ตุลาคม 30, 2568

นิยายของคนถูกห้ามอ่านนิยาย

 


ลมหนาวอย่างเป็นทางการยังไม่เห็นมาเยือนเสียที  แต่แค่อากาศราวๆนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีมู้ดในการทำงานมากขึ้นค่ะ เพราะว่าไม่ร้อนจนเหงื่อซึมเหมือนช่วงก่อน แถมก็ไม่มีฝนตกดังโครมครามจนกลัวหลังคาบ้านจะพังอีกด้วย เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแห่งปีเลยก็ว่าได้

ผู้เขียนมองออกไปนอกประตูบ้าน เห็นอากาศอึมครึมมาก นี่ถ้าเป็นการย้อมสีภาพถ่ายละก็  คงจะถูกย้อมให้ดำเหมือนกับไม่มีแดด หรือว่าเป็นตอนใกล้ค่ำไปเลยทีเดียว

ชีวิตของคนทำงานที่บ้านก็เลยมีเวลานั่งสังเกตแสงและลมค่ะ5555 เมื่อวันก่อนฝนตกหนักเหมือนสั่งลา ผู้เขียนยังไปยืนดูฝนที่กำลังเทโครมคราม แถมเอามือไปรองน้ำฝนที่กำลังไหลลงมาตามต้นมะนาวที่บ้าน สัมผัสกับความเย็นของน้ำ นี่มันคือโลกแห่งความเป็นจริง ธรรมชาติก็มีความงามในแบบของเค้าแหละค่ะ

รูปประกอบ blog ประจำ post นี้ก็ถ่ายที่บ้านผู้เขียน เห็นไหมว่าที่บ้านมีต้นไม้ใหญ่ ก็ฝีมือคุณพ่อคุณแม่สร้างไว้ให้ ตัวผู้เขียนมือไม่เคยจับดิน ไม่เคยปลูกต้นไม้  ถูกเลี้ยงมาแบบเด็กเมือง เรียนหนังสืออย่างเดียวพอ...

ระหว่างเรียนหนังสือก็จะถูกตีกรอบมากหน่อย ห้ามนั่น โน่น นี่ อาจจะประสาเป็นเด็กผู้หญิงล่ะค่ะ  ครอบครัวก็ต้องคอยระแวดระวังทุกอย่างให้  แถมเป็นลูกทหารด้วย5555 

สมัยก่อนภัยสังคมก็แตกต่างไปจากสมัยนี้...

คือถ้าเดินออกนอกบ้านเมื่อไหร่ก็ต้องระวังค่ะ  แต่สมัยนี้มาถึงตัว เข้าทางโทรศัพท์ถือได้ซะอีก

เรื่องการหลอกลวงมีมากมายหลายรูปแบบจนเราไม่อาจวิ่งหนี  มีแต่ต้องเรียนรู้ที่จะต้องรับมือนะคะ  สมัยผู้เขียนยังเด็ก โตมาในกรมทหาร  เรียกได้ว่าลืมล๊อคกุญแจบ้านก็ไม่ต้องกลัวโจรมาปล้นนะคะ  เพราะในกรมทหารก็ปลอดภัยมากกว่านอกกรมทหารแน่นอน  

ยังจำได้ว่าทุกวันเวลาเดินเข้าประตูกรมทหารจะชินตากับเห็นทหารยืนหน้าป้อมประตูค่ะ  ถ้าเป็นช่วงมีเหตุการณ์ทางการเมืองก็จะเห็นทหารหน้าประตูใส่ชุดลายพราง สะพายปืนเอ็มสิบหกเต็มยศ แถมทาหน้าเป็นสีดำๆอีกต่างหาก  ผู้เขียนชินแล้วค่ะ  ไม่ได้กลัวอะไร ก็โตมากับสิ่งเหล่านี้

ฟิลลิ่งแบบนี้เลยอยู่ในนิยาย ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว  และว่าจะเขียนเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับทหารอีกค่ะ 

นอกจากจะเจอทหารเวลาจะเข้าบ้าน เพราะบ้านอยู่ในเขตทหาร  ก็จะต้องมาเจอทหารที่บ้านอีกค่ะ555 คือคุณพ่อนั่นเอง

คุณพ่อนี่ละ เป็นคนห้ามผู้เขียนอ่านนิยาย

สงสัยว่านิยายที่คุณพ่อเคยอ่าน อาจจะมีเนื้อหาไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชน  ทำเอาผู้เขียนมีหลอนๆทุกครั้งเวลาจะอ่านนิยาย กว่าอารมณ์หลอนนี้จะหายก็นานมากค่ะ เรียกได้ว่าโตจนแก่แล้วก็มีอารมณ์หลอนๆอยู่เลยนะคะ

แล้วโชคชะตาก็พัดพา  คนไม่ค่อยได้อ่านนิยาย กลับมีนิยายในหัว...เขียนนิยายอ่านเล่นๆ เขียนการ์ตูนเล่าเป็นเรื่องๆ แล้วก็ต้องมามีอาชีพเขียนนิยายตอนเกษียณไปแล้วซะด้วยสิคะ

นี่เรียกว่าคงจะ born to be 

ตอนผู้เขียนหยิบเอา ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว** ฉบับพิมพ์เล่มไปโชว์ให้คุณพ่อดู   ท่านทำหน้าภูมิใจ บอกว่าลูกเขียนได้เป็นเล่มหนาขนาดนี้เลยเหรอ  พ่อตาไม่ดีแล้ว คงจะอ่านไม่ไหว ...ว่าแต่อยากทำอะไรก็ทำเลยนะลูก

และนี่ละค่ะ

คือสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกดีทุกครั้งที่ upload นิยายตอนใหม่ เรื่องใหม่ อยู่ต่อไป แม้ว่าบางเรื่อง บางตอน บาง platform ก็มีคนอ่าน มากบ้าง-น้อยบ้าง ก็ยังรู้สึกว่าพอจะไปได้อยู่ค่ะ

หวังว่าสักวัน การเขียนนิยาย จะทำให้ผู้เขียนพอจะอยู่ได้...กับชีวิตที่เกษียณก่อนกำหนด


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ


หมายเหตุ : ตอนนี้ฉบับพิมพ์เล่มใกล้คลอดแล้วค่ะ  ยังตรวจคำผิดไม่เสร็จเสียที ติดพันภารกิจมากมาย รบกวนอุดหนุน ฉบับ ebook ไปก่อนนะคะ อิอิ ใครอยากได้ฉบับเล่มจริงรบกวนรอต่อไปอีกนิดค่ะ

ตุลาคม 09, 2568

นำทางชีวิตด้วยความปรารถนา

 


ช่วงนี้ฝนตกหนักหน่วงมากๆค่ะ ที่บ้านน้ำท่วมพอประมาณ แต่ก็ทำให้ปั๊มน้ำที่บ้านร้องดังจนเหมือนอาการไม่ค่อยปกติ พอเรียกช่างมาดูก็ปรากฎว่าเป็นดังคาด คือน้ำท่วมปั๊มเรียบร้อย แม้ว่าจะท่วมในช่วงที่ฝนกำลังเทกระหน่ำ แล้วฝนหายน้ำก็ลด แต่อาการเสียงดังไม่หายไป

กลายเป็นว่าคราวนี้ต้องยกปั๊มขึ้นสูง แถมค่าซ่อมก็หลายพันจนทางบ้านตัดสินใจว่าควรซื้อใหม่ เพราะใช้งานปั๊มน้ำเครื่องนี้มาตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ 2554 จนถึงปัจจุบัน นับว่าแบรนด์นี้ถึกทนอย่างถึงที่สุด  เคยเปลี่ยนอะไหล่ล่าสุดเมื่อปี 2562 นี่ถ้าไม่น้ำท่วมปั๊มก็น่าจะยังใช้ต่อไปได้อีก ว่าแล้วก็ขอชื่นชมปั๊มน้ำผลิตจากเดนมาร์คยี่ห้อนี้จริงๆ

เอาล่ะ ฝาก link กันตรงนี้เผื่อใครกำลังดูปั๊มน้ำสำหรับใช้งานตามบ้าน ที่เสียงไม่ดังแสบแก้วหู เป็นระบบปั๊มลม ซึ่งอย่าถามรายละเอียดลึกๆ เพราะไม่ทราบ 5555  แต่ใช้งานจริงในบ้านสองชั้นที่มีห้องน้ำ 4-5 ห้อง ขอแนะนำเลยว่า แบรนด์ Grundfos ผลิตจากประเทศเดนมาร์คนั้นของเขาดีจริงค่ะ  

https://s.shopee.co.th/5VMkHEYRtd

(บ้านนี้ห้องน้ำเยอะจังเนอะ)


นอกจากฝนตกหนักจะทำให้บ้านผู้เขียนปั๊มน้ำออกอาการป่วยแล้ว ตัวผู้เขียนก็เหมือนจะแพ้อากาศอยู่สองสามวันเหมือนกันค่ะ คือกลางวันร้อน กลางคืนเย็น เป็นไข้เลย นี่คงลมหนาวเร่ิมจะมา เป็นช่วงที่เค้าเรียกกันปลายฝนต้นหนาว  นั่นล่ะค่ะ ตุลาคมของปี 

โดยเฉพาะปีนี้ ผู้เขียนมีข้าวของเสียพร้อมๆกันหลายชิ้นจนรู้สึกตลก... ทีวีพัง ปริ๊นเตอร์ต้องส่งไปซ่อม แถมบัตรเอทีเอ็มหายอีก  นอกจากนี้ยังขับรถหลงทางเกือบจะกลับทางเดิมไม่ถูกอีก โอ๊ย อะไรกันนี่

แถมการงานก็ดันมาคึกคัก มีโปรเจ็คใหม่ๆที่ถูกกดดันให้ต้องเริ่มภายในเดือนนี้ทั้งที่ยังไม่พร้อม5555 คือพอมันเป็นโอกาสที่อุตส่าห์ได้รับเราก็ต้องรีบคว้าใช่ไหมคะ  แถมงานสองอย่างนี้มันก็โหดพอๆกัน 

อย่างแรกคือต้องเปิดนิยายเรื่องใหม่ภายในเดือนนี้ เพราะว่าร่วมฉลองวันครบรอบของ platform ประมาณว่าเรื่องใหม่ที่เปิดจะได้รับสิทธิพิเศษ อ้าว...อย่างนี้ก็ไม่ควรพลาดใช่ไหมคะ 

แต่ว่าเรื่องใหม่นี่ก็ยังไม่มีความพร้อมหลายอย่างเลยค่ะ คือ โครงเรื่องก็ยังไม่สมบูรณ์  ภาพปกก็ยังไม่มี  Typography ก็ยังไม่มี คือจะมีได้ไง...ชื่อเรื่องยังไม่ถูกใจเลยค่ะ  ชื่อตัวละครก็ยังไม่ลงตัว

ทำไมชีวิตฉันต้องเป็นฉะนี้...อยากจะสบายหลังเขียน เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ จบ คืออยากพักผ่อนบ้าง แล้วค่อยเขียนเรื่องใหม่ นี่อะไรกันหนอ...ต้องบีบตัวเองให้ฮึดดดด เรื่องเก่ายังไม่จบ แต่ต้องเร่ิมเรื่องใหม่ด้วยอะค่ะ 

คือไม่ได้มีใครบังคับ แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาส

อีกโปรเจคหนึ่ง คืองานด้านการถ่ายภาพ ผู้เขียนได้รับการเสนอให้ร่วม join mission การถ่ายภาพด้วย ซึ่งเป็นเรื่องพิเศษมาก คือคุณสมบัติและผลงานภาพถ่ายที่ผ่านมาต้องได้มาตรฐานและไม่เคยทำผิดกฎ  ไม่ใช่ทุกคนที่เขาจะมาเชิญ มันทำให้ผู้เขียนปลื้มใจมากเลยค่ะ ในที่สุดเราก็เห็นความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเองแล้ว

ข่าวร้าย...คือภาพถ่ายตามโจทย์ที่ได้รับ ต้องเสร็จภายในวันที่ 20 กว่าๆของเดือนตุลาคมนี้เท่านั้น...

เอาละสิ...ทั้งงานนิยาย และงานถ่ายภาพ  ต้องทำสองอย่างพร้อมกันให้เสร็จ

งานทั้งสองอย่างนั่นก็เป็น passion ของผู้เขียนล่ะค่ะ  หากจะนำทางชีวิตให้ไปรอดด้วยความปรารถนาแล้วละก็  ....ก็ต้องเอาให้สุดใช่ไหมคะ  เพราะโอกาสดีๆไม่ได้มีมาบ่อย  ถ้าทำออกมาดี  เขาก็จะหยิบยื่นโอกาสต่อๆไปให้เรา  มีแต่เราต้องสู้เท่านั้นใช่ไหม

ฮึบๆ  ฮึบๆ....

นิยายเรื่องเก่าก็ยังเขียนไม่จบ  ต้องรีบเปิดเรื่องใหม่ แล้วยังไง...คราวนี้สองเรื่องพร้อมกัน

โอ๊ววว ...ชีวิตต้องสู้อีกแล้วสินะ

สู้ๆๆๆๆๆๆๆ


ขอบคุณที่ติดตามค่ะ



สิงหาคม 29, 2568

อาชีพนักเขียนนิยาย

 


วันนี้เป็นวันที่ผู้เขียนเริ่มต้นเขียน post ด้วยวิธีการที่แปลกกว่าทุกที และเป็นครั้งแรกที่ทำแบบนี้ 

คือปกติจะทำภาพที่ตรงกับประเด็นกับสิ่งที่บอกเล่าให้มากที่สุด เป็นอันดับแรก  เสร็จแล้วค่อยเขียนค่ะ 

แต่วันนี้มันรู้สึกว่าตัวเองอ่อนล้ายังไงชอบกล  ไม่ใช่ว่าเขียนไม่ออก  ดูแล้วน่าจะเหนื่อยมากกว่าค่ะ

การเป็นนักเขียนนิยายนี่มันเหนื่อยได้ขนาดนี้  คือต้องคิดเยอะมากค่ะ อย่างที่เคยบ่นไปแล้วหลายครั้ง และวันนี้คงไม่บ่นซ้ำ5555  ตอนนี้ เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ ใกล้จบแล้ว กะว่าอีกประมาณ 10 ตอนก็จะม้วนตัวอวสานลงอย่างสวยงาม

หลังจากเขียนมาได้ 1 ปีแล้ว เกิน 1 ปีซะด้วยสิคะ  ต้องขอบคุณนักอ่านที่ยังอุตส่าห์อ่านเป็นเพื่อนกันมาเป็นปี  ผู้เขียนเห็นนิยายรายตอนที่เป็นนิยายจีน บางเรื่องมี 4,000 กว่าตอน โอ้โห.... ไม่รู้เหมือนกันว่านิยายไทยจะมียาวขนาดนั้นไหม

คนอ่านบางคนอาจตามอ่านมานานแล้วเกิดความผูกพัน 5555 คือเมื่อไหร่เธอจะเขียนจบ ฉันรอ ฮ่าาาา

อยากให้ผูกพันกับทั้งตัวละคร และคนเขียนนะคะ  อิอิ  ว่าแต่เรื่องใหม่ก็รอต้องเขียนกันต่อไป ตอนนี้เลือกอยู่ในหัวสมองว่าเขียนเรื่องไหนก่อนดี บาง plot นี่รู้สึกว่ายิ่งใหญ่มาก จนเป็น Masterpiece ได้เลย แต่พอมาคิดอีกที เอาไว้ก่อนเหอะ  รายละเอียดยังไม่ค่อยจะมีค่ะ ขืนปล่อยเรื่องออกไปต้องมีการเหนื่อยขั้นหนัก เหมือนเรื่อง  เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ นี่ละค่ะ คือเรื่องนี้มี plot แค่ การแต่งงานภาคบังคับ 

มีแค่นี้จริงๆค่ะ สาบาน

พอแต่งงานแล้วค่อยรักกัน  ความใกล้ชิด การช่วยเหลือ การเป็นที่พึ่ง การผ่านอุปสรรคด้วยกัน ต่างๆนานาเหล่านี้จะทำให้คนรักกัน

เหมือนจะง่าย แต่พอลงมือเขียน  อ้าว...แกนหลักย่อมจะไม่เป็นเรื่องความรักอย่างเดียวแน่ๆ อันนี้เป็นสไตล์ส่วนตัว แล้วไงต่อ...ต้องสร้างตัวละครใหม่หมด ไม่มีใครในเรื่องนี้ที่เหมือนใครสักคนในชีวิตจริงของผู้เขียนเลยค่ะ

งานงอกล่ะค่ะ งานช้างด้วย...เมื่อต้องสร้างใหม่หมด ก็ต้องใช้ความคิดและการหาข้อมูลอย่างหนัก

แต่โชคดีนะคะ พอเข้ากลางๆเรื่อง ผู้เขียนชักจะรู้สึกว่าตัวละครเหมือนมีจริง เพราะผู้เขียนเริ่มจะเข้าถึงจิตใจเขาได้อย่างน่าประหลาด

พอเขียนใกล้จบก็รู้สึกโล่งอก  ผ่านไปอีก 1 ปี กับอีก 1 เรื่อง โธ่---อย่างนี้เมื่อไหร่จะรวยล่ะ ฮ่าาาา  คงต้องเขียนงานกันแบบเอาชีวิตเข้าแลกไหมคะ  เอาสักปีละ 2 เรื่อง เป็นไง...จะตายไหมเนี่ย หรือต้องเข้าโรงพยาบาล คนอื่นทำได้ แต่เราทำไม่ได้...ก็ไม่ต้องฝืน

นักเขียนหลายคนอายุน้อยกว่าผู้เขียน บอกว่าเขียนนิยายแล้วปวดหลัง ปวดตา ปวดหัว

สรุป  ปีหน้าจะเขียนให้ได้ 2 เรื่อง คอยดู...5555 แต่จะปล่อยให้อ่านรายตอนเรื่องเดียวนะคะ อีกเรื่องเก็บไว้เขียนให้จบแล้วจะปล่อยขึ้นให้อ่านค่ะ เพราะว่าไม่อยากกดดันตัวเอง

ลองมาดูกันซิ ว่าจะทำสำเร็จไหม  อันนี้ Goal ของปี 2569 

ตอนนี้ผู้เขียนค่อนข้างจะกล้าบอกชาวโลกแล้วว่าตัวเองมีอาชีพนักเขียนนิยายค่ะ หลังจากนิยายเรื่องแรกได้รับการต้อนรับพอสมควร รวมๆแล้วก็ประมาณ 40,000 กว่า view แต่รายได้ถือว่าเล็กๆน้อยๆ ค่ะ ยังไม่เพียงพอต่อการมีชีวิตในโลกยุคนี้ 

1 รายตอนที่ลงไป หากมีคนซื้อเหรียญเพื่ออ่าน ตามเงื่อนไขของแต่ละ Mobile Application ก็มักจะต้องหักเงินบางส่วนเอาไว้ กว่าจะถึงกระเป๋าเงินของนักเขียน ขอบอกเลยว่าเหลือแค่หนึ่งถึงสองบาทค่ะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องเขียนสัก 20 เรื่องแล้วจะปังงงงงเปรี้ยงๆๆๆๆไหม ก็บอกยากค่ะ 

อยากจะมีซัก 40 เรื่อง 5555 แต่ว่าผู้เขียนแก่ชรามากแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหน ถ้าอายุสัก 65 จะยังไหวอยู่ไหม (ตอนนี้ยังแค่เลขหลัก 5 อยู่นะคะ) คือกะว่าชีวิตนี้จะเขียนจนกว่าจะตายเลยค่ะ

คือเรื่อง ปลายฟ้าไม่เคยไร้ดาว ค่อนข้างได้รับการต้อนรับที่ดี  แม้ว่า เธอคือพันธนาการรัก ขอสลักไว้แนบใจ จะได้รับความนิยมไม่มากเท่า ผู้เขียนก็ไม่เสียใจ ยังไงก็ทำดีที่สุดไปแล้ว 

มีคำคมบอกว่า ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่ผลลัพธ์เป็นเรื่องของสวรรค์จะพิจารณา

ผู้เขียนไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมคนจึงชอบบางเรื่องมากกว่า ก็พยายามเดาไปต่างๆนานาค่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้สวรรค์พิจารณาแล้วบอกว่า ฉันให้เรื่องแรกเธอปังก่อน เป็นสัญญาณว่าเปิดทางให้เธอเข้าสู่อาชีพนี้ได้ และเธอจงทำต่อไป สัตย์ซื่อต่ออุดมการณ์ของเธอ ว่านิยายเธออ่านแล้วจะได้ความคิดดีๆ ติดไปด้วย

เอาเป็นว่า....เป็นนักเขียนนิยายแล้ว ก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด


เหนื่อยหน่อยแต่ก็จะสู้นะคะ  ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ

เดี๋ยวต้องไปทำภาพมาประกอบอีกละ Bye ค่ะ

กรกฎาคม 31, 2568

Early Retire ดีไหม ภาค 1/2

 


Early Retire ดีไหม

ผู้เขียนเชื่อว่ามีหลายคนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง เมื่อเกิดมีโครงการภาคสมัครใจ หรือ ภาคไม่สะดวกใจ(คือ แบบกดดันให้ออก)  บังเกิดขึ้นในสถานที่เราทำงานกันอยู่

อาจมีเพื่อนหลายคนช่วงวัยใกล้กัน แต่อาจทำงานที่อื่น เคยมาบอกเล่าชีวิตเรื่องราวหลังจากที่ได้ออกจากชีวิตการทำงานไปหลายรูปแบบ

ผุ้เขียนก็เป็นคล้ายๆกันคือ พอรู้ว่ามีเพื่อนวัยใกล้กัน หรือเรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันได้ตัดสินใจ early ออกไปก็จะรู้สึกตกใจก่อนเป็นอย่างแรก  จากนั้นก็ถามตัวเอง ว่าถ้าเป็นเรา  เราจะสมัครไหม แล้วมันจะดีไหม

พบว่าหลายคนพอได้ออกจากบริษัทไปแล้วก็ตระเวณตะลุยเที่ยวๆๆๆๆกันเป็นส่วนใหญ่  ราวกับว่าเป็นสิ่งที่โหยหามาตลอด บางคนซื้อของที่อยากได้ บางคนซื้อรถคันใหม่ (ตอนอยู่บริษัทใช้รถประจำตำแหน่ง พอออกไปแล้วก้อยังคุ้นชินชีวิตที่ต้องใช้รถยนตร์ส่วนตัว)

แต่สำหรับผู้เขียนแล้วพอออกมาไม่ไปเที่ยวไหนเลย  อยากเก็บเงินเอาไว้นานๆ พอดีไม่ใช่คนชอบเที่ยว ส่วนรถยนตร์ก็ใช้คันเดิมที่ผ่อนหมดแล้ว 

ได้ข่าวมาว่าพี่คนที่ออกมาพร้อมกันถอยรถป้ายแดงคันละล้านบาทเศษ  อีกคนก็ซื้อรถใหม่เหมือนกันอ้างว่าต้องใช้ประกอบการทำมาหากิน ล้านนิดๆเหมือนกัน

ขนาดว่าผู้เขียนพยายามระมัดระวังทางการเงินอย่างสุงสุด ยังไม่รอด...คือยังไงเงินก็หายไปทุกวัน กับการใช้ชีวิตตามปกติ ท่ามกลางภัยพิบัติปกติที่หลายคนก็เจอ  เช่น  โควิท แผ่นดินไหว ถูก disrupt ด้วยเทคโนโลยี สงครามการค้าที่รุนแรง  การไหลท่วมของสินค้าจากประเทศขนาดใหญ่  เศรษฐกิจย่ำแย่ ฯลฯ

ชีวิตทุกวันของผู้เขียน ถ้าวันไหนคิดเรื่องเงินก่อนนอน คืนนั้นจะนอนไม่หลับ ฮ่าาาาา

หลายคนที่ออกจากงานต้องดิ้นรนหาธุรกิจใหม่ทำ รู้หรือยังว่าความรู้ไม่ใช่ของฟรี  เวลาบริษัทเรียกไปอบรม หรือสัมมนาอะไรไม่รู้จักเห็นคุณค่ากันใช่ไหม  ว่าบริษัทต้องจ่ายเงินหาครูดีๆมาคอย upskill ให้พนักงาน แต่พนักงานไม่สนใจ อันนี้ไม่รวมตัวผู้เขียนนะ  เพราะเป็นคนรักความรู้ ไม่เคยพลาดสัก course เดียว 

ยิ่งช่วง outing สัมมนาทำ business plan ประจำปีนี่ชอบมาก  ได้เห็นภาพกว้างของธุรกิจ และได้เข้าใจว่าหน่วยงานอื่นเค้าทำงานอะไรกัน มีปัญหาอะไรกัน นี่ละ...หัวใจเลย  ถ้าเราเข้าใจว่าทีมทำอะไร  เราก็จะ engage กับภาระกิจของบริษัท และนี่คือทีม

พอมาทำธุรกิจเอง แค่คำถามข้อแรกว่าจะทำอะไรดี  เชื่อว่าหลายคนหมดเงินไปหลายบาทกับการซื้อคอร์ส เพื่อตอบคำถามนี้  55555 และตามมาด้วยทำอย่างไรให้สำเร็จธุรกิจนั้นได้เงินเป็นแสน เป็นล้าน  ภายใน...ปี ขอหัวเราะอีกที 5555

ยังไม่รู้จะทำธุรกิจอะไร ก็ต้องจ่ายตังค์แล้วค่ะ 

สมมุติพอรู้ว่าจะทำอะไร ก็ต้องไปหาความรู้เพิ่มอีกว่า คนที่เขาทำสำเร็จนั้นเขาทำอย่างไร แล้วที่เห็นว่ามาโชว์ยอดขายกันเป็นแสนเป็นล้านนั้น  ทำตามเขาบอกแล้วจะได้เหมือนเค้าไหม ในเมื่อสถานการณ์มันคนละช่วงเวลา  สภาพพฤติกรรมผู้บริโภคมันเปลี่ยนเร็วมากนะคะ

ปี 2567 เริ่มมีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาอีก  อันนี้ยิ่งเป็น Game Changer หนักกว่าเดิม

กว่าจะตอบคำถามได้ว่า Early Retire ดีไหม เลยต้องมีสองภาค

คำตอบสำหรับภาคที่ 1 คือ...

ดีไหม...ก็ต้องขอตอบว่า  ดี ถ้าคุณออกมาแล้วยังมีรายได้เข้ามา  เช่น คุณมีธุรกิจอะไรสำรองอยู่แล้ว เอาแบบธุรกิจนั้นอยู่ตัวในระดับหนึ่งแล้วนะ  ไม่ใช่เพิ่งเริ่ม คือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอจะดีมาก

สอง  คุณไม่ควรมีหนี้ หรือสร้างหนี้เด็ดขาด เรื่องหนี้ไม่ค่อยมีใครพูดกับใครตรงๆ คือถ้ามีหนี้ก็มักจะคิดว่า อยากได้เงินจากการ early ไปปลดหนี้  ซึ่งอย่าลืมว่า ถ้าคุณไม่ได้มีที่ทำงานใหม่รอรับช่วงต่อ  เอาเงินไปใช้หนี้แล้ว  แต่ในระยะยาวคุณจะใช้ชีวิตยังไง เงินจะพอไหม เพราะถ้าไม่พอ มีแนวโน้มว่าคุณอาจกลับไปเป็นหนี้  แล้วทีนี้ถ้าไม่มีรายได้ที่มั่นคง สถาบันการเงินจะมีปัญหากับการให้กู้....แล้วถ้าคิดจะไปกู้นอกระบบละก็...คราวนี้พังแน่

สาม  ไม่มีหนี้ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมหาศาล ต้องรับผิดชอบชีวิตคนหลายคน อันนี้ก็ต้องระวัง  เพราะพอไม่มีรายได้ประจำ แต่ค่าใช้จ่าย...ยังมาเป็นประจำ...5555



ภาพการสนทนาข้างบนคงจะสะเทือนใจกันไม่มากก็น้อยนะคะ  ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมันกดดันเหลือจะรับค่ะ น้องที่ chat มาหาผู้เขียนเหมือนอยากจะระบาย มากกว่าจะอยากถามอย่างจริงจังว่า Early Retire ดีไหม

ใครที่ยังทำงานอยู่ก็ขอให้เตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้เผื่อบ้างนะคะ  ต้องมีอาชีพสำรอง อาชีพเสริมกันบ้าง แต่ก็ต้องไม่ลืมจะทุ่มเทให้งานประจำมากกว่า เรารับเงินเขาแล้ว ก็ต้องมีความเป็นมืออาชีพ  ต้องซื่อสัตย์ต่อคนที่เขาจ่ายให้เรา คือบริษัทค่ะ ไม่ใช่เจ้านาย (อ่าวววว5555)

จบภาค 1 ค่ะ  น่าจะได้ข้อคิดกันไปถามตัวเองกันบ้างเน้อ


ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ