กรกฎาคม 31, 2568

Early Retire ดีไหม ภาค 1/2

 


Early Retire ดีไหม

ผู้เขียนเชื่อว่ามีหลายคนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง เมื่อเกิดมีโครงการภาคสมัครใจ หรือ ภาคไม่สะดวกใจ(คือ แบบกดดันให้ออก)  บังเกิดขึ้นในสถานที่เราทำงานกันอยู่

อาจมีเพื่อนหลายคนช่วงวัยใกล้กัน แต่อาจทำงานที่อื่น เคยมาบอกเล่าชีวิตเรื่องราวหลังจากที่ได้ออกจากชีวิตการทำงานไปหลายรูปแบบ

ผุ้เขียนก็เป็นคล้ายๆกันคือ พอรู้ว่ามีเพื่อนวัยใกล้กัน หรือเรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันได้ตัดสินใจ early ออกไปก็จะรู้สึกตกใจก่อนเป็นอย่างแรก  จากนั้นก็ถามตัวเอง ว่าถ้าเป็นเรา  เราจะสมัครไหม แล้วมันจะดีไหม

พบว่าหลายคนพอได้ออกจากบริษัทไปแล้วก็ตระเวณตะลุยเที่ยวๆๆๆๆกันเป็นส่วนใหญ่  ราวกับว่าเป็นสิ่งที่โหยหามาตลอด บางคนซื้อของที่อยากได้ บางคนซื้อรถคันใหม่ (ตอนอยู่บริษัทใช้รถประจำตำแหน่ง พอออกไปแล้วก้อยังคุ้นชินชีวิตที่ต้องใช้รถยนตร์ส่วนตัว)

แต่สำหรับผู้เขียนแล้วพอออกมาไม่ไปเที่ยวไหนเลย  อยากเก็บเงินเอาไว้นานๆ พอดีไม่ใช่คนชอบเที่ยว ส่วนรถยนตร์ก็ใช้คันเดิมที่ผ่อนหมดแล้ว 

ได้ข่าวมาว่าพี่คนที่ออกมาพร้อมกันถอยรถป้ายแดงคันละล้านบาทเศษ  อีกคนก็ซื้อรถใหม่เหมือนกันอ้างว่าต้องใช้ประกอบการทำมาหากิน ล้านนิดๆเหมือนกัน

ขนาดว่าผู้เขียนพยายามระมัดระวังทางการเงินอย่างสุงสุด ยังไม่รอด...คือยังไงเงินก็หายไปทุกวัน กับการใช้ชีวิตตามปกติ ท่ามกลางภัยพิบัติปกติที่หลายคนก็เจอ  เช่น  โควิท แผ่นดินไหว ถูก disrupt ด้วยเทคโนโลยี สงครามการค้าที่รุนแรง  การไหลท่วมของสินค้าจากประเทศขนาดใหญ่  เศรษฐกิจย่ำแย่ ฯลฯ

ชีวิตทุกวันของผู้เขียน ถ้าวันไหนคิดเรื่องเงินก่อนนอน คืนนั้นจะนอนไม่หลับ ฮ่าาาาา

หลายคนที่ออกจากงานต้องดิ้นรนหาธุรกิจใหม่ทำ รู้หรือยังว่าความรู้ไม่ใช่ของฟรี  เวลาบริษัทเรียกไปอบรม หรือสัมมนาอะไรไม่รู้จักเห็นคุณค่ากันใช่ไหม  ว่าบริษัทต้องจ่ายเงินหาครูดีๆมาคอย upskill ให้พนักงาน แต่พนักงานไม่สนใจ อันนี้ไม่รวมตัวผู้เขียนนะ  เพราะเป็นคนรักความรู้ ไม่เคยพลาดสัก course เดียว 

ยิ่งช่วง outing สัมมนาทำ business plan ประจำปีนี่ชอบมาก  ได้เห็นภาพกว้างของธุรกิจ และได้เข้าใจว่าหน่วยงานอื่นเค้าทำงานอะไรกัน มีปัญหาอะไรกัน นี่ละ...หัวใจเลย  ถ้าเราเข้าใจว่าทีมทำอะไร  เราก็จะ engage กับภาระกิจของบริษัท และนี่คือทีม

พอมาทำธุรกิจเอง แค่คำถามข้อแรกว่าจะทำอะไรดี  เชื่อว่าหลายคนหมดเงินไปหลายบาทกับการซื้อคอร์ส เพื่อตอบคำถามนี้  55555 และตามมาด้วยทำอย่างไรให้สำเร็จธุรกิจนั้นได้เงินเป็นแสน เป็นล้าน  ภายใน...ปี ขอหัวเราะอีกที 5555

ยังไม่รู้จะทำธุรกิจอะไร ก็ต้องจ่ายตังค์แล้วค่ะ 

สมมุติพอรู้ว่าจะทำอะไร ก็ต้องไปหาความรู้เพิ่มอีกว่า คนที่เขาทำสำเร็จนั้นเขาทำอย่างไร แล้วที่เห็นว่ามาโชว์ยอดขายกันเป็นแสนเป็นล้านนั้น  ทำตามเขาบอกแล้วจะได้เหมือนเค้าไหม ในเมื่อสถานการณ์มันคนละช่วงเวลา  สภาพพฤติกรรมผู้บริโภคมันเปลี่ยนเร็วมากนะคะ

ปี 2567 เริ่มมีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาอีก  อันนี้ยิ่งเป็น Game Changer หนักกว่าเดิม

กว่าจะตอบคำถามได้ว่า Early Retire ดีไหม เลยต้องมีสองภาค

คำตอบสำหรับภาคที่ 1 คือ...

ดีไหม...ก็ต้องขอตอบว่า  ดี ถ้าคุณออกมาแล้วยังมีรายได้เข้ามา  เช่น คุณมีธุรกิจอะไรสำรองอยู่แล้ว เอาแบบธุรกิจนั้นอยู่ตัวในระดับหนึ่งแล้วนะ  ไม่ใช่เพิ่งเริ่ม คือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอจะดีมาก

สอง  คุณไม่ควรมีหนี้ หรือสร้างหนี้เด็ดขาด เรื่องหนี้ไม่ค่อยมีใครพูดกับใครตรงๆ คือถ้ามีหนี้ก็มักจะคิดว่า อยากได้เงินจากการ early ไปปลดหนี้  ซึ่งอย่าลืมว่า ถ้าคุณไม่ได้มีที่ทำงานใหม่รอรับช่วงต่อ  เอาเงินไปใช้หนี้แล้ว  แต่ในระยะยาวคุณจะใช้ชีวิตยังไง เงินจะพอไหม เพราะถ้าไม่พอ มีแนวโน้มว่าคุณอาจกลับไปเป็นหนี้  แล้วทีนี้ถ้าไม่มีรายได้ที่มั่นคง สถาบันการเงินจะมีปัญหากับการให้กู้....แล้วถ้าคิดจะไปกู้นอกระบบละก็...คราวนี้พังแน่

สาม  ไม่มีหนี้ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมหาศาล ต้องรับผิดชอบชีวิตคนหลายคน อันนี้ก็ต้องระวัง  เพราะพอไม่มีรายได้ประจำ แต่ค่าใช้จ่าย...ยังมาเป็นประจำ...5555



ภาพการสนทนาข้างบนคงจะสะเทือนใจกันไม่มากก็น้อยนะคะ  ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมันกดดันเหลือจะรับค่ะ น้องที่ chat มาหาผู้เขียนเหมือนอยากจะระบาย มากกว่าจะอยากถามอย่างจริงจังว่า Early Retire ดีไหม

ใครที่ยังทำงานอยู่ก็ขอให้เตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้เผื่อบ้างนะคะ  ต้องมีอาชีพสำรอง อาชีพเสริมกันบ้าง แต่ก็ต้องไม่ลืมจะทุ่มเทให้งานประจำมากกว่า เรารับเงินเขาแล้ว ก็ต้องมีความเป็นมืออาชีพ  ต้องซื่อสัตย์ต่อคนที่เขาจ่ายให้เรา คือบริษัทค่ะ ไม่ใช่เจ้านาย (อ่าวววว5555)

จบภาค 1 ค่ะ  น่าจะได้ข้อคิดกันไปถามตัวเองกันบ้างเน้อ


ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ


กรกฎาคม 24, 2568

ตัวละครที่ถูกลืม

 


และแล้วก็เขียน "เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ" ยังไม่จบเลยค่ะ น่าจะเขียนมาได้ประมาณ 1 ปี พอดี ผ่านมาแล้ว 54 ตอนอย่างมุนานะกันต่อไป5555

อันที่จริงงานเขียนนิยายนี่ก็ใช้เวลาค่อนข้างมากที่สุดในบรรดางานที่ผู้เขียนทำ

จะไม่ให้ใช้เวลามากได้อย่างไรคะ ไม่ได้จะอ้างว่าต้องรออารมณ์ก่อนเขียนหรอกนะคะ ผู้เขียนหลุดพ้นจากจุดนั้นมานานแล้วค่ะ  ไม่ต้องรอเกิดอารมณ์ สุดท้ายต้องเขียนเพราะความรับผิดชอบต่อนักอ่านค่ะ

เขียนนิยายมีทั้งการหาข้อมูล และออกแบบเนื้อเรื่องให้เกี่ยวพันซึ่งกัน และต้องคิดทุกฉากทุกตอน กว่าจะออกมาได้แต่ละตอนโอ้โห...

ขนาดว่าพยายามคิดและออกแบบอย่างดีที่สุด เขียนไปเขียนมา ก็ดันลืมให้ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญโผล่เข้ามาในเรื่องน้อยไปสักนิด

ในเรื่องนี้ก็คือ "ระบิล" เชฟหนุ่มอดีตแฟนของนางเอกค่ะ ที่จะมีส่วนสำคัญในช่วงท้ายเรื่อง สงสัยว่าผู้เขียนจะมัวไปใส่บทให้คนนั้นคนนี้ จนกว่าจะถึงระบิลก็เว้นว่างไปหลายบทค่ะ 

สิ่งที่อยากจะบอกเล่าใน post นี้มากที่สุด...คือผู้เขียนเพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ว่าตัวละครมีชีวิตเป็นอย่างไร

ในช่วงต้นๆของเรื่อง ระบิลก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างคนสำคัญเท่าไหร่ค่ะ เพราะเขาไม่ใช่พระเอก5555 แต่ผู้เขียนก็จงใจให้เขาเป็นผู้ชายจุกจิก ปากร้ายหน่อยๆ ตามประสาเป็นเชฟที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด แถมยังมีขี้ใจน้อยเสียอีก  

เขาก็มีความน้อยใจละว่าถูกนางเอกทิ้งไปแต่งงานกับคนรวย  น่าสงสารใช่ไหมคะ

พอมาตอนที่ 54 เท่านั้นแหละ เขาได้พูดบางประโยคออกมา  พอผู้เขียนพิมพ์ตัวอักษรสุดท้ายบนแป้นคีย์บอร์ดเสร็จ กลับรู้สึกหดหู่และทรมานใจอย่างประหลาดค่ะ

รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยกับชะตากรรมของเขา มันเหมือนว่าเขามีตัวตนอยู่จริงๆ 


         “ภัสออกไปรอข้างนอกก่อน เดี๋ยวผมล้างมือแล้วจะตามไป”  
          มือที่กำลังถูเตาเกร็งแข็งขึ้นเล็กน้อย นิ้วบีบผ้าแน่นขึ้น ใบหน้าชายหนุ่มที่เคยแสดงความมั่นใจเมื่อปรุงอาหารตอนนี้เต็มไปด้วยเส้นของความเครียด ลองนึกดูว่าตอนเช้าเขายังยืนอยู่ตรงนี้ เขย่ากระทะ ปรุงรส ตะโกนสั่งการ... และตอนนี้เขากำลังเช็ดล้างทุกอย่าง  บางทีอาจเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่นะ
          ระบิลล้างมือและซับแห้ง ก่อนจะเดินออกมานั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามกับหญิงสาวที่เขาชวนมาวันนี้
          “ไม่ได้มาที่ร้านแค่ไม่กี่เดือนเอง รู้สึกว่าร้านแปลกไปนะคะบิล จัดร้านใหม่เหรอ ดูโล่งตาเชียว”
           ภัสรวินทร์ตั้งข้อสังเกตอย่างคนมองโลกในแง่ดี ที่จริงหล่อนอยากจะแค่ทักทายระบิลให้มากกว่าแค่ เป็นไงบ้าง หรือ สบายดีไหม แต่สุดท้ายก็กระอักกระอ่วนใจทุกครั้ง กับการพบกันในฐานะใหม่ ฐานะศรีภริยาของณทัต CEO หนุ่มใหญ่แห่งวงการสินค้าเกษตรแปรรูป
         “ภัสนี่ก็ยังเหมือนเดิมนะ เห็นร้านดูโล่งๆ ก็ถามผมว่าแต่งร้านใหม่เหรอ แทนที่จะคิดว่าธุรกิจของผมยังดีอยู่หรือเปล่า เป็นห่วงผมบ้าง...อะไรทำนองนี้” ระบิลก็ยังเป็นคนเดิม ที่พูดจาเปิดเผยจนน่ากลัว
           “ถึงคิด  แต่ใครจะกล้าพูดอย่างนั้น มันเสียมารยาท” หล่อนชักจะเสียงแข็ง
           “ก็ผมอยากให้ภัสเป็นห่วง นึกถึงผมบ้างไง จะได้ไม่ลืมว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้”


เศร้าไปกับเขาด้วยเลยค่ะ ประโยคที่ว่า นึกถึงผมบ้าง จะได้ไม่ลืมว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้ มันเจ็บหัวใจนะคะ สำหรับคนที่ยังรักอยู่ และไม่สามารถจะ move on ได้

นี่ก็เป็นพัฒนาการอีกระดับนึงค่ะ ที่ผู้เขียนรู้สึกว่าจับต้องอารมณ์ของตัวละครได้ลึกขึ้น ทำให้มีกำลังใจจะเขียนเรื่องต่อๆไปนะคะ (หลังจากที่ท้อไปหลายครั้ง)

ตอนแรกคาดหมายว่านิยายเรื่องนี้จะจบได้ในอีกประมาณ 10 ตอน สงสัยต้องขยายไปอีกเล็กน้อยค่ะ เพราะว่าปมในเรื่องเข้มข้นมากขึ้นทุกที กว่าจะแกะออกทีละปม อย่างไม่เร่งรัด จนดูห้วน  คงจะต่อไปอีกสักหน่อยคงไม่ว่าอะไรนะคะ

ว่าแล้วก็ชวนไปอ่านนิยายเรื่องนี้กันค่ะ  ผลงานเรื่องที่สองของผู้เขียน


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ


เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ

อ่านบนมือถือ ใน ReadAWrite : https://www.readawrite.com/.../3fee2a0c76adb67b63a9cdaac0... 
อ่านบนมือถือ ใน Dek-D : https://writer.dek-d.com/Pakk.../story/view.php%3Fid=2575342 
อ่านบนมือถือ ใน ธัญวลัย :  https://www.tunwalai.com/story/812196#



กรกฎาคม 03, 2568

Generation แห่งความว้าเหว่



ระยะหลังสังเกตว่าหนังสือแนวเยียวยาจิตใจ หรือ ฮีลใจ ออกมาวางบนท้องตลาดมากขึ้นอย่างไรพิกล  ถ้าเคยย้อนไปเมื่อหลายปีมาแล้ว ก็มีช่วงหนึ่งที่หนังสือแนวธรรมมะ ก็เคยขึ้นมาขายดีสูงสุดในบางช่วงเวลาเหมือนกัน

อาการติดเทรนด์ หรือกระแสแรงนั้นก็มีอยู่ยาวนานเป็นปี และแล้วหนังสือธรรมมะก็ค่อยๆหายไปจากหน้าแผง กลายเป็นนิยายวาย และ หนังสือแนวพัฒนาตัวเองขึ้นมาแทนที่

ถ้าเป็นหมวดหมู fiction ละก็ นิยายวายมาได้ไกล แถมมีนิยายจีนแปล มีนิยายยูริอีกต่างหาก  ส่วน non-fiction กลายเป็นแนวพัฒนาตัวเอง และแนวฮีลใจก็คิดว่าน่าจะเป็นหมวดย่อยลงมาอีกทีของแนวพัฒนาตัวเอง

เกิดอะไรกับคนยุคนี้กันแน่ แล้วผู้อ่านหนังสือแบบนี้เป็นคนช่วงวัยไหน น่าจะวัยทำงานมากที่สุด

ปัญหาเกี่ยวกับร่างกายเรียกว่า โรค ส่วนปัญหาทางใจนั้นก็มองไม่เห็นด้วยตา แต่เจ้าของปัญหาย่อมต้องทนอยู่กับมัน ไม่ต่างอะไรกับการเป็นโรคอะไรสักอย่าง

การเป็นโรคทางร่างกายคงพอวัดได้ จากกระบวนการทางวิทยาศาตร์ เช่น ดูผลเลือด ผล lab แต่ปัญหาทางใจนี่สิ วัดยากเนอะ คุณผู้อ่านว่าไหม

ส่วนมากหนังสือฮีลใจมักจะแปลมาจากหนังสือต่างประเทศ เห็นมากๆก็มีทั้งจากญี่ปุ่น  เกาหลี หรือทางนักเขียนซีกตะวันตก 

อ้าว...ไม่ค่อยเห็นมีนักเขียนไทย 

หรือไปเขียนนิยายกันหมด เพราะกลัวขายไม่ได้ 5555

คนอ่านหนังสือฮีลใจน่าจะเป็นคนวัยทำงาน ดังที่ว่าไว้แล้วข้างบน ซึ่งก็น่าจะเป็น Gen Y-Z-Me แถวๆนี้แหละค่ะ เป็นกลุ่มที่เกิดมาก็มีอินเตอร์เนต  มี social media มีโทรศัพท์มือถือ มีไอแพด

ความรวดเร็ว เทคโนโลยี ทำให้อะไรง่ายขึ้นและสบายขึ้นจนเราแทบไม่ต้องทำอะไรเยอะ ในการจะให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่าง

ตัวผู้เขียนเป็นมนุษย์เจน X ที่เป็นลูกครึ่งของสองยุค คืออนาลอค และดิจิทัล  ก็ถือว่าได้สนุกสนานไปพร้อมๆกันทั้งสองแบบ เป็นเรื่องที่ถือว่าชีวิตทรงคุณค่าจริงๆ

นอกจากจะชีวิตจะสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกแบบเหงื่อเต็มเม็ด เพราะไปไหนมาไหนก็ยังไม่มีรถไฟฟ้า จะไปเรียนไปทำงาน ติดต่อกับเพื่อน ก็ล้วนเต็มไปด้วยต้องออกแรง เช่น ยืนรอรถเมล์ที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ ไม่มีพิกัดบอก GPS ของตำแหน่งรถเมล์ หรือจุดที่เรายืนอยู่  จะเรียนหนังสือให้เก่งก็ไม่มีไอแพด ต้องจดแล้วจดอีก (เลยจำแม่น) ไม่มียูทูป ถ้าฟังอาจารย์ไม่ทันก็เชิญเข้าห้องสมุด ที่ต้องไปรื้อบัตรคำเอาเอง  และบัตรคำมันก็เยอะเป็นตู้ๆ แถมแบ่งตามตัวอักษร กับแบ่งหมวดคร่าวๆ ที่กว่าจะหาอะไรเจอก็....หัวหมุน

กระนั้นแล้วเมื่อมองย้อนไปก็เป็นชีวิตที่น่าสนุก เพราะเวลาไม่เคยถูกทิ้งไปเปล่าๆ ทุกนาทีของชีวิตต้องคิดเยอะ ทำเยอะ สงสัยเลยทำให้ไม่มีเวลาว่างพอจะนั่งเหม่อ

คนสมัยนี้ไม่ต้องมีปฎิสัมพันธ์กัน เพราะมีเพื่อนในเกมส์ มีเพื่อนในสังคมออนไลน์  คุยกันทางแชทก็ได้ คนจำนวนมากก็เลยรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว ทั้งที่แค่เเปิดประตูเดินออกมา คุณก็พบคนจำนวนมากในโลกในนี้

ecosystem แบบนี้ทำให้มนุษย์เผลอคิดอะไรคนเดียว คิดวนเวียน หาทางออกไม่ถูก  เกินคำว่าฟุ้งซ่านไปจนเป็นคำว่าเตลิด

ถึงบอกว่าเป็น generation แห่งความว้าเหว่ ต้องหาหนังสือดีๆมาอ่านฮีลใจกันยกใหญ่ ซึ่งเก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ ดีกว่าไปทำอย่างอื่นที่จะสร้างปัญหาตามมาให้ตัวเองอีกไม่รู้เท่าไหร่ 

เหตุเกิดเพราะว่างมากเกินไป สำเร็จรูปเกินไป  ยังใช้ความเป็นมนุษย์ไม่คุ้ม  เราต้องคลุกฝุ่นสิคะ  ต้องตากฝนสิคะ ต้องเจ็บสิคะ ถึงได้รู้....พอน้ำตาไหล  เราจะได้รู้ว่านี่คือธรรมชาติ คือความเป็นจริงของโลก

แล้วเราจะได้คิดหาทางออก  แต่อ้าว...สมัยนี้แม้แต่จะแก้ปัญหา ยังไปถาม Ai ได้ซะอีก 55555

โอ๊ย...หัวจะปวดล่ะค่ะ  

ปล่อยใจ ปล่อย joy มากเกินไป ไม่มีสมาธิ เพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรดี ทุกอย่างมันสำเร็จรูปไปหมด เช่นนั้นแล้วมันเลยเกิดความเคว้งในใจสิคะ   คนเราถึงจำเป็นต้องมีงานอดิเรก ไม่งั้นจิตมันจะไปเรื่อย หาอะไรทำ ทำในสิ่งที่ชอบ แต่อย่าบอกนะ....ว่าชอบอยู่เฉยๆ 

ไม่รู้จะขมวดบทจบยังไงดีล่ะค่ะ5555 


งั้นก็ขอทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้ ด้วนๆอย่างนี้แหละ Bye ค่าาาา