กุมภาพันธ์ 05, 2568
กลับมาเขียนต่อค่ะ นิยายของผู้เขียน
มกราคม 26, 2568
การจากไปของฤดูหนาว และแด่เธอ
วันนี้อากาศเริ่มจะอุ่นๆขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสายแล้วค่ะ เป็นสัญญาณว่าฤดูหนาวกำลังจะเดินจากไปแล้ว และแน่นอน...มันย่อมเป็นเช่นนี้แหละ ปลายเดือนมกราคม 2568 ก็กำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเพิ่งจะนึกได้ว่าเราเพิ่งฉลองปีใหม่กันไปไม่นานนี่เอง
สัปดาห์หน้าจะเข้าเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความรักจะมา อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นวันสงกรานต์ ซ้ำไปซ้ำมาอีกรอบหนึ่ง แล้วชีวิตเราเหลือเวลาอีกเท่าไหร่...ไม่รู้เหมือนกัน
วันนี้ได้ข่าวเศร้าอีกว่าแม่สามสีหญิงแกร่งจากไปดาวแมวอีกตัวแล้ว
เพิ่งจะได้คุยเล่นเมื่อวานนี้ ได้ให้อาหารเม็ดน้องไป น้องกินอย่างเอร็ดอร่อย...ชื่นใจคนให้ ลูบหัวลูบตัวน้องได้เพราะคุ้นเคยกันแม้ไม่ได้เป็นแมวเลี้ยง น้องเป็นแมวข้างบ้านที่เค้าให้ที่อยู่แต่ก็ไม่ได้ให้อาหารเป็นประจำ
น้องจากไป ตัวแข็งนอนอยู่หน้าพุ่มไม้ บนหน้ามีรอยโดนกัด ยังมีเลือดให้เห็นอยู่ คุณพ่อของผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ตอนพบน้องเมื่อเช้านี้เองค่ะ น่าจะโดนงูพิษกัด เห็นตัวแข็ง แล้วกำลังจะถูกเงามืดในโพรงหญ้าพยายามจะลากน้องเข้าไป คุณพ่อเลยดึงร่างน้องออกมาแล้วนำไปฝังแล้วค่ะ
ผู้เขียนก็เศร้าเลย...แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงมาเอง แต่ก็เห็นกันบ่อยๆ และให้ข้าวน้องกิน เพราะน้องมาร้องขอข้าวกิน ซึ่งน้องไม่ได้มาหาทุกวัน แม่สามสีเค้าเป็นสาวรักอิสระ เอาตัวรอดเก่ง เพราะว่าต้องหากินเองมาตลอด อยู่มาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่ง นางเป็นแมวเพศเมียตัวเดียวในบริเวณนี้ค่ะ คลอดลูกไปหลายครอกแล้ว
อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าแม่สามสีเคยพาซัมเมอร์มาเลี้ยงที่ระเบียง ช่วงนั้นก็เลยได้เลี้ยงแม่สามสีกับซัมเมอร์อยู่หลายเดือนค่ะ นางก็เลยเชื่องกับผู้เขียน
ล่าสุดนางคลอดลูกมาอีก ข้างบ้านเค้าบอกเลี้ยงไม่ไหว เพราะเป็นคนแก่อายุเก้าสิบกว่าๆแล้ว บอกฝากให้ผู้เขียนเลี้ยงให้หน่อย อ้าว...
มาสูตรเดิมค่ะ คือพอลูกอายุได้สักสามเดือนแม่สามสีแกจะทิ้งลูก คือกัดลูกตัวเองประมาณนั้น พอผู้เขียนเอามาช่วยเลี้ยงแม่สามสีก็ไม่มายุ่งค่ะ แค่นั่งมองๆจากข้างบ้าน
แม่สามสีเดินไปไหนเหมือนถูกรังเกียจค่ะ เพราะว่าเป็นตัวเมีย มีแต่คนกลัวว่าจะมาคลอดลูก สร้างภาระให้ ...ก็น่าสงสารนะคะ...ผู้เขียนสงสารแม่สามสี นางเป็นแมวที่ไม่ได้อยู่ติดบ้าน ออกไปหากินเอง ความเสี่ยงต่างๆมีมากมาย นางก็ใช้ชีวิตตามธรรมชาติแมว มีแฟน แล้วก็มีลูก วนๆไปค่ะ
หวังว่านางกลับไปอยู่ดาวแมวแล้วชีวิตจะดีกว่า ผู้เขียนคิดถึงนางจังค่ะ นั่งดูรูปเก่าๆตอนสมัยนางมาอยู่ที่บ้าน ส่วนเจ้าสองตัวลูกครอกสุดท้ายของแม่สามสีก็อยู่กับผู้เขียนค่ะ ดูซึมๆลงไปไม่รู้ว่าเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้น
ส่วนศรีส้มเค้าเป็นแฟนของแม่สามสี เมื่อเช้าก็ไปเดินดมๆอยู่แถวร่างไร้วิญญาญของแม่สามสี คงจะรับรู้แล้วว่าแม่สามสีไปแล้ว ก็จากศรีส้มไปอีกแล้ว...ส้มเอ๊ย เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา....
วันนี้บรรยากาศเงียบจริงๆค่ะ มันเศร้า
ไว้วันหลังจะเล่าความรักของศรีส้มกับแม่สามสีให้ฟังนะคะ เฮ้อ...
ความคิดถึงนี่มันเป็นความทุกข์อย่างนึง
แม่สามสีเอ๊ย หมดเวรหมดกรรมแล้วนะลูก...ไปดีนะ
ลาก่อน...แล้ววันหนึ่งเราอาจได้พบกัน
มกราคม 08, 2568
คืนวันเดิม ใน พ.ศ. ใหม่
หลายคนชอบคิดว่าวัยเกษียณน่าจะว่าง มีเวลาเยอะ ที่จริงก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ลองนั่งสังเกตตัวเองพบว่าเวลาหมดไปกับการจัดการภาระส่วนตัวค่อนข้างเยอะ เช่น พวกการเตรียมอาหาร การจัดเก็บล้าง การทำความสะอาดต่างๆ ทำให้ไม่ได้นั่งทำงานได้เยอะเท่าตอนทำงานบริษัท
แต่ละวันมันต้องมีการคิดว่าจะทานอะไร นี่ขนาดว่าไม่ได้ทำอาหารทานเอง อาศัยสั่งอาหารบ้าง ซื้อสำเร็จรูปบ้าง ก็ยังต้องใช้เวลาไปกับการเตรียม การเก็บล้างอยู่ดีนะคะ พวกงานซักล้างนี่ก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน ตอนยังทำงานบริษัทไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เพราะสามารถไปจ้างซักรีดได้ ด้วยมีรายได้สม่ำเสมอมาหล่อเลี้ยง
ตั้งแต่ไม่ได้มีรายได้555 เอ๊ย เรียกว่ารายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ก็แปลว่าอะไรที่เคยจ้างก็ต้องหันมาทำเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายค่ะ
กลายเป็นว่าเวลาที่จะนำมาสร้างเงินก็ต้องลดน้อยลงไป ด้วยเวลามีก้อนยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าเเดิม
คิดดูแล้วว่าคงต้องหาวิธีในการสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างรายได้ต่อไป คงไม่ยอมจะให้ชีวิตค่อนข้างจะต้องอยู่แบบเจียมตัวอย่างนี้ตลอด
ชีวิตหลังเกษียณที่ยังต้องทำงานหารายได้อยู่ ที่จริงมันก็เหมือนเควสอะไรซักอย่าง ที่เราต้องเอาชนะมันให้ได้ค่ะ เควสหรือ mission อันนี้ท้าทายความสามารถของตัวเราเอง ไม่ได้ต่างอะไรกับเมื่อตอนเราเริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นเรานั่งคิดอยู่ตลอดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงดี ไม่มีใครบอกแนวทางเท่าไหร่ หรือบอกเราก็ไม่เชื่อ5555 เพราะรู้ว่าสูตรสำเร็จของแต่ละคนย่อมแตกต่างไปตามยุคสมัยและสภาพแวดล้อม
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผู้เขียนยึดมั่นมาตลอดชีวิต มันก็เป็นคำพูดบ้านๆง่ายๆ นะคะ
ทุกวันนี้ก็ยังทำต่อไปค่ะ
ชีวิต phase สุดท้ายล่ะค่ะ คือแก่ชราอย่างมั่นคง มีความสมดุลระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต
เฮ้อ...รู้สึกว่าวันนี้เขียนไม่ค่อยจะออก 5555
จบก่อนดีกว่า
ธันวาคม 18, 2567
ย้อนเวลา
พอถึงช่วงสิ้นปีทีไร ผู้เขียนจะมานั่งย้อนเวลาสำรวจชีวิตตัวเองทุกทีเลยค่ะ
เหมือนเป็นการทำ Yearly Review ชีวิตว่าตอนนี้ทำอะไรไปถึงไหนแล้วมั่ง บางทีไม่ได้ย้อนไปแค่ปีนี้เพียงปีเดียว ไปๆมาๆย้อนไกลไปถึงตอนยังเป็นเด็กเลยก้อมี555 อันนี้ก็เรียกว่าฟุ้งซ่านเล็กน้อยล่ะค่ะ (แต่รู้ตัวว่าฟุ้งซ่านนะ)
เหตุที่ย้อนไทม์แมชชีนไปได้ไกลเป็นเพราะไปนั่งดูคลิปที่มีคนเอามาลงไว้เกี่ยวกับบ้านเมืองในอดีต หรือไม่ก็บรรดาภาพยนตร์ไทยยุคเก่าๆ ซึ่งผู้เขียนชอบดูมาก เพราะมักจะได้เห็นภาพทิวทัศน์ หรือกรุงเทพในอดีตไปด้วยเสมอ ได้เห็นบ้านเมืองหรือทุ่งกว้างๆ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นถนนไปหมดแล้ว
เรียกว่าดูวิวมากกว่าดูหนังค่ะ
แน่นอนว่าหัวใจมันแอบจะห่อเหี่ยวบ้าง ด้วยเห็นว่าสิ่งที่เคยมีและเคยเป็นมันหายไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพความเป็นอยู่ หรือตึกรามบ้านช่อง ร้านค้าที่เคยชอบไปเดินตอนหลังเลิกเรียน ถนนหนทางยิ่งเปลี่ยนไปหนักจนจำไม่ได้ นี่มันคือความเจริญที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยง
นึกถึงในภาพยนตร์เรื่อง Somewhere in Time ที่พระเอกย้อนเวลาไปหานางเอกด้วยการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของคนในยุคนั้น แล้วนอนหลับลงบนเตียง ในโรงแรมที่ยังอยู่มาจนถึงยุคของพระเอก
นี่ผู้เขียนกำลังเดินทางกลับไปยังกรุงเทพในช่วงปี 2523-2537 เป็นช่วงที่อายุพอประมาณว่าจะจำอะไรได้เยอะแล้วจนถึงช่วงเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ
อยู่ดีๆอารมณ์เหงาๆมันก็เกิดขึ้นมาเป็นบางวูบค่ะ
นึกถึงผู้คนที่เราเคยรู้จัก บางคนก็จากไปแล้ว บางคนก็ยังอยู่แต่ก็ไม่ได้เจอกันอีก หรือศิลปินนักร้องที่ร้องเพลงฮิตติดหูในช่วงเวลานั้น บางคนก็ขึ้นสวรรค์ไปก่อนแล้ว
บทเพลงและพวกรายการทีวีในยุคต่างๆก็บอกได้เป็นอย่างดีค่ะว่าสังคมในแต่ละช่วงเป็นอย่างไร ยิ่งเห็นแฟชั่นการแต่งตัวของผู้คน ตลอดจนรถยนต์รุ่นที่วิ่งบนท้องถนน ก็จะบอกถึงยุคสมัยไปด้วย
ไม่นับว่าเพิ่งจะปี 2525 ที่เพิ่งเริ่มจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย ผู้เขียนได้ลองใช้ที่โรงเรียนด้วยค่ะ และได้มีโอกาสใช้งานในที่ทำงานก็ประมาณปี 2537-2538 ได้ จอดำๆและตัวหนังสือสีเขียวๆ ล่ะค่ะ เครื่องพิมพ์ก็เป็นแบบเข็มกระแทก แผ่นดิสก์ก็ใหญ่โต ปัจจุบันนี้ยังแอบเก็บไว้อยู่เลยค่ะ
นึกแล้วชีวิตคนเราแต่ละคนก็ต้องผ่านอะไรมาอย่างมากมาย กว่าจะมานั่งแก่ตัวลง...
มันก็สนุกดีนะคะ สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไร้ซึ่งอินเตอร์เนต ทุกอย่างยังเป็นโลกอนาลอก เราก็ใช้ชีวิตกันอย่าง real สุดๆแหละค่ะ เวลาอยากจะโทรหาแฟนก็ต้องไปยืนต่อคิวตู้โทรศัพท์สาธารณะสีแดง และเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์ว่าโดนตู้โทรศัพท์กินเหรียญ 55555 และจำได้ถึงเสียงสัญญานว่าเวลาใกล้หมดต้องหยอดเหรียญต่อแล้ว ...แต่ดันเงินหมดนี่สิ ฮ่าาาา
เวลานัดเจอใครสักคนนี่ก็หากันให้วุ่น ไปยืนรอกันคนล่ะที่ ไม่มี GPS ไม่มีกูเกิลแมพอะไรทั้งสิ้น ต้องคอยนัดกันหน้าร้านอะไรสักแห่ง จะได้หากันง่ายๆ
แต่แล้วชีวิตก็ผ่านสิ่งเหล่านั้นมาจนหมดแล้ว จนมาถึงวันนี้วันที่เราสิ้นสุดการทำงาน(ซะที) สมัครใจเกษียณออกมานั่งอยู่บ้าน แต่ก็ยังต้องขยันทำมาหากิน ไม่ได้นั่งยิ้มไปวันๆ เพราะว่าเราไม่ได้มีบำนาญ และเราก็ยังต้องดูแลพ่อแม่ไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภาพที่ไม่เคยได้คิดเอาไว้ก่อนค่ะ
ไอ้ที่เคยคิดเอาไว้...มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด...
จะอย่างไรก็ต้องสู้กันต่อไปค่ะ บ่อยครั้งที่เราคิดว่าแบบนี้มันแย่ ที่จริงมันอาจกำลังนำเราไปสู่สิ่งใหม่ที่อาจดีกว่า เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลานั้นเท่านั้นเองค่ะ
เราจึงควรต้องอยู่อย่างมีความหมาย...เพื่อรอวันที่เราจะเดินถึงเส้นชัยค่ะ และไม่ได้นั่งรอไปเปล่าๆ เพราะเทวดาจะไม่เห็นใจเลยค่ะ ต้องขยันต่อไปอีกเรื่อยๆ
Happy New Year นะคะทุกคน ขอบคุณที่ติดตามค่ะ