ธันวาคม 18, 2567

ย้อนเวลา

 


พอถึงช่วงสิ้นปีทีไร  ผู้เขียนจะมานั่งย้อนเวลาสำรวจชีวิตตัวเองทุกทีเลยค่ะ

เหมือนเป็นการทำ Yearly Review ชีวิตว่าตอนนี้ทำอะไรไปถึงไหนแล้วมั่ง   บางทีไม่ได้ย้อนไปแค่ปีนี้เพียงปีเดียว ไปๆมาๆย้อนไกลไปถึงตอนยังเป็นเด็กเลยก้อมี555 อันนี้ก็เรียกว่าฟุ้งซ่านเล็กน้อยล่ะค่ะ (แต่รู้ตัวว่าฟุ้งซ่านนะ)

เหตุที่ย้อนไทม์แมชชีนไปได้ไกลเป็นเพราะไปนั่งดูคลิปที่มีคนเอามาลงไว้เกี่ยวกับบ้านเมืองในอดีต  หรือไม่ก็บรรดาภาพยนตร์ไทยยุคเก่าๆ ซึ่งผู้เขียนชอบดูมาก เพราะมักจะได้เห็นภาพทิวทัศน์ หรือกรุงเทพในอดีตไปด้วยเสมอ  ได้เห็นบ้านเมืองหรือทุ่งกว้างๆ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นถนนไปหมดแล้ว

เรียกว่าดูวิวมากกว่าดูหนังค่ะ

แน่นอนว่าหัวใจมันแอบจะห่อเหี่ยวบ้าง  ด้วยเห็นว่าสิ่งที่เคยมีและเคยเป็นมันหายไปหมดแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นสภาพความเป็นอยู่ หรือตึกรามบ้านช่อง ร้านค้าที่เคยชอบไปเดินตอนหลังเลิกเรียน ถนนหนทางยิ่งเปลี่ยนไปหนักจนจำไม่ได้  นี่มันคือความเจริญที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยง

นึกถึงในภาพยนตร์เรื่อง Somewhere in Time ที่พระเอกย้อนเวลาไปหานางเอกด้วยการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของคนในยุคนั้น แล้วนอนหลับลงบนเตียง ในโรงแรมที่ยังอยู่มาจนถึงยุคของพระเอก 

นี่ผู้เขียนกำลังเดินทางกลับไปยังกรุงเทพในช่วงปี 2523-2537 เป็นช่วงที่อายุพอประมาณว่าจะจำอะไรได้เยอะแล้วจนถึงช่วงเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ

อยู่ดีๆอารมณ์เหงาๆมันก็เกิดขึ้นมาเป็นบางวูบค่ะ  

นึกถึงผู้คนที่เราเคยรู้จัก  บางคนก็จากไปแล้ว  บางคนก็ยังอยู่แต่ก็ไม่ได้เจอกันอีก หรือศิลปินนักร้องที่ร้องเพลงฮิตติดหูในช่วงเวลานั้น บางคนก็ขึ้นสวรรค์ไปก่อนแล้ว

บทเพลงและพวกรายการทีวีในยุคต่างๆก็บอกได้เป็นอย่างดีค่ะว่าสังคมในแต่ละช่วงเป็นอย่างไร  ยิ่งเห็นแฟชั่นการแต่งตัวของผู้คน ตลอดจนรถยนต์รุ่นที่วิ่งบนท้องถนน  ก็จะบอกถึงยุคสมัยไปด้วย 

ไม่นับว่าเพิ่งจะปี 2525 ที่เพิ่งเริ่มจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย ผู้เขียนได้ลองใช้ที่โรงเรียนด้วยค่ะ และได้มีโอกาสใช้งานในที่ทำงานก็ประมาณปี 2537-2538 ได้ จอดำๆและตัวหนังสือสีเขียวๆ ล่ะค่ะ เครื่องพิมพ์ก็เป็นแบบเข็มกระแทก แผ่นดิสก์ก็ใหญ่โต ปัจจุบันนี้ยังแอบเก็บไว้อยู่เลยค่ะ

นึกแล้วชีวิตคนเราแต่ละคนก็ต้องผ่านอะไรมาอย่างมากมาย กว่าจะมานั่งแก่ตัวลง...

มันก็สนุกดีนะคะ  สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไร้ซึ่งอินเตอร์เนต ทุกอย่างยังเป็นโลกอนาลอก เราก็ใช้ชีวิตกันอย่าง real สุดๆแหละค่ะ  เวลาอยากจะโทรหาแฟนก็ต้องไปยืนต่อคิวตู้โทรศัพท์สาธารณะสีแดง  และเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์ว่าโดนตู้โทรศัพท์กินเหรียญ 55555 และจำได้ถึงเสียงสัญญานว่าเวลาใกล้หมดต้องหยอดเหรียญต่อแล้ว  ...แต่ดันเงินหมดนี่สิ  ฮ่าาาา

เวลานัดเจอใครสักคนนี่ก็หากันให้วุ่น  ไปยืนรอกันคนล่ะที่  ไม่มี GPS ไม่มีกูเกิลแมพอะไรทั้งสิ้น ต้องคอยนัดกันหน้าร้านอะไรสักแห่ง จะได้หากันง่ายๆ

แต่แล้วชีวิตก็ผ่านสิ่งเหล่านั้นมาจนหมดแล้ว  จนมาถึงวันนี้วันที่เราสิ้นสุดการทำงาน(ซะที)  สมัครใจเกษียณออกมานั่งอยู่บ้าน  แต่ก็ยังต้องขยันทำมาหากิน ไม่ได้นั่งยิ้มไปวันๆ เพราะว่าเราไม่ได้มีบำนาญ  และเราก็ยังต้องดูแลพ่อแม่ไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภาพที่ไม่เคยได้คิดเอาไว้ก่อนค่ะ  

ไอ้ที่เคยคิดเอาไว้...มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด...

จะอย่างไรก็ต้องสู้กันต่อไปค่ะ  บ่อยครั้งที่เราคิดว่าแบบนี้มันแย่  ที่จริงมันอาจกำลังนำเราไปสู่สิ่งใหม่ที่อาจดีกว่า  เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลานั้นเท่านั้นเองค่ะ

เราจึงควรต้องอยู่อย่างมีความหมาย...เพื่อรอวันที่เราจะเดินถึงเส้นชัยค่ะ และไม่ได้นั่งรอไปเปล่าๆ เพราะเทวดาจะไม่เห็นใจเลยค่ะ ต้องขยันต่อไปอีกเรื่อยๆ


 Happy New Year นะคะทุกคน  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  






ธันวาคม 11, 2567

เมื่ออยากจะมี webtoon ฝากไว้ในโลกสักเล่ม


 

ที่จริงความคิดว่าอยากจะมี webtoon ฝากไว้ในโลกสักเล่มนั้นมีมานานแล้วค่ะ  จากความที่ว่าเป็นคนชอบวาดรูปมาเป็นพื้นฐาน  ซึ่งการชอบวาดรูปนั้นเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งในขณะนี้...

จากแค่การวาดรูป นำพาชีวิตให้มีจินตนาการต่างๆนานา แม้จะไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการวาดรูปเลย  เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆมาตลอดยี่สิบกว่าปี  ตอนนี้เป็นอิสระแล้วก็ยังไม่ได้วาดรูปแบบจริงจังเลยค่ะ

อ้าว...

รูปข้างบนนั้นเป็นงานวาดเก่าเก็บที่วาดเอาไว้ตอนเป็นเด็ก เรื่องลาก่อนรักเอย เป็นเล่มที่วาดไว้น่าจะประมาณเรียนชั้นประถมได้  อุตส่าห์เก็บไว้จนถึงวันนี้ กับอีกหลายเล่มที่เห็นซ้อนๆกันอยู่ในภาพ  เก็บไว้เพื่อจะเตือนตัวเองว่าฉันเป็นใคร... นี่หละคือหมุดหมายของชีวิต  ที่สักวันฉันจะต้องกลับไปหาให้จงได้  เพราะมันคือที่มาของความเป็นเรา

แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้วาดรูปเยอะเท่าตอนเป็นเด็กอยู่ดีค่ะ  เพราะต้องทำสิ่งที่หารายได้ก่อน  เดี๋ยวจะไม่มีกิน5555  ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำก็ยังอยู่ใน area ของการวาดรูป หรืองานศิลปะอะไรทำนองนั้นอยู่ค่ะ เพียงแต่มีกรอบชัดว่าสิ่งที่วาดเป็นงานเชิงพาณิชย์  ไม่ได้วาดเพื่อความสบายใจเหมือนตอนเป็นเด็ก




ก้อมีงานเขียนนิยายที่ฉีกออกไปเล็กน้อย  เหมือนงานที่ทดลองทำอะไรใหม่ๆ ที่จริงก็จริงจังกับการเขียนนิยายไม่แพ้การวาดรูปนะคะ  พอเขียนเรื่องแรกใช้เวลาไป 10 เดือน กับยาแก้ปวดและความโทรมของร่าง5555 และสุดท้ายเหมือนไม่ค่อยจะมีอะไรดีกับชีวิตขึ้นมาสักเท่าไหร่ก็ยังอุตส่าห์จะมีเรื่องที่สอง.... ดูแนวโน้มแล้วการเขียนนิยายนี่อาศัยใจรักจะเขียนอย่างเดียวจริงๆ ทั้งที่ไม่ได้อะไรเท่าไหร่อย่างที่หวังค่ะ ตอนนี้เลยหยุด up นิยายมาได้ครึ่งเดือนแล้ว

เพราะเหนื่อย  จนคิดว่าอาจจะพอแค่สองเรื่อง ไม่เขียนต่อแล้ว หรือไม่เรื่องที่สามก็จะไม่ post สดให้นักอ่านรออ่านแล้ว  มันกดดันมากค่ะ  อาจจะไปเขียนให้จบก่อนแล้วลงทีเดียวก็เป็นได้

ที่แน่ๆต้องเขียนเรื่องที่สองให้จบ5555  เดี๋ยว Profile จะเสียได้


งาน webtoon หรือวาดการ์ตูนเป็น story ที่เล่าด้วยภาพ เป็นการรวมกันของงานนิยายกับการวาดรูปค่ะ  ที่จริงก้อได้ทำมาแล้วตั้งแต่เด็กน่ะแหละ ตามรูปที่โชว์ข้างบน

ความแตกต่างคือเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การวาดง่ายขึ้น 

รู้สึกว่าต้องฝึกฝนอีกเยอะเลยค่ะ  ไม่กล้าโชว์งานของตัวเองเลย เวลาเห็นเด็กๆรุ่นใหม่ (รู่นลูก รุ่นหลาน) เค้าวาดออกมาสวยเป๊ะ 5555

เริ่มเข้าใจคำว่า สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ มากขึ้นค่ะ  ซึ่งเราอาจจะมีก็ได้นิ อิอิอิ

วันนี้รู้สึกเขียนไม่ค่อยออกค่ะ  เพราะฤทธิ์ยาลดน้ำมูก แก้แพ้อากาศที่กินเข้าไป  หัวมึนไปหมด  นี่หละพออากาศเย็นลงก็จะเป็นแบบนี้ทุกปี  แม้แต่นิ้วที่กดบนแป้นคีย์บอร์ดก็ตกร่องบ่อยมาก ทำให้พิมพ์สะดุด  ออกอาการร่างกายไม่พร้อมเท่าไหร่

ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ 

วันนี้ขอจบตรงนี้ก่อน.




ธันวาคม 04, 2567

Free Printable ตาราง Tracker 2568

 







ปีนี้ถือว่าทำตามสัญญาที่ได้ให้กับตัวเองสำเร็จ  ว่าจะอัพโหลดตาราง tracker ปี 2568 ให้กับทุกคนได้เอาไปใช้กันก่อนปี 2568 จะมาถึงค่ะ

เอาเป็นว่าขอบคุณที่ติดตามอ่านและขอบคุณที่หลงมาอ่านเข้าพอดี 5555

ดาวน์โหลดเลยค่าาาา เป็น   PDF file นะคะ

ไฟล์แรกกระดาษขนาด Letter US เผื่อว่าคนไทยในต่างประเทศจะอยากใช้คะ



ไฟล์ที่สองสำหรับ print บนกระดาษขนาด A4 ค่ะ




พฤศจิกายน 20, 2567

เพื่อนสนิทที่จะอยู่เคียงข้าง(อีก)หนึ่งคน

 



ตื่นเช้ามาวันนี้ได้รับรู้ถึงอากาศที่เย็นลงจนพอจะใช้คำว่า "หนาว" ได้อยู่เหมือนกันค่ะ

ที่จริงมันก็เป็นช่วงเวลาที่คนเมืองกรุงรอคอยกันมาตลอดทั้งปี ว่าปีนี้จะหนาวไหม จะหนาวเมื่อไหร่ หรือหนาวอยู่กี่วัน

เดี๋ยวนี้อากาศหนาวนี่ต้องนับหน่วยกันเป็นวันเลยทีเดียวค่ะ  คงอดจะเล่าไม่ได้ว่าสมัยผู้เขียนยังเด็ก ซึ่งก็ต้องถอยหลังไปเยอะๆหน่อยนะคะ  ประมาณ 40 ปีที่แล้วก็พอ 5555 ว่าหน้าหนาวนี่หนาวกันเป็นเดือนๆ ค่ะ หน้าร้อนก็ไม่ร้อนจนสุกเกรียมขนาดนี้  ไม่คิดเลยว่ากระทั่งฤดูกาลก็ยังต้องผันแปรและเปลี่ยนแปลงไป  ตอนยังเด็กๆยังคิดอยู่ว่า  จะอย่างไรชีวิตเราก็ต้องเจอกับฤดูกาลวนเวียนแบบนี้ไปจนกว่าจะตาย

ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดซะแล้วสิ...แม้แต่ฤดูกาลยังรวนเร  และเพี้ยนไปได้ขนาดนี้เลยค่ะ

อีกหน่อยหน้าหนาวของประเทศไทยอาจจะหายไป...ผู้เขียนคิดอย่างนี้จริงๆค่ะ

ที่เคยคิดตลกๆว่าอาจจะมีหิมะนั้นก็คงจะไกลเกินจริง  เพราะจากสภาพทางภูมิศาสตร์แล้ว ท่านนักอุตุนิยมวิทยาบอกว่าน่าจะยากเพราะตำแหน่งที่ตั้งของประเทศตามพิกัดที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มันยากที่หิมะจะตก   แต่ไหงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอากาศยังเพี้ยนจนมีหิมะตกได้เหมือนกัน

อันนั้นเขาอาจจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจค่ะ  อันนี้ผู้เขียนเริ่มจะแถ...5555

พาออกนอกเรื่องไปตามเคยนะคะ วันนี้อยากจะมาแนะนำเพื่อนสนิทให้รู้จัก เพื่อนสนิทที่ว่านั้นดันไม่ใช่คนซะอีก อ้าว...

เรียกเป็นเพื่อนสนิทเพราะสิ่งนี้อยู่คู่กับผู้เขียนมาตั้งแต่จำความได้  ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก "การวาดภาพ" และ "การเขียนนิยาย" เลยค่ะ  สิ่งนั้นก็คือ "ดนตรี" 

อย่าคิดเชียวว่าผู้เขียนจะลุกขึ้นมาเป็นศิลปินนักร้องเอาตอนอายุปูนนี้เลยค่ะ  คงไม่เอาแล้ว5555 แต่ว่าทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดนตรีที่ถูกจริตนี่มันเหมือนวิญญานถูกปลุกยังไงบอกไม่ถูก... ไม่ใช่แค่คำว่ารักดนตรี  หรือรักศิลปะ รักการเขียนนิยาย รักวาดรูป ....บลาๆๆ แบบที่คนชอบพูดกัน  

สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่งานอดิเรก แต่เรียกได้ว่าคือวิถีชีวิตจริงๆของผู้เขียนเลยต่างหาก คือตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วมันต้องทำ  อยากทำ โดยไม่มีเหตุผลรองรับ และสามารถทำได้ทั้งวัน หรือตลอดชีวิต หรืออาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อได้ทำสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ 

ไม่รู้ว่าฟลุ๊ค หรือบังเอิญ หรืออะไรดี  ผู้เขียนลองเขียนเพลงแบบที่ตัวเองอยากเขียนขึ้นมา แล้วดันมียอดขายขึ้นมาด้วย  คราวนี้เลยสงสัยในตัวเองขึ้นมาว่า...ฉันทำได้จริงๆเหรอเนี่ย

งานนี้ก็ต้องสานต่อกันไปอีกเหมือนทุกงานที่ทำอยู่ค่ะ  เริ่มจาก ฉันทะ แล้วก็ไปวิริยะ  ไปจิตตะ วิมังสา...

เลิกตั้งเป้าอะไรให้ปวดหัวกับชีวิตแล้วล่ะค่ะ  คิดแล้วก็ลงมือทำ ทำไปเรื่อยๆ ทุกอย่างจะดีชึ้นเอง  เหมือนอย่างการเริ่มต้นเป็นกราฟฟิกดีไซน์ในวัยขนาดนี้นี่หละ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก และเกิดกับตัวเอง

แรกๆมันเหนื่อยมาก ยากไปหมด มีแต่คำถาม ว่าไอ้นั่นอะไร ไอ้นี่อะไร เดี๋ยวนี้ชิลสุดๆค่ะ บูรณาการทุกอย่างได้เองแล้ว  กระโดดพลิกตีลังกาสามตลบแล้วกลับมายืนได้  ไม่ล้ม5555   มีปัญญาประดิษฐ์มาเราก็ไม่กลัวค่ะ  (ที่จริงจะไปกลัวทำไม  เค้าสร้างขึ้นมาให้มาคอยช่วยมนุษย์ค่ะ)

แต่สำหรับงานเขียนนิยาย ก็ยังยากอยู่นะคะ...ทว่าเรื่องที่สองที่กำลังเขียนอยู่นี่ก็รู้ฝึกว่าไม่ฝืด....ดดเท่าเรื่องแรก  เหมือนว่าได้เรียนรู้อะไรไปบางอย่างจากการเขียนเรื่องแรก

คงอยากจะบอกทุกคนที่บังเอิญมาผ่านพบ blog อันนี้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกคุณ  มองหาสัญชาตญานของตัวเองนะคะ  และอย่าข้ามผ่านมันไป  มองไปข้างหน้าเท่านั้น เวลาในชีวิตไม่ได้เหลือเยอะ เพราะไม่มีใครรู้ถึงวันสุดท้ายค่ะ  ใช้มันในแบบที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน รวมทั้งอย่าสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองด้วยการกดขี่ตัวเอง  เลิกค่ะ  เลิกประเมินตัวเองเหมือนกำลังเป็นพนักงานที่มีหัวหน้าคอยควบคุม

เป้าหมายมีไว้เป็นหลักชัยค่ะ  เดินทุกวันมันต้องถึงสักวันค่ะ  แต่ระหว่างทางมันสำคัญกว่าไหม...ตอนถึงเป้าหมายก็อาจจะสุขแค่แป็บเดียว  ว่าฉันถึงแล้ว...แต่ "ระหว่างทาง" นี่หละ ของจริงค่ะ...เชื่อผู้เขียนสิ



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ