว่าชอบดูหนังผี หนัง thriller มากกว่าหนังรัก  หนังสอบสวนก็ดูบ้างนะคะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ คือดูแล้วต้องคิดเยอะ  ปวดหัวค่ะ  เอาสมองมาใช้ทำงานดีกว่า

ทุกวันนี้เพิ่งค้นพบว่าการเป็นนักเขียนนี่ใช้ความคิดเป็นอย่างมาก  คือ ต้องคิดทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แถมจินตนาการว่าตัวละครจะพูดอย่างไร และมีอารมณ์แบบไหน

แล้วมาเป็นนักเขียนเอาตอนอายุมากแล้วนี่...เหนื่อยค่ะ  สุขภาพจะไม่ไหวเอาล่ะ 

คือพอใช้สมองเยอะ  ก็ออกอาการปวดหัว และอ่อนเพลียมาก เวลาคิดไม่ออกแต่มันต้องเขียนแล้วอะค่ะ  เพราะตั้งใจว่าจะ upload ตอนใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละสองตอน

บางช่วงยอดอ่านขึ้นสูง มีคนมากดหัวใจให้ ก็รู้สึกฮึดๆๆๆ  จะเขียนให้ได้สามตอนต่อสัปดาห์

ปรากฏว่า...แทบจะป่วย 

ตกลงว่าชีวิตนี้จะเขียนนิยายได้กี่เรื่อง

เดี๋ยวต้องไปพักร่าง พักใจด้วยการกลับไปวาดรูปดีกว่าค่ะ  มันคือการปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง  ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อนักอ่าน5555  และ....การเลี้ยงชีวิต


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ




#Art of Horror  #ศิลปกรรมแห่งความน่ากลัว



มกราคม 24, 2567

นับหนึ่งแล้วกว่าจะไปต่อได้ถึงสิบ

 


เส้นทางที่เดินอยู่นั้นช่างแสนยาวไกล  อาจจะเป็นเพราะหักโหมมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น  เพราะว่าตัวเองนั้นอายุมิใช่น้อย

การเกษียณนั้นผ่านมานานหลายปี จนไม่อยากจะนึกถึงแล้วค่ะ อยากจะมองไปข้างหน้าเท่านั้น

แต่ดูแล้วว่าพลังแห่งความวิริยะอุตสาหะทำให้ผู้เขียนสุขภาพแย่ลง

จากช่วงแรกๆทำงานวันละ 15 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้ต้องลดเหลือวันละ 12 ชั่วโมง ไม่งั้นลากสังขารไม่ไหว

ทั้งนอนไม่หลับด้วยอาการตามวัย  ทำให้เวลาที่อยากนอนก็นอนไม่หลับ พอนอนคิดงานไปด้วย ตื่นมาก็สมองตื้อ เวียนหัวไปทั้งวัน

บางช่วงแอบมีจิตตก  รู้สึกว่าพยายามแค่ไหนก็เหมือนคลานเป็นเต่า...ไม่ได้ตามเป้าหมายซะที

แต่ว่าถ้าไม่เริ่ม...ก็ยิ่งไปต่อ 3,4,5...ได้ยาก

อันนี้เรื่องจริงค่ะ...มัวแต่รอทำอย่างหนึ่งให้เก่ง แล้วไม่เริ่มหัดทำอย่างอื่นไปด้วยพร้อมๆกัน  ต่อไปถ้าเกิด trend เคลื่อนมา เราก็ต้องวิ่งตาม trend แบบกระหืดกระหอบ เพราะว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ+ทำไม่เป็น+ไม่มีทักษะ

เหมือนตอนนี้เทรนด์นิยายวาย กับนิยายจีน มาแรงมาก  แต่เราไม่ get และ no idea มากๆกับนิยายแนวนี้

เราโตมากับนิยายรัก นิยายสะท้อนสังคม อะไรเทือกนี้แหละค่ะ  ก็แน่ล่ะ...สมัยก่อนไม่มีเรื่องเสรีทางเพศ หรือเรื่อง LGBTQ

ส่วนนิยายจีนนี่ที่จริงอยากเขียน  แต่ต้องสะสมข้อมูลอีกสักพักค่ะ  พักใหญ่...สงสัยป่านนั้นตลาดเลิกสนใจไปเรียบร้อย 55555

นั่นเป็นตัวอย่างของ trend ที่มีผลมากต่อการสร้างรายได้ค่ะ  แต่ถ้าไม่แคร์เรื่องรายได้ก็จะมีความสุขในการเขียนมากขึ้นนะคะ


อยากมีความสุข แต่ก็แคร์เรื่องรายได้ค่ะ 5555


ถือซะว่าตอนนี้ได้นับ หนึ่ง แล้วนะคะ  .... ก็คงจะต้องคลานกันต่อไปอีกค่ะ  แค่ไหนแค่นั้น รู้สึกว่าชีวิตอาจไม่ได้ยืนยาว  ไม่รู้ว่าวันไหนจะหมดเวลา  เราก็ใช้ชีวิตมาเกินครึ่งแล้วนี่


ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตนะคะ.