พฤษภาคม 07, 2559

Julie & Julia ชีวิตคู่กับการทำอาหาร : Inspired by Movie



ฉันได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรกทาง cable TV เมื่อสองสามเดือนก่อน  รู้สึกประทับใจถึงภาพอาหารสวยๆ กับเนื้อเรื่องที่เล่าเรื่องของผู้หญิงสองคนที่อยู่ต่างยุคกัน  แต่สองสาวสองรุ่นมาเกี่ยวโยงกันด้วยการทำอาหารนั่นเอง

อย่างที่ไม่เคยได้สนใจการทำอาหารมาก่อน และเพิ่งมาเริ่มสนใจเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เคยรู้จัก Julia Child (1912-2004) (https://g.co/kgs/gdCVX) ว่าเธอคือสาวอเมริกันที่ได้ไปใช้ชีวิตในฝรั่งเศสจนกระทั่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารซึ่งตีพิมพ์ซ้ำๆกันถึงปัจจุบัน 50 ครั้ง เมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ทำให้รู้สึกมีแรงบันดาลใจในการทำอาหารขึ้นมาทีเดียว

Julie เป็นหญิงสาวที่เกิดต่างยุคกับ Julia  ความเกี่ยวโยงของคนทั้งสองเกิดขึ้นเมื่อ Julie รู้สึกอยากจะมีตัวตนขึ้นมาในโลก cyber เธอจึงเขียน blog เล่าประสบการณ์ของเธอในการทำอาหารตามวิถีของ Julia ผ่าน Cook Book อันโด่งดัง Mastering the Art of French Cooking

จากภาพยนตร์  Julia เองไม่ได้เป็นคนมีพื้นฐานการทำอาหารมาก่อน จับมีดยังไม่เป็นด้วยซ้ำ เมื่อได้ย้ายตามสามีไปอยู่ที่ฝรั่งเศส อยากหาอะไรทำ จึงได้ไปเรียนด้านการทำอาหารที่ Le Cordon Bleu สถาบันสอนทำอาหารที่มีชื่อเสียงมาก (ปัจจุบันมีสาขาในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย)  เรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับการผจญภัยจึงเกิดขึ้น ตลอดการเรียนรู้เรื่องการทำอาหารที่นั่น

แน่นอนว่าแม้เราจะไม่ได้ทำสิ่งใดได้ดีมาตั้งแต่ต้น  ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก้อสามารถทำได้  หากเราตั้งใจจริง

ความสำเร็จของ Julia ไม่เพียงกลายมาเป็นแม่ครัวที่เก่งกาจ  แต่เธอยังได้เขียนหนังสือ Cook book ที่ยังคงโดดเด่น และโด่งดัง ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียนอีกด้วย  ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการมีพรสวรรค์  ดังนั้นถ้าคิดจะทำอะไรแล้วอย่าบอกตัวเองว่า "ฉันคงไม่มีพรสวรรค์ "เป็นข้ออ้างของคนที่ไม่มุ่งมั่น จริงจังกับสิ่งที่จะทำ  

สาว Julie เป็นสาวอเมริกันรุ่นหลาน เกิดในปี 1973 (https://g.co/kgs/U5mH9) ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน หน้าที่การงานไม่ได้โดดเด่น  แต่งงานและอยู่ร่วมกับสามีใน apartment เล็กๆ แต่เธอก็มีความสุขในการทำอาหารหลังจากเลิกงาน และในวันหยุด

มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองขึ้นมา  ฉันเป็นมนุษย์เงินเดือนที่แทบไม่เคยกลับบ้านหลังห้าโมงเย็น  ต้องกินอาหารนอกบ้านแทบทุกมื้อ  แต่ก็รู้ว่ารสชาติอาหาร Home made ทำกินเองที่บ้านนั้นมันอร่อยล้ำเลิศแค่ไหน แต่ว่า...ก้อมันไม่มีเวลา และ ไม่มีพรสวรรค์  5555

วันนี้ได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง  ฉันดูอย่างตั้งใจ ซึมซับอย่างประทับใจ

ตลอดทั้งเรื่องชีวิตสองสาวดำเนินคู่กันไปราวกับเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน  ความสำเร็จ และเสียงหัวเราะไม่ได้เป็นด้านเดียวของชีวิต

ในอีกด้านหนึ่งมีความผิดหวัง  อุปสรรค  ความผิดพลาด และ การก้าวข้ามจากความไม่รู้ ไปสู่ความรู้

สามีของทั้งสองสาวเป็นผู้คอยให้กำลังใจ และสนับสนุนในทุกสิ่งที่เธอพยายามจะทำ  นั่นเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดของชีวิตคู่

ภาพยนตร์จบลงด้วยความสมหวัง  Julia ได้จัดพิมพ์หนังสือสมความตั้งใจ และ Julie กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงจาก Blog ของเธอ

สองความสำเร็จของสองสาวสอนฉันในหลายเรื่องทีเดียว...: )









เมษายน 10, 2559

Passion in Cooking

จริงๆแล้วขอบอกเลยว่าเป็นคนไม่ได้พิศมัยเรื่องอาหารมาก่อนเลย  เรียกได้ว่าเป็นพวกกินเพื่ออยู่จริงๆ ก้อเลยมีร่างกายที่ผอมเพรียวเป็นที่น่าอิจฉา  5555  กว่าคนวัยเดียวกันซึ่งมักจะท้วม-อวบ-อ้วนไปตามวัย

การเป็นคนผอมเลยทำให้ดูไม่ค่อยจะแก่  ฮ่าาาา แต่เมื่ออายุมากขึ้น ทำไมจึงคิดมาสนใจเรื่องอาหารมากขึ้นก้อไม่รู้   หรือจะเป็นเพราะสื่อสมัยนี้ชอบพาไปดูรูปอาหารที่ถ่ายภาพออกมาสวยๆ  คนวาดรูปก้อวาดรูปอาหาร Post  โชว์กันตาม  social media อย่างแพร่หลาย  กลายเป็นว่าเกิดอยากจะวาดรูปอาหารบ้าง  และอยากจะกินขึ้นมาเวลาเห็นรูปอาหารสวยๆ ซะแล้วสิ

ด้วย Life Style ที่ต้องทำงานเต็มเวลา อาหารเช้าไม่ต้องพูดถึง แทบไม่เคยรู้จัก  อาหารเย็นกินตอนประมาณสองทุ่มก้อบ่อย  พอเสาร์อาทิตย์ก้อเหนื่อยล้ามากมาย ตื่นมาทำอาหารเช้าไม่ไหว  ได้แต่ซดกาแฟปรุงสำเร็จอยู่กับบ้าน  ไม่อยากจะกระดิกขับรถออกไปตะเวณที่ไหนอีก  เบื่อรถติด

นานๆทีก้อจะลุกขึ้นมาทำอาหารกินเองบ้าง  ยิ่งตอนออกจากโรงพยาบาลหลังจากผ่าตัด จำได้ดีว่าหมอห้ามเคี้ยวสองเดือน  กินอะไรกับชาวบ้านเค้าไม่ได้  ต้องทำอาหารกินเอง  ถึงได้รู้รสชาติของชีวิตว่าต้องพึ่งตัวเองให้ได้

ความสนใจไม่ได้มีเพียงเรื่องอาหาร  ยังสนใจไปถึงวัตถุดิบการทำอาหาร โดยเฉพาะพวกพืชผักต่างๆ ก้อรู้สึกตื่นเต้นเวลาได้เห็นพวกผักเขียวๆบนแปลง หรือผักสดตามซุปเปอร์มาร์เกต  รู้สึกว่ามันมีอีกโลกนึงที่ฉันไม่เคยรู้จัก  เป็นโลกใหม่  จากเดิมที่เข้าร้านหนังสือทุกครั้งที่เข้าห้างสรรพสินค้า  เดี๋ยวนี้พยายามเข้าซุปเปอร์มาร์เกตให้บ่อยขึ้นเหมือนกัน  เพื่อจะได้รู้จักพวกเครื่องปรุงต่างๆ กับพวกวัตถุดิบแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือของนอก  ให้เหมือนกับเวลาเดินเข้าร้านขายเครื่องเขียน  ซึ่งฉันจะรู้เยอะเกี่ยวกับพวกสี หรือดินสอ ปากกา




คนทำกับข้าวเก่งๆอาจจะนึกขำกับรูป วิธีอุ่นข้าวด้วยไมโครเวฟข้างบนที่นั่งทำจากรูปที่ถ่ายด้วย Iphone แล้วเอามาทำต่อใน Photoshop อีกที เพื่อเตือนความจำตัวเอง  เพราะชอบลืม  โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องกิน  คือว่านานๆทำทีนึงไง  ต้องมาเริ่มทดลองใหม่ทุกที ว่าคราวก่อนนั้นทำยังไง จำไม่ได้ซะงั้น

ทำไว้เตือนตัวเองคงไม่เป็นไร   เดี๋ยวอีกสองวันยังต้องไปทำงานก่อนหยุดยาวช่วงสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงหาของกินยาก  เพราะพ่อค้าแม่ค้ากลับต่างจังหวัดกันหมด  ร้านปิด ไม่มีไรกินล่ะทีนี้

เอาเป็นว่าต้องรอดตายให้ได้ก่อนช่วงสงกรานต์นี้ละกันนะจ๊ะ.




กุมภาพันธ์ 27, 2559

หัดเขียน Hand lettering


วันนี้ลองเอาสี gouache หรือไทยแลนด์บ้านเราชอบเรียกสีโปสเตอร์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าตกลงเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า  สมัยเด็กๆ สีโปสเตอร์ที่รู้จักขายเป็นขวดๆ ที่โรงเรียนจะบอกว่าให้ไปซื้อแม่สีมา  แล้วค่อยมาผลมให้เป็นสีต่างๆ ตามวงจรแม่สี  ตอนนั้นทำตามๆที่อาจารย์สอน ผสมสีมั่วไปมั่วมา  สีออกมาดำๆเป็นสีเน่าซะส่วนใหญ่ ฮ่าาา

สี gouache ต่างกับสีน้ำ ทั้งที่มันมาในรูปแบบที่คล้ายกันมาก เวลาเราซื้อสีก้อนๆอยู่ในหลุมถาด ที่ขายเป็น palett แบบเป็น set ทำให้บางทีแยกไม่ค่อยออก ถ้าไม่อ่านฝากล่องดีๆ ว่าเค้าเขียนว่าอะไร อาจจะซื้อมาผิดได้  สีน้ำจะมีความใสโปร่งแสงกว่าสี gouache และสีน้ำเกรดดีๆหน่อยราคาจะแพงกว่ามากๆ  และสีน้ำมีในแบบหลอดและแบบเป็นก้อน  ส่วนสี gouache ยังไม่เคยเห็นแบบหลอดนะโดยเฉพาะในเมืองไทย

เนื่องจากสี gouache มีความทึบแสงกว่า จึงสามารถระบายทึบได้ดี  วันนี้เลยเอามาลองเขียนตัวหนังสือเล่นๆ  เขียนออกมาแล้วสีสดมาก  สีกล่องนี้ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากน้องๆที่ทำงาน ซึ่งเค้าให้มาหลายปีมากๆ สงสัยว่าคนให้คงลืมไปแล้วด้วยว่าเคยให้  จำได้ว่าตอนนั้นดีใจมาก เพราะแบรนด์นี้แพงสุด  น้องๆเค้าคงสงสัยเหมือนกันว่าสีอะไรหนอ ทำไมมันช่างแพงอย่างนี้

อืมห์ ไม่แพงได้ไง  ก้อแบรนด์ carandache สิคะ  แต่ว่าคุ้มมากนะคะ เพราะทนทานมาก ไม่มีขึ้นรา สีสดใสดังเดิม แม้ว่ากล่องพลาสติกจะเริ่มเหลืองแล้วก็ตาม

 
 
ยังไงก็ตาม " Practice makes better " เสมอนะจ๊ะ  ฝึกเขียนกันต่อไปค่ะ