กุมภาพันธ์ 21, 2567

กลับไปสู่จุดเริ่มต้น (บ้าง)

 


วันนี้ขอกลับไปจุดเริ่มต้น เพื่อเป็นการพักสมองบ้างค่ะ  

คือการเขียนนิยายนี่มันเหนื่อยจุง...ฮ่าาาา ปวดหัว เวลาคิดไม่ออกนี่มันสุดๆค่ะ อย่างไรก็ตามเขียนได้จบเรื่องแน่นอน  งานนี้จะจบประมาณตอนที่ 80-84  ถือเป็น Masterpiece ของชีวิต Post-Retirement เลยทีเดียว  ใช้เวลาไปเกือบ 8 เดือนแล้วเนี่ยสำหรับนิยายเรื่องนี้

พอเริ่มเขียนไปสักพักใหญ่ คือล่วงเลยมาจนตอนที่ประมาณ 6  จะเริ่มเข้าสู่ภาวะลื่นไหล  อ๊าาา...ที่จริงเราก็เขียนได้นี่หว่า  จากที่เคยคิดมาตลอดว่าจะรอดมั้ย  เพราะช่วงที่ยังทำงาน หมายถึงตอนก่อนเกษียณนะคะ  พยายามกลับมาเขียน  มักจะเขียนไม่ออก  ช่วงเขียนออกก็มีค่ะ แต่เอาแน่ไ่ม่ได้  จับทางตัวเองไม่ถูกว่าต้องทำยังไงจึงจะทำให้เขียนได้อย่างลื่นไหลไปแต่ละย่อหน้าได้

ตอนนี้นิยายกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น  และคนเขียนเหนื่อยมาก  ฮ่าาาา  ขอกลับมาพักวาดรูปค่ะ

เพราะที่จริงแล้วงานวาดรูปเป็นสิ่งที่มาก่อนงานเขียนนิยาย และงานอื่นทั้งปวง

จากตอนเด็กๆก็วาดไปบนกระดาษเหลือใช้จากที่ทำงานของพ่อ... ซึ่งพ่อขนกลับมาบ้านเพราะตั้งใจให้ลูกใช้ทดเลข5555 

ปรากฎว่าลูกเอามาวาดรูปเล่นค่ะ

แล้วก็เอาตัดเล่น เป็นตุ๊กตาบ้าง  พับนกบ้าง  ตามประสาเด็กยุค 70

พอร้องจะให้พ่อซื้อสีน้ำหลอดสังกะสีเป็นชุดๆให้หน่อย  ก็โดนดุอีก  แต่สุดท้ายก็ได้มาแหละค่ะ  แต่พอเอามาระบายสีเท่านั้นก็โดนตีมืออีก   เพราะว่าผู้เขียนระบายออกนอกเส้น5555

เอาเป็นว่าผู้ใหญ่ในสมัยโน้นเค้าก็ไม่เข้าใจเรื่องศิลปะอะไรมากมายหรอกค่ะ  ช่างไม่รู้เล้ยยยย  ว่าผู้เขียนน่ะมีความสามารถพิเศษทางนี้  เพราะพอโตมาอีกหน่อย ครูที่โรงเรียนเอาภาพเขียนสีเทียนไปส่งประกวดยังต่างประเทศ  ผู้เขียนได้รางวัลซะงั้น  และได้รางวัลเกี่ยวกับการประกวดภาพวาดอีกเรื่อยๆจนโต (ขออวดหน่อย)

แต่สรุปว่า...เวลาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย  ห้ามเลือกคณะเกี่ยวกับการวาดรูป  

เอาเถอะค่ะ  อะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันดีเสมอ  เพราะว่าเป็นศิลปินวาดรูปในยุคนั้นกินเกลือแน่นอน  

ตั้งแต่เกษียณมาก็ได้วาดรูปมากขึ้นค่ะ  ก็รู้สึกว่าฝีมือพัฒนาขึ้นเหมือนกัน  ที่จริงพัฒนามากขึ้น เพราะผู้เขียนไปเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพ  ทีนี้เลยเข้าใจเรื่องธรรมชาติของแสงค่ะ

กับอีกทักษะที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ ทักษะของการเป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์  คือการใช้โปรแกรมแต่งภาพ ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Lightroom โปรแกรมวาดเวคเตอร์ Illustrator , Indesign , Procreate ฯลฯ ตอนนี้ผู้เขียนทำได้หมดอย่างชำนาญพอตัวเลยทีเดียว

จึงเป็นที่มาของการบูรณาการทักษะทั้งหมดมาใช้ประโยชน์  

เพราะว่าค่าจ้างนักวาดมาทำภาพปกนิยาย หรือวาดภาพตัวละคร แพงงงงมากค่ะ หรืออย่างน้อยใช้ภาพจาก Ai ก็ต้องมีการปรับแต่งอยู่ดี

มีประโยขน์ก็ตอนนี้แหละค่ะ วาดปกเอง ทำ Artwork ส่งโรงพิมพ์เอง  จัดหน้า+ทำรูปเล่มเอง  ประหยัดค่ะ ยังไม่รู้เลยว่าเขียนนิยายจบแล้วทำเป็น E-Book จะพอมีคนอุดหนุนบ้างหรือไม่  นักเขียนหลายคนขาดทุนยับเพราะจ้างวาดปกมาแพง แต่ขายอีบุ๊คไม่คุ้มค่าปกค่ะ

ภาพข้างบนยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี  เอามาใช้เล่าเรื่องให้ทุกคนได้อีกเรื่องนึงค่ะ...



ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ สู้ๆๆๆ






กุมภาพันธ์ 07, 2567

ศิลปกรรมแห่งความน่ากลัว : Art of Horror

 




ขออวดภาพวาดด้วยสีอะคริลิคฝีมือตัวเองกันสักหน่อยนะคะ

ใครอยากสนับสนุนนักวาดวัยเกษียณคนนี้ติดต่อทักมาได้ อิอิ  ได้ไอเดียว่าขายเป็น Art Print ก็น่าจะพอไหวอยู่นะคะ (ตามไปเปย์ได้ใน Shopee ค่ะ เปิดร้านรอไว้ปล่อยของแล้วค่ะ 5555)

ตัวผู้เขียนเองก็สั่งทำเป็นภาพพิมพ์บนผืนผ้าใบไว้ติดข้างฝาห้องแบบหนุกๆ ค่ะ  คือติดแทนรูปภาพสีน้ำอันเก่าที่วาดเอง(อีกเหมือนกัน) ซึ่งติดไว้นานจนชักจะชินตาเกินไปแล้ว  ขอเปลี่ยนอารมณ์หน่อย5555

คือชอบคู่สีในภาพมากค่ะ  ชอบสีเขียวอมฟ้าแบบนี้ พอจับคู่กับโทนชมพูละก็ สวยดี

ทว่าเนื้อหาของภาพออกจะดูไม่โรแมนติก ออกแนวน่ากลัว ผสมหลอนนิดๆ  

มานั่งนึกดูก็สงสัยตัวเองว่ามีรสนิยมจริงๆแล้วชอบงานหลอนๆแบบนี้เหรอ😓

น่าคิดค่ะ...คือว่าชอบดูหนังผี หนัง thriller มากกว่าหนังรัก  หนังสอบสวนก็ดูบ้างนะคะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ คือดูแล้วต้องคิดเยอะ  ปวดหัวค่ะ  เอาสมองมาใช้ทำงานดีกว่า

ทุกวันนี้เพิ่งค้นพบว่าการเป็นนักเขียนนี่ใช้ความคิดเป็นอย่างมาก  คือ ต้องคิดทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แถมจินตนาการว่าตัวละครจะพูดอย่างไร และมีอารมณ์แบบไหน

แล้วมาเป็นนักเขียนเอาตอนอายุมากแล้วนี่...เหนื่อยค่ะ  สุขภาพจะไม่ไหวเอาล่ะ 

คือพอใช้สมองเยอะ  ก็ออกอาการปวดหัว และอ่อนเพลียมาก เวลาคิดไม่ออกแต่มันต้องเขียนแล้วอะค่ะ  เพราะตั้งใจว่าจะ upload ตอนใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละสองตอน

บางช่วงยอดอ่านขึ้นสูง มีคนมากดหัวใจให้ ก็รู้สึกฮึดๆๆๆ  จะเขียนให้ได้สามตอนต่อสัปดาห์

ปรากฏว่า...แทบจะป่วย 

ตกลงว่าชีวิตนี้จะเขียนนิยายได้กี่เรื่อง

เดี๋ยวต้องไปพักร่าง พักใจด้วยการกลับไปวาดรูปดีกว่าค่ะ  มันคือการปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง  ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อนักอ่าน5555  และ....การเลี้ยงชีวิต


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ




#Art of Horror  #ศิลปกรรมแห่งความน่ากลัว



มกราคม 24, 2567

นับหนึ่งแล้วกว่าจะไปต่อได้ถึงสิบ

 


เส้นทางที่เดินอยู่นั้นช่างแสนยาวไกล  อาจจะเป็นเพราะหักโหมมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น  เพราะว่าตัวเองนั้นอายุมิใช่น้อย

การเกษียณนั้นผ่านมานานหลายปี จนไม่อยากจะนึกถึงแล้วค่ะ อยากจะมองไปข้างหน้าเท่านั้น

แต่ดูแล้วว่าพลังแห่งความวิริยะอุตสาหะทำให้ผู้เขียนสุขภาพแย่ลง

จากช่วงแรกๆทำงานวันละ 15 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้ต้องลดเหลือวันละ 12 ชั่วโมง ไม่งั้นลากสังขารไม่ไหว

ทั้งนอนไม่หลับด้วยอาการตามวัย  ทำให้เวลาที่อยากนอนก็นอนไม่หลับ พอนอนคิดงานไปด้วย ตื่นมาก็สมองตื้อ เวียนหัวไปทั้งวัน

บางช่วงแอบมีจิตตก  รู้สึกว่าพยายามแค่ไหนก็เหมือนคลานเป็นเต่า...ไม่ได้ตามเป้าหมายซะที

แต่ว่าถ้าไม่เริ่ม...ก็ยิ่งไปต่อ 3,4,5...ได้ยาก

อันนี้เรื่องจริงค่ะ...มัวแต่รอทำอย่างหนึ่งให้เก่ง แล้วไม่เริ่มหัดทำอย่างอื่นไปด้วยพร้อมๆกัน  ต่อไปถ้าเกิด trend เคลื่อนมา เราก็ต้องวิ่งตาม trend แบบกระหืดกระหอบ เพราะว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ+ทำไม่เป็น+ไม่มีทักษะ

เหมือนตอนนี้เทรนด์นิยายวาย กับนิยายจีน มาแรงมาก  แต่เราไม่ get และ no idea มากๆกับนิยายแนวนี้

เราโตมากับนิยายรัก นิยายสะท้อนสังคม อะไรเทือกนี้แหละค่ะ  ก็แน่ล่ะ...สมัยก่อนไม่มีเรื่องเสรีทางเพศ หรือเรื่อง LGBTQ

ส่วนนิยายจีนนี่ที่จริงอยากเขียน  แต่ต้องสะสมข้อมูลอีกสักพักค่ะ  พักใหญ่...สงสัยป่านนั้นตลาดเลิกสนใจไปเรียบร้อย 55555

นั่นเป็นตัวอย่างของ trend ที่มีผลมากต่อการสร้างรายได้ค่ะ  แต่ถ้าไม่แคร์เรื่องรายได้ก็จะมีความสุขในการเขียนมากขึ้นนะคะ


อยากมีความสุข แต่ก็แคร์เรื่องรายได้ค่ะ 5555


ถือซะว่าตอนนี้ได้นับ หนึ่ง แล้วนะคะ  .... ก็คงจะต้องคลานกันต่อไปอีกค่ะ  แค่ไหนแค่นั้น รู้สึกว่าชีวิตอาจไม่ได้ยืนยาว  ไม่รู้ว่าวันไหนจะหมดเวลา  เราก็ใช้ชีวิตมาเกินครึ่งแล้วนี่


ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตนะคะ.










มกราคม 10, 2567

ปรัชญาลุงแสง

 



ตอนที่ 33 นี่ผู้เขียนไปเขียนที่โรงพยาบาลขณะที่กำลังเฝ้าคุณแม่ไปด้วยค่ะ 

คุณแม่ผู้เขียนพอดีต้องไปผ่าตัด ประสาผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวนั่นหละ  ผู้เขียนนอนกับคุณแม่ที่โรงพยาบาลก็เลยพยายามหาเวลามาเขียนนิยายในช่วงคนป่วยหลับบ้าง ทานอาหารบ้าง  คือตั้งแต่เข้าปี 2567 มา ผู้เขียน upload นิยายได้แค่สัปดาห์ละครั้ง

แน่นอนว่ายอด view ค่อยๆร่วง 5555 ใจหายเลย แต่ไม่รู้จะทำไง

คือต้องเฝ้าคุณแม่ กับเทียวพาไปโรงพยาบาลหลายรอบ กว่าจะเข้าสู่กระบวนการผ่าตัด แล้วจนผ่าเสร็จก็ยังต้องมีกระบวนการพาไปให้คุณหมอดูแผล นี่  นั่น โน่น จิปาถะ ไหนในช่วงแรกต้องดูแลใกล้ชิดหน่อย  ท่านจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เต็มที่อีกต่างหาก

โชคดีที่ยอดเก็บเข้าชั้นยังปกติ คือมีนักอ่านบางท่านเอาออก 1 ราย  แต่ก็มีท่านใหม่เก็บเข้าชั้นเพิ่มเข้ามาแทนที่  ถือเป็นนักอ่านที่ผู้เขียนต้องทนุถนอมไว้ให้ได้ค่ะ

ยอดเก็บเข้าชั้นเพียงแค่ตัวเลข 2 หลัก และเพิ่มขึ้นทีละนิดตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา

นี่ก็เข้าเดือนที่ 5 ล่ะค่ะ  แต่อย่าไปเทียบกับนักเขียนท่านอื่นเด็ดขาดดดดด 

เพราะสู้เค้าไม่ได้  5555555

คิดว่าจะสู้เพื่อเขียนให้จบแน่นอนค่ะ

แต่หลังจากนั้นขอคิดอีกที  เพราะ...โหดมาก กว่าจะเขียนให้จบ  ก้อนึกไม่ออกเลยว่าท่านนักเขียนท่านอื่นๆเค้ามีวิธีการกันอย่างไร

บางคนเขียนได้หลายเล่มพร้อมกันในเวลาเดียวกัน

เฮ้อ...ขอถอนหายใจหนึ่งที  555


บางส่วนจากบทที่ 33


           ชายชราผู้เคยเป็นทหารเก่า ท่าทางทะมัดทะแมง ฉะฉานทั้งในคำพูดและกริยา เผยสีหน้าเหมือนกับเข้าใจบางอย่างแจ่มชัดมากขึ้น แม้ว่าเขาเพียงเห็นกชชรีย์ในระยะไกล และไม่มีโอกาสได้พูดคุยอะไรเกินกว่าคำทักทายหรือคำตอบรับสั้นๆ แต่ที่เขาเห็นชัดมากกว่าคือความเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าของบ้านหนุ่มรูปงามคนนี้

           “ชวนเธอมาเที่ยวบ้านบ่อยๆ สิครับ เวลาเธอมา…” เขากลืนเสียงตัวเองลงคอไปเฉยๆ อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อหรือไม่ แต่ประสาที่เป็นคนตรงไปตรงมา และมักถูกติงจากภรรยาว่าเป็นคนพูดขวานผ่าซากอยู่แล้ว เขาจึงสะดุดคิดก่อนพูดต่อ “เวลาเธอมาบ้านดูสดชื่นดีครับ”

            เขาปรับคำพูดแทบไม่ทัน ที่จริงในใจเขาอยากจะพูดว่า ‘เวลาเธอมา คุณโรมดูสดชื่นดีครับ’

           “งั้นเหรอครับ”

            โรมรันยิ้มน้อยๆ  พลางทอดสายตา พร้อมกับถอนใจราวกับหัวใจกำลังแบกรับของหนัก  คล้ายมีบางสิ่งจุกแน่นจนไม่รู้ว่าจะพูดออกไปอย่างไรดี

            ชายหนุ่มไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจุดยืนของตัวเอง และสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ท้ายที่สุดก็กลับมาไร้ซึ่งคำตอบ

            “ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืดยาวอะไรหรอกครับ คิดอยากทำอะไร...ต้องรีบทำ”

               ลุงแสงเผยลอยๆ ถึงประโยคปรัชญาชีวิตที่โรมรันมักอ่านพบเกลื่อนไปในหนังสือ ซึ่งสิ่งที่แกพูดมันเป็นคนละเรื่องกับที่เอ่ยถามถึงกชชรีย์เมื่อครู่นี้  โรมรันมีแววสนเท่ห์ในความหมายที่แฝงในประโยค ไม่แน่ใจถึงสิ่งที่ชายสูงวัยต้องการจะบอก กระนั้นแล้ว หลังแกพูดจบ ก็ขอตัวไปเดินตรวจตรารอบบ้านต่อแบบดื้อๆเสียอย่างนั้น



ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน ReadAWrite :

https://www.readawrite.com/a/d13147cea2381ce84bd0311b83558d6f


ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว บน DekDee :

https://dekd.co/w/n/2518272